โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยหนึ่งในสัญญาณแรกที่สำคัญที่สุดของโรคนี้คือ “แผลริมแข็ง” ซึ่งมักจะไม่เจ็บและสามารถหายไปได้เอง ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ การทำความเข้าใจแผลริมแข็งอย่างละเอียด ทั้งในแง่ของลักษณะ อาการ วิธีการตรวจวินิจฉัย และการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับแผลริมแข็ง ตั้งแต่สาเหตุที่มา อาการแสดง การวินิจฉัยทางการแพทย์ วิธีการรักษา รวมถึงแนวทางในการป้องกันและการดูแลหลังการรักษา โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย แผลริมแข็ง คืออะไร? แผลริมแข็ง (Chancre) คือแผลลักษณะไม่เจ็บที่เกิดขึ้นในระยะแรกของโรคซิฟิลิส (Primary Syphilis) โดยจะปรากฏขึ้นหลังจากติดเชื้อประมาณ 2–4 สัปดาห์ จุดสังเกตที่สำคัญคือ แผลจะมีขอบแข็ง ผิวเรียบ ไม่มีหนอง และไม่เจ็บ ตำแหน่งที่พบบ่อย อวัยวะเพศ (ทั้งเพศชายและเพศหญิง) ริมฝีปากหรือภายในช่องปาก รอบทวารหนัก ลักษณะทางคลินิก ขนาดแผลประมาณ 1–2 เซนติเมตร ไม่มีหนอง ไม่มีกลิ่น และไม่เลือดออก แผลสามารถหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา หมายเหตุ: แม้ว่าแผลจะหายไปเอง แต่เชื้อซิฟิลิสยังคงอยู่ในร่างกาย…
หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “เอดส์” อาจรู้สึกกลัว กังวล หรือเกิดอคติต่อผู้ป่วย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โรคเอดส์คือภาวะที่เกิดขึ้นในระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV และสามารถควบคุมได้หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกล มีแนวทางดูแลและป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์แบบครบถ้วน ตั้งแต่นิยาม อาการ ระยะของโรค สาเหตุ วิธีการวินิจฉัย การใช้ยา PrEP/PEP ตลอดจนการป้องกันที่สามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณมีข้อมูลที่ถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ดูแลตัวเองหรือคนที่คุณรักได้อย่างเหมาะสม โรคเอดส์ (AIDS) คืออะไร? โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือ AIDS) คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายจนไม่สามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและมะเร็งบางชนิดได้อีกต่อไป ผู้ป่วยในระยะนี้จะติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม เชื้อราในสมอง หรือมะเร็งบางชนิด HIV จะค่อย ๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน หากไม่ได้รับยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง ระดับ CD4 จะลดต่ำลงจนเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยว่าเข้าสู่ระยะโรคเอดส์เมื่อ…
เชื้อราในช่องคลอดเป็นปัญหาสุขภาพที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักพบอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ อาการที่พบได้บ่อย เช่น คัน แสบร้อน และตกขาวผิดปกติ มักทำให้หลายคนกังวลและสับสนว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเชื้อราในช่องคลอดอย่างครบถ้วน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย การรักษา และวิธีป้องกัน รวมถึงตอบคำถามยอดฮิตที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้ไว้เพื่อดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด เชื้อราในช่องคลอด คืออะไร? เชื้อราในช่องคลอด หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า Vaginal Candidiasis หรือ Vulvovaginal Candidiasis เกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินปกติของเชื้อราในกลุ่ม Candida ซึ่งปกติอาศัยอยู่ในช่องคลอดอย่างมีสมดุล เมื่อสมดุลของแบคทีเรียดีในช่องคลอดถูกรบกวน เช่น จากการใช้ยาปฏิชีวนะ สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง หรือฮอร์โมน การเจริญของเชื้อ Candida จะเพิ่มขึ้น เกิดการอักเสบ แดง คัน และตกขาวสีขาวข้นคล้ายน้ำนมจับเป็นก้อน “cottage‑cheese” โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ (75% เคยเป็นอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และ 40–45% เกิดซ้ำอย่างน้อยสองครั้ง) ทำไมเชื้อราในช่องคลอดถึงกลับมาเป็นซ้ำซาก? เชื้อราในช่องคลอดจะถือว่าเป็นแบบ Recurrent Vulvovaginal Candidiasis (RVVC) เมื่อมีอาการซ้ำอย่างน้อย…
แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ หรือ Granuloma Inguinale (Donovanosis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อยในประเทศไทย แต่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในหลายประเทศเขตร้อน โดยมีลักษณะเฉพาะคือแผลเรื้อรังบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศที่อาจลุกลามได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Klebsiella granulomatis และสามารถแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสกับแผลเปิดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น พังผืด แผลเป็นถาวร หรือติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบในทุกมิติ ทั้งอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน และความแตกต่างจากโรคอื่น เพื่อให้สามารถตัดสินใจเข้ารับการดูแลจากแพทย์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ คืออะไร? แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ (Granuloma Inguinale หรือ Donovanosis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อย แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจก่อให้เกิดแผลเรื้อรังที่ขาหนีบและอวัยวะเพศ ซึ่งมีลักษณะเจ็บ แดง และอาจลุกลามทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบได้ สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Klebsiella granulomatis (เดิมชื่อ Calymmatobacterium granulomatis) ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลเปิด โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือขาหนีบ แม้โรคนี้จะพบได้ไม่บ่อยในประเทศไทย แต่มีรายงานผู้ป่วยในหลายประเทศเขตร้อน เช่น อินเดีย แอฟริกาใต้ และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…
HPV 18 หรือ Human Papillomavirus สายพันธุ์ที่ 18 คือหนึ่งในไวรัสที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “สายพันธุ์เสี่ยงสูง” (High-risk HPV) เนื่องจากมีศักยภาพในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จนพัฒนาไปสู่โรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะเร็งปากมดลูกชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarcinoma)” ซึ่งพบว่าเชื้อ HPV 18 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน แม้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ และร่างกายอาจสามารถกำจัดเชื้อได้เอง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รู้ตัว การติดเชื้อนี้อาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรงในอนาคตได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ HPV 18 อย่างถูกต้อง ตั้งแต่การติดต่อ อาการ วิธีตรวจ ไปจนถึงการป้องกันและวัคซีน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ข้อมูลด้านสุขภาพมีบทบาทต่อการดูแลชีวิตมากกว่าที่เคย HPV 18 คืออะไร? HPV 18 หรือ Human Papillomavirus Type 18 คือหนึ่งในไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์เสี่ยงสูง ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเกิดมะเร็งปากมดลูกชนิดต่อม (adenocarcinoma) ซึ่งเกิดในเซลล์ต่อมของปากมดลูกที่ตรวจเจอได้ยากกว่ามะเร็งชนิดเซลล์สความัสทั่วไป ลักษณะสำคัญของการติดเชื้อ HPV 18 คือการไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ และปล่อยให้ไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน ส่งผลให้เชื้อมีโอกาสพัฒนาเป็นเซลล์ผิดปกติหรือกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO)…
HPV 16 หรือเชื้อไวรัสเอชพีวี สายพันธุ์ 16 คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง ซึ่งคร่าชีวิตผู้หญิงไทยจำนวนมากในแต่ละปี แม้ว่าเชื้อนี้จะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ก็สามารถฝังตัวอยู่ในร่างกายและก่อให้เกิดความผิดปกติของเซลล์ได้โดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ HPV 16 อย่างละเอียด ตั้งแต่กลไกของเชื้อ การติดเชื้อ อาการ การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถปกป้องสุขภาพของตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ HPV 16 คืออะไร? HPV 16 คือหนึ่งในสายพันธุ์ของไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา (Human Papillomavirus: HPV) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “สายพันธุ์เสี่ยงสูง” ที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะเร็งปากมดลูก” ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากในผู้หญิงทั่วโลก จากการศึกษาทางระบาดวิทยา พบว่า HPV สายพันธุ์ 16 มีความเกี่ยวข้องกับกรณีของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 50–60% ทั่วโลก และหากรวมกับสายพันธุ์ HPV 18 จะครอบคลุมถึง 70% ของผู้ป่วยทั้งหมด (ข้อมูลจาก World Health Organization) เชื้อไวรัส HPV…
พยาธิในช่องคลอด เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย แต่หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญอยู่ เพราะอาการอาจไม่ชัดเจน หรือไม่มีอาการเลย โดยเฉพาะในผู้ชาย โรคนี้เกิดจากเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ง่าย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพระบบสืบพันธุ์หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับพยาธิในช่องคลอดอย่างครอบคลุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีตรวจ การรักษา ไปจนถึงวิธีป้องกัน พร้อมไขความเข้าใจผิดที่พบบ่อย เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย พยาธิในช่องคลอดคืออะไร? พยาธิในช่องคลอด คือการติดเชื้อจากปรสิตชนิดเซลล์เดียวที่มีชื่อว่า Trichomonas vaginalis ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มโปรโตซัว โดยเชื้อนี้สามารถติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ได้โดยตรง ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แม้ว่าผู้ชายหลายรายจะไม่แสดงอาการ ผู้หญิงที่ติดเชื้อมักมีตกขาวผิดปกติ คัน หรือแสบในช่องคลอด แต่ในบางรายอาจไม่มีอาการเลย ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ จึงอาจเป็นพาหะต่อเนื่องโดยไม่ตั้งใจ พยาธินี้จึงไม่ใช่ “หนอน” อย่างที่บางคนเข้าใจ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วที่สามารถก่อโรคในระบบสืบพันธุ์และต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม อ่านเพิ่มเติม: ตกขาวแบบไหนปกติ? ระวัง! 5 สัญญาณตกขาวเสี่ยงโรคเพศสัมพันธ์ โรคนี้พบบ่อยแค่ไหน? อัปเดตสถิติปี 2020–2024 จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าในปี 2020 มีผู้ติดเชื้อ Trichomonas vaginalis ทั่วโลกประมาณ 156…
ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคซิฟิลิสที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ถึงแม้ว่าซิฟิลิสจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาได้ แต่หากปล่อยให้ติดเชื้อเรื้อรังหรือรักษาไม่ครบ เชื้อ Treponema pallidum อาจแพร่เข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความผิดปกติที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสมองและร่างกาย อาการของซิฟิลิสขึ้นสมองมีความหลากหลาย ตั้งแต่ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ซึมเศร้า ความจำเสื่อม ไปจนถึงอัมพาตหรือสูญเสียการมองเห็นได้ในบางราย การตรวจคัดกรองและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงเหล่านี้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ซิฟิลิสขึ้นสมอง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา รวมถึงวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) คืออะไร? ซิฟิลิสขึ้นสมอง หรือ Neurosyphilis เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum เชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของโรคซิฟิลิส โดยเมื่อการติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เชื้อสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ สมอง และ ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจ Neurosyphilis สามารถเกิดได้ในทุกระยะของโรคซิฟิลิส โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ ไม่ได้รับการรักษา หรือ มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ภาวะนี้มีความรุนแรงและอาจส่งผลกระทบระยะยาวหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การแพร่กระจายของเชื้อไปยังระบบประสาท หลังการติดเชื้อซิฟิลิส เชื้อ Treponema…
เมื่อได้รับผลตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์ แล้วพบชื่อเชื้อ โรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา อยู่ในรายงาน หลายคนอาจรู้สึกสับสน และไม่แน่ใจว่าทั้งสองเชื้อนี้แตกต่างกันอย่างไร ต้องรีบรักษาหรือไม่ และมีผลต่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญคือชื่อของเชื้อทั้งสองมีความคล้ายกัน และมักถูกพูดถึงพร้อมกันในการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) แต่ในความเป็นจริง ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา เป็นเชื้อที่มีลักษณะต่างกัน ทั้งด้านความรุนแรง ผลกระทบต่อสุขภาพ และแนวทางการดูแลรักษา บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบความแตกต่างของเชื้อทั้งสองชนิดอย่างเข้าใจง่าย พร้อมตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อ การประเมินความเสี่ยง และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจรักษา เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างถูกต้องและมั่นใจยิ่งขึ้น โรคไมโคพลาสมา กับยูเรียพลาสมา ทำไมคนสับสน? ผู้ที่ตรวจพบเชื้อ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา มักเกิดคำถามว่าทั้งสองเชื้อเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ต้องรักษาเหมือนกันหรือเปล่า หรือมีอันตรายแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเป็นความสับสนที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ที่ได้รับผลตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือผู้ที่เข้ารับการตรวจภาวะมีบุตรยาก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คือชื่อของเชื้อทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน และจัดอยู่ในกลุ่มแบคทีเรียชนิดไม่มีผนังเซลล์เช่นเดียวกัน อีกทั้งผลการตรวจบางชุดอาจรายงานชื่อเชื้อเหล่านี้ในหมวดเดียวกัน ทำให้ผู้รับผลตรวจเข้าใจว่าเป็นโรคชนิดเดียวกัน นอกจากนี้ ยูเรียพลาสมา ยังเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ตามปกติในร่างกายของคนที่มีสุขภาพดี โดยไม่ก่อโรคเสมอไป แตกต่างจาก ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม ซึ่งหากตรวจพบถือว่าเป็นเชื้อก่อโรคที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ด้วยความซับซ้อนเหล่านี้…
เมื่อพูดถึงเชื้อ Ureaplasma ที่ไม่ระบุสายพันธ์ หลายคนอาจคุ้นเคยในฐานะเชื้อที่ตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพทางนรีเวชหรือระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ทราบหรือไม่ว่า Ureaplasma ที่พบในมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum ซึ่งแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันทั้งในด้านความชุก ความสามารถในการก่อโรค และผลกระทบต่อสุขภาพ บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่างเชื้อทั้งสองชนิดอย่างละเอียด โดยใช้ข้อมูลทางการแพทย์ล่าสุด เพื่อตอบคำถามสำคัญที่หลายคนกังวล ไม่ว่าคุณจะตรวจพบเชื้อโดยบังเอิญ ไม่มีอาการ กำลังวางแผนมีบุตร หรือรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจร่วมกับแพทย์ได้อย่างมั่นใจ Ureaplasma parvum และ urealyticum คืออะไรและต่างกันอย่างไร? Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum เป็นแบคทีเรียขนาดเล็กที่ไม่มีผนังเซลล์ (cell wall-less bacteria) จัดอยู่ในจีนัส Ureaplasma และวงศ์ Mycoplasmataceae ทั้งสองชนิดเป็นสปีชีส์ที่พบในมนุษย์โดยเฉพาะ ถึงแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในเชิงชีววิทยาและพันธุกรรม ที่มาของชื่อ: ในอดีต Ureaplasma ถูกแบ่งตามซีโรวาร์ (serovar) Ureaplasma parvum:…