Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

HPV (Human Papillomavirus) คืออะไร สาเหตุ อาการ อันตราย การรักษาและป้องกัน

HPV (Human Papillomavirus) คือหนึ่งในเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วโลก แม้หลายคนอาจติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว แต่ HPV กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องปาก และมะเร็งทวารหนักได้ในระยะยาว

บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับเชื้อเอชพีวีในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นชนิดของเชื้อ การติดต่อ อาการ แนวทางการตรวจวินิจฉัย การรักษา รวมถึงการป้องกันทั้งด้วยวัคซีนและวิธีธรรมชาติ พร้อมเจาะลึกประเด็นเฉพาะสำหรับกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูลที่ถูกต้อง

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

HPV คืออะไร?

เชื้อเอชพีวี (HPV: Human Papillomavirus) คือไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ช่องปาก หรือคอ พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเป็นหนึ่งในไวรัสที่พบมากที่สุดในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD)

HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ย่อย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่:

  • สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ (Low-risk types): เช่น HPV 6 และ 11 ซึ่งมักทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ หรือหูดบริเวณผิวหนังอื่นๆ
  • สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (High-risk types): เช่น HPV 16 และ HPV 18 ที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการเกิดมะเร็งปากมดลูก รวมถึงมะเร็งทวารหนัก ช่องปาก และคอหอย

แม้คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการและสามารถหายได้เองโดยไม่รู้ตัวในช่วง 1-2 ปีแรก แต่อีกส่วนหนึ่งที่มีการติดเชื้อเรื้อรังโดยเฉพาะจากสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง อาจนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์ และพัฒนาเป็นมะเร็งในระยะยาว

ในประเทศไทย มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ในเพศหญิง และเชื้อ HPV ก็ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคนี้

ชนิดของเชื้อ HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำและสูง

เชื้อไวรัส HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่สามารถติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์มีประมาณ 40 สายพันธุ์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก:

สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ (Low‑risk types)

  • ได้แก่ HPV 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ (condyloma acuminata) และหูดผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ โดยไม่เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างตรงไปตรงมา
  • สายพันธุ์อื่น ๆ เช่น 40, 42, 43, 44 และ 54 ก็เป็น low‑risk โดยมักก่อหูดชนิดต่างๆ ทั้งในบริเวณอวัยวะเพศ มือ หรือเท้า

สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (High‑risk types)

  • ประกอบด้วยสายพันธุ์ เช่น HPV 16, 18, 31, 33, 45, 52, 58 และอื่น ๆ รวมอย่างน้อย 12 ชนิด ที่สามารถก่อให้เกิด เซลล์ผิดปกติและมะเร็ง ได้
  • โดยเฉพาะ HPV 16 และ 18 พบว่าเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกกว่า 70% และยังเชื่อมโยงกับมะเร็งช่องปาก, คอ, ทวารหนัก และองคชาติอีกด้วย

สรุปกลุ่มสายพันธุ์ HPV (ตาราง)

กลุ่ม ตัวอย่างสายพันธุ์ โรคที่เกี่ยวข้อง
Low‑risk 6, 11, 40, 42, 43, 54 หูดอวัยวะเพศ หูดผิวหนังไม่อันตราย
High‑risk 16, 18, 31, 33, 45, 52, 58 มะเร็งปากมดลูก ช่องปาก ทวารหนัก องคชาต

ทำไมต้องรู้เรื่องสายพันธุ์ HPV

  • ช่วยให้เข้าใจความเสี่ยงของการติดเชื้อมากขึ้น
  • เป็นพื้นฐานในการเลือก วัคซีน HPV (เช่น Gardasil 4‑valent หรือ 9‑valent) ที่ครอบคลุมสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงได้ดี
  • ช่วยในการตัดสินใจด้านการ ตรวจคัดกรอง และวางแนวทางติดตาม (เช่น การตรวจ Pap/HPV DNA Test)

การติดต่อของเชื้อ HPV ช่องทางและความเสี่ยง

เชื้อ HPV ติดต่อกันได้หลัก ๆ ผ่านการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์โดยตรงทั้งในเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ (vaginal, anal sex) และแบบอื่น ๆ เช่น เพศสัมพันธ์ทางปาก รวมถึงการสัมผัสด้วยมือบนบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น ปาก ช่องคลอด ทวารหนัก หรืออวัยวะเพศ

กลไกการติดต่อ

  • Skin-to-skin contact: เชื้ออาศัยอยู่ที่ผิวหนังชั้นบน หากมีการสัมผัสระหว่างบุคคล เช่น สัมผัสอวัยวะแบบไม่มีถุงยาง หรือถุงยางไม่คลุมเต็มพื้นที่ ก็สามารถแพร่เชื้อได้
  • Oral and anal sex: การมีเพศสัมพันธ์ทางปากและทวารหนัก ทำให้เชื้อแพร่เข้าสู่ช่องปาก คอ หรือทวารหนัก ซึ่งบางคนอาจไม่คาดคิดว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อ
  • การใช้มือหรืออุปกรณ์: แม้จะน้อย แต่กรณีการสัมผัสผ่านมือ (fingering) หรืออุปกรณ์ทางเพศที่ใช้ร่วมกัน ก็ถือว่าอาจนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้
  • แม่สู่ลูกในขณะคลอด: แม้โอกาสน้อยเช่นกัน แต่พบว่าเด็กอาจติดเชื้อ HPV จากแม่ขณะคลอดผ่านช่องคลอด

ประสิทธิภาพของการใช้ถุงยางอนามัย

  • ถุงยางอนามัยลดความเสี่ยงการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ดี แต่ HPV ติดต่อผ่านผิวหนังบริเวณที่ถุงยางคลุมไม่ถึง ทำให้ยังมีความเสี่ยงแม้ใส่ถุงยาง
  • ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่าการใช้ถุงยางสม่ำเสมอและถูกวิธี สามารถลดโอกาสติด HPV ได้ประมาณ 70%
  • อย่างไรก็ดี การใช้ถุงยางนับเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพเมื่อใช้ควบคู่กับวัคซีน HPV และการจำกัดจำนวนคู่นอน

ทำไมการรู้ช่องทางการแพร่เชื้อจึงสำคัญ

  • ตระหนักถึงความเสี่ยง: การเข้าใจว่า HPV แพร่ผ่านผิวหนัง และอวัยวะทุกส่วนที่ไม่ได้ถูกปกปิด จะช่วยให้ระมัดระวังได้มากขึ้น
  • เลือกมาตรการป้องกันที่เหมาะสม: เช่น ใช้ถุงยางอย่างถูกวิธี จัดลำดับคู่นอน หรือฉีดวัคซีนก่อนมีเพศสัมพันธ์
  • ลดการตีตราผู้ติดเชื้อ: เพราะหลายกรณีผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัวหรือมีความเสี่ยงแม้ไม่มีเพศสัมพันธ์แบบเฉพาะทาง

สัญญาณเตือน อาการของโรคติดเชื้อ HPV ที่ไม่ควรมองข้าม

อาการ HPV โดยทั่วไป: หลายคนไม่รู้ตัว

  • ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ไม่มีอาการชัดเจน (asymptomatic) และเชื้ออาจหายเองภายใน 2 ปี
  • การไม่มีอาการถือเป็นสิ่งน่ากังวล เพราะอาจนำไปสู่การแพร่เชื้อหรือเซลล์ผิดปกติ ก่อนไวเกินแก้

อาการหูดหงอนไก่ (Genital Warts)

  • เกิดจากสายพันธุ์ low‑risk เช่น HPV 6 และ 11 ปรากฏเป็น ติ่งเนื้อ รูปร่างคล้ายดอกกะหล่ำ หรือผิวไม่เรียบ
  • อาจขึ้นบริเวณ อวัยวะเพศชาย (องคชาติ, ถุงอัณฑะ) หรือ อวัยวะเพศหญิง (ปากช่องคลอด, ปากมดลูก) รวมถึง ทวารหนักหรือช่องปาก (หากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก)
  • อาการที่พบ ได้แก่ ตุ่มเล็ก สีเนื้อหรือคล้ำ, รู้สึกคันหรือเจ็บเล็กน้อย, หรือเลือดซึมเมื่อมีเพศสัมพันธ์

อาการต่างๆ ตามตำแหน่ง

  • หูดทั่วไปและหูดฝ่าเท้า: เกิดจากสายพันธุ์ผิวหนัง อาจขึ้นบนมือ นิ้ว หรือฝ่าเท้า (ไม่จัดเป็น STD)
  • หูดช่องปาก–ลำคอ: เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก มักไม่สะท้อนอาการชัด แต่หูดหรือแผลอาจปรากฏและอักเสบได้น้อย
  • อาการแทรกซ้อน: ถ้าติดเชื้อระยะยาว โดยเฉพาะสายพันธุ์ high‑risk อาจเกิด เซลล์ผิดปกติ ตรวจพบผ่าน Pap Smear หรือ HPV DNA test นำไปสู่มะเร็งได้

อาการเฉพาะในเพศหญิงและเพศชาย

  • เพศหญิง: อาจมีตกขาวมากกว่าปกติ กลิ่นแรง หรือมีเลือดปนหากมีหูดในช่องคลอด/ปากมดลูก
  • เพศชาย: หูดอาจขึ้นบริเวณองคชาติ ทวารหนัก หรือคันบริเวณกล้าม ผิวไม่สม่ำเสมอ แต่ส่วนใหญ่ไม่เจ็บหรือเจ็บน้อย

จุดที่ควรสังเกตและเข้าพบแพทย์

  • หูดใหม่ ตุ่ม แผ่นขาว–แดง รอยแผล หลังมีเพศสัมพันธ์
  • อาการตกขาวผิดปกติเลือดหรือกลิ่นมาก
  • รอยโรคเดียวกันที่ ช่องปาก ลำคอ หรือทวารหนัก
  • ผลตรวจ Pap/HPV DNA test แสดงเซลล์ผิดปกติ

การตรวจคัดกรอง Pap Smear และ HPV DNA มีความสำคัญ เพราะหลายกรณีผู้ติดเชื้อไม่มีอาการเลย แต่ผลตรวจอาจบ่งชี้ถึง เซลล์เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

การวินิจฉัยและการตรวจหาเชื้อ HPV ค้นหาความเสี่ยงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ผู้ชายควรตรวจ HPV หรือไม่? ตรวจอย่างไร?

แม้การตรวจ HPV โดยทั่วไปจะเน้นในเพศหญิง แต่ผู้ชายซีที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น รักร่วมเพศ หรือมีผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศผิดปกติ ก็ควรพิจารณาตรวจด้วย โดยสามารถตรวจได้ผ่าน:

  • การตรวจตัวอย่างเซลล์จากอวัยวะเพศหรือทวารหนัก เช่นเดียวกับผู้หญิง
  • ตรวจภาพทางคลินิก หากมีหูดหรือรอยโรคที่สงสัย
  • แม้ยังไม่มีกลุ่มคำแนะนำในระดับกว้าง แต่หากมีความเสี่ยงสูงหรือพบหูด ก็ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง

การตรวจ Pap Smear และ HPV DNA Test แตกต่างกันอย่างไร?

  • Pap Smear (Cytology) คือการเก็บตัวอย่างเซลล์บริเวณปากมดลูกเพื่อตรวจความผิดปกติ เช่น เซลล์ดิสพลาสเซียหรือติ่งก่อนมะเร็ง
  • HPV DNA Test คือการตรวจหา DNA ของสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (เช่น 16, 18) ที่เป็นปัจจัยนำมาซึ่งเซลล์ผิดปกติ แม้ยังไม่มีอาการ หรือเซลล์แปรปรวน

ข้อแตกต่างสำคัญ

การตรวจ Pap Smear HPV DNA Test
ตรวจอะไร เซลล์ผิดปกติ (ดิสพลาสเซีย, มะเร็ง) DNA ของเชื้อ HPV ความเสี่ยงสูง
ความแม่นยำ ความไว ~55% ความไวสูงกว่า ~90–97%
ช่วงอายุแนะนำ สตรี 21–65 ปี ผู้หญิง ≥30 ปี (หรือตรวจร่วม Pap)
ความถี่แนะนำ ทุก 3 ปี ทุก 5 ปี หรือ co‑testing ทุก 5 ปี

การส่องกล้องคอลโปสโคปี (Colposcopy) เมื่อไหร่ที่จำเป็น?

แนะนำให้ทำ colposcopy เมื่อ

  • ผล Pap แสดง HSIL หรือ ASC-US ที่มี HPV high-risk เป็นบวก
  • ผล HPV DNA Test มีสายพันธุ์ 16 หรือ 18 เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด

เมื่อแพทย์พิจารณาแล้ว อาจทำการส่องกล้องและเก็บชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อวินิจฉัยว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (CIN 2/3) หรือไม่

ขั้นตอนคร่าวของการตรวจ Colposcopy

  1. สอด speculum เพื่อตรวจมดลูก
  2. ใช้ colposcope ส่องดูผิวเยื่อบุ
  3. ใช้สารกรดอะซิติกหรือสาร Iodine ทำให้บริเวณผิดปกติชัดเจน
  4. ทำการเก็บชิ้นเนื้อ (หากจำเป็น)
  5. ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตึงหรือตกขาวเล็กน้อย หลังตรวจเสร็จควรระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์

ขั้นตอนการตรวจที่ Safe Clinic: ความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว

ที่ Safe Clinic ตั้งอยู่ชั้น 3 อาคาร Times Square ถนนสุขุมวิท (ใกล้ BTS อโศก, MRT สุขุมวิท) ให้บริการทั้งแบบ Walk‑in และนัดหมายล่วงหน้า เลือกรูปแบบที่เหมาะกับคุณได้ทันที

ขั้นตอนการตรวจ

  1. นัดหมายหรือ Walk‑in ได้สะดวก
    • สามารถติดต่อผ่านโทรศัพท์หรือแอปฯ จองออนไลน์ (HDmall, GoWabi) ได้ตลอดวัน
    • เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 12.00–20.00 น.
  2. ตรวจคัดกรอง HPV
    • HPV DNA Test (Urine PCR): 2,500 บาท ตรวจหา 14 สายพันธุ์ high‑risk
  3. ส่งผลและให้คำปรึกษา
    • ผลรายงานตรวจเรียบร้อยภายใน 3–5 วัน หากเจอความผิดปกติ แพทย์จะวางแผนการรักษาตามความเหมาะสม

ราคาอ้างอิงบริการตรวจ HPV

  • HPV DNA Test (Urine PCR 14 สายพันธุ์): 2,500 ฿

จุดเด่นของการตรวจที่นี่

  • ทึ่ตั้งสะดวก ใจกลางอโศก เดินทางง่ายจาก BTS – MRT
  • บริการส่วนตัว ไม่มีการบอกผลให้บุคคลภายนอก ทราบเฉพาะผู้รับบริการเท่านั้น
  • แพทย์เฉพาะทางด้านเพศสัมพันธ์และไวรัส พร้อมให้คำแนะนำครบวงจร
  • มีห้อง Lab ภายใน ช่วยให้ทราบผลเร็วและแม่นยำภายใน 3–5 วัน

แนวทางการรักษาโรคติดเชื้อ HPV จัดการอาการและควบคุมการดำเนินของโรค

การรักษาหูดหงอนไก่ วิธีการและประสิทธิภาพ

แม้ว่าเชื้อ HPV เองยังไม่มี “ยาเฉพาะที่รักษาได้” แต่หูดหงอนไก่หรือติ่งเนื้อที่เกิดจากเชื้อสามารถรักษาได้ด้วยหลายวิธี

ยากลุ่มทาภายนอก (Topical Agents)

  • Podofilox (podophyllotoxin): ใช้เป็นยาเหลวหรือเจล ทาทุกวัน (2 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 3 วัน แล้วหยุด 4 วัน) ทำซ้ำได้สูงสุด 4 รอบ การรักษาถูกออกแบบให้ทับหูดไม่เกิน 0.5 mL/วัน เพื่อจัดการพื้นที่หูดไม่เกิน 10 cm²
  • Imiquimod 5% cream: ใช้ทาในเวลากลางคืน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จุดเด่นคือ “เสริมภูมิคุ้มกัน” ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อได้ดีขึ้น อาจมีอาการบวม แสบ หรือคันบริเวณที่ทา
  • Sinecatechins 15% ointment (green-tea extract): ทาวันละ 3 ครั้ง นานที่สุด 16 สัปดาห์

วิธีกลไกรักษาทางคลินิก (Provider-administered)

  • Cryotherapy: ใช้น้ำยาไนโตรเจนเหลว (กดไม่เจาะ) แช่บริเวณหูดซ้ำหลายครั้ง โดยประมาณ 50% ของผู้ป่วยหายใน 3 ครั้ง เฉลี่ยหายถึง 94% แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำราว 10%
  • Trichloroacetic Acid (TCA) 60–90%: ทาโดยแพทย์สัปดาห์ละครั้งจนหาย มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยตั้งครรภ์ เพราะปลอดภัย
  • Surgery / Laser / Excision: แพทย์อาจตัดหรือตัดออก ร่วมกับการใช้เลเซอร์ เหมาะกับหูดขนาดใหญ่หรือดื้อการรักษา

สรุปเปรียบเทียบ

วิธีรักษา จุดเด่น ข้อควรระวัง
Podofilox ใช้ง่ายที่บ้าน ห้ามใช้ในผู้ตั้งครรภ์
Imiquimod เสริมภูมิคุ้มกัน ระคายเคือง, ให้แพทย์แนะนำวิธีการใช้
Sinecatechins จากสารสกัดธรรมชาติ ต้องทานาน (≤16 สัปดาห์)
Cryotherapy รักษาได้ผลเร็วในคลินิก เจ็บ, ต้องทำซ้ำหลายรอบ
TCA ปลอดภัยในครรภ์ แสบมากในบางราย
Surgery/Laser กำจัดหูดได้ครั้งเดียว มีแผล, ต้องทำด้วยแพทย์โดยเฉพาะ

การจัดการกับรอยโรคก่อนมะเร็ง ทางเลือกและผลลัพธ์

กรณีพบ รอยโรค precancer เช่น CIN 2–3, HSIL หรือ AIS ขั้นตอนรักษามักมีดังนี้:

  • Cryocautery / Laser cautery: ใช้ความเย็นหรือเลเซอร์ทำลายเซลล์ผิดปกติ
  • Loop Electrosurgical Excision Procedure (LEEP) หรือ Cold Knife Conization: ตัดเซลล์รอบปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย (cone)

ข้อควรพิจารณา

  • การรักษาเหล่านี้ช่วย ลดความเสี่ยงมะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • อย่างไรก็ตามอาจเพิ่มโอกาส ตั้งครรภ์ยาก หรือ คลอดก่อนกำหนด ในอนาคต โดยเฉพาะการตัดเนื้อเยื่อมาก ๆ
  • การติดตามต่อเนื่องหลังการรักษาอย่างน้อย 25 ปี ด้วย Pap หรือ HPV test คือแนวทางมาตรฐาน

HPV หายขาดได้หรือไม่? สิ่งที่คุณควรรู้

  • ระบบภูมิคุ้มกันสามารถ จัดการเชื้อ HPV ได้เองภายใน 1–2 ปี ในผู้ติดเชื้อกว่า 90%
  • อย่างไรก็ตาม ไม่มีการรักษาเฉพาะเจาะจงสำหรับเชื้อ การรักษามุ่งไปที่ อาการหรือรอยโรค เท่านั้น และไม่มีการรับประกันว่าจะไม่กลับมาเป็นซ้ำ
  • การเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น โดยใช้ Imiquimod พร้อมดูแลสุขภาพร่างกาย เช่น นอนพักเพียงพอ เลี่ยงบุหรี่ – ช่วยเพิ่มโอกาสกำจัดเชื้อได้เร็วขึ้น

วัคซีน HPV เกราะป้องกันมะเร็งที่ทุกคนควรพิจารณา

ประเภทของวัคซีน HPV 2, 4 และ 9 สายพันธุ์ 

  • ปัจจุบันมีวัคซีน HPV อยู่ 3 ประเภทหลัก
    • Bivalent (2 สายพันธุ์) เช่น Cervarix ป้องกันสายพันธุ์ high-risk 16 และ 18
    • Quadrivalent (4 สายพันธุ์) เช่น Gardasil ดั้งเดิม ป้องกันสายพันธุ์ 16, 18, 6 และ 11
    • Nonavalent (9 สายพันธุ์) เช่น Gardasil 9 ครอบคลุม 16, 18, 6, 11, 31, 33, 45, 52 และ 58
  • ทั้ง 3 ชนิดมีความปลอดภัยสูง และสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมาก
    • vaccine ชนิด 2‑valent ป้องกันมะเร็งได้กว่า 70%
    • vaccine ชนิด 9‑valent ป้องกันมะเร็งช่องต่างๆ ได้มากถึง ~93–100% สำหรับสายพันธุ์ high‑risk

ใครควรฉีดวัคซีน HPV? ช่วงอายุและความสำคัญ

  • กลุ่มเป้าหมายหลักคือเด็กอายุ 9–14 ปี (สองเข็มห่างกัน 6–12 เดือน) โดยฉีดยาได้ตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไป
  • อายุ 15–45 ปี หากยังไม่เคยฉีด แนะนำฉีดแบบสามเข็ม (0, 1–2, 6 เดือน) โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
  • วัคซีนประโยชน์สูงหากฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ ครั้งแรก ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดีป้องกันได้เต็มที่

ประโยชน์และผลข้างเคียงของวัคซีน HPV

  • ประโยชน์หลัก
    • ลดการติดเชื้อสายพันธุ์ high‑risk และ genesis ของหูดหงอนไก่
    • ลดอัตราเกิด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก อวัยวะสืบพันธุ์ชาย และมะเร็งช่องปากได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ผลข้างเคียงทั่วไป (ไม่รุนแรง)
    • ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด, มีไข้ ปวดหัว คลื่นไส้, และอาจหน้ามืดเป็นลมหลังฉีด จึงควรนั่งพัก 15 นาทีหลังฉีด
    • กรณีแพ้รุนแรง (anaphylaxis) พบได้น้อยมาก ประมาณ 1.7 รายต่อ 1 ล้านโดส
    • ไม่มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการเกิดโรคภูมิต้านตนเองหรือภาวะมีบุตรยาก

นัดฉีดวัคซีน HPV ที่ Safe Clinic: ปลอดภัย มั่นใจ

ทาง Safe Clinic ให้บริการวัคซีน HPV ด้วย วัคซีน 9‑valent (Gardasil 9) ตามตารางที่เหมาะสม

  • อายุ 9–14 ปี: ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6–12 เดือน
  • อายุ 15–45 ปี หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ: ฉีด 3 เข็ม (0, 1–2, 6 เดือน)
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนหรือมีคำถามเพิ่มเติม สามารถนัดแพทย์เฉพาะทางเพื่อคำปรึกษาได้เต็มที่

การป้องกัน HPV นอกจากการฉีดวัคซีน: ลดความเสี่ยงด้วยวิธีอื่นๆ

เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย: แนวทางปฏิบัติ (H3)

  • ใช้ถุงยางอนามัย (ชาย/หญิง) อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ (ทั้ง vaginal, oral หรือ anal) ถึงแม้จะลดความเสี่ยงได้เพียง 70–80% เนื่องจากเชื้อ HPV ยังสามารถติดต่อผ่านผิวหนังส่วนที่ไม่ได้คลุมโดยถุงยางได้
  • ใช้ dental dam หรือถุงพลาสติกสำหรับเพศสัมพันธ์ทางปาก แม้วิธีนี้จะช่วยป้องกัน STI ได้ แต่ยังคงไม่ครอบคลุมการสัมผัสผิวหนังทั้งหมด
  • จำกัดคู่นอน และหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์เร็วเกินไป การมี sexual partners น้อย และการเลื่อนกิจกรรมทางเพศไปยังช่วงวัยที่เหมาย จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อ HPV ได้อย่างมีนัยสำคัญ

การตรวจคัดกรองประจำปี: ความสำคัญต่อสุขภาพระยะยาว

  • Pap Smear และ HPV DNA Test ช่วยตรวจพบเซลล์ผิดปกติหรือสายพันธุ์ high-risk ก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง
  • ตรวจทุก 3–5 ปี ตามแนวทาง เช่น เพศหญิงอายุ 21–65 ปี ควรตรวจ Pap smear ทุก 3 ปี หรือ co-testing (Pap + HPV DNA) ทุก 5 ปี
  • การตรวจ Screening นี้เป็นกลไก “secondary prevention” ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 80%

ปัจจัยเสริมพฤติกรรมเพื่อเสริมภูมิต้านทาน

  • งดสูบบุหรี่ และลดการดื่มเหล้า เพราะสารในบุหรี่และแอลกอฮอล์ช่วยให้ HPV ติดเชื้อรุนแรงขึ้น หรือส่งผลต่อความสามารถในการกำจัดเชื้อ
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เช่น รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ (มีวิตามิน A, C, E) พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกาย เพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้เร็วขึ้น

สรุปมาตรการป้องกันที่ควรทำ

  1. ฉีดวัคซีน HPV (primary prevention)
  2. ใช้ถุงยาง / dental dam ได้ถูกวิธี และจำกัดจำนวนคู่นอน
  3. ตรวจคัดกรอง Pap/HPV อย่างสม่ำเสมอ
  4. ปรับพฤติกรรมเลี่ยงเสี่ยง และรักษาสุขภาพ (เลิกบุหรี่-เหล้า, กินอายุ, พักผ่อน)

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองหรือการปรับพฤติกรรม สามารถบอกได้เลยครับ

HPV กับความเสี่ยงมะเร็ง: เข้าใจสายพันธุ์ ความสัมพันธ์ และกลุ่มเสี่ยงเฉพาะ

เชื้อ HPV กับสายพันธุ์ก่อมะเร็ง: ไม่ใช่ทุกชนิดที่อันตราย

  • จากสายพันธุ์ทั้งหมดกว่า 150 ชนิด มีเพียง ประมาณ 14 สายพันธุ์เท่านั้นที่จัดเป็น High-Risk HPV ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง
  • สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในมะเร็งปากมดลูก คือ HPV 16 และ HPV 18 คิดเป็นกว่า 70% ของกรณีทั้งหมด
  • นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์อื่น เช่น 31, 33, 45, 52, และ 58 ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งอื่นๆ เช่น ทวารหนัก ช่องคลอด และช่องปาก

ความเสี่ยงเชิงลึกของมะเร็งแต่ละชนิด

มะเร็งที่สัมพันธ์กับ HPV ความถี่ที่พบ HPV สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องหลัก
มะเร็งปากมดลูก >90% 16, 18
มะเร็งทวารหนัก ~90% 16, 18
มะเร็งช่องปาก-คอ ~70% 16
มะเร็งองคชาติ / ช่องคลอด / ปากช่องคลอด 40–70% 16, 18, 31
  • ในเพศชาย โดยเฉพาะกลุ่ม MSM (ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย) ความเสี่ยงมะเร็งทวารหนักและช่องปากสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • การติดเชื้อเรื้อรังนานกว่า 2 ปี โดยเฉพาะจากสายพันธุ์ high-risk คือปัจจัยสำคัญต่อการกลายเป็นมะเร็ง

ตรวจเจอก่อน = ลดโอกาสกลายเป็นมะเร็ง

  • การกลายเป็นมะเร็งมักใช้เวลากว่า 10 ปี ตั้งแต่เซลล์เริ่มผิดปกติ → รอยโรคก่อนมะเร็ง → มะเร็ง
  • หากตรวจเจอเร็วในระยะ precancer เช่น CIN 1–3 หรือ HSIL การรักษาจะมีประสิทธิภาพสูงและลดโอกาสลุกลาม
  • ไม่จำเป็นต้องกลัว หากพบเชื้อ แต่ยังไม่มีรอยโรคผิดปกติ เพราะแพทย์จะติดตามอาการและประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด

HPV ในหญิงตั้งครรภ์: ผลกระทบและการดูแล

  • การตั้งครรภ์ ไม่ทำให้เกิดการแพร่ของ HPV ไปยังทารกส่วนใหญ่ แต่หากมี หูดที่บริเวณช่องคลอดหรือปากมดลูก อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อแก่ทารกตอนคลอด (เช่น หูดในลำคอ) แม้ความเสี่ยงต่ำแต่ต้องเฝ้าระวัง
  • วันที่แพทย์จะแนะนำการ ติดตามหูดอย่างใกล้ชิด และแนะนำให้ คลอดด้วยการผ่าท้อง (C-section) เฉพาะในกรณีที่พบหูดขนาดใหญ่ที่อาจขัดขวางช่องคลอด
  • หลังคลอด ผู้ที่มีหูดอาจได้รับคำแนะนำให้ รักษาภายหลังให้หูดหายก่อน, แพทย์จะประเมินความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ทารกในอนาคต

HPV ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV): ความเสี่ยงและการดูแล

  • กลุ่ม HIV มักมี โอกาสติดเชื้อ HPV ซ้ำหรือคงอยู่เรื้อรังมากขึ้น, มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิด รอยโรค precancer และมะเร็ง เช่น CIN และ anal intraepithelial neoplasia (AIN)
  • แนวทางการจัดการที่แนะนำ:
    • ตรวจคัดกรองบ่อยกว่าปกติ เช่น ทุก 6 เดือน แทนที่จะเป็นทุก 3–5 ปี
    • พิจารณาฉีดวัคซีนแม้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 45 ปี เนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจตอบรับวัคซีนได้ดี
    • ร่วมประเมินกับแพทย์ถึงการ ใช้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน หรือแนวทางเสริมอื่นๆ เพื่อช่วยควบคุมเชื้อ

การดูแลตัวเองหลังการรักษา HPV

  • พักผ่อนและลดกิจกรรมหนัก หลังการรักษาหูดหรือ biopsy เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว
  • ห้ามสวนล้างหรือแช่น้ำนาน เช่น แช่น้ำในอ่างอาบน้ำหรือว่ายสระใน 1–2 สัปดาห์แรก เพื่อลดการติดเชื้อบริเวณที่ผิวหนังถูกทำลาย
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดหรือหนอง ปวดมากกว่าปกติ หรืออาการไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์ทันที
  • นัด follow-up ตรวจซ้ำ ตามคำแนะนำ เช่น หลัง Pap smear หรือ HPV DNA test ใน 6–12 เดือน เพื่อจับความผิดปกติใหม่ ๆ ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก

หลังฉีดวัคซีน HPV: การปฏิบัติตัวและสิ่งที่ต้องสังเกต

  • พักอย่างน้อย 15–30 นาที หลังฉีด ณ จุดให้บริการ เนื่องจากอาจเกิดอาการวิงเวียนหรือหน้ามืดได้
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักบริเวณที่ฉีด เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนักใน 24 ชั่วโมงแรก
  • ใช้ประคบเย็น หากมีอาการบวม ปวด หรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด ช่วยลดการอักเสบ อาการมักค่อย ๆ หายเป็นปกติภายใน 48–72 ชั่วโมง
  • สังเกตอาการระบบทั่วไป เช่น มีไข้ต่ำ ๆ หรือปวดกล้ามเนื้อ โดยปกติสามารถหายได้เอง หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นใน 2–3 วัน ขอให้ปรึกษาแพทย์
  • จดบันทึกการฉีดให้ครบถ้วน เช่น วันที่ฉีดชนิดวัคซีน และเข็มที่ เพื่อใช้จัดตารางนัดหมายเข็มต่อไปตามโปรโตคอล 2–3 เข็ม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ HPV (FAQ)

HPV ติดต่อทางไหนบ้าง?

  • เชื้อ HPV ติดต่อผ่าน การสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปาก ทั้งแบบ vaginal, oral หรือ anal sex โดยไม่จำเป็นต้องมีการสอดใส่
  • แม้ใช้ถุงยางอนามัยและ dental dam ก็ยังเสี่ยงเนื่องจากเชื้อสามารถเข้าทางผิวหนังที่ไม่ได้คลุมได้

ถ้าติด HPV แล้วจะมีลูกได้ไหม?

  • การติดเชื้อ HPV ไม่ส่งผลโดยตรงต่อภาวะมีบุตร โดยทั่วไปผู้ที่ติดเชื้อสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ
  • อย่างไรก็ตาม หากมี รอยโรครุนแรง (เช่น CIN 2–3) หรือทำการตัดเนื้อมดลูก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือมีภาวะตั้งครรภ์ยากได้เล็กน้อย
  • แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม

ผู้ชายต้องฉีดวัคซีน HPV หรือไม่?

  • ใช่ครับ! การฉีดวัคซีน HPV สำหรับผู้ชาย ช่วยป้องกันมะเร็ง ทวารหนัก ช่องปาก และองคชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มเพศชายรักร่วมเพศ (MSM)
  • แนะนำฉีดทั้งชายและหญิงช่วงอายุ 9–45 ปี ตามแนวทางการฉีดที่เหมาะสม

ผลตรวจ HPV เป็นบวก ควรทำอย่างไร?

  1. อย่าตกใจ! ผลบวกเพียงหมายความว่า “พบเชื้อ”
  2. ตรวจเพิ่มเติม เช่น Pap smear หรือ colposcopy เพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติ
  3. จัดการตามผล เช่น ตัดหูด รอยโรค หรือเฝ้าระวังเป็นระยะ
  4. เข้ารับวัคซีน (หากยังไม่เคยได้รับ) และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

หลังฉีดวัคซีน HPV ต้องตรวจคัดกรองอยู่ไหม?

  • ยังต้องตรวจคัดกรองเป็นประจำ แม้ฉีดวัคซีนแล้ว เนื่องจากวัคซีนไม่ครอบคลุมสายพันธุ์ทั้งหมด
  • แนะนำ Pap smear หรือ co‑testing ตามช่วงอายุของผู้หญิง (21–65 ปี) และปรับตามคำแนะนำแพทย์

บทสรุป

เชื้อไวรัส HPV เป็นสาเหตุหลักของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิด รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งในตำแหน่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์และเยื่อบุผิว แม้หลายคนติดเชื้อโดยไม่มีอาการ แต่หากไม่ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ เชื้ออาจพัฒนาไปสู่เซลล์ผิดปกติและลุกลามเป็นมะเร็งได้ในอนาคต

ปัจจุบันมีวิธีป้องกันและดูแลที่หลากหลาย ตั้งแต่การฉีดวัคซีน การตรวจ Pap smear และ HPV DNA test ไปจนถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษและตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

การเข้าใจความเสี่ยงและปฏิบัติตามแนวทางการดูแลอย่างเหมาะสม จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

icon email