หากคุณกำลังพบว่าอวัยวะเพศมีตุ่มใส เจ็บ แสบ หรือคัน โดยไม่เคยเป็นมาก่อน อาจรู้สึกกังวลและสงสัยว่าเกิดจากอะไร โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตว่า “นี่คือโรคเริมหรือเปล่า?” เพราะโรคเริมเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบบ่อย และมักแสดงอาการด้วยตุ่มใสขนาดเล็กที่บางครั้งอาจแตกเป็นแผลตื้นๆ ทำให้เกิดความไม่สบายตัวอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณเช็กอย่างละเอียดว่าตุ่มใสดังกล่าวเข้าข่ายโรคเริมหรือไม่ และควรปฏิบัติตัวอย่างไร
ตุ่มใสที่อวัยวะเพศ คือ ลักษณะของผื่นหรือตุ่มนูนเล็กๆ ที่มีของเหลวใสอยู่ภายใน เกิดขึ้นได้บริเวณแคมนอก แคมใน ช่องคลอด องคชาต ถุงอัณฑะ หรือรอบทวารหนัก โดยตุ่มเหล่านี้อาจมีอาการร่วม เช่น คัน แสบ หรือเจ็บ โดยเฉพาะเมื่อตุ่มแตกหรือเสียดสีกับเสื้อผ้า
สาเหตุของตุ่มใสมีได้หลากหลาย เช่น
อ้างอิง: American Academy of Dermatology Association, CDC Guidelines for STDs (2023)
ตุ่มใสที่อวัยวะเพศมักมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1–3 มิลลิเมตร ผิวเรียบ สีใสหรือใสอมเหลือง บางครั้งเกิดเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่น โดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้น เช่น แคมใน รอยพับขาหนีบ หรือรอบทวารหนัก
ตัวอย่างลักษณะตุ่มจากสาเหตุที่พบบ่อย
หากตุ่มใสมีอาการเปลี่ยนแปลง เช่น โตขึ้น เจ็บมาก หรือไม่หายภายใน 3–5 วัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินอย่างละเอียด
แม้ทั้งตุ่มใสและตุ่มหนองจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ บนผิวหนัง แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในแง่ของลักษณะภายนอก สาเหตุ และความรุนแรงของอาการ การแยกให้ออกมีความสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรักษาได้อย่างถูกต้อง
|
จุดเปรียบเทียบ |
ตุ่มใส (Vesicle) |
ตุ่มหนอง (Pustule) |
|---|---|---|
|
ลักษณะของของเหลว |
ใส ไม่มีสี หรือใสอมเหลือง |
ขุ่น สีเหลืองหรือเขียวคล้ายหนอง |
|
ลักษณะเมื่อสัมผัส |
ผนังบาง แตกง่าย |
มักแข็งกว่า อักเสบรอบตุ่ม |
|
อาการร่วม |
คัน แสบ หรือเจ็บเล็กน้อย |
เจ็บ บวม แดง ชัดเจน |
|
สาเหตุที่พบบ่อย |
เริม แพ้สัมผัส เชื้อรา |
แบคทีเรีย สิว ฝี |
|
การติดต่อ |
บางชนิดติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ |
ส่วนใหญ่ไม่ติดต่อ เช่น สิว |
หากไม่แน่ใจว่าตุ่มที่เป็นคือแบบใด ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมิน เพราะบางโรค เช่น เริม อาจเริ่มจากตุ่มใสแล้วพัฒนาเป็นแผล ซึ่งแตกต่างจากตุ่มหนองที่มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรียโดยตรง
หากคุณพบตุ่มใสเล็กๆ บริเวณอวัยวะเพศที่มาพร้อมกับอาการเจ็บ แสบ หรือคัน โดยเฉพาะถ้าเรียงกันเป็นกลุ่มและแตกออกเป็นแผลตื้น — มีโอกาสสูงว่าอาจเป็น “โรคเริมที่อวัยวะเพศ” (Genital Herpes)
ลักษณะเฉพาะของเริมที่ควรสังเกต
อาการมักปรากฏหลังจากสัมผัสเชื้อ 2–12 วัน และผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อความแน่ชัด
โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่
ไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อบุหรือผิวหนังที่มีรอยถลอก แม้ไม่มีแผลชัดเจนก็ติดเชื้อได้ โดยเฉพาะในช่วงที่สัมผัสของเหลวจากตุ่มเริม หรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ แม้ไม่มีอาการก็ตาม
หลังติดเชื้อแล้ว ไวรัสจะซ่อนตัวอยู่ในระบบประสาท และสามารถกลับมาก่ออาการได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ เครียด หรือภูมิคุ้มกันลดลง
ถึงแม้โรคเริมจะเกิดจากไวรัสชนิดเดียวกัน แต่อาการสามารถแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของอวัยวะเพศ
ทั้งสองเพศ อาจมีอาการร่วม เช่น ไข้ ปวดเมื่อย และต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะเมื่อติดเชื้อครั้งแรก
การแยกโรคเริมออกจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือโรคผิวหนังอื่น เช่น หูดหงอนไก่ เชื้อรา หรือซิฟิลิส อาจทำได้ยากในระยะแรก เพราะอาการใกล้เคียงกันมาก การสังเกตลักษณะของตุ่ม อาการร่วม และพฤติกรรมเสี่ยงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
สัญญาณที่มักพบในโรคเริม
|
โรค |
ลักษณะตุ่ม/แผล |
อาการร่วม |
ความถี่ในการกลับมาเป็นซ้ำ |
|---|---|---|---|
|
เริม |
ตุ่มใสเป็นกลุ่ม แตกเป็นแผล |
เจ็บ แสบ มีไข้ |
บ่อย |
|
ตุ่มนูน ผิวขรุขระ |
ไม่เจ็บ ไม่คัน |
อาจกลับมาได้ |
|
|
เชื้อราแคนดิดา |
ผื่นแดง มีขุยขาว คัน |
คันมาก มีคราบขาว |
ไม่บ่อย |
|
ซิฟิลิสระยะแรก |
แผลเดี่ยว ขอบเรียบ ไม่เจ็บ |
ต่อมน้ำเหลืองโต |
หากไม่รักษา อาจลุกลาม |
หากไม่แน่ใจ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน โดยเฉพาะในกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
แม้ทั้ง “เริม” และ “หูดหงอนไก่” จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย แต่เกิดจากไวรัสคนละชนิด และมีลักษณะอาการต่างกันชัดเจน หากสังเกตให้ดีจะสามารถแยกโรคได้
|
ประเด็น |
เริม (Herpes) |
หูดหงอนไก่ (Genital Warts) |
|---|---|---|
|
เชื้อที่ก่อโรค |
Herpes Simplex Virus (HSV-1, HSV-2) |
Human Papillomavirus (HPV) |
|
ลักษณะตุ่ม/แผล |
ตุ่มใสเล็กๆ เป็นกลุ่ม แตกเป็นแผลตื้น |
ตุ่มนูน ผิวขรุขระ คล้ายดอกกะหล่ำ |
|
อาการร่วม |
เจ็บ แสบ คัน ไข้ ปวดเมื่อย |
ส่วนใหญ่ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่มีไข้ |
|
การกลับมาเป็นซ้ำ |
บ่อย โดยเฉพาะ HSV-2 |
บางรายกลับมาได้ แต่ไม่ถี่ |
|
ความเสี่ยงต่อมะเร็ง |
ต่ำมาก |
บางสายพันธุ์เสี่ยงมะเร็งปากมดลูก/ทวารหนัก |
|
แนวทางรักษา |
ยาต้านไวรัส |
จี้ แช่เย็น ผ่าตัด หรือยาทา |
แม้ทั้งเริม ผื่นแพ้ และเชื้อราแคนดิดาจะมีลักษณะตุ่มหรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศคล้ายกัน แต่มีจุดสังเกตที่ช่วยแยกได้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาอาการร่วมและปัจจัยกระตุ้น
|
ลักษณะโรค |
เริม (Herpes) |
ผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) |
เชื้อราแคนดิดา (Candida) |
|---|---|---|---|
|
ลักษณะตุ่ม |
ตุ่มใสเล็กๆ เป็นกลุ่ม แตกเป็นแผลตื้น |
ตุ่มน้ำใส กระจาย ไม่เป็นกลุ่ม |
ผื่นแดง อาจมีตุ่มใสร่วม มีขุยขาว |
|
อาการร่วม |
เจ็บ แสบ คัน บางรายมีไข้ |
คัน แสบ ร้อนเฉพาะจุดที่สัมผัส |
คันมาก โดยเฉพาะในร่มผ้า แสบ มีตกขาวผิดปกติ (ในผู้หญิง) |
|
ปัจจัยกระตุ้น |
การติดเชื้อ HSV |
สบู่ น้ำหอม ถุงยางอนามัย |
ความอับชื้น ภูมิคุ้มกันต่ำ |
|
การติดต่อ |
ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ |
ไม่ติดต่อ |
ไม่จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง |
เริม (Herpes) และซิฟิลิสระยะแรก (Primary Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจมีอาการคล้ายกันบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะเมื่อมีแผลเกิดขึ้น แต่ลักษณะของแผลและการดำเนินโรคมีความแตกต่างอย่างชัดเจน
|
จุดเปรียบเทียบ |
เริม (Herpes) |
ซิฟิลิสระยะแรก (Primary Syphilis) |
|---|---|---|
|
เชื้อที่ก่อโรค |
Herpes Simplex Virus (HSV-1, HSV-2) |
Treponema pallidum (แบคทีเรีย) |
|
ลักษณะแผล |
ตุ่มใสเป็นกลุ่ม แตกเป็นแผลตื้น เจ็บ แสบ |
แผลเดี่ยว ขอบเรียบ กลม ไม่เจ็บ |
|
จำนวนแผล |
หลายจุด เป็นกลุ่ม |
ส่วนใหญ่พบแผลเดียว |
|
อาการร่วม |
ปวดแสบ เจ็บ คัน ไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต |
ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่เจ็บ ไม่มีไข้ในระยะแรก |
|
ระยะเวลาของแผล |
1–2 สัปดาห์ |
3–6 สัปดาห์ แล้วแผลจะหายเองหากไม่รักษา |
|
แนวทางรักษา |
ยาต้านไวรัส (ควบคุมอาการ) |
ยาฉีดเพนนิซิลิน (รักษาหายขาดได้) |
โรคเริมสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มีบางกลุ่มที่ “มีความเสี่ยงสูง” กว่าคนทั่วไป เนื่องจากพฤติกรรมหรือปัจจัยด้านสุขภาพที่เอื้อต่อการติดเชื้อ
กลุ่มเสี่ยงหลักได้แก่
การรู้ว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้ระวังตัวมากขึ้น และหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ
แม้โรคเริมจะติดต่อผ่านการสัมผัสกับผิวหนังหรือเยื่อบุที่มีเชื้อ แต่พฤติกรรมบางอย่างสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มากกว่าปกติ โดยเฉพาะหากทำเป็นประจำโดยไม่ระวัง
พฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเริมอย่างมาก
ใช่ครับ คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมีโอกาสติดเชื้อเริมได้ง่ายกว่า และเมื่อเกิดการติดเชื้อแล้ว มักมีอาการรุนแรงกว่า หรือเกิดซ้ำได้บ่อยกว่าคนทั่วไป เพราะร่างกายควบคุมเชื้อไวรัสได้ไม่ดีพอ
กลุ่มที่จัดว่า “ภูมิคุ้มกันต่ำ” ได้แก่
ผลของเริมในคนกลุ่มนี้
โรคเริมติดต่อได้ง่ายมาก โดยเฉพาะผ่านการ “สัมผัสโดยตรง” กับบริเวณที่มีเชื้อ ไม่ว่าจะมีแผลหรือตุ่ม หรือแม้แต่ในช่วงที่ไม่มีอาการก็ยังแพร่เชื้อได้
ช่องทางหลักในการติดต่อเริม
ข้อควรระวังสำคัญ
ใช่ครับ การติดเชื้อเริมไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่เสมอไป เพราะเชื้อเริมสามารถติดต่อผ่าน “การสัมผัสผิวหนัง” โดยตรงกับบริเวณที่มีเชื้อ ซึ่งรวมถึงช่วงที่ไม่มีอาการด้วย
ตัวอย่างสถานการณ์ที่อาจติดเริมโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์
ดังนั้น แม้ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ ก็ยังควรระวังการสัมผัสโดยตรงกับแผล หรือน้ำเหลวจากตุ่มเริม
จริง 100% ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเริม (HSV) สามารถ “แพร่เชื้อได้แม้ไม่มีแผล ไม่มีตุ่ม และไม่มีอาการใดๆ” ภาวะนี้เรียกว่า Asymptomatic Shedding หรือ การปล่อยเชื้อแบบไม่มีอาการ
ในช่วงนี้ ผู้ที่ดูเหมือนไม่มีอาการใดๆ เลย อาจยังมีไวรัสแฝงตัวอยู่บริเวณผิวหนังและเยื่อบุ เมื่อมีการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังของอีกฝ่าย ก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ทันที
ความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อแบบไม่มีอาการ
ดังนั้น แม้ไม่มีตุ่มหรือแผล ก็ควรป้องกันเสมอ เช่น ใช้ถุงยาง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดช่วงมีความเสี่ยง
ในคนทั่วไปที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง ตุ่มใสจากเริมไม่จัดว่าอันตรายถึงชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ได้ไม่น้อย และในบางกรณี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง
ผลกระทบที่อาจพบได้
แม้โรคเริมจะไม่ใช่โรคที่รุนแรงในคนทั่วไป แต่หากไม่ดูแลรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีอาการซ้ำบ่อย ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง ได้แก่
มีผลครับ โดยเฉพาะถ้าแม่ติดเชื้อครั้งแรกระหว่างตั้งครรภ์ หรือมีตุ่มเริมขณะใกล้คลอด อาจส่งผลต่อทั้งแม่และทารกอย่างมีนัยสำคัญ
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
การวินิจฉัยโรคเริม (Genital Herpes) ไม่สามารถดูแค่ด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในระยะแรกที่ตุ่มอาจคล้ายโรคอื่น การตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกับการซักประวัติจึงสำคัญมาก
ขั้นตอนการตรวจโดยทั่วไป
ระยะเวลารู้ผล
โรคเริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน เพราะไวรัสยังคงแฝงตัวอยู่ในระบบประสาท แต่สามารถควบคุมอาการและลดโอกาสแพร่เชื้อได้ด้วยวิธีการรักษาที่เหมาะสม
การรักษาหลักมี 3 รูปแบบ
ควรดูแลตนเองร่วมด้วย
มีครับ ยาต้านไวรัสเป็นแนวทางหลักในการรักษาโรคเริม แม้ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ทั้งหมด แต่ช่วยควบคุมอาการ ลดความถี่ของการเกิดซ้ำ และลดโอกาสแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยาที่ใช้บ่อย
การเลือกใช้ยา
การใช้ยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอภายใต้คำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ครับ เนื่องจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) จะยังคง “แฝงตัว” อยู่ในระบบประสาทของร่างกาย แม้ไม่มีอาการก็ตาม ทำให้สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เครียด หรือภูมิคุ้มกันลดลง
ทำไมเริมถึงไม่หายขาด?
สิ่งที่ทำได้ในการรักษา
แม้จะไม่หายขาด แต่ด้วยการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง เริมสามารถควบคุมได้จนใช้ชีวิตได้ตามปกติ
การดูแลตนเองที่เหมาะสมในช่วงที่มีตุ่มใสหรือแผลจากเริม มีความสำคัญต่อการหายเร็ว ลดอาการเจ็บแสบ และป้องกันการแพร่เชื้อไปยังส่วนอื่นของร่างกายหรือผู้อื่น
แนวทางดูแลตนเองเบื้องต้น
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเริม ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือเป็นซ้ำ การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แผลหายเร็ว ป้องกันการแพร่เชื้อ และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
ข้อควรทำ
ข้อห้ามทำ
เมื่อมีอาการของโรคเริมแล้ว การปฏิบัติตัวอย่างรอบคอบจะช่วยให้แผลหายไว และลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นหรือร่างกายส่วนอื่นๆ ได้
แนวทางป้องกันที่ควรทำ
สามารถครับ และเป็นลักษณะเฉพาะของโรคเริมเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) จะ “แฝงตัว” อยู่ในระบบประสาท แม้แผลจะหายแล้วก็ตาม
เชื้อไวรัสไม่ถูกกำจัด และจะเคลื่อนกลับมาที่ผิวหนังเมื่อมี “ปัจจัยกระตุ้น” เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การป่วย ภูมิคุ้มกันต่ำ การมีประจำเดือน (ในผู้หญิง) รับยากดภูมิ หรือมีโรคเรื้อรัง
โดยทั่วไปแผลจากโรคเริมจะหายได้เองภายใน 1–2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นครั้งแรกหรือเป็นซ้ำ รวมถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
แผลจากเริมสามารถหายเองได้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่ การปล่อยให้โรคดำเนินไปโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดผลเสียหลายด้าน เช่น
แม้บางรายอาการของเริมอาจหายเองได้ แต่มีหลายกรณีที่ ไม่ควรรอดูอาการเอง เพราะอาจทำให้โรคลุกลาม หรือวินิจฉัยผิดพลาดได้ ควรไปพบแพทย์ทันทีหาก:
Safe Clinic เป็นหนึ่งในคลินิกเฉพาะทางที่ให้บริการตรวจโรคเริมโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้ผลแม่นยำ รวดเร็ว และเก็บข้อมูลเป็นความลับ
รายละเอียดการตรวจ
ที่ตั้ง: อาคารไทม์สแควร์ ชั้น 3 ห้อง 314 ถนนสุขุมวิท (BTS อโศก / MRT สุขุมวิท)
เวลาให้บริการ: ทุกวัน 12:00–20:30 น.
การนัดหมาย: Walk-in หรือจองล่วงหน้าที่เว็บไซต์ Safe Clinic
แม้โรคเริมจะเป็นโรคติดต่อที่พบได้ทั่วไป แต่ยังมีความเข้าใจผิดจำนวนมากที่ทำให้หลายคนกังวลโดยไม่จำเป็น หรือหลีกเลี่ยงการเข้ารับการรักษา
ความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อย ได้แก่
หากคุณพบว่ามีตุ่มใสบริเวณอวัยวะเพศ พร้อมอาการแสบ คัน หรือเจ็บ อย่าปล่อยผ่าน เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคเริม ซึ่งแม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย ความสัมพันธ์ และจิตใจได้ในระยะยาว การรู้เท่าทัน สังเกตอาการ และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ คือสิ่งที่ดีที่สุด
ในปัจจุบันแม้ยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันโรคเริมได้โดยตรง แต่การใช้ชีวิตอย่างมีสติ การดูแลร่างกายให้แข็งแรง และการปรึกษาแพทย์เมื่อมีความเสี่ยง คือวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมโรคนี้
หากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อ อย่ารอให้ลุกลาม ควรตรวจเพื่อความสบายใจและความปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้