อาการผิดปกติทางตา เช่น ตาแดง ตามัว หรือแสบตา เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่โรคตาทั่วไปอย่างเยื่อบุตาอักเสบ ไปจนถึงโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท อย่าง “โรคซิฟิลิสที่ตา” ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนไม่เคยคาดคิด
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า โรคซิฟิลิสที่ตามีลักษณะอย่างไร และแตกต่างจากโรคตาอื่นอย่างไร เพื่อให้สามารถสังเกตและแยกแยะอาการได้อย่างถูกต้อง และตัดสินใจเข้าพบแพทย์ได้ทันท่วงที
โรคซิฟิลิสที่ตา (Ocular Syphilis) คือภาวะแทรกซ้อนจากโรคซิฟิลิส ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่แพร่กระจายเข้าสู่ระบบประสาทและดวงตา โดยสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระยะของโรค แต่พบได้บ่อยในระยะที่สองหรือระยะแฝง (latent stage)
โรคนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในคนทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย
โรคซิฟิลิสที่ตาสามารถส่งผลต่ออวัยวะหลายส่วนของตา เช่น จอตา ม่านตา เส้นประสาทตา หรือแม้แต่เยื่อบุตา และอาจทำให้การมองเห็นลดลงหรือตาบอดได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
แม้จะเป็นภาวะที่พบได้น้อยเมื่อเทียบกับซิฟิลิสทั่วไป แต่ความรุนแรงของผลกระทบต่อการมองเห็น ทำให้โรคซิฟิลิสที่ตาถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางจักษุแพทย์ที่ไม่ควรมองข้าม
โรคซิฟิลิสที่ตาเป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum สามารถทำลายโครงสร้างสำคัญของดวงตา เช่น เส้นประสาทตา และจอตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีบทบาทหลักในการรับภาพ
อันตรายของโรคซิฟิลิสที่ตาอยู่ที่การดำเนินโรคที่อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยหลายรายละเลยหรือไม่รู้ตัวว่ามีการติดเชื้อ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่ตา จนเกิดความเสียหายอย่างถาวร
ยิ่งไปกว่านั้น การติดเชื้อที่ดวงตาอาจเป็นสัญญาณว่าเชื้อได้ลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทกลางแล้ว ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า Neurosyphilis และมีความเกี่ยวข้องกับโรคซิฟิลิสที่ตาในหลายกรณี
ดังนั้น โรคซิฟิลิสที่ตาจึงไม่ใช่แค่โรคตา แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพระบบประสาทที่ต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยด่วน
โรคซิฟิลิสที่ตาสามารถแสดงอาการได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงตาที่ติดเชื้อ โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
ลักษณะอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป และอาจเกิดขึ้นกับตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคตาอื่น เช่น เยื่อบุตาอักเสบ, ยูเวียอักเสบ หรือแม้แต่เส้นประสาทตาอักเสบจากสาเหตุอื่น
ผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการเจ็บตาชัดเจน แต่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากปล่อยไว้อาจพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรง เช่น ตาบอดถาวรได้
ตาแดงหรือการมองเห็นพร่ามัวเป็นอาการที่พบได้บ่อยจากหลายสาเหตุ เช่น ภูมิแพ้ การติดเชื้อ หรือแม้แต่ความล้าในดวงตา อย่างไรก็ตาม หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นร่วมกับพฤติกรรมเสี่ยง เช่น เคยติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือมีประวัติเป็นซิฟิลิสมาก่อน ควรระวังว่าอาจเป็นสัญญาณของ “โรคซิฟิลิสที่ตา” ได้
อาการที่ควรตั้งข้อสงสัยว่าตาแดงหรือพร่ามัวนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ ได้แก่
หากคุณมีอาการเหล่านี้ และอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรเข้าพบจักษุแพทย์หรือแพทย์โรคติดต่อเพื่อประเมินโดยละเอียด เพราะการปล่อยให้อาการลุกลาม อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้
แม้ว่าซิฟิลิสจะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ดวงตา เช่น “โรคซิฟิลิสที่ตา” โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยดังต่อไปนี้:
สิ่งสำคัญคือ แม้ไม่มีอาการผิดปกติที่ดวงตา ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ เพราะโรคซิฟิลิสที่ตาสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ไม่มีอาการทางระบบอื่นเลย
แม้โรคซิฟิลิสที่ตาจะจัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับซิฟิลิสในระบบอื่น ๆ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับดวงตาจากโรคซิฟิลิสกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV และกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)
จากรายงานของ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า มีการรายงานผู้ป่วย ocular syphilis เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยหลายรายมีอาการตาพร่ามัวและตาอักเสบรุนแรง ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลให้ตาบอดถาวรได้
สำหรับในประเทศไทย แม้จะยังไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับโรคซิฟิลิสที่ตา แต่จากแนวโน้มของผู้ป่วยซิฟิลิสที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานและกลุ่มเสี่ยงทางเพศ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ภาวะนี้จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
โรคซิฟิลิสที่ตาแม้จะพบไม่บ่อย แต่เป็นภาวะที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและไม่ควรถูกมองข้าม โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย
การตรวจโรคซิฟิลิสที่ตา จำเป็นต้องใช้ทั้งการซักประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกายทางตา และการตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกัน เพื่อยืนยันว่าการอักเสบหรือความผิดปกติในดวงตานั้นมีสาเหตุมาจากเชื้อ Treponema pallidum หรือไม่
ขั้นตอนการตรวจ
เนื่องจากโรคซิฟิลิสที่ตาสามารถเลียนแบบอาการของโรคตาอื่นได้หลายชนิด การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจร่วมกันหลายวิธี และควรดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาและโรคติดต่อโดยเฉพาะ
การรักษาโรคซิฟิลิสที่ตามีเป้าหมายหลักเพื่อกำจัดเชื้อ Treponema pallidum และป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร โดยแนวทางการรักษาหลักคือการใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับการแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา (CDC)
แม้การรักษาโรคซิฟิลิสที่ตาด้วยยาปฏิชีวนะจะช่วยกำจัดเชื้อได้สำเร็จในหลายกรณี แต่การดูแลตัวเองหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อซ้ำ และสามารถฟื้นฟูการมองเห็นได้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หากมีหนึ่งในอาการข้างต้น ไม่ควรรอดูอาการ แต่ควรรีบพบ จักษุแพทย์ หรือ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้การติดเชื้อลุกลามไปยังจอตา เส้นประสาทตา หรือระบบประสาทส่วนกลาง
เมื่อคุณเริ่มมีอาการผิดปกติที่ดวงตา เช่น ตาแดง ตามัว ปวดตา และมีประวัติเสี่ยงทางเพศ หรือเคยติดเชื้อซิฟิลิสมาก่อน ควรเลือกสถานพยาบาลที่มีทั้ง แพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดต่อ
ที่ Safe Clinic เรามีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ตรงในการดูแลผู้ป่วยซิฟิลิส โดยเฉพาะเคสที่มีความซับซ้อน เช่น การลุกลามของเชื้อเข้าสู่ตาและระบบประสาท เราให้บริการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำและปลอดภัย พร้อมดูแลคุณอย่างเป็นส่วนตัว ด้วยแนวทางการรักษาที่อิงตามมาตรฐานสากล (CDC / WHO)
บริการของเราครอบคลุมทั้ง
โรคซิฟิลิสที่ตาเป็นภาวะที่สามารถเลียนแบบอาการของโรคตาอื่นได้หลายชนิด จึงมีความเสี่ยงต่อการวินิจฉัยผิดหรือล่าช้า หากไม่สังเกตความแตกต่างอย่างละเอียด โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีประวัติเคยติดเชื้อซิฟิลิส
การเข้าใจความแตกต่างระหว่างโรคซิฟิลิสที่ตากับโรคตาทั่วไป จะช่วยให้คุณตัดสินใจเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทางได้อย่างรวดเร็ว และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว