“ตกขาว” อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกคน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตกขาวสามารถบอกสภาวะสุขภาพภายในของเราได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งในแง่ของฮอร์โมน ความสมดุลของจุลินทรีย์ หรือแม้กระทั่งเป็นสัญญาณของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตกขาวในมุมที่ “ไม่ธรรมดา” ว่าแบบไหนคือภาวะปกติ แบบไหนควรระวัง พร้อมเจาะลึก 5 สัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย ตกขาวคืออะไร? ตกขาว คือสารคัดหลั่งที่ไหลออกมาจากช่องคลอดของผู้หญิง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะวัยเจริญพันธุ์ ตกขาวมีหน้าที่สำคัญหลายอย่างในระบบสืบพันธุ์ เช่น: ช่วยหล่อลื่นและรักษาความชุ่มชื้นของช่องคลอด ขจัดเชื้อโรคหรือแบคทีเรียบางชนิดออกจากร่างกาย เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เช่น ไข่ตก หรือใกล้มีประจำเดือน โดยทั่วไป ตกขาวปกติ จะมีลักษณะดังนี้ สี: ขาวใส หรือขาวขุ่นเล็กน้อย กลิ่น: ไม่มีกลิ่น หรือกลิ่นอ่อน ๆ ที่ไม่เหม็น ลักษณะ: เป็นมูก ลื่น ไม่มีฟอง ไม่จับตัวเป็นก้อน ปริมาณ: เปลี่ยนตามช่วงรอบเดือน เช่น จะมากขึ้นช่วงไข่ตก ตกขาวผิดปกติเกิดจากอะไร? ตกขาวผิดปกติ คือภาวะที่ตกขาวมีลักษณะแตกต่างจากปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่น สี กลิ่น ปริมาณ…
“ผื่นไม่คัน ไม่เจ็บ แต่ขึ้นฝ่ามือ ฝ่าเท้า” อาจฟังดูไม่น่ากังวล แต่ในทางการแพทย์แล้วนี่อาจเป็นสัญญาณของ ซิฟิลิสระยะที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อกำลังแพร่กระจายทั่วร่างกายอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการรุนแรง หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ เพราะผื่นหายเองได้ แต่เชื้อยังคงอยู่และพร้อมลุกลามหากไม่รักษา บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ ลักษณะผื่นซิฟิลิส การแยกแยะจากผื่นอื่นๆ วิธีวินิจฉัย การรักษา และการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณรักษาได้ทันท่วงที ผื่นซิฟิลิสคืออะไร? ผื่นซิฟิลิส คืออาการทางผิวหนังที่มักพบในผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 2 (Secondary Syphilis) ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายเริ่มตอบสนองต่อเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ผื่นนี้มีลักษณะเฉพาะคือ ไม่คัน ไม่เจ็บ และสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ไม่ค่อยพบผื่นจากโรคทั่วไป เช่น ฝ่ามือและฝ่าเท้า อ้างอิง: NCBI StatPearls ผื่นซิฟิลิสเกิดขึ้นได้อย่างไร? หลังจากได้รับเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เชื้อจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 6–12 สัปดาห์ ก่อนเข้าสู่ระยะที่สอง ผื่นจะเกิดขึ้นเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดและถูกพาไปยังผิวหนังผ่านระบบไหลเวียน ลักษณะของผื่นมักเป็นจุดแดง น้ำตาลแดง หรือแดงจางๆ กระจายทั่วตัว มักไม่มีอาการคันและไม่เจ็บ บางรายอาจพบผื่นเป็นตุ่มนูน หรือมีลักษณะคล้ายรอยโรคผิวหนังอื่น ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น…
ฝีมะม่วง หรือที่รู้จักในทางการแพทย์ว่า Lymphogranuloma Venereum (LGV) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวหากไม่รักษาอย่างถูกต้อง อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ทำให้หลายคนมองข้ามและปล่อยให้ลุกลามจนเกิดภาวะบวม เจ็บ หรือหนองบริเวณขาหนีบ บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับโรคฝีมะม่วงอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการตรวจ การรักษา ไปจนถึงการดูแลตัวเอง และวิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างได้อย่างมั่นใจ ฝีมะม่วงคืออะไร? ฝีมะม่วง หรือ Lymphogranuloma Venereum (LGV) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ชนิดรุนแรง (serovar L1, L2 และ L3) ซึ่งเชื้อนี้แตกต่างจากสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหนองในเทียมทั่วไป ลักษณะเด่นของ LGV คือ การติดเชื้อที่ระบบน้ำเหลือง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบเกิดอาการบวม แดง ร้อน เจ็บ และมีลักษณะคล้าย “ผลมะม่วง” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ฝีมะม่วง” ในภาษาไทย โดยอาการบวมมักพบด้านใดด้านหนึ่งของขาหนีบ และสามารถพัฒนาไปเป็นฝีที่มีหนองแตกออกมาได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคนี้มักพบในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ โดยเฉพาะในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน…
หากคุณกำลังพบว่าอวัยวะเพศมีตุ่มใส เจ็บ แสบ หรือคัน โดยไม่เคยเป็นมาก่อน อาจรู้สึกกังวลและสงสัยว่าเกิดจากอะไร โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตว่า “นี่คือโรคเริมหรือเปล่า?” เพราะโรคเริมเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบบ่อย และมักแสดงอาการด้วยตุ่มใสขนาดเล็กที่บางครั้งอาจแตกเป็นแผลตื้นๆ ทำให้เกิดความไม่สบายตัวอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณเช็กอย่างละเอียดว่าตุ่มใสดังกล่าวเข้าข่ายโรคเริมหรือไม่ และควรปฏิบัติตัวอย่างไร ตุ่มใสที่อวัยวะเพศคืออะไร? ตุ่มใสที่อวัยวะเพศ คือ ลักษณะของผื่นหรือตุ่มนูนเล็กๆ ที่มีของเหลวใสอยู่ภายใน เกิดขึ้นได้บริเวณแคมนอก แคมใน ช่องคลอด องคชาต ถุงอัณฑะ หรือรอบทวารหนัก โดยตุ่มเหล่านี้อาจมีอาการร่วม เช่น คัน แสบ หรือเจ็บ โดยเฉพาะเมื่อตุ่มแตกหรือเสียดสีกับเสื้อผ้า สาเหตุของตุ่มใสมีได้หลากหลาย เช่น การติดเชื้อไวรัสเริม (HSV) การติดเชื้อรา เช่น Candida การแพ้หรือระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ เช่น ถุงยางอนามัย การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ฟอลลิคูลิติส อ้างอิง: American Academy of Dermatology Association, CDC Guidelines for STDs (2023) ลักษณะตุ่มใสที่พบบ่อยบริเวณอวัยวะเพศเป็นแบบไหน? ตุ่มใสที่อวัยวะเพศมักมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก…
หลายคนอาจเคยเจอสถานการณ์ไม่คาดคิดอย่าง “ถุงยางอนามัยแตก หรือ ถุงยางแตก” แล้วไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี บางคนตกใจ บางคนกลัวท้อง หรือกังวลเรื่องโรคติดต่อ ถุงยางแตกอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่จริง ๆ แล้วส่งผลได้หลายด้านทั้งร่างกายและจิตใจ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทุกแง่มุมของปัญหานี้ ตั้งแต่สาเหตุที่ถุงยางแตก เสี่ยงอะไรบ้าง วิธีรับมือทันทีที่เกิดเหตุ และวิธีป้องกันไม่ให้ถุงยางแตก ถุงยางอนามัยแตกคืออะไร? เวลาพูดถึง “ถุงยางแตก” หลายคนอาจจะนึกว่าแค่ขาดนิดเดียวไม่เป็นไร แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการที่ถุงยางขาดหรือแตกระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เชื้อโรคหรืออสุจิสามารถเล็ดลอดเข้าไปได้โดยตรง หลายคนสับสนว่า “ถุงยางแตก” กับ “ถุงยางรั่ว” ต่างกันยังไง? ถุงยาง แตก คือฉีกขาดแบบชัดเจน มักเกิดทันทีระหว่างมีเซ็กส์ เช่น แตกกลางชิ้น หรือหลุดออกมาเลย ถุงยาง รั่ว คือมีรูเล็ก ๆ หรือชำรุดตั้งแต่แรก อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สาเหตุที่ทำให้ถุงยางแตกบ่อยมีอะไรบ้าง? ใช้ถุงยางหมดอายุ ขนาดไม่พอดี (เล็กไปหรือหลวมเกิน) ใส่ผิดวิธี ไม่เว้นอากาศที่ปลายถุง ไม่มีการใช้เจลหล่อลื่น ทำให้เสียดสีมากเกินไป ใช้ถุงยางซ้ำ หรือเก็บไว้ผิดวิธี (เจอความร้อน/แดด)…
หากคุณเคยมีความรู้สึกกังวล ไม่แน่ใจ หรือลังเลที่จะตรวจเลือด HIV หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะกลัวเจ็บ กลัวผล ในปัจจุบันการตรวจเลือดไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้รู้ผลได้เร็ว แม่นยำ ปลอดภัย และเป็นส่วนตัว ที่สำคัญคือ… ยิ่งตรวจเร็ว ยิ่งรักษาได้ทัน ไม่เพียงเพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง แต่ยังเพื่อคนที่คุณรักด้วย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจคืออะไร, ตรวจที่ไหนดี, ใช้เวลาเท่าไหร่, เจ็บไหม, จนถึงต้องตรวจบ่อยแค่ไหน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูลครบถ้วนที่สุด ตรวจเลือด HIV และโรคติดต่อคืออะไร? การตรวจเลือดหาเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) คือการตรวจวิเคราะห์สารคัดหลั่งในเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อที่อาจแพร่จากคนหนึ่งสู่อีกคนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มร่วม หรือเลือดที่มีเชื้อ การตรวจนี้ถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมากในการเฝ้าระวังสุขภาพ เพราะโรคเหล่านี้หลายชนิดสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้นานโดยไม่มีอาการใดๆ สำหรับการตรวจ HIV แพทย์จะตรวจหาแอนติบอดีหรือสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV ที่อาจอยู่ในเลือด หากตรวจพบเร็วสามารถเข้าสู่กระบวนการดูแลและรักษาได้ทันที ลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อและโรคแทรกซ้อนในอนาคต โรคติดต่ออื่นๆ ที่สามารถตรวจพบจากเลือด ได้แก่ ซิฟิลิส (Syphilis) ไวรัสตับอักเสบบี/ไวรัสตับอักเสบซี หนองในแท้/เทียม (Gonorrhea / Chlamydia)* (บางกรณีอาจตรวจจากปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งร่วมด้วย) ปัจจุบัน การตรวจเลือดสามารถทำได้ง่าย…
คันจิมิ หรืออาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้น อาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติที่ไม่ควรมองข้าม ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเคยมีอาการคันแบบเฉียบพลัน คันเรื้อรัง หรือคันหลังมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่แน่ใจว่าควรปล่อยไว้หรือพบแพทย์ดี บทความนี้รวบรวมข้อมูลแบบครบถ้วนเกี่ยวกับอาการคันจุดซ่อนเร้น ตั้งแต่สาเหตุทั่วไป วิธีดูแลเบื้องต้น ไปจนถึง “5 สัญญาณเตือน” ที่บอกว่าคุณควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ เพื่อป้องกันการลุกลามหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น พร้อมคำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์และดูแลตัวเองให้ปลอดภัยในระยะยาว คันจิมิคืออะไร? คันจิมิ คือคำที่ผู้หญิงหลายคนใช้เรียกอาการ คันบริเวณอวัยวะเพศภายนอก หรือ จุดซ่อนเร้น ซึ่งในทางการแพทย์มักเรียกว่า “Vulvar Itching” หรือ “External Genital Itching” โดยอาการคันอาจเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณปากช่องคลอด แคมเล็ก แคมใหญ่ หรือผิวหนังโดยรอบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเส้นประสาทหนาแน่น จึงไวต่อการระคายเคืองเป็นพิเศษ อาการนี้สามารถเกิดได้กับผู้หญิงทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็ก วัยเจริญพันธุ์ ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน และไม่ได้หมายความว่าทุกกรณีจะ “ผิดปกติ” เสมอไป แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ อาการคันจิมิที่พบได้บ่อย รู้สึกแสบหรือยุบยิบบริเวณปากช่องคลอด อาจมีอาการร่วม เช่น ตกขาว กลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือผิวลอก มักเกิดซ้ำในบางช่วง เช่น ก่อนมีประจำเดือน…
กามโรค เป็นโรคที่หลายคนได้ยินชื่อ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจว่าความเสี่ยงนั้นอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด พฤติกรรมบางอย่างที่ดูเหมือนไม่อันตราย อาจทำให้คุณกลายเป็นผู้ติดเชื้อหรือพาหะได้โดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณมารู้จักกับ 8 พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรระวัง พร้อมแนวทางในการตรวจ วินิจฉัย รักษา และป้องกันอย่างถูกต้อง ด้วยข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย กามโรคคืออะไร? กามโรค (Sexually Transmitted Diseases: STDs) คือกลุ่มของโรคติดต่อที่สามารถถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านกิจกรรมทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก รวมถึงการสัมผัสสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศโดยตรง โรคในกลุ่มนี้เกิดได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต และเชื้อรา หนึ่งในความสำคัญของกามโรคคือ “อาการอาจไม่แสดงชัดเจนในระยะแรก” ซึ่งทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นพาหะ และยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ โรคที่จัดอยู่ในกลุ่มกามโรค เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) หนองในเทียม (Chlamydia) ซิฟิลิส (Syphilis) เริมอวัยวะเพศ (Genital Herpes) หูดหงอนไก่จาก HPV (Genital Warts) เชื้อ HIV ไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis B, Hepatitis C)…
ผลตรวจเลือดเป็นลบ เมื่อคุณตรวจเลือดแล้ว แต่ร่างกายกลับมีอาการแปลก ๆ คล้ายคนติดเชื้อ HIV? หลายคนอาจกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ชวนสับสนแบบนี้ และไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อดี บางรายอาจตรวจเร็วเกินไปจนยังไม่พ้นช่วง HIV Window Period ทำให้ผลตรวจยังไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าปลอดภัยจริง บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า “ผลลบ” อาจไม่ได้หมายถึง “ไม่ติดเชื้อ” เสมอไป พร้อมแนวทางวางแผนตรวจซ้ำอย่างถูกต้อง และสังเกตอาการที่ไม่ควรมองข้าม ผลตรวจเลือดเป็นลบ แม้จะได้รับผลตรวจเลือด HIV เป็นลบ แต่สำหรับหลายคน ความรู้สึก “ไม่มั่นใจ” หรือ “ยังกลัวว่าตัวเองอาจติดเชื้อ” ยังคงอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย และไม่ได้แปลว่าคุณคิดไปเองเสมอไป ผลตรวจเลือดเป็นลบ แปลว่าไม่ติดเชื้อ HIV แน่นอนหรือไม่? คำตอบคือ “ไม่เสมอไป” โดยเฉพาะหากคุณเข้ารับการตรวจในช่วงเวลาที่เรียกว่า HIV Window Period หรือช่วงที่ร่างกายยังไม่สร้างสารที่สามารถตรวจพบได้ Window Period คือช่วงเวลาตั้งแต่ วันที่เริ่มมีความเสี่ยง (เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน) จนถึงวันที่ตรวจเลือด ซึ่งอาจกินเวลาตั้งแต่ 10 วัน…
หลายคนอาจมองว่า Oral Sex หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก เป็นกิจกรรมทางเพศที่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มีการสอดใส่โดยตรง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ยังคงมีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Oral Sex ติด hiv ไหม หรือกการออรัลติดเอดส์ไหม เสี่ยงติดโรคอะไรบ้าง อาการเป็นอย่างไร และควรป้องกันอย่างไรเพื่อให้ความสัมพันธ์ทางเพศปลอดภัยและมั่นใจมากยิ่งขึ้น Oral Sex คืออะไร? Oral Sex หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า “การใช้ปากในการกระตุ้นอวัยวะเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก” เป็นหนึ่งในรูปแบบของกิจกรรมทางเพศที่ไม่ใช่การสอดใส่โดยตรง แต่ยังคงมีความเสี่ยงในการติดต่อโรคจากคู่ของคุณได้เช่นเดียวกัน โดยทั่วไป Oral Sex แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่: Fellatio: การใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศชาย Cunnilingus: การใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศหญิง Anilingus (Rimming): การใช้ปากสัมผัสกับทวารหนัก กิจกรรมเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในความสัมพันธ์ของชายหญิง หรือเพศเดียวกัน และมักถูกมองว่าเป็น “เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยกว่า” เพราะไม่มีการสอดใส่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Oral Sex ก็ยังมีโอกาสแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ได้…