Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 - 20:30

ไวรัสตับอักเสบเอ คืออะไร สาเหตุ วิธีรักษา การป้องกัน ที่คุณควรรู้

ไวรัสตับอักเสบเอ (Viral hepatitis A) เป็นโรคตับที่พบได้บ่อยในคนไทย โดยทั่วไปแล้วไม่มีอาการหนักและหายเองได้ ในบางกรณีอาจมีอาการเหมือนกับไข้หวัด แต่ในผู้ป่วยที่มีโรคตับอื่นๆ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจทำให้เกิดพฤติกรรมของตับที่รุนแรงขึ้น ทางที่ดีควรได้รับการรักษาและทำความเข้าใจในตัวโรคอย่างถูกต้องภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 

ดังนั้น มาทำความรู้จักกับโรคไวรัสตับอักเสบเอให้มากขึ้นกันดีกว่าว่า โรคนี้คืออะไร มีอาการแบบไหน เกิดจากอะไร รวมถึงจะป้องกันและรักษาไวรัสตับอักเสบเออย่างไรได้บ้าง 

ไวรัสตับอักเสบเอ คืออะไร

Hepatitis A หรือ โรคไวรัสตับอักเสบเอ คือ โรคตับอักเสบชนิดเอ (HAV) โดยปกติจะไม่ใช่โรคที่รุนแรงและเรื้อรัง แต่ถ้าไม่ระมัดระวังหรือรักษาก็อาจจะทำให้เป็นหนักและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่างเช่น การเกิดอาการตับวาย ฯลฯ โดยปกติแล้วจะพบคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบเอได้บ่อยจากทั่วโลก ประมาณ 1.4 ล้านคนต่อปี และพบมากในประเทศยังไม่พัฒนาและกำลังพัฒนา เนื่องจากยังขาดระบบสาธารณสุขที่ดี ทำให้ผู้คนต้องรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือใช้ชีวิตอย่างไม่ถูกสุขอนามัย 

นอกจากนี้ โรคไวรัสตับอักเสบเอยังพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงสามารถทำการแพร่เชื้อได้จากการใช้ชีวิตประจำวัน ทางเลือด หรือการมีเพศสัมพันธ์ แต่จะไม่มีการติดต่อจากแม่ไปสู่ลูก

ลักษณะของไวรัสตับอักเสบเอ

ลักษณะของไวรัสตับอักเสบเอ จะแพร่กระจายผ่านทางทวารหนักและปากเป็นหลัก รวมถึงกระจายผ่านการสัมผัสร่างกายผู้ติดเชื้อหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และการมีเพศสัมพันธ์ ในเด็กต่ำกว่า 6 ปีมักไม่มีอาการ และมากกว่า 70% ในเด็กอายุมากกว่า 6 ปีและในผู้ใหญ่

โดยระยะฟักตัวของไวรัสตับอักเสบเอจะมีระยะเวลาตั้งแต่ 14–28 วัน และมักจะมีอาการนานถึง 50 วันเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ ก็สามารถหายได้ ยกเว้นในบางรายที่ผู้ป่วยอาจมีดีซ่านยาวนานมากกว่า 10 สัปดาห์ หรือมีตับอักเสบรุนแรงจนถึงตับวายเฉียบพลัน ทำให้เสียชีวิตได้ (แต่ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่มีโรคตับอักเสบหรือตับแข็งอยู่เดิมแล้ว)

ไวรัสตับอักเสบเอ ต่างกับชนิดอื่นอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบเอ, ไวรัสตับอักเสบบี, ไวรัสตับอักเสบซี, ไวรัสตับอักเสบดี และไวรัสตับอักเสบอี โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้

ชนิดของไวรัสตับอักเสบอาการ
ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A virus)ส่วนใหญ่มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บชายโครงขวา ตัวเหลือง หรือตาเหลือง แต่ถ้าเป็นหนักอาจมีอาการตับวาย สามารถติดต่อทางอาหาร หรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค รวมถึงการสัมผัสและอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus)ส่วนใหญ่ไม่มีอาการแสดงออก แต่จะมีอาการตับอักเสบเรื้อรัง และมีพังผืดเกิดขึ้นมาแทนที่ นานวันเข้าอาจมีภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ สามารถติดต่อทางเลือด เพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่บุตร
ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C virus)ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติ จนกว่าจะตรวจก็จะไม่ทราบ สำหรับอาการมักมีอาการตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็ง มะเร็งตับได้ โดยโรคนี้สามารถติดต่อกันได้ทางเลือด และการมีเพศสัมพันธ์
ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D virus)ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการอุจจาระ สีซีด ปัสสาวะ สีเข้ม ตาและตัวเหลือง อ่อนเพลีย อาจมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และปวดท้อง โดยจะติดเชื้อมาจากการสัมผัสกับเลือดที่มีเชื้อ ผ่านเข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน หรือมีเพศสัมพันธ์
ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E virus)ส่วนใหญ่มีอาการปวดท้อง ตัวเหลืองตาเหลืองดีซ่าน คลื่นไส้อาเจียน แต่ในเด็กไม่มีอาการ ส่วนการติดต่อจะทำได้ผ่านการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ ติดต่อจากสัตว์ที่มีเชื้อ ติดต่อด้วยการถ่ายเลือดกับผู้ติดเชื้อ และติดต่อจากแม่สู่ลูก

สาเหตุการเกิดไวรัสตับอักเสบเอ

โรคไวรัสตับอักเสบเอ หรือในชื่อเดิมคือ Infectious hepatitis เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (HAV) ซึ่งมีสาเหตุการติดต่อที่เกิดขึ้นได้ง่ายจากการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ดังต่อไปนี้

  • ติดเชื้อจากการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม ผัก ผลไม้ หรือการกินสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อ 
  • ติดจากการใช้ชีวิตที่มีไม่สุขอนามัยที่ดีพอ เช่น การขับถ่ายอุจจาระลงในแหล่งน้ำ ตัวเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจะอยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย เมื่อคนนำน้ำไปใช้งานต่อก็จะมีโอกาสได้รับเชื้อเข้าร่างกายไปด้วย
  • ติดจากการบริโภคน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนจากผู้เตรียมอาหารที่เป็นพาหะของโรคอยู่แล้ว
  • ติดจากการใช้ของมีคมร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อที่เกี่ยวข้องเลือด เช่น การสัก การเจาะหู การฝังเข็ม เป็นต้น
  • ติดจากการมีเพศสัมพันธ์
  • ติดจากการสัมผัสกันทางทวารหนัก หรือทางปาก
  • ติดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ได้ปรุงให้สุก

อาการของไวรัสตับอักเสบเอ

อาการของผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบเอนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการเบื้องต้นคล้ายๆ กันคือ 

  • เป็นไข้เหมือนไข้หวัดแบบอ่อนๆ
  • รู้สึกไม่สบายตัว และรู้สึกไม่สบายท้อง
  • เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย 
  • สูญเสียความอยากอาหาร
  • ท้องผูกหรือท้องร่วง
  • คลื่นไส้
  • ปวดท้องด้านขวาบน
  • ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
  • อาจมีอาการดีซ่าน เช่น สีผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และดวงตาขาว, ปัสสาวะสีเข้ม และอุจจาระสีซีด
  • อาจมีผื่นคัน

สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจเกิดอาการอื่นๆ แทรกซ้อน เช่น ภาวะตับวาย ซึ่งจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับอยู่แล้ว และกลุ่มของผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กโตและผู้ใหญ่ที่จะมี การฟื้นตัวของอาการหลังจากติดเชื้อที่ช้า และอาจใช้เวลาฟื้นตัวหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน ส่วนเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปีมักไม่มีอาการ

การวินิจฉัย การตรวจไวรัสตับอักเสบเอ

การวินิจฉัยและการตรวจไวรัสตับอักเสบเอ​​แพทย์จะทำการตรวจภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ชนิด IgM ต่อไวรัสตับอักเสบ เอ (IgM anti HAV) ในน้ำเหลือง ซึ่งจะเก็บทันทีหรือขณะป่วย ใช้ระยะเวลาในการรอผลประมาณ 5-10 วันหลังติดเชื้อ และพบจนถึง 6 เดือนหลังจากเริ่มป่วย 

นอกจากนี้อาจใช้วิธีการตรวจพบภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น 4 เท่าหรือมากกว่าในน้ำเหลืองที่เจาะ 2 ครั้ง โดยวิธี RIA หรือ ELISA ร่วมด้วย ซึ่งถ้าผลตรวจพบว่าผลเป็นลบ (Negative) แสดงว่า ไม่มีการติดเชื้อไวรัสนี้มาก่อน รวมถึงไม่ได้ทำวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน  และถ้าผลเป็นบวก (Positive) แสดงว่าในร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ หรืออาจจะเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน

วิธีการรักษาไวรัสตับอักเสบเอ

สำหรับวิธีการรักษาไวรัสตับอักเสบเอในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโดยยาเฉพาะทาง ส่วนใหญ่จะทำการรักษาตามอาการเป็นหลัก ซึ่งการรักษาจะเน้นการทำให้อาการป่วยดีขึ้น และได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอเพื่อให้ร่างกายดีขึ้นจากการสูญเสียของเหลวจากการท้องเสีย ท้องร่วง หรืออาเจียน เช่น การให้ยาแก้อาเจียน การให้สารน้ำอย่างเพียงพอ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการรุนแรงจะหายเองเป็นปกติได้ โดยไม่มีอาการแทรกซ้อน 

นอกจากการรักษาตามอาการด้วยยาแล้ว ก็ควรที่จะดูแลตัวเองให้ดี เช่น พักผ่อนให้พอเพียง, งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, หลีกเลี่ยงความเครียด, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เป็นต้น 

รักษาไวรัสตับอักเสบเอที่ไหนดี

ใครที่มีอาการเข้าข่ายว่ากำลังเป็นไวรัสตับอักเสบเออยู่สามารถเข้ารับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบเอได้ที่โรงพยาบาลรัฐ เอกชน หรือสถานพยาบาลเฉพาะทาง เพื่อทำการตรวจหาเชื้อไวรัสผ่าน Hepatitis A virus, HAV IgM, Anti-HAV IgM ซึ่งขั้นตอนการตรวจไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ใช้เวลาเจาะเลือดประมาณ 10 นาที และหลังจากนั้นรอผล 

การป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

วิธีการป้องกันไวรัสตับอักเสบเอนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น…

  • ควรดื่มน้ำที่ได้รับการต้มให้เดือดที่ความร้อน 100 องศาเซลเซียส เพราะไวรัสตับอักเสบเอจะตาย และต้มเป็นเวลา 20 นาที
  • ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุดแล้ว โดยเฉพาะอาหารประเภทสัตว์น้ำและพืชผัก ผลไม้
  • เลือกรับประทานอาหารจากร้านอาหารที่มีสุขอนามัยที่ดี โดยพ่อครัว แม่ครัวควรที่จะทำการล้างมือและสวมถุงมือในขณะทำอาหารทุกครั้ง
  • แหล่งอาหารที่เลือกนำมาประกอบอาหารควรที่จะมีการสุ่มตรวจตัวอย่างไวรัสตับอักเสบเอ
  • ไม่ควรใช้เข็มฉีดยา เข็มเจาะเลือด เข็มเจาะหู หรือเข็มสักร่วมกันกับผู้อื่น
  • เมื่อเข้าห้องน้ำหรือหยิบจับอะไรควรที่จะล้างมือด้วยน้ำสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง
  • ไม่ควรรับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดจากผู้บริจาคที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
  • ใช้ตะเกียบ และช้อนในการรับประทานอาหาร ไม่ควรแบ่งปันอาหาร และเครื่องดื่มกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำใส่น้ำแข็งที่ไม่รู้แหล่งที่มา
  • รับวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอที่ได้จากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอที่ตายแล้ว โดยใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน ซึ่งวัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันเชื้ออื่นๆ ที่มีผลต่อตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี ซี ดี และอี โดยผู้ที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอจะมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม ได้แก่
    • ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรค
    • เด็กที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป
    • ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง
    • ผู้ที่ใช้ยาเสพติด 
    • ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
    • นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปแหล่งระบาด
    • ผู้ที่ทำอาชีพเสี่ยงต่อการกระจายของโรค เช่น ผู้ทำร้านอาหาร, ทำร้านเครื่องดื่ม เป็นต้น
  • ควรที่จะแนะนำให้คนใกล้ชิดที่อยู่บ้านเดียวกัน ให้ตรวจเลือด และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อต่อ

คำถามไวรัสตับอักเสบที่พบบ่อย

ไวรัสตับอักเสบเอติดต่อได้อย่างไร

ไวรัสตับอักเสบเอติดต่อได้ในหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น

  • ติดต่อจากการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่ไม่ได้ทำการปรุงสุก หรือดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
  • ติดต่อผ่านผู้ที่ทำอาหารซึ่งมีเชื้อนี้อยู่แล้ว เมื่อทำการหยิบจับอาหารที่ผู้มีเชื้อทำก็มีโอกาสติดได้
  • ติดต่อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
  • ติดต่อกันผ่านทางอุจจาระที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำดื่ม

ไวรัสตับอักเสบเอน่ากลัวไหม

ไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่ไม่ได้ร้ายแรงและเป็นเรื้อรังสามารถทำการรักษาให้หายได้และมีภูมิต่อโรค ทำให้ไม่กลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำอีก รวมถึงไม่มีอาการตับอักเสบเรื้อรัง แต่ที่น่ากลัวคือ การเป็นเชื้อที่สามารถติดต่อถึงกันได้ และอันตรายจากการสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อนโรคไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งก็ควรที่จะป้องกันตัวเองให้ดี เช่น รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ, ล้างมือบ่อยๆ, ไม่รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ไม่สะอาด เป็นต้น

สรุป

ไวรัสตับอักเสบเอ คือ โรคที่ทำให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลันของตับ จนทำให้มีอาการป่วยเล็กน้อย เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร อาเจียน ฯลฯ ไปจนถึงมีอาการรุนแรง เช่น มีภาวะตับวาย เป็นต้น

ซึ่งการรักษาในปัจจุบันยังไม่มียาสำหรับรักษาไวรัสชนิดนี้โดยตรง จะทำเพียงรักษาตามอาการ และถ้าหากมีอาการเกี่ยวกับตับ ควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ส่วนในแง่ของการป้องกันสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ และการไม่รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงสามารถได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอได้ด้วย ติดต่อเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนอย่างปลอดภัยได้ที่นี่

Leave a Reply

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหาให้เหมาะสมกับความสนใจของคุณ หากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาให้ตรงกับความสนใจของคุณได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า