HPV คืออะไร?
เชื้อเอชพีวี (HPV: Human Papillomavirus) คือไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ช่องปาก หรือคอ พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเป็นหนึ่งในไวรัสที่พบมากที่สุดในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD)
HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ย่อย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่:
- สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ (Low-risk types): เช่น HPV 6 และ 11 ซึ่งมักทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ หรือหูดบริเวณผิวหนังอื่นๆ
- สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (High-risk types): เช่น HPV 16 และ HPV 18 ที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการเกิดมะเร็งปากมดลูก รวมถึงมะเร็งทวารหนัก ช่องปาก และคอหอย
แม้คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการและสามารถหายได้เองโดยไม่รู้ตัวในช่วง 1-2 ปีแรก แต่อีกส่วนหนึ่งที่มีการติดเชื้อเรื้อรังโดยเฉพาะจากสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง อาจนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์ และพัฒนาเป็นมะเร็งในระยะยาว
ในประเทศไทย มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ในเพศหญิง และเชื้อ HPV ก็ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคนี้
ชนิดของเชื้อ HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำและสูง
เชื้อไวรัส HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่สามารถติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์มีประมาณ 40 สายพันธุ์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก:
สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ (Low‑risk types)
- ได้แก่ HPV 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ (condyloma acuminata) และหูดผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ โดยไม่เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างตรงไปตรงมา
- สายพันธุ์อื่น ๆ เช่น 40, 42, 43, 44 และ 54 ก็เป็น low‑risk โดยมักก่อหูดชนิดต่างๆ ทั้งในบริเวณอวัยวะเพศ มือ หรือเท้า
สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (High‑risk types)
- ประกอบด้วยสายพันธุ์ เช่น HPV 16, 18, 31, 33, 45, 52, 58 และอื่น ๆ รวมอย่างน้อย 12 ชนิด ที่สามารถก่อให้เกิด เซลล์ผิดปกติและมะเร็ง ได้
- โดยเฉพาะ HPV 16 และ 18 พบว่าเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกกว่า 70% และยังเชื่อมโยงกับมะเร็งช่องปาก, คอ, ทวารหนัก และองคชาติอีกด้วย
สรุปกลุ่มสายพันธุ์ HPV (ตาราง)
| กลุ่ม |
ตัวอย่างสายพันธุ์ |
โรคที่เกี่ยวข้อง |
|---|
| Low‑risk |
6, 11, 40, 42, 43, 54 |
หูดอวัยวะเพศ หูดผิวหนังไม่อันตราย |
| High‑risk |
16, 18, 31, 33, 45, 52, 58 |
มะเร็งปากมดลูก ช่องปาก ทวารหนัก องคชาต |
ทำไมต้องรู้เรื่องสายพันธุ์ HPV
- ช่วยให้เข้าใจความเสี่ยงของการติดเชื้อมากขึ้น
- เป็นพื้นฐานในการเลือก วัคซีน HPV (เช่น Gardasil 4‑valent หรือ 9‑valent) ที่ครอบคลุมสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงได้ดี
- ช่วยในการตัดสินใจด้านการ ตรวจคัดกรอง และวางแนวทางติดตาม (เช่น การตรวจ Pap/HPV DNA Test)
การติดต่อของเชื้อ HPV ช่องทางและความเสี่ยง
เชื้อ HPV ติดต่อกันได้หลัก ๆ ผ่านการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์โดยตรงทั้งในเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ (vaginal, anal sex) และแบบอื่น ๆ เช่น เพศสัมพันธ์ทางปาก รวมถึงการสัมผัสด้วยมือบนบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น ปาก ช่องคลอด ทวารหนัก หรืออวัยวะเพศ
กลไกการติดต่อ
- Skin-to-skin contact: เชื้ออาศัยอยู่ที่ผิวหนังชั้นบน หากมีการสัมผัสระหว่างบุคคล เช่น สัมผัสอวัยวะแบบไม่มีถุงยาง หรือถุงยางไม่คลุมเต็มพื้นที่ ก็สามารถแพร่เชื้อได้
- Oral and anal sex: การมีเพศสัมพันธ์ทางปากและทวารหนัก ทำให้เชื้อแพร่เข้าสู่ช่องปาก คอ หรือทวารหนัก ซึ่งบางคนอาจไม่คาดคิดว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อ
- การใช้มือหรืออุปกรณ์: แม้จะน้อย แต่กรณีการสัมผัสผ่านมือ (fingering) หรืออุปกรณ์ทางเพศที่ใช้ร่วมกัน ก็ถือว่าอาจนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้
- แม่สู่ลูกในขณะคลอด: แม้โอกาสน้อยเช่นกัน แต่พบว่าเด็กอาจติดเชื้อ HPV จากแม่ขณะคลอดผ่านช่องคลอด
ประสิทธิภาพของการใช้ถุงยางอนามัย
- ถุงยางอนามัยลดความเสี่ยงการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ดี แต่ HPV ติดต่อผ่านผิวหนังบริเวณที่ถุงยางคลุมไม่ถึง ทำให้ยังมีความเสี่ยงแม้ใส่ถุงยาง
- ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่าการใช้ถุงยางสม่ำเสมอและถูกวิธี สามารถลดโอกาสติด HPV ได้ประมาณ 70%
- อย่างไรก็ดี การใช้ถุงยางนับเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพเมื่อใช้ควบคู่กับวัคซีน HPV และการจำกัดจำนวนคู่นอน
ทำไมการรู้ช่องทางการแพร่เชื้อจึงสำคัญ
- ตระหนักถึงความเสี่ยง: การเข้าใจว่า HPV แพร่ผ่านผิวหนัง และอวัยวะทุกส่วนที่ไม่ได้ถูกปกปิด จะช่วยให้ระมัดระวังได้มากขึ้น
- เลือกมาตรการป้องกันที่เหมาะสม: เช่น ใช้ถุงยางอย่างถูกวิธี จัดลำดับคู่นอน หรือฉีดวัคซีนก่อนมีเพศสัมพันธ์
- ลดการตีตราผู้ติดเชื้อ: เพราะหลายกรณีผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัวหรือมีความเสี่ยงแม้ไม่มีเพศสัมพันธ์แบบเฉพาะทาง
สัญญาณเตือน อาการของโรคติดเชื้อ HPV ที่ไม่ควรมองข้าม
อาการ HPV โดยทั่วไป: หลายคนไม่รู้ตัว
- ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ไม่มีอาการชัดเจน (asymptomatic) และเชื้ออาจหายเองภายใน 2 ปี
- การไม่มีอาการถือเป็นสิ่งน่ากังวล เพราะอาจนำไปสู่การแพร่เชื้อหรือเซลล์ผิดปกติ ก่อนไวเกินแก้
อาการหูดหงอนไก่ (Genital Warts)
- เกิดจากสายพันธุ์ low‑risk เช่น HPV 6 และ 11 ปรากฏเป็น ติ่งเนื้อ รูปร่างคล้ายดอกกะหล่ำ หรือผิวไม่เรียบ
- อาจขึ้นบริเวณ อวัยวะเพศชาย (องคชาติ, ถุงอัณฑะ) หรือ อวัยวะเพศหญิง (ปากช่องคลอด, ปากมดลูก) รวมถึง ทวารหนักหรือช่องปาก (หากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก)
- อาการที่พบ ได้แก่ ตุ่มเล็ก สีเนื้อหรือคล้ำ, รู้สึกคันหรือเจ็บเล็กน้อย, หรือเลือดซึมเมื่อมีเพศสัมพันธ์
อาการต่างๆ ตามตำแหน่ง
- หูดทั่วไปและหูดฝ่าเท้า: เกิดจากสายพันธุ์ผิวหนัง อาจขึ้นบนมือ นิ้ว หรือฝ่าเท้า (ไม่จัดเป็น STD)
- หูดช่องปาก–ลำคอ: เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก มักไม่สะท้อนอาการชัด แต่หูดหรือแผลอาจปรากฏและอักเสบได้น้อย
- อาการแทรกซ้อน: ถ้าติดเชื้อระยะยาว โดยเฉพาะสายพันธุ์ high‑risk อาจเกิด เซลล์ผิดปกติ ตรวจพบผ่าน Pap Smear หรือ HPV DNA test นำไปสู่มะเร็งได้
อาการเฉพาะในเพศหญิงและเพศชาย
- เพศหญิง: อาจมีตกขาวมากกว่าปกติ กลิ่นแรง หรือมีเลือดปนหากมีหูดในช่องคลอด/ปากมดลูก
- เพศชาย: หูดอาจขึ้นบริเวณองคชาติ ทวารหนัก หรือคันบริเวณกล้าม ผิวไม่สม่ำเสมอ แต่ส่วนใหญ่ไม่เจ็บหรือเจ็บน้อย
จุดที่ควรสังเกตและเข้าพบแพทย์
- หูดใหม่ ตุ่ม แผ่นขาว–แดง รอยแผล หลังมีเพศสัมพันธ์
- อาการตกขาวผิดปกติเลือดหรือกลิ่นมาก
- รอยโรคเดียวกันที่ ช่องปาก ลำคอ หรือทวารหนัก
- ผลตรวจ Pap/HPV DNA test แสดงเซลล์ผิดปกติ
การตรวจคัดกรอง Pap Smear และ HPV DNA มีความสำคัญ เพราะหลายกรณีผู้ติดเชื้อไม่มีอาการเลย แต่ผลตรวจอาจบ่งชี้ถึง เซลล์เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
การวินิจฉัยและการตรวจหาเชื้อ HPV ค้นหาความเสี่ยงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ผู้ชายควรตรวจ HPV หรือไม่? ตรวจอย่างไร?
แม้การตรวจ HPV โดยทั่วไปจะเน้นในเพศหญิง แต่ผู้ชายซีที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น รักร่วมเพศ หรือมีผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศผิดปกติ ก็ควรพิจารณาตรวจด้วย โดยสามารถตรวจได้ผ่าน:
- การตรวจตัวอย่างเซลล์จากอวัยวะเพศหรือทวารหนัก เช่นเดียวกับผู้หญิง
- ตรวจภาพทางคลินิก หากมีหูดหรือรอยโรคที่สงสัย
- แม้ยังไม่มีกลุ่มคำแนะนำในระดับกว้าง แต่หากมีความเสี่ยงสูงหรือพบหูด ก็ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
การตรวจ Pap Smear และ HPV DNA Test แตกต่างกันอย่างไร?
- Pap Smear (Cytology) คือการเก็บตัวอย่างเซลล์บริเวณปากมดลูกเพื่อตรวจความผิดปกติ เช่น เซลล์ดิสพลาสเซียหรือติ่งก่อนมะเร็ง
- HPV DNA Test คือการตรวจหา DNA ของสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (เช่น 16, 18) ที่เป็นปัจจัยนำมาซึ่งเซลล์ผิดปกติ แม้ยังไม่มีอาการ หรือเซลล์แปรปรวน
ข้อแตกต่างสำคัญ
| การตรวจ |
Pap Smear |
HPV DNA Test |
|---|
| ตรวจอะไร |
เซลล์ผิดปกติ (ดิสพลาสเซีย, มะเร็ง) |
DNA ของเชื้อ HPV ความเสี่ยงสูง |
| ความแม่นยำ |
ความไว ~55% |
ความไวสูงกว่า ~90–97% |
| ช่วงอายุแนะนำ |
สตรี 21–65 ปี |
ผู้หญิง ≥30 ปี (หรือตรวจร่วม Pap) |
| ความถี่แนะนำ |
ทุก 3 ปี |
ทุก 5 ปี หรือ co‑testing ทุก 5 ปี |
การส่องกล้องคอลโปสโคปี (Colposcopy) เมื่อไหร่ที่จำเป็น?
แนะนำให้ทำ colposcopy เมื่อ
- ผล Pap แสดง HSIL หรือ ASC-US ที่มี HPV high-risk เป็นบวก
- ผล HPV DNA Test มีสายพันธุ์ 16 หรือ 18 เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด
เมื่อแพทย์พิจารณาแล้ว อาจทำการส่องกล้องและเก็บชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อวินิจฉัยว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (CIN 2/3) หรือไม่
ขั้นตอนคร่าวของการตรวจ Colposcopy
- สอด speculum เพื่อตรวจมดลูก
- ใช้ colposcope ส่องดูผิวเยื่อบุ
- ใช้สารกรดอะซิติกหรือสาร Iodine ทำให้บริเวณผิดปกติชัดเจน
- ทำการเก็บชิ้นเนื้อ (หากจำเป็น)
- ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตึงหรือตกขาวเล็กน้อย หลังตรวจเสร็จควรระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์
ขั้นตอนการตรวจที่ Safe Clinic: ความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว
ที่ Safe Clinic ตั้งอยู่ชั้น 3 อาคาร Times Square ถนนสุขุมวิท (ใกล้ BTS อโศก, MRT สุขุมวิท) ให้บริการทั้งแบบ Walk‑in และนัดหมายล่วงหน้า เลือกรูปแบบที่เหมาะกับคุณได้ทันที
ขั้นตอนการตรวจ
- นัดหมายหรือ Walk‑in ได้สะดวก
- สามารถติดต่อผ่านโทรศัพท์หรือแอปฯ จองออนไลน์ (HDmall, GoWabi) ได้ตลอดวัน
- เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 12.00–20.00 น.
- ตรวจคัดกรอง HPV
- HPV DNA Test (Urine PCR): 2,500 บาท ตรวจหา 14 สายพันธุ์ high‑risk
- ส่งผลและให้คำปรึกษา
- ผลรายงานตรวจเรียบร้อยภายใน 3–5 วัน หากเจอความผิดปกติ แพทย์จะวางแผนการรักษาตามความเหมาะสม
ราคาอ้างอิงบริการตรวจ HPV
- HPV DNA Test (Urine PCR 14 สายพันธุ์): 2,500 ฿
จุดเด่นของการตรวจที่นี่
- ทึ่ตั้งสะดวก ใจกลางอโศก เดินทางง่ายจาก BTS – MRT
- บริการส่วนตัว ไม่มีการบอกผลให้บุคคลภายนอก ทราบเฉพาะผู้รับบริการเท่านั้น
- แพทย์เฉพาะทางด้านเพศสัมพันธ์และไวรัส พร้อมให้คำแนะนำครบวงจร
- มีห้อง Lab ภายใน ช่วยให้ทราบผลเร็วและแม่นยำภายใน 3–5 วัน
แนวทางการรักษาโรคติดเชื้อ HPV จัดการอาการและควบคุมการดำเนินของโรค
การรักษาหูดหงอนไก่ วิธีการและประสิทธิภาพ
แม้ว่าเชื้อ HPV เองยังไม่มี “ยาเฉพาะที่รักษาได้” แต่หูดหงอนไก่หรือติ่งเนื้อที่เกิดจากเชื้อสามารถรักษาได้ด้วยหลายวิธี
ยากลุ่มทาภายนอก (Topical Agents)
- Podofilox (podophyllotoxin): ใช้เป็นยาเหลวหรือเจล ทาทุกวัน (2 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 3 วัน แล้วหยุด 4 วัน) ทำซ้ำได้สูงสุด 4 รอบ การรักษาถูกออกแบบให้ทับหูดไม่เกิน 0.5 mL/วัน เพื่อจัดการพื้นที่หูดไม่เกิน 10 cm²
- Imiquimod 5% cream: ใช้ทาในเวลากลางคืน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จุดเด่นคือ “เสริมภูมิคุ้มกัน” ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อได้ดีขึ้น อาจมีอาการบวม แสบ หรือคันบริเวณที่ทา
- Sinecatechins 15% ointment (green-tea extract): ทาวันละ 3 ครั้ง นานที่สุด 16 สัปดาห์
วิธีกลไกรักษาทางคลินิก (Provider-administered)
- Cryotherapy: ใช้น้ำยาไนโตรเจนเหลว (กดไม่เจาะ) แช่บริเวณหูดซ้ำหลายครั้ง โดยประมาณ 50% ของผู้ป่วยหายใน 3 ครั้ง เฉลี่ยหายถึง 94% แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำราว 10%
- Trichloroacetic Acid (TCA) 60–90%: ทาโดยแพทย์สัปดาห์ละครั้งจนหาย มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยตั้งครรภ์ เพราะปลอดภัย
- Surgery / Laser / Excision: แพทย์อาจตัดหรือตัดออก ร่วมกับการใช้เลเซอร์ เหมาะกับหูดขนาดใหญ่หรือดื้อการรักษา
สรุปเปรียบเทียบ
| วิธีรักษา |
จุดเด่น |
ข้อควรระวัง |
|---|
| Podofilox |
ใช้ง่ายที่บ้าน |
ห้ามใช้ในผู้ตั้งครรภ์ |
| Imiquimod |
เสริมภูมิคุ้มกัน |
ระคายเคือง, ให้แพทย์แนะนำวิธีการใช้ |
| Sinecatechins |
จากสารสกัดธรรมชาติ |
ต้องทานาน (≤16 สัปดาห์) |
| Cryotherapy |
รักษาได้ผลเร็วในคลินิก |
เจ็บ, ต้องทำซ้ำหลายรอบ |
| TCA |
ปลอดภัยในครรภ์ |
แสบมากในบางราย |
| Surgery/Laser |
กำจัดหูดได้ครั้งเดียว |
มีแผล, ต้องทำด้วยแพทย์โดยเฉพาะ |
การจัดการกับรอยโรคก่อนมะเร็ง ทางเลือกและผลลัพธ์
กรณีพบ รอยโรค precancer เช่น CIN 2–3, HSIL หรือ AIS ขั้นตอนรักษามักมีดังนี้:
- Cryocautery / Laser cautery: ใช้ความเย็นหรือเลเซอร์ทำลายเซลล์ผิดปกติ
- Loop Electrosurgical Excision Procedure (LEEP) หรือ Cold Knife Conization: ตัดเซลล์รอบปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย (cone)
ข้อควรพิจารณา
- การรักษาเหล่านี้ช่วย ลดความเสี่ยงมะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ
- อย่างไรก็ตามอาจเพิ่มโอกาส ตั้งครรภ์ยาก หรือ คลอดก่อนกำหนด ในอนาคต โดยเฉพาะการตัดเนื้อเยื่อมาก ๆ
- การติดตามต่อเนื่องหลังการรักษาอย่างน้อย 25 ปี ด้วย Pap หรือ HPV test คือแนวทางมาตรฐาน
HPV หายขาดได้หรือไม่? สิ่งที่คุณควรรู้
- ระบบภูมิคุ้มกันสามารถ จัดการเชื้อ HPV ได้เองภายใน 1–2 ปี ในผู้ติดเชื้อกว่า 90%
- อย่างไรก็ตาม ไม่มีการรักษาเฉพาะเจาะจงสำหรับเชื้อ การรักษามุ่งไปที่ อาการหรือรอยโรค เท่านั้น และไม่มีการรับประกันว่าจะไม่กลับมาเป็นซ้ำ
- การเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น โดยใช้ Imiquimod พร้อมดูแลสุขภาพร่างกาย เช่น นอนพักเพียงพอ เลี่ยงบุหรี่ – ช่วยเพิ่มโอกาสกำจัดเชื้อได้เร็วขึ้น
วัคซีน HPV เกราะป้องกันมะเร็งที่ทุกคนควรพิจารณา
ประเภทของวัคซีน HPV 2, 4 และ 9 สายพันธุ์
- ปัจจุบันมีวัคซีน HPV อยู่ 3 ประเภทหลัก
- Bivalent (2 สายพันธุ์) เช่น Cervarix ป้องกันสายพันธุ์ high-risk 16 และ 18
- Quadrivalent (4 สายพันธุ์) เช่น Gardasil ดั้งเดิม ป้องกันสายพันธุ์ 16, 18, 6 และ 11
- Nonavalent (9 สายพันธุ์) เช่น Gardasil 9 ครอบคลุม 16, 18, 6, 11, 31, 33, 45, 52 และ 58
- ทั้ง 3 ชนิดมีความปลอดภัยสูง และสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมาก
- vaccine ชนิด 2‑valent ป้องกันมะเร็งได้กว่า 70%
- vaccine ชนิด 9‑valent ป้องกันมะเร็งช่องต่างๆ ได้มากถึง ~93–100% สำหรับสายพันธุ์ high‑risk
ใครควรฉีดวัคซีน HPV? ช่วงอายุและความสำคัญ
- กลุ่มเป้าหมายหลักคือเด็กอายุ 9–14 ปี (สองเข็มห่างกัน 6–12 เดือน) โดยฉีดยาได้ตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไป
- อายุ 15–45 ปี หากยังไม่เคยฉีด แนะนำฉีดแบบสามเข็ม (0, 1–2, 6 เดือน) โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
- วัคซีนประโยชน์สูงหากฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ ครั้งแรก ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดีป้องกันได้เต็มที่
ประโยชน์และผลข้างเคียงของวัคซีน HPV
- ประโยชน์หลัก
- ลดการติดเชื้อสายพันธุ์ high‑risk และ genesis ของหูดหงอนไก่
- ลดอัตราเกิด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก อวัยวะสืบพันธุ์ชาย และมะเร็งช่องปากได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ผลข้างเคียงทั่วไป (ไม่รุนแรง)
- ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด, มีไข้ ปวดหัว คลื่นไส้, และอาจหน้ามืดเป็นลมหลังฉีด จึงควรนั่งพัก 15 นาทีหลังฉีด
- กรณีแพ้รุนแรง (anaphylaxis) พบได้น้อยมาก ประมาณ 1.7 รายต่อ 1 ล้านโดส
- ไม่มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการเกิดโรคภูมิต้านตนเองหรือภาวะมีบุตรยาก
นัดฉีดวัคซีน HPV ที่ Safe Clinic: ปลอดภัย มั่นใจ
ทาง Safe Clinic ให้บริการวัคซีน HPV ด้วย วัคซีน 9‑valent (Gardasil 9) ตามตารางที่เหมาะสม
- อายุ 9–14 ปี: ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6–12 เดือน
- อายุ 15–45 ปี หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ: ฉีด 3 เข็ม (0, 1–2, 6 เดือน)
- เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนหรือมีคำถามเพิ่มเติม สามารถนัดแพทย์เฉพาะทางเพื่อคำปรึกษาได้เต็มที่
การป้องกัน HPV นอกจากการฉีดวัคซีน: ลดความเสี่ยงด้วยวิธีอื่นๆ
เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย: แนวทางปฏิบัติ (H3)
- ใช้ถุงยางอนามัย (ชาย/หญิง) อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ (ทั้ง vaginal, oral หรือ anal) ถึงแม้จะลดความเสี่ยงได้เพียง 70–80% เนื่องจากเชื้อ HPV ยังสามารถติดต่อผ่านผิวหนังส่วนที่ไม่ได้คลุมโดยถุงยางได้
- ใช้ dental dam หรือถุงพลาสติกสำหรับเพศสัมพันธ์ทางปาก แม้วิธีนี้จะช่วยป้องกัน STI ได้ แต่ยังคงไม่ครอบคลุมการสัมผัสผิวหนังทั้งหมด
- จำกัดคู่นอน และหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์เร็วเกินไป การมี sexual partners น้อย และการเลื่อนกิจกรรมทางเพศไปยังช่วงวัยที่เหมาย จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อ HPV ได้อย่างมีนัยสำคัญ
การตรวจคัดกรองประจำปี: ความสำคัญต่อสุขภาพระยะยาว
- Pap Smear และ HPV DNA Test ช่วยตรวจพบเซลล์ผิดปกติหรือสายพันธุ์ high-risk ก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง
- ตรวจทุก 3–5 ปี ตามแนวทาง เช่น เพศหญิงอายุ 21–65 ปี ควรตรวจ Pap smear ทุก 3 ปี หรือ co-testing (Pap + HPV DNA) ทุก 5 ปี
- การตรวจ Screening นี้เป็นกลไก “secondary prevention” ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 80%
ปัจจัยเสริมพฤติกรรมเพื่อเสริมภูมิต้านทาน
- งดสูบบุหรี่ และลดการดื่มเหล้า เพราะสารในบุหรี่และแอลกอฮอล์ช่วยให้ HPV ติดเชื้อรุนแรงขึ้น หรือส่งผลต่อความสามารถในการกำจัดเชื้อ
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เช่น รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ (มีวิตามิน A, C, E) พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกาย เพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้เร็วขึ้น
สรุปมาตรการป้องกันที่ควรทำ
- ฉีดวัคซีน HPV (primary prevention)
- ใช้ถุงยาง / dental dam ได้ถูกวิธี และจำกัดจำนวนคู่นอน
- ตรวจคัดกรอง Pap/HPV อย่างสม่ำเสมอ
- ปรับพฤติกรรมเลี่ยงเสี่ยง และรักษาสุขภาพ (เลิกบุหรี่-เหล้า, กินอายุ, พักผ่อน)
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองหรือการปรับพฤติกรรม สามารถบอกได้เลยครับ
HPV กับความเสี่ยงมะเร็ง: เข้าใจสายพันธุ์ ความสัมพันธ์ และกลุ่มเสี่ยงเฉพาะ
เชื้อ HPV กับสายพันธุ์ก่อมะเร็ง: ไม่ใช่ทุกชนิดที่อันตราย
- จากสายพันธุ์ทั้งหมดกว่า 150 ชนิด มีเพียง ประมาณ 14 สายพันธุ์เท่านั้นที่จัดเป็น High-Risk HPV ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง
- สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในมะเร็งปากมดลูก คือ HPV 16 และ HPV 18 คิดเป็นกว่า 70% ของกรณีทั้งหมด
- นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์อื่น เช่น 31, 33, 45, 52, และ 58 ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งอื่นๆ เช่น ทวารหนัก ช่องคลอด และช่องปาก
ความเสี่ยงเชิงลึกของมะเร็งแต่ละชนิด
| มะเร็งที่สัมพันธ์กับ HPV |
ความถี่ที่พบ HPV |
สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องหลัก |
|---|
| มะเร็งปากมดลูก |
>90% |
16, 18 |
| มะเร็งทวารหนัก |
~90% |
16, 18 |
| มะเร็งช่องปาก-คอ |
~70% |
16 |
| มะเร็งองคชาติ / ช่องคลอด / ปากช่องคลอด |
40–70% |
16, 18, 31 |
- ในเพศชาย โดยเฉพาะกลุ่ม MSM (ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย) ความเสี่ยงมะเร็งทวารหนักและช่องปากสูงกว่าค่าเฉลี่ย
- การติดเชื้อเรื้อรังนานกว่า 2 ปี โดยเฉพาะจากสายพันธุ์ high-risk คือปัจจัยสำคัญต่อการกลายเป็นมะเร็ง
ตรวจเจอก่อน = ลดโอกาสกลายเป็นมะเร็ง
- การกลายเป็นมะเร็งมักใช้เวลากว่า 10 ปี ตั้งแต่เซลล์เริ่มผิดปกติ → รอยโรคก่อนมะเร็ง → มะเร็ง
- หากตรวจเจอเร็วในระยะ precancer เช่น CIN 1–3 หรือ HSIL การรักษาจะมีประสิทธิภาพสูงและลดโอกาสลุกลาม
- ไม่จำเป็นต้องกลัว หากพบเชื้อ แต่ยังไม่มีรอยโรคผิดปกติ เพราะแพทย์จะติดตามอาการและประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด
HPV ในหญิงตั้งครรภ์: ผลกระทบและการดูแล
- การตั้งครรภ์ ไม่ทำให้เกิดการแพร่ของ HPV ไปยังทารกส่วนใหญ่ แต่หากมี หูดที่บริเวณช่องคลอดหรือปากมดลูก อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อแก่ทารกตอนคลอด (เช่น หูดในลำคอ) แม้ความเสี่ยงต่ำแต่ต้องเฝ้าระวัง
- วันที่แพทย์จะแนะนำการ ติดตามหูดอย่างใกล้ชิด และแนะนำให้ คลอดด้วยการผ่าท้อง (C-section) เฉพาะในกรณีที่พบหูดขนาดใหญ่ที่อาจขัดขวางช่องคลอด
- หลังคลอด ผู้ที่มีหูดอาจได้รับคำแนะนำให้ รักษาภายหลังให้หูดหายก่อน, แพทย์จะประเมินความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ทารกในอนาคต
HPV ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV): ความเสี่ยงและการดูแล
- กลุ่ม HIV มักมี โอกาสติดเชื้อ HPV ซ้ำหรือคงอยู่เรื้อรังมากขึ้น, มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิด รอยโรค precancer และมะเร็ง เช่น CIN และ anal intraepithelial neoplasia (AIN)
- แนวทางการจัดการที่แนะนำ:
- ตรวจคัดกรองบ่อยกว่าปกติ เช่น ทุก 6 เดือน แทนที่จะเป็นทุก 3–5 ปี
- พิจารณาฉีดวัคซีนแม้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 45 ปี เนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจตอบรับวัคซีนได้ดี
- ร่วมประเมินกับแพทย์ถึงการ ใช้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน หรือแนวทางเสริมอื่นๆ เพื่อช่วยควบคุมเชื้อ
การดูแลตัวเองหลังการรักษา HPV
- พักผ่อนและลดกิจกรรมหนัก หลังการรักษาหูดหรือ biopsy เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว
- ห้ามสวนล้างหรือแช่น้ำนาน เช่น แช่น้ำในอ่างอาบน้ำหรือว่ายสระใน 1–2 สัปดาห์แรก เพื่อลดการติดเชื้อบริเวณที่ผิวหนังถูกทำลาย
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดหรือหนอง ปวดมากกว่าปกติ หรืออาการไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์ทันที
- นัด follow-up ตรวจซ้ำ ตามคำแนะนำ เช่น หลัง Pap smear หรือ HPV DNA test ใน 6–12 เดือน เพื่อจับความผิดปกติใหม่ ๆ ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
หลังฉีดวัคซีน HPV: การปฏิบัติตัวและสิ่งที่ต้องสังเกต
- พักอย่างน้อย 15–30 นาที หลังฉีด ณ จุดให้บริการ เนื่องจากอาจเกิดอาการวิงเวียนหรือหน้ามืดได้
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักบริเวณที่ฉีด เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนักใน 24 ชั่วโมงแรก
- ใช้ประคบเย็น หากมีอาการบวม ปวด หรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด ช่วยลดการอักเสบ อาการมักค่อย ๆ หายเป็นปกติภายใน 48–72 ชั่วโมง
- สังเกตอาการระบบทั่วไป เช่น มีไข้ต่ำ ๆ หรือปวดกล้ามเนื้อ โดยปกติสามารถหายได้เอง หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นใน 2–3 วัน ขอให้ปรึกษาแพทย์
- จดบันทึกการฉีดให้ครบถ้วน เช่น วันที่ฉีดชนิดวัคซีน และเข็มที่ เพื่อใช้จัดตารางนัดหมายเข็มต่อไปตามโปรโตคอล 2–3 เข็ม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ HPV (FAQ)
HPV ติดต่อทางไหนบ้าง?
- เชื้อ HPV ติดต่อผ่าน การสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปาก ทั้งแบบ vaginal, oral หรือ anal sex โดยไม่จำเป็นต้องมีการสอดใส่
- แม้ใช้ถุงยางอนามัยและ dental dam ก็ยังเสี่ยงเนื่องจากเชื้อสามารถเข้าทางผิวหนังที่ไม่ได้คลุมได้
ถ้าติด HPV แล้วจะมีลูกได้ไหม?
- การติดเชื้อ HPV ไม่ส่งผลโดยตรงต่อภาวะมีบุตร โดยทั่วไปผู้ที่ติดเชื้อสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ
- อย่างไรก็ตาม หากมี รอยโรครุนแรง (เช่น CIN 2–3) หรือทำการตัดเนื้อมดลูก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือมีภาวะตั้งครรภ์ยากได้เล็กน้อย
- แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม
ผู้ชายต้องฉีดวัคซีน HPV หรือไม่?
- ใช่ครับ! การฉีดวัคซีน HPV สำหรับผู้ชาย ช่วยป้องกันมะเร็ง ทวารหนัก ช่องปาก และองคชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มเพศชายรักร่วมเพศ (MSM)
- แนะนำฉีดทั้งชายและหญิงช่วงอายุ 9–45 ปี ตามแนวทางการฉีดที่เหมาะสม
ผลตรวจ HPV เป็นบวก ควรทำอย่างไร?
- อย่าตกใจ! ผลบวกเพียงหมายความว่า “พบเชื้อ”
- ตรวจเพิ่มเติม เช่น Pap smear หรือ colposcopy เพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติ
- จัดการตามผล เช่น ตัดหูด รอยโรค หรือเฝ้าระวังเป็นระยะ
- เข้ารับวัคซีน (หากยังไม่เคยได้รับ) และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
หลังฉีดวัคซีน HPV ต้องตรวจคัดกรองอยู่ไหม?
- ยังต้องตรวจคัดกรองเป็นประจำ แม้ฉีดวัคซีนแล้ว เนื่องจากวัคซีนไม่ครอบคลุมสายพันธุ์ทั้งหมด
- แนะนำ Pap smear หรือ co‑testing ตามช่วงอายุของผู้หญิง (21–65 ปี) และปรับตามคำแนะนำแพทย์
บทสรุป
เชื้อไวรัส HPV เป็นสาเหตุหลักของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิด รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งในตำแหน่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์และเยื่อบุผิว แม้หลายคนติดเชื้อโดยไม่มีอาการ แต่หากไม่ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ เชื้ออาจพัฒนาไปสู่เซลล์ผิดปกติและลุกลามเป็นมะเร็งได้ในอนาคต
ปัจจุบันมีวิธีป้องกันและดูแลที่หลากหลาย ตั้งแต่การฉีดวัคซีน การตรวจ Pap smear และ HPV DNA test ไปจนถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษและตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
การเข้าใจความเสี่ยงและปฏิบัติตามแนวทางการดูแลอย่างเหมาะสม จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ