Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ตุ่มใสที่อวัยวะเพศ เจ็บ แสบ คัน ใช่เริมไหม? เช็กด่วนก่อนลุกลาม

หากคุณกำลังพบว่าอวัยวะเพศมีตุ่มใส เจ็บ แสบ หรือคัน โดยไม่เคยเป็นมาก่อน อาจรู้สึกกังวลและสงสัยว่าเกิดจากอะไร โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตว่า “นี่คือโรคเริมหรือเปล่า?” เพราะโรคเริมเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบบ่อย และมักแสดงอาการด้วยตุ่มใสขนาดเล็กที่บางครั้งอาจแตกเป็นแผลตื้นๆ ทำให้เกิดความไม่สบายตัวอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณเช็กอย่างละเอียดว่าตุ่มใสดังกล่าวเข้าข่ายโรคเริมหรือไม่ และควรปฏิบัติตัวอย่างไร

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ตุ่มใสที่อวัยวะเพศคืออะไร?

ตุ่มใสที่อวัยวะเพศ คือ ลักษณะของผื่นหรือตุ่มนูนเล็กๆ ที่มีของเหลวใสอยู่ภายใน เกิดขึ้นได้บริเวณแคมนอก แคมใน ช่องคลอด องคชาต ถุงอัณฑะ หรือรอบทวารหนัก โดยตุ่มเหล่านี้อาจมีอาการร่วม เช่น คัน แสบ หรือเจ็บ โดยเฉพาะเมื่อตุ่มแตกหรือเสียดสีกับเสื้อผ้า

สาเหตุของตุ่มใสมีได้หลากหลาย เช่น

  • การติดเชื้อไวรัสเริม (HSV)
  • การติดเชื้อรา เช่น Candida
  • การแพ้หรือระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ เช่น ถุงยางอนามัย
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ฟอลลิคูลิติส

อ้างอิง: American Academy of Dermatology Association, CDC Guidelines for STDs (2023)

ลักษณะตุ่มใสที่พบบ่อยบริเวณอวัยวะเพศเป็นแบบไหน?

ตุ่มใสที่อวัยวะเพศมักมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1–3 มิลลิเมตร ผิวเรียบ สีใสหรือใสอมเหลือง บางครั้งเกิดเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่น โดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้น เช่น แคมใน รอยพับขาหนีบ หรือรอบทวารหนัก

ตัวอย่างลักษณะตุ่มจากสาเหตุที่พบบ่อย

  • โรคเริม (HSV): ตุ่มใสเล็กๆ เป็นกลุ่ม แสบหรือเจ็บ ก่อนจะแตกกลายเป็นแผลตื้น
  • ผื่นแพ้สัมผัส: ตุ่มน้ำใสกระจาย ไม่เป็นกลุ่ม มักคันมาก
  • เชื้อราแคนดิดา: ผื่นแดง คันมาก มีขุยหรือคราบขาวร่วมด้วย

หากตุ่มใสมีอาการเปลี่ยนแปลง เช่น โตขึ้น เจ็บมาก หรือไม่หายภายใน 3–5 วัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินอย่างละเอียด

ตุ่มใสกับตุ่มหนองต่างกันยังไง?

แม้ทั้งตุ่มใสและตุ่มหนองจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ บนผิวหนัง แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในแง่ของลักษณะภายนอก สาเหตุ และความรุนแรงของอาการ การแยกให้ออกมีความสำคัญเพื่อวินิจฉัยและรักษาได้อย่างถูกต้อง

จุดเปรียบเทียบ

ตุ่มใส (Vesicle)

ตุ่มหนอง (Pustule)

ลักษณะของของเหลว

ใส ไม่มีสี หรือใสอมเหลือง

ขุ่น สีเหลืองหรือเขียวคล้ายหนอง

ลักษณะเมื่อสัมผัส

ผนังบาง แตกง่าย

มักแข็งกว่า อักเสบรอบตุ่ม

อาการร่วม

คัน แสบ หรือเจ็บเล็กน้อย

เจ็บ บวม แดง ชัดเจน

สาเหตุที่พบบ่อย

เริม แพ้สัมผัส เชื้อรา

แบคทีเรีย สิว ฝี

การติดต่อ

บางชนิดติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

ส่วนใหญ่ไม่ติดต่อ เช่น สิว

หากไม่แน่ใจว่าตุ่มที่เป็นคือแบบใด ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมิน เพราะบางโรค เช่น เริม อาจเริ่มจากตุ่มใสแล้วพัฒนาเป็นแผล ซึ่งแตกต่างจากตุ่มหนองที่มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรียโดยตรง

ตุ่มใส เจ็บ แสบ คัน ใช่โรคเริมไหม?

หากคุณพบตุ่มใสเล็กๆ บริเวณอวัยวะเพศที่มาพร้อมกับอาการเจ็บ แสบ หรือคัน โดยเฉพาะถ้าเรียงกันเป็นกลุ่มและแตกออกเป็นแผลตื้น — มีโอกาสสูงว่าอาจเป็น “โรคเริมที่อวัยวะเพศ” (Genital Herpes)

ลักษณะเฉพาะของเริมที่ควรสังเกต

  • ตุ่มใสเล็ก ขนาดประมาณ 1–2 มม.
  • เรียงกันเป็นกลุ่ม คล้ายพวงองุ่น
  • แสบหรือเจ็บเมื่อสัมผัส โดยเฉพาะขณะปัสสาวะหรือเสียดสีกับเสื้อผ้า
  • ตุ่มแตกภายใน 1–2 วัน กลายเป็นแผลตื้น และใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย
  • อาจมีไข้ ปวดเมื่อย หรือปวดต่อมน้ำเหลืองร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ติดเชื้อครั้งแรก

อาการมักปรากฏหลังจากสัมผัสเชื้อ 2–12 วัน และผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อความแน่ชัด

เริมที่อวัยวะเพศเกิดจากอะไร?

โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่

  • HSV-1: เดิมพบมากที่ริมฝีปาก แต่สามารถติดที่อวัยวะเพศได้ โดยเฉพาะจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
  • HSV-2: พบบ่อยในเริมที่อวัยวะเพศ และมีแนวโน้มทำให้เกิดการกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยกว่า

ไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อบุหรือผิวหนังที่มีรอยถลอก แม้ไม่มีแผลชัดเจนก็ติดเชื้อได้ โดยเฉพาะในช่วงที่สัมผัสของเหลวจากตุ่มเริม หรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ แม้ไม่มีอาการก็ตาม

หลังติดเชื้อแล้ว ไวรัสจะซ่อนตัวอยู่ในระบบประสาท และสามารถกลับมาก่ออาการได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ เครียด หรือภูมิคุ้มกันลดลง

อาการของโรคเริมในผู้หญิงกับผู้ชายต่างกันไหม?

ถึงแม้โรคเริมจะเกิดจากไวรัสชนิดเดียวกัน แต่อาการสามารถแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของอวัยวะเพศ

อาการในผู้หญิง

  • พบตุ่มใสหรือแผลบริเวณแคมนอก แคมใน ช่องคลอด ปากมดลูก หรือรอบทวารหนัก
  • เจ็บหรือแสบขณะปัสสาวะ
  • อาจมีตกขาวผิดปกติ และปวดท้องน้อย
  • เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนในระบบสืบพันธุ์มากกว่าผู้ชาย

อาการในผู้ชาย

  • ตุ่มใสหรือแผลมักขึ้นที่องคชาต ถุงอัณฑะ หรือโคนอวัยวะเพศ
  • อาจแสบขณะปัสสาวะ โดยเฉพาะหากตุ่มอยู่ใกล้รูท่อปัสสาวะ

ทั้งสองเพศ อาจมีอาการร่วม เช่น ไข้ ปวดเมื่อย และต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะเมื่อติดเชื้อครั้งแรก

แยกโรคเริมจากโรคอื่นได้อย่างไร?

การแยกโรคเริมออกจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือโรคผิวหนังอื่น เช่น หูดหงอนไก่ เชื้อรา หรือซิฟิลิส อาจทำได้ยากในระยะแรก เพราะอาการใกล้เคียงกันมาก การสังเกตลักษณะของตุ่ม อาการร่วม และพฤติกรรมเสี่ยงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

สัญญาณที่มักพบในโรคเริม

  • เริ่มจากตุ่มใสขนาดเล็ก เรียงตัวเป็นกลุ่ม
  • ตุ่มแตกเป็นแผลตื้น แดง เจ็บ แสบ
  • อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อย
  • มักกลับมาเป็นซ้ำที่เดิมหรือใกล้เคียงจุดเดิม

เปรียบเทียบกับโรคอื่น

โรค

ลักษณะตุ่ม/แผล

อาการร่วม

ความถี่ในการกลับมาเป็นซ้ำ

เริม

ตุ่มใสเป็นกลุ่ม แตกเป็นแผล

เจ็บ แสบ มีไข้

บ่อย

หูดหงอนไก่

ตุ่มนูน ผิวขรุขระ

ไม่เจ็บ ไม่คัน

อาจกลับมาได้

เชื้อราแคนดิดา

ผื่นแดง มีขุยขาว คัน

คันมาก มีคราบขาว

ไม่บ่อย

ซิฟิลิสระยะแรก

แผลเดี่ยว ขอบเรียบ ไม่เจ็บ

ต่อมน้ำเหลืองโต

หากไม่รักษา อาจลุกลาม

หากไม่แน่ใจ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน โดยเฉพาะในกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

เริม vs หูดหงอนไก่ ต่างกันยังไง?

แม้ทั้ง “เริม” และ “หูดหงอนไก่” จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย แต่เกิดจากไวรัสคนละชนิด และมีลักษณะอาการต่างกันชัดเจน หากสังเกตให้ดีจะสามารถแยกโรคได้

ประเด็น

เริม (Herpes)

หูดหงอนไก่ (Genital Warts)

เชื้อที่ก่อโรค

Herpes Simplex Virus (HSV-1, HSV-2)

Human Papillomavirus (HPV)

ลักษณะตุ่ม/แผล

ตุ่มใสเล็กๆ เป็นกลุ่ม แตกเป็นแผลตื้น

ตุ่มนูน ผิวขรุขระ คล้ายดอกกะหล่ำ

อาการร่วม

เจ็บ แสบ คัน ไข้ ปวดเมื่อย

ส่วนใหญ่ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่มีไข้

การกลับมาเป็นซ้ำ

บ่อย โดยเฉพาะ HSV-2

บางรายกลับมาได้ แต่ไม่ถี่

ความเสี่ยงต่อมะเร็ง

ต่ำมาก

บางสายพันธุ์เสี่ยงมะเร็งปากมดลูก/ทวารหนัก

แนวทางรักษา

ยาต้านไวรัส

จี้ แช่เย็น ผ่าตัด หรือยาทา

  • หากตุ่มใส แสบ และแตกเป็นแผล ควรนึกถึงเริม
  • หากเป็นตุ่มนูนแข็ง ผิวขรุขระ ไม่เจ็บ นึกถึงหูดหงอนไก่

เริม vs ผื่นแพ้ หรือเชื้อราแคนดิดา ต่างกันยังไง?

แม้ทั้งเริม ผื่นแพ้ และเชื้อราแคนดิดาจะมีลักษณะตุ่มหรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศคล้ายกัน แต่มีจุดสังเกตที่ช่วยแยกได้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาอาการร่วมและปัจจัยกระตุ้น

ลักษณะโรค

เริม (Herpes)

ผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis)

เชื้อราแคนดิดา (Candida)

ลักษณะตุ่ม

ตุ่มใสเล็กๆ เป็นกลุ่ม แตกเป็นแผลตื้น

ตุ่มน้ำใส กระจาย ไม่เป็นกลุ่ม

ผื่นแดง อาจมีตุ่มใสร่วม มีขุยขาว

อาการร่วม

เจ็บ แสบ คัน บางรายมีไข้

คัน แสบ ร้อนเฉพาะจุดที่สัมผัส

คันมาก โดยเฉพาะในร่มผ้า แสบ มีตกขาวผิดปกติ (ในผู้หญิง)

ปัจจัยกระตุ้น

การติดเชื้อ HSV

สบู่ น้ำหอม ถุงยางอนามัย

ความอับชื้น ภูมิคุ้มกันต่ำ

การติดต่อ

ติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ไม่ติดต่อ

ไม่จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง

  • ถ้าตุ่มใสเรียงเป็นกลุ่ม แสบและแตกเป็นแผล → นึกถึงเริม
  • ถ้าคันหลังใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ → อาจเป็นผื่นแพ้
  • ถ้าคันรุนแรงในร่มผ้า และมีคราบขาว → สงสัยเชื้อรา

เริม vs ซิฟิลิสระยะแรก แตกต่างอย่างไร?

เริม (Herpes) และซิฟิลิสระยะแรก (Primary Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจมีอาการคล้ายกันบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะเมื่อมีแผลเกิดขึ้น แต่ลักษณะของแผลและการดำเนินโรคมีความแตกต่างอย่างชัดเจน

จุดเปรียบเทียบ

เริม (Herpes)

ซิฟิลิสระยะแรก (Primary Syphilis)

เชื้อที่ก่อโรค

Herpes Simplex Virus (HSV-1, HSV-2)

Treponema pallidum (แบคทีเรีย)

ลักษณะแผล

ตุ่มใสเป็นกลุ่ม แตกเป็นแผลตื้น เจ็บ แสบ

แผลเดี่ยว ขอบเรียบ กลม ไม่เจ็บ

จำนวนแผล

หลายจุด เป็นกลุ่ม

ส่วนใหญ่พบแผลเดียว

อาการร่วม

ปวดแสบ เจ็บ คัน ไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต

ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่เจ็บ ไม่มีไข้ในระยะแรก

ระยะเวลาของแผล

1–2 สัปดาห์

3–6 สัปดาห์ แล้วแผลจะหายเองหากไม่รักษา

แนวทางรักษา

ยาต้านไวรัส (ควบคุมอาการ)

ยาฉีดเพนนิซิลิน (รักษาหายขาดได้)

  • เริมเจ็บ แสบ และมีหลายตุ่ม
  • ซิฟิลิสมักมีแผลเดี่ยว ไม่เจ็บ แต่หากไม่รักษาอาจลุกลามสู่ระยะอันตรายได้

ใครเสี่ยงเป็นโรคเริมบ้าง?

โรคเริมสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มีบางกลุ่มที่ “มีความเสี่ยงสูง” กว่าคนทั่วไป เนื่องจากพฤติกรรมหรือปัจจัยด้านสุขภาพที่เอื้อต่อการติดเชื้อ

กลุ่มเสี่ยงหลักได้แก่

  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก)
  • ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเริม แม้ไม่มีอาการขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่เคยติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เช่น ซิฟิลิส หนองใน
  • ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้รับยากดภูมิ
  • วัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่รู้จักวิธีป้องกัน

การรู้ว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้ระวังตัวมากขึ้น และหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ

พฤติกรรมอะไรเพิ่มโอกาสติดเชื้อเริม?

แม้โรคเริมจะติดต่อผ่านการสัมผัสกับผิวหนังหรือเยื่อบุที่มีเชื้อ แต่พฤติกรรมบางอย่างสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มากกว่าปกติ โดยเฉพาะหากทำเป็นประจำโดยไม่ระวัง

พฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย – แม้จะไม่ป้องกันได้ 100% แต่ช่วยลดโอกาสสัมผัสเชื้อ
  • เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนที่ไม่ทราบประวัติสุขภาพ
  • มีเพศสัมพันธ์ขณะมีแผล ถลอก หรือผื่นที่อวัยวะเพศ
  • มีเพศสัมพันธ์ทางปากกับผู้ที่มีเริมที่ริมฝีปาก (HSV-1)
  • ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน ในช่วงที่ผู้ติดเชื้อมีแผล
  • ไม่เคยตรวจสุขภาพทางเพศเลย หรือไม่เคยรู้ว่าตนเองติดเชื้อ

หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเริมอย่างมาก

คนมีภูมิคุ้มกันต่ำ เสี่ยงมากกว่าจริงไหม?

ใช่ครับ คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมีโอกาสติดเชื้อเริมได้ง่ายกว่า และเมื่อเกิดการติดเชื้อแล้ว มักมีอาการรุนแรงกว่า หรือเกิดซ้ำได้บ่อยกว่าคนทั่วไป เพราะร่างกายควบคุมเชื้อไวรัสได้ไม่ดีพอ

กลุ่มที่จัดว่า “ภูมิคุ้มกันต่ำ” ได้แก่

  • ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยเอดส์
  • ผู้รับยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิ (หลังปลูกถ่ายอวัยวะ)
  • ผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดควบคุมไม่ได้
  • ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเวลานาน

ผลของเริมในคนกลุ่มนี้

  • เชื้อไวรัสอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตา สมอง หลอดอาหาร
  • แผลจากเริมมีขนาดใหญ่ หายช้า และเจ็บมากกว่า
  • มีโอกาสแพร่เชื้อสูงขึ้น เพราะปริมาณไวรัสในร่างกายมากกว่าปกติ
  • ตอบสนองต่อยาต้านไวรัสได้น้อยกว่าคนทั่วไป

โรคเริมสามารถติดต่อได้อย่างไร?

โรคเริมติดต่อได้ง่ายมาก โดยเฉพาะผ่านการ “สัมผัสโดยตรง” กับบริเวณที่มีเชื้อ ไม่ว่าจะมีแผลหรือตุ่ม หรือแม้แต่ในช่วงที่ไม่มีอาการก็ยังแพร่เชื้อได้

ช่องทางหลักในการติดต่อเริม

  • เพศสัมพันธ์โดยตรง (ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก)
  • สัมผัสแผลหรือตุ่มเริม เช่น ใช้มือลูบแผลแล้วจับอวัยวะเพศ
  • ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อในช่วงที่มีแผล เช่น ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน
  • การคลอดจากแม่สู่ลูก หากแม่มีแผลเริมในช่องคลอดขณะคลอด

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้แม้ไม่มีอาการ เพราะเชื้อสามารถอยู่บนผิวหนังหรือเยื่อบุได้โดยไม่ต้องมีแผลชัดเจน
  • การสัมผัสกับผิวหนัง “รอบแผล” หรือจุดที่ดูปกติ ก็สามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน

ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ แต่อาจติดเริมได้จริงไหม?

ใช่ครับ การติดเชื้อเริมไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่เสมอไป เพราะเชื้อเริมสามารถติดต่อผ่าน “การสัมผัสผิวหนัง” โดยตรงกับบริเวณที่มีเชื้อ ซึ่งรวมถึงช่วงที่ไม่มีอาการด้วย

ตัวอย่างสถานการณ์ที่อาจติดเริมโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์

  • สัมผัสผิวหนังบริเวณที่มีเชื้อ แล้วสัมผัสอวัยวะเพศตนเองต่อ
  • ใช้ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่มีแผลเริม
  • จูบ หรือหอมกับผู้ที่มีเริมที่ริมฝีปาก (HSV-1)
  • ทารกที่คลอดผ่านช่องคลอดของแม่ที่มีเริมบริเวณอวัยวะเพศ

ดังนั้น แม้ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ ก็ยังควรระวังการสัมผัสโดยตรงกับแผล หรือน้ำเหลวจากตุ่มเริม

สามารถแพร่เชื้อเริมได้แม้ไม่มีอาการจริงหรือ?

จริง 100% ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเริม (HSV) สามารถ “แพร่เชื้อได้แม้ไม่มีแผล ไม่มีตุ่ม และไม่มีอาการใดๆ” ภาวะนี้เรียกว่า Asymptomatic Shedding หรือ การปล่อยเชื้อแบบไม่มีอาการ

ในช่วงนี้ ผู้ที่ดูเหมือนไม่มีอาการใดๆ เลย อาจยังมีไวรัสแฝงตัวอยู่บริเวณผิวหนังและเยื่อบุ เมื่อมีการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังของอีกฝ่าย ก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ทันที

ความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อแบบไม่มีอาการ

  • ผู้ติดเชื้ออาจไม่รู้ตัวว่าเป็นพาหะ คู่ของผู้ติดเชื้ออาจได้รับเชื้อแม้มีการสัมผัสเพียงครั้งเดียว
  • ยิ่งไม่มีอาการ ยิ่งมีโอกาส “เผลอแพร่เชื้อ” เพราะไม่ทันระวัง

ดังนั้น แม้ไม่มีตุ่มหรือแผล ก็ควรป้องกันเสมอ เช่น ใช้ถุงยาง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดช่วงมีความเสี่ยง

ตุ่มใสจากเริมมีอันตรายไหม?

ในคนทั่วไปที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง ตุ่มใสจากเริมไม่จัดว่าอันตรายถึงชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ได้ไม่น้อย และในบางกรณี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง

ผลกระทบที่อาจพบได้

  • แผลที่เจ็บหรือแสบมาก ทำให้เดิน ลุกนั่ง หรือปัสสาวะลำบาก
  • เกิดความเครียด อับอาย หรือวิตกกังวล โดยเฉพาะเมื่อโรคกลับมาเป็นซ้ำ
  • มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น แม้ไม่มีอาการ
  • หากติดเชื้อร่วมกับโรคอื่น เช่น HIV อาการอาจรุนแรงกว่าปกติ
  • ในหญิงตั้งครรภ์ หากมีแผลขณะคลอด อาจทำให้ทารกติดเชื้อเริมได้

ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อเริมมีอะไรบ้าง?

แม้โรคเริมจะไม่ใช่โรคที่รุนแรงในคนทั่วไป แต่หากไม่ดูแลรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีอาการซ้ำบ่อย ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง ได้แก่

  • ติดซ้ำบ่อย: โดยเฉพาะเชื้อ HSV-2 ที่มักกลับมาเป็นซ้ำหลายครั้งต่อปี
  • ปัสสาวะลำบาก: จากแผลที่เจ็บมาก หรือบวมกดท่อปัสสาวะ
  • เริมขึ้นตา (Herpes keratitis): อาจทำให้ตาแดง ปวดตา จนถึงตาบอดได้
  • เริมขึ้นสมอง (Herpes encephalitis): อาการรุนแรง เช่น ชัก หมดสติ
  • เริมที่นิ้ว (Herpetic whitlow): มักพบในบุคลากรทางการแพทย์หรือคนที่สัมผัสแผลโดยตรง
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Aseptic meningitis): พบน้อยแต่เกิดได้ โดยเฉพาะในผู้หญิง
  • เริมในทารกแรกเกิด (Neonatal herpes): อันตรายสูง อาจทำให้พิการหรือเสียชีวิต

เริมมีผลต่อการตั้งครรภ์หรือไม่?

มีผลครับ โดยเฉพาะถ้าแม่ติดเชื้อครั้งแรกระหว่างตั้งครรภ์ หรือมีตุ่มเริมขณะใกล้คลอด อาจส่งผลต่อทั้งแม่และทารกอย่างมีนัยสำคัญ

ความเสี่ยงที่ต้องระวัง

  • ติดเชื้อครั้งแรกในระหว่างตั้งครรภ์: ภูมิคุ้มกันยังไม่พอ จึงเสี่ยงสูงที่เชื้อจะส่งผ่านสู่ทารก เกิดภาวะแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือเริมในทารกแรกเกิดได้
  • หากเป็นเริมซ้ำ: ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันบางส่วน ทำให้ความเสี่ยงลดลง
    แต่ถ้ามีแผลใกล้คลอด อาจต้องพิจารณา “ผ่าคลอด” เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • Neonatal herpes (เริมในทารก): อาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด สมองอักเสบ หรือเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

การตรวจโรคเริมทำได้อย่างไร?

การวินิจฉัยโรคเริม (Genital Herpes) ไม่สามารถดูแค่ด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในระยะแรกที่ตุ่มอาจคล้ายโรคอื่น การตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกับการซักประวัติจึงสำคัญมาก

ขั้นตอนการตรวจโดยทั่วไป

  • ซักประวัติ: แพทย์จะสอบถามอาการที่เกิดขึ้น เช่น เริ่มเมื่อไหร่ เจ็บตรงไหน มีเพศสัมพันธ์เมื่อใด และมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือไม่
  • ตรวจร่างกาย: ดูลักษณะของตุ่มหรือแผล เช่น เป็นกลุ่มเล็กๆ เจ็บ แสบ มีน้ำใส ฯลฯ
  • เก็บตัวอย่างจากแผล (Swab หรือ PCR): ใช้สำลีป้ายแผลส่งตรวจหา DNA ของเชื้อ HSV วิธีนี้แม่นยำมาก และบอกได้ว่าเป็น HSV-1 หรือ HSV-2
  • ตรวจเลือดหาแอนติบอดี (IgM/IgG): หากไม่มีแผล อาจใช้วิธีตรวจเลือด เพื่อดูว่าเป็นการติดเชื้อครั้งแรกหรือเคยติดมาก่อนแล้ว

ระยะเวลารู้ผล

  • Swab/PCR: 1–3 วัน
  • IgM/IgG: 1–5 วัน ขึ้นกับห้องปฏิบัติการ

แนวทางรักษาโรคเริมเบื้องต้น

โรคเริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน เพราะไวรัสยังคงแฝงตัวอยู่ในระบบประสาท แต่สามารถควบคุมอาการและลดโอกาสแพร่เชื้อได้ด้วยวิธีการรักษาที่เหมาะสม

การรักษาหลักมี 3 รูปแบบ

  1. ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน: เช่น Acyclovir, Valacyclovir, หรือ Famciclovir ควรเริ่มใช้ทันทีที่รู้สึกคัน แสบ หรือมีตุ่มใส เพื่อควบคุมการระบาดและให้แผลหายเร็วขึ้น
  2. การรักษาแบบป้องกัน (Suppressive Therapy): เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการซ้ำบ่อย หรือมีคู่นอนประจำที่ยังไม่ติดเชื้อ จะช่วยลดการเกิดซ้ำ และลดโอกาสแพร่เชื้อได้ถึง 70%
  3. ยาทาเฉพาะที่: มีประสิทธิภาพรองลงมา ใช้เสริมกรณีที่แผลตื้นหรือเล็ก

ควรดูแลตนเองร่วมด้วย

  • ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีน้ำหอม
  • สวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่น ลดการเสียดสี
  • งดเพศสัมพันธ์ระหว่างมีอาการ
  • พักผ่อนให้พอ ลดความเครียด เสริมภูมิคุ้มกัน

มียารักษาเริมไหม?

มีครับ ยาต้านไวรัสเป็นแนวทางหลักในการรักษาโรคเริม แม้ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ทั้งหมด แต่ช่วยควบคุมอาการ ลดความถี่ของการเกิดซ้ำ และลดโอกาสแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยาที่ใช้บ่อย

  • Acyclovir (อะไซโคลเวียร์): ราคาย่อมเยา ต้องรับประทานหลายครั้งต่อวัน เหมาะกับผู้เริ่มต้น
  • Valacyclovir (วาลาไซโคลเวียร์): ใช้ง่าย วันละ 1–2 ครั้ง ออกฤทธิ์นาน
  • Famciclovir (แฟมไซโคลเวียร์): ใช้ในผู้ที่ดื้อยาหรือแพ้ยาอื่น

การเลือกใช้ยา

  • รักษาเฉียบพลัน: รับประทาน 5–10 วัน ตั้งแต่มีอาการครั้งแรก
  • รักษาระยะยาว (Suppressive Therapy): รับประทานทุกวัน เหมาะกับผู้ที่มีอาการซ้ำบ่อย หรือมีคู่ที่ยังไม่ติดเชื้อ

การใช้ยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอภายใต้คำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เริมรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ครับ เนื่องจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) จะยังคง “แฝงตัว” อยู่ในระบบประสาทของร่างกาย แม้ไม่มีอาการก็ตาม ทำให้สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เครียด หรือภูมิคุ้มกันลดลง

ทำไมเริมถึงไม่หายขาด?

  • ไวรัสหลบซ่อนในปมประสาท (nerve ganglia)
  • เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น พักผ่อนไม่พอ มีไข้ หรือเครียด เชื้อไวรัสจะกลับมาก่ออาการอีก

สิ่งที่ทำได้ในการรักษา

  • ควบคุมอาการระหว่างมีตุ่มหรือแผล
  • ลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
  • ลดโอกาสแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

แม้จะไม่หายขาด แต่ด้วยการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง เริมสามารถควบคุมได้จนใช้ชีวิตได้ตามปกติ

การดูแลตนเองเมื่อมีตุ่มใสจากเริม

การดูแลตนเองที่เหมาะสมในช่วงที่มีตุ่มใสหรือแผลจากเริม มีความสำคัญต่อการหายเร็ว ลดอาการเจ็บแสบ และป้องกันการแพร่เชื้อไปยังส่วนอื่นของร่างกายหรือผู้อื่น

แนวทางดูแลตนเองเบื้องต้น

  • รักษาความสะอาดบริเวณแผล: ล้างด้วยน้ำเปล่า ซับเบาๆ ให้แห้ง หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม
  • หลีกเลี่ยงการเกาหรือสัมผัสแผลโดยตรง
  • ใส่เสื้อผ้าที่โปร่ง ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดแน่น ลดการเสียดสี
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์ขณะมีตุ่มหรือแผล แม้ใช้ถุงยาง
  • ประคบเย็นเพื่อลดอาการแสบหรือบวม
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพื่อช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง

ข้อควรทำและห้ามทำเมื่อติดเชื้อเริม

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเริม ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือเป็นซ้ำ การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แผลหายเร็ว ป้องกันการแพร่เชื้อ และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน

ข้อควรทำ

  • รับประทานยาต้านไวรัสตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
  • ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสบริเวณที่เป็นแผล
  • ซักผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หรือของใช้ส่วนตัวแยกจากผู้อื่น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด

ข้อห้ามทำ

  • ห้ามเกา บีบ หรือแกะแผล เพราะอาจทำให้ติดเชื้อซ้ำ
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีแผล แม้จะใช้ถุงยางอนามัย
  • ห้ามใช้ครีมหรือยาทาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • ห้ามใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน

ป้องกันไม่ให้ลุกลามและแพร่กระจายอย่างไร

เมื่อมีอาการของโรคเริมแล้ว การปฏิบัติตัวอย่างรอบคอบจะช่วยให้แผลหายไว และลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นหรือร่างกายส่วนอื่นๆ ได้

แนวทางป้องกันที่ควรทำ

  • เริ่มใช้ยาทันทีเมื่อรู้สึกคัน แสบ หรือระคายเคืองช่วงแรก
  • ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการขัดหรือเช็ดแรง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสตุ่มหรือแผลโดยตรง และห้ามเกา
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวม ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดการเสียดสี
  • หลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีอาการ
  • เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ลดความเครียด ออกกำลังกาย

โรคเริมสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม?

สามารถครับ และเป็นลักษณะเฉพาะของโรคเริมเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) จะ “แฝงตัว” อยู่ในระบบประสาท แม้แผลจะหายแล้วก็ตาม

เชื้อไวรัสไม่ถูกกำจัด และจะเคลื่อนกลับมาที่ผิวหนังเมื่อมี “ปัจจัยกระตุ้น” เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การป่วย ภูมิคุ้มกันต่ำ การมีประจำเดือน (ในผู้หญิง) รับยากดภูมิ หรือมีโรคเรื้อรัง

ตุ่มใสจากเริมใช้เวลานานแค่ไหนถึงหาย?

โดยทั่วไปแผลจากโรคเริมจะหายได้เองภายใน 1–2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นครั้งแรกหรือเป็นซ้ำ รวมถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

  • ครั้งแรกที่ติดเชื้อ (Primary infection): ใช้เวลาหายประมาณ 10–14 วัน อาจมีอาการรุนแรง เช่น ไข้ ปวดเมื่อย ตุ่มใสจะพัฒนาเป็นแผลตื้นก่อนตกสะเก็ด
  • การกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrent episode): แผลมักจะหายภายใน 5–7 วัน และอาการโดยรวมจะเบากว่าครั้งแรก

ถ้าไม่รักษาจะหายได้เองไหม?

แผลจากเริมสามารถหายเองได้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่ การปล่อยให้โรคดำเนินไปโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดผลเสียหลายด้าน เช่น

  • แผลหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะในครั้งแรก
  • เจ็บ แสบ ปัสสาวะลำบาก อาจยืดเยื้อหลายสัปดาห์
  • มีความเสี่ยงในการ ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หากแผลสกปรกหรือถูกเกา
  • เพิ่มโอกาสในการ กลับมาเป็นซ้ำบ่อยขึ้น เพราะไม่ได้ควบคุมไวรัสตั้งแต่ต้น
  • แพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ไม่มีอาการ ทำให้ผู้อื่นติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว

ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?

แม้บางรายอาการของเริมอาจหายเองได้ แต่มีหลายกรณีที่ ไม่ควรรอดูอาการเอง เพราะอาจทำให้โรคลุกลาม หรือวินิจฉัยผิดพลาดได้ ควรไปพบแพทย์ทันทีหาก:

  • มีตุ่มใส แผล หรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศครั้งแรก โดยเฉพาะถ้ามีอาการเจ็บ แสบ ปวดขณะปัสสาวะ
  • แผลไม่หายภายใน 10–14 วัน หรือมีแนวโน้มลุกลาม
  • มีไข้สูง หนาวสั่น ต่อมน้ำเหลืองโต หรือปวดมากจนรบกวนการใช้ชีวิต
  • มีตุ่มหรือแผลขึ้นในจุดอื่น เช่น ตา นิ้วมือ หรือรอบปาก
  • เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยว่าติดเริม
  • มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ติดเชื้อ HIV หรือใช้ยากดภูมิ

ตรวจโรคเริมที่ไหนดี?

Safe Clinic เป็นหนึ่งในคลินิกเฉพาะทางที่ให้บริการตรวจโรคเริมโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้ผลแม่นยำ รวดเร็ว และเก็บข้อมูลเป็นความลับ

รายละเอียดการตรวจ

  • HSV IgM (Type I, II): 1,000 บาท – สำหรับการติดเชื้อระยะเฉียบพลัน
  • HSV IgG (Type I, II): 1,000 บาท – สำหรับดูการติดเชื้อในระยะก่อนหน้า

ที่ตั้ง: อาคารไทม์สแควร์ ชั้น 3 ห้อง 314 ถนนสุขุมวิท (BTS อโศก / MRT สุขุมวิท)
เวลาให้บริการ: ทุกวัน 12:00–20:30 น.
การนัดหมาย: Walk-in หรือจองล่วงหน้าที่เว็บไซต์ Safe Clinic

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเริมที่พบบ่อย

แม้โรคเริมจะเป็นโรคติดต่อที่พบได้ทั่วไป แต่ยังมีความเข้าใจผิดจำนวนมากที่ทำให้หลายคนกังวลโดยไม่จำเป็น หรือหลีกเลี่ยงการเข้ารับการรักษา

ความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อย ได้แก่

  • “เริม = คนไม่สะอาด”
    ความจริง: เริมเกิดจากเชื้อไวรัสที่แพร่ผ่านการสัมผัส ไม่เกี่ยวกับสุขอนามัยส่วนตัว
  • “มีตุ่มแปลว่าเพิ่งติดเชื้อแน่ๆ”
    ความจริง: อาจเพิ่งแสดงอาการ แม้ติดเชื้อมานานแล้วหลายปี
  • “ไม่มีอาการ = ไม่แพร่เชื้อ”
    ความจริง: ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้แม้ไม่มีตุ่มหรือแผล (asymptomatic shedding)
  • “เป็นเริมแค่ครั้งเดียวแล้วหาย”
    ความจริง: เริมสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะเมื่อร่างกายอ่อนแอ
  • “เริมติดได้แค่จากการมีเพศสัมพันธ์”
    ความจริง: เริมติดต่อผ่านผิวหนังต่อผิวหนัง แม้ไม่มีการสอดใส่ก็สามารถแพร่เชื้อได้

บทสรุป

หากคุณพบว่ามีตุ่มใสบริเวณอวัยวะเพศ พร้อมอาการแสบ คัน หรือเจ็บ อย่าปล่อยผ่าน เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคเริม ซึ่งแม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย ความสัมพันธ์ และจิตใจได้ในระยะยาว การรู้เท่าทัน สังเกตอาการ และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ คือสิ่งที่ดีที่สุด

ในปัจจุบันแม้ยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันโรคเริมได้โดยตรง แต่การใช้ชีวิตอย่างมีสติ การดูแลร่างกายให้แข็งแรง และการปรึกษาแพทย์เมื่อมีความเสี่ยง คือวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมโรคนี้

หากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อ อย่ารอให้ลุกลาม ควรตรวจเพื่อความสบายใจและความปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง

icon email