แม้ซิฟิลิสจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนรู้จัก แต่ยังมีอีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่มักถูกมองข้าม คือ “ซิฟิลิสในหัวใจและหลอดเลือด” ภาวะนี้มักเกิดขึ้นในผู้ที่ติดเชื้อมานานโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น เชื้อแบคทีเรียจะค่อย ๆ ทำลายผนังหลอดเลือดใหญ่และวาล์วหัวใจ จนก่อให้เกิดอาการรุนแรง เช่น หลอดเลือดโป่งพอง ลิ้นหัวใจรั่ว หรือแม้กระทั่งหัวใจวายเฉียบพลัน บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของภาวะนี้ กลุ่มเสี่ยง สัญญาณเตือน วิธีวินิจฉัย ไปจนถึงการรักษาอย่างครบถ้วน เพื่อให้สามารถรับมือได้ทันท่วงทีก่อนเกิดอันตรายที่ไม่คาดคิด ซิฟิลิสในหัวใจและหลอดเลือด คืออะไร? ซิฟิลิสในหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Syphilis) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคซิฟิลิสระยะที่สาม ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อมาแล้วหลายปีโดยไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ครบถ้วน เชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum จะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ระบบหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงใหญ่ (Aorta) ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอลง อาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดโป่งพอง (Aortic Aneurysm) หรือวาล์วหัวใจรั่ว (Aortic Regurgitation) ความรุนแรงของโรคสามารถนำไปสู่หัวใจวายเฉียบพลัน หรือภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าเคยติดเชื้อมาก่อน เนื่องจากเชื้อมักหลบซ่อนโดยไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก เชื้อซิฟิลิสทำลายหัวใจได้อย่างไร? เมื่อเชื้อ Treponema pallidum เข้าสู่กระแสเลือดในระยะลึกของการติดเชื้อ เชื้อนี้จะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ผนังของหลอดเลือดแดงใหญ่ โดยเฉพาะในบริเวณทรวงอก (Thoracic…
ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E, HEV) เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยในหลายประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดีพอ การติดต่อส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่บางกลุ่ม เช่น หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง อาจมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง รวมถึงภาวะตับวายเฉียบพลัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันไวรัสตับอักเสบอี จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณสามารถดูแลตนเองและลดความเสี่ยงของโรคได้อย่างถูกวิธี ไวรัสตับอักเสบอี คืออะไร? ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E Virus: HEV) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับแบบเฉียบพลัน การติดเชื้อมักเกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน พบมากในประเทศที่มีสุขาภิบาลไม่ดี และสามารถก่อให้เกิดการระบาดในชุมชนได้ ไวรัสตับอักเสบอี ถูกค้นพบครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1980 ระหว่างการระบาดในประเทศอินเดียและเอเชียกลาง ต่อมามีการยืนยันว่าเป็นไวรัส RNA จัดอยู่ในตระกูล Hepeviridae ซึ่งแตกต่างจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น เช่น A, B, C และ D ความสำคัญทางสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี มากกว่า 20 ล้านคนต่อปี โดยประมาณ…
เชื้อไวรัส HTLV (Human T-cell Lymphotropic Virus) เป็นหนึ่งในเชื้อไวรัสที่พบไม่บ่อยนัก แต่มีความสำคัญทางการแพทย์ เพราะสามารถก่อให้เกิดโรคเรื้อรังที่รุนแรงได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Adult T-cell leukemia/lymphoma (ATL) หรือโรคระบบประสาท HAM/TSP แม้ในระยะเริ่มต้นผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ จึงทำให้การตรวจคัดกรองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่ต้องการวางแผนด้านสุขภาพระยะยาว การตรวจหาเชื้อ HTLV มักทำควบคู่กับการตรวจหาเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) อื่นๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการรักษาหรือป้องกันได้อย่างครบวงจร ที่ เซฟคลินิก เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือมาตรฐานสากล และระบบรักษาความลับที่เข้มงวด เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับทั้งความถูกต้อง รวดเร็ว และความมั่นใจสูงสุด เชื้อไวรัส HTLV คืออะไร เชื้อไวรัส HTLV หรือ Human T-cell Leukemia Virus เป็นไวรัสในตระกูล Retrovirus ซึ่งมีความสามารถในการแทรกสารพันธุกรรมของตนเองเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-lymphocyte ของมนุษย์ ปัจจุบันมีการจำแนก HTLV ออกเป็นหลายชนิด โดยที่พบมากที่สุดและเกี่ยวข้องกับโรคในคนคือ…
ในยุคที่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันได้รับความสำคัญมากขึ้น การเข้าใจ “ค่า Viral Load” ถือเป็นหนึ่งในความรู้พื้นฐานที่ช่วยให้เรารู้เท่าทันโรคติดเชื้อไวรัสและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในรายงานผลตรวจเลือด แต่เป็นข้อมูลสำคัญที่บอกได้ว่าร่างกายของเรากำลังควบคุมไวรัสได้ดีเพียงใด และมีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนมากน้อยแค่ไหน บทความนี้จะอธิบายความหมายของค่า Viral Load วิธีตรวจ การตีความ และความสำคัญต่อโรคไวรัสต่างๆ โดยอ้างอิงจากข้อมูลและแนวทางล่าสุดจากหน่วยงานทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ ค่า Viral Load คืออะไร? ค่า Viral Load คือปริมาณไวรัสที่ตรวจพบในตัวอย่างเลือดหรือของเหลวในร่างกาย ซึ่งมักรายงานเป็น “จำนวนสำเนาของสารพันธุกรรมไวรัสต่อมิลลิลิตร” (copies/mL) การตรวจค่านี้ใช้เพื่อประเมินว่ามีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายมากน้อยเพียงใด และเชื้อกำลังเพิ่มจำนวนเร็วหรือช้าขนาดไหน หน่วยวัดและรูปแบบการรายงานผล ผลตรวจ Viral Load มักรายงานเป็นตัวเลข เช่น 50 copies/mL, 100,000 copies/mL หรืออาจใช้รูปแบบ Log scale (เช่น 4 log10 copies/mL) เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปริมาณไวรัสเมื่อเวลาผ่านไป ความหมายในเชิงการแพทย์ ค่า Viral Load ไม่ได้บอกว่าเชื้อไวรัสชนิดใด แต่เป็นการวัด “ปริมาณ” ของเชื้อนั้นๆ…
ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D หรือ HDV) คือหนึ่งในไวรัสตับอักเสบที่มีความซับซ้อนและรุนแรงที่สุดในกลุ่มไวรัสที่ส่งผลต่อตับของมนุษย์ ความพิเศษของไวรัสชนิดนี้คือ ไม่สามารถแพร่เชื้อหรือก่อโรคได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เป็น “ไวรัสตัวช่วย” จึงจะสามารถติดเชื้อในร่างกายมนุษย์ได้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจทุกมิติของไวรัสตับอักเสบดี ตั้งแต่ลักษณะเชื้อ, กลไกการติดเชื้อ, อาการที่ควรเฝ้าระวัง, วิธีการวินิจฉัย, แนวทางการรักษา ไปจนถึงแนวป้องกันที่ใช้ได้จริง โดยอ้างอิงจากข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณตัดสินใจดูแลสุขภาพตับได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ไวรัสตับอักเสบดี คืออะไร? ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D หรือ HDV) คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวคือ ไม่สามารถติดเชื้อได้ด้วยตัวเองอย่างอิสระ แต่จะเกิดการติดเชื้อได้ก็ต่อเมื่อมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) อยู่ในร่างกายก่อนแล้วเท่านั้น HDV ถูกจัดเป็นไวรัสที่มีความแปลกกว่าสายพันธุ์อื่นในตระกูลไวรัสตับอักเสบ เพราะต้องพึ่งพาไวรัสบีในการสร้างปลอกหุ้มโปรตีนเพื่อแพร่กระจายออกจากเซลล์ตับ จึงมักพบในรูปแบบการติดเชื้อร่วมกับไวรัสบี (co-infection) หรือการติดเชื้อในผู้ที่มีไวรัสบีอยู่เดิม (superinfection) โดยทั่วไป การติดเชื้อ HDV มักส่งผลรุนแรงต่อสุขภาพตับมากกว่าไวรัสบีเพียงอย่างเดียว เช่น อัตราการเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน (acute liver failure) และโอกาสพัฒนาเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับที่เร็วกว่าปกติ ชื่อเรียกอื่นทางการแพทย์ Hepatitis Delta…
แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับ “เริม” ที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ แต่อาการเริมที่เกิดบริเวณจมูกก็เป็นอีกภาวะที่พบได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีประวัติการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) มาก่อน เริมที่จมูกอาจเริ่มต้นจากอาการคัน แสบ หรือมีตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ บริเวณปีกจมูกหรือลึกเข้าไปด้านใน สร้างความเจ็บปวด รำคาญใจ และทำให้หลายคนกังวลว่าเป็นอาการอันตรายหรือไม่ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับเริมที่จมูก ตั้งแต่สาเหตุของโรค อาการที่พบบ่อย วิธีดูแลและรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ พร้อมคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณสามารถดูแลตนเองได้อย่างมั่นใจ และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น เริมที่จมูกคืออะไร? เริมที่จมูก (Nasal Herpes) คือภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) โดยมักเกิดจากเชื้อชนิด HSV-1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ทำให้เกิดแผลร้อนในหรือเริมที่ริมฝีปาก แม้จะพบได้น้อยกว่าเริมบริเวณปากหรืออวัยวะเพศ แต่การติดเชื้อที่บริเวณจมูกก็สามารถทำให้เกิดตุ่มน้ำใส เจ็บ แสบ หรือระคายเคืองบริเวณรูจมูกได้เช่นกัน การติดเชื้อสามารถเกิดได้ทั้งที่รูจมูกด้านนอกและด้านใน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเพิ่งฟื้นตัวจากไข้หวัด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เชื้อที่แฝงตัวอยู่กลับมาแสดงอาการอีกครั้ง ไวรัส HSV สามารถคงอยู่ในร่างกายแม้หลังจากแผลหายแล้ว โดยแฝงตัวอยู่ในปมประสาท…
โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คือหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก ซึ่งเกิดจากเชื้อ Herpes Simplex Virus (HSV) แม้โรคนี้จะไม่ใช่โรครุนแรงถึงชีวิตในคนทั่วไป แต่ก็สามารถมีผลกระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตในระยะยาว หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเริม เช่น คิดว่าแค่ไม่มีแผลก็ไม่ติดต่อ หรือเป็นโรคของคนที่ชอบเปลี่ยนคู่นอน จริงๆ แล้วคนที่มีคู่นอนเพียงแค่คนเดียวก็สามารถเป็นเริมได้เช่นกัน บทความนี้จัดทำขึ้นโดยอิงจากแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO), ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) และแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณ: เข้าใจว่าเริมคืออะไร และต่างจากโรคอื่นอย่างไร รู้จักอาการ สาเหตุ วิธีการตรวจ และแนวทางการรักษา วางแผนการดูแลตัวเองและป้องกันคนรอบข้างได้อย่างมั่นใจ เริมที่อวัยวะเพศคืออะไร? เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เริมที่อวัยวะเพศเกิดจากการติดเชื้อ Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งแบ่งเป็นชนิดที่ 1 และ 2 (HSV-1 และ HSV-2) HSV-1 มักจะทำให้เป็นเริมที่บริเวณปาก มักจะเกิดเพียงแค่ครั้งเดียว ส่วน HSV-2…
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยหนึ่งในสัญญาณแรกที่สำคัญที่สุดของโรคนี้คือ “แผลริมแข็ง” ซึ่งมักจะไม่เจ็บและสามารถหายไปได้เอง ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ การทำความเข้าใจแผลริมแข็งอย่างละเอียด ทั้งในแง่ของลักษณะ อาการ วิธีการตรวจวินิจฉัย และการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับแผลริมแข็ง ตั้งแต่สาเหตุที่มา อาการแสดง การวินิจฉัยทางการแพทย์ วิธีการรักษา รวมถึงแนวทางในการป้องกันและการดูแลหลังการรักษา โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย แผลริมแข็ง คืออะไร? แผลริมแข็ง (Chancre) คือแผลลักษณะไม่เจ็บที่เกิดขึ้นในระยะแรกของโรคซิฟิลิส (Primary Syphilis) โดยจะปรากฏขึ้นหลังจากติดเชื้อประมาณ 2–4 สัปดาห์ จุดสังเกตที่สำคัญคือ แผลจะมีขอบแข็ง ผิวเรียบ ไม่มีหนอง และไม่เจ็บ ตำแหน่งที่พบบ่อย อวัยวะเพศ (ทั้งเพศชายและเพศหญิง) ริมฝีปากหรือภายในช่องปาก รอบทวารหนัก ลักษณะทางคลินิก ขนาดแผลประมาณ 1–2 เซนติเมตร ไม่มีหนอง ไม่มีกลิ่น และไม่เลือดออก แผลสามารถหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา หมายเหตุ: แม้ว่าแผลจะหายไปเอง แต่เชื้อซิฟิลิสยังคงอยู่ในร่างกาย…
หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “เอดส์” อาจรู้สึกกลัว กังวล หรือเกิดอคติต่อผู้ป่วย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โรคเอดส์คือภาวะที่เกิดขึ้นในระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV และสามารถควบคุมได้หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกล มีแนวทางดูแลและป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์แบบครบถ้วน ตั้งแต่นิยาม อาการ ระยะของโรค สาเหตุ วิธีการวินิจฉัย การใช้ยา PrEP/PEP ตลอดจนการป้องกันที่สามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณมีข้อมูลที่ถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ดูแลตัวเองหรือคนที่คุณรักได้อย่างเหมาะสม โรคเอดส์ (AIDS) คืออะไร? โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือ AIDS) คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายจนไม่สามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและมะเร็งบางชนิดได้อีกต่อไป ผู้ป่วยในระยะนี้จะติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม เชื้อราในสมอง หรือมะเร็งบางชนิด HIV จะค่อย ๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน หากไม่ได้รับยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง ระดับ CD4 จะลดต่ำลงจนเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยว่าเข้าสู่ระยะโรคเอดส์เมื่อ…
เชื้อราในช่องคลอดเป็นปัญหาสุขภาพที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักพบอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ อาการที่พบได้บ่อย เช่น คัน แสบร้อน และตกขาวผิดปกติ มักทำให้หลายคนกังวลและสับสนว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเชื้อราในช่องคลอดอย่างครบถ้วน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย การรักษา และวิธีป้องกัน รวมถึงตอบคำถามยอดฮิตที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้ไว้เพื่อดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด เชื้อราในช่องคลอด คืออะไร? เชื้อราในช่องคลอด หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า Vaginal Candidiasis หรือ Vulvovaginal Candidiasis เกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินปกติของเชื้อราในกลุ่ม Candida ซึ่งปกติอาศัยอยู่ในช่องคลอดอย่างมีสมดุล เมื่อสมดุลของแบคทีเรียดีในช่องคลอดถูกรบกวน เช่น จากการใช้ยาปฏิชีวนะ สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง หรือฮอร์โมน การเจริญของเชื้อ Candida จะเพิ่มขึ้น เกิดการอักเสบ แดง คัน และตกขาวสีขาวข้นคล้ายน้ำนมจับเป็นก้อน “cottage‑cheese” โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ (75% เคยเป็นอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และ 40–45% เกิดซ้ำอย่างน้อยสองครั้ง) ทำไมเชื้อราในช่องคลอดถึงกลับมาเป็นซ้ำซาก? เชื้อราในช่องคลอดจะถือว่าเป็นแบบ Recurrent Vulvovaginal Candidiasis (RVVC) เมื่อมีอาการซ้ำอย่างน้อย…