หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “เอดส์” อาจรู้สึกกลัว กังวล หรือเกิดอคติต่อผู้ป่วย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โรคเอดส์คือภาวะที่เกิดขึ้นในระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV และสามารถควบคุมได้หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกล มีแนวทางดูแลและป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์แบบครบถ้วน ตั้งแต่นิยาม อาการ ระยะของโรค สาเหตุ วิธีการวินิจฉัย การใช้ยา PrEP/PEP ตลอดจนการป้องกันที่สามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณมีข้อมูลที่ถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ดูแลตัวเองหรือคนที่คุณรักได้อย่างเหมาะสม
โรคเอดส์ (AIDS) คืออะไร?
โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือ AIDS) คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายจนไม่สามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและมะเร็งบางชนิดได้อีกต่อไป ผู้ป่วยในระยะนี้จะติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม เชื้อราในสมอง หรือมะเร็งบางชนิด
HIV จะค่อย ๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน หากไม่ได้รับยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง ระดับ CD4 จะลดต่ำลงจนเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยว่าเข้าสู่ระยะโรคเอดส์เมื่อ
- CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
- หรือมีการติดเชื้อฉวยโอกาสที่จำเพาะ
ข้อเท็จจริงสำคัญ
- โรคเอดส์ ไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HIV ในระยะท้าย
- คนที่ติดเชื้อ HIV หากได้รับยาต้านไวรัสตั้งแต่เนิ่น ๆ และทานยาอย่างต่อเนื่องจะสามารถ ไม่พัฒนาเข้าสู่โรคเอดส์ได้เลย
- ปัจจุบันผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้รับการรักษาสม่ำเสมอมีอายุขัยใกล้เคียงกับคนทั่วไป
ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อ HIV พัฒนาเป็นโรคเอดส์
- ไม่ได้รับการวินิจฉัยเร็ว
- ขาดยา/ไม่ทานยาต่อเนื่อง
- มีโรคร่วมที่เร่งให้ภูมิคุ้มกันแย่ลง เช่น วัณโรค โรคตับ ฯลฯ
HIV กับ AIDS ต่างกันอย่างไร?
แม้คำว่า “HIV” และ “AIDS” มักจะถูกใช้แทนกันในชีวิตประจำวัน แต่ในทางการแพทย์แล้ว ทั้งสองคำนี้มีความหมายและบริบทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
- HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือชื่อของไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ CD4 หากไม่รักษาจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
- AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายถูกไวรัส HIV ทำลายจนภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง เป็นระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV
กล่าวง่าย ๆ คือ ทุกคนที่เป็น AIDS จะต้องติดเชื้อ HIV มาก่อน แต่ ไม่ใช่ทุกคนที่ติด HIV จะกลายเป็น AIDS หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ตารางเปรียบเทียบ: HIV vs AIDS
หัวข้อ
|
HIV
|
AIDS
|
---|
ความหมาย
|
ไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกัน
|
กลุ่มอาการระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV
|
ระยะของโรค
|
ระยะแรกของการติดเชื้อ
|
ระยะสุดท้าย หากไม่ได้รับการรักษา
|
การวินิจฉัย
|
ตรวจเจอเชื้อไวรัส HIV ในเลือด
|
CD4 < 200 หรือมีโรคฉวยโอกาส
|
การรักษา
|
ใช้ยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมเชื้อ
|
ใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับการรักษาโรคแทรกซ้อน
|
โอกาสฟื้นตัว
|
สูงมาก หากเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรก
|
หากได้รับการดูแลต่อเนื่อง ก็สามารถฟื้นตัวได้บางส่วน
|
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
- ❌ “ติด HIV = เป็นเอดส์แล้ว” → ผิด เพราะ HIV เป็นจุดเริ่มต้น ไม่ใช่ระยะสุดท้าย
- ✅ หากตรวจพบ HIV ตั้งแต่เนิ่น ๆ และทานยาต่อเนื่อง ผู้ป่วยสามารถ ไม่พัฒนาไปเป็น AIDS ได้เลย
โรคเอดส์มีกี่ระยะ?
การพัฒนาโรคจากการติดเชื้อ HIV ไปสู่โรคเอดส์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะค่อย ๆ ดำเนินไปตามลำดับระยะ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระยะหลัก โดยแต่ละระยะจะมีลักษณะอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกัน
1. ระยะไม่ปรากฏอาการ (Asymptomatic Stage)
- เกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อ HIV ในช่วงแรก
- ผู้ติดเชื้ออาจรู้สึกแข็งแรงดี ไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ
- หากตรวจเลือดในระยะนี้อาจพบเชื้อ HIV ได้แล้ว
- เป็นระยะที่เชื้อยังไม่ทำลายภูมิคุ้มกันมาก
หมายเหตุ: หากเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในระยะนี้ จะช่วยชะลอไม่ให้เชื้อพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ได้
2. ระยะมีอาการเริ่มต้น (Early Symptomatic Stage)
- เกิดเมื่อภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนแอลง
- อาการที่พบได้: น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย มีแผลในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้เรื้อรัง
- ตรวจเลือดจะพบว่าระดับ CD4 ลดลง
- เป็นระยะที่ควรเริ่มต้นการรักษาอย่างจริงจัง
3. ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น (AIDS Stage)
- ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมะเร็งบางชนิด
- ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาเฉพาะโรคร่วมกับ ART อย่างใกล้ชิด
หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ แม้จะอยู่ในระยะโรคเอดส์แล้ว ก็ยังสามารถควบคุมโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
อ่านเพิ่มเติม: เอดส์ (AIDS) กับ เอชไอวี (HIV) ต่างกันอย่างไร?
อาการของโรคเอดส์มีอะไรบ้าง?
อาการโรคเอดส์ที่พบได้บ่อย
เมื่อผู้ติดเชื้อ HIV เข้าสู่ระยะโรคเอดส์ ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่ำลงมาก จึงมีโอกาสเกิดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงและติดเชื้อได้ง่าย โดยอาการของโรคเอดส์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. อาการทั่วไปที่มักพบในระยะเอดส์
- น้ำหนักลดผิดปกติ
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- มีไข้เรื้อรัง (สูงหรือต่ำสลับกัน)
- ท้องเสียเรื้อรัง หรือเป็น ๆ หาย ๆ
- เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
- ต่อมน้ำเหลืองโตหลายตำแหน่ง
- ผื่นหรือแผลในช่องปาก
- เกิดฝ้าขาวในช่องปาก (oral thrush)
- ปวดหัว หรือเวียนศีรสบ่อย
- มีปัญหาด้านความจำหรือการรับรู้
2. อาการจากการติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic Infections)
- วัณโรคในปอดหรือส่วนอื่นของร่างกาย
- ปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis jirovecii
- เชื้อราในสมองหรือไขสันหลัง (cryptococcal meningitis)
- เริมที่รุนแรงหรือลุกลาม
- มะเร็งที่สัมพันธ์กับภูมิคุ้มกัน เช่น Kaposi’s sarcoma
- โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ไอเป็นเลือด หายใจติดขัด หรือหอบเหนื่อยง่าย
อาการเหล่านี้มักเกิดร่วมกันในระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งถือเป็นระยะโรคเอดส์ การเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาเร็วที่สุดมีความสำคัญอย่างยิ่ง
สาเหตุของโรคเอดส์เกิดจากอะไร?
ต้นเหตุของโรคเอดส์คือการติดเชื้อไวรัส HIV ซึ่งจะเข้าสู่ร่างกายผ่านช่องทางต่าง ๆ แล้วค่อย ๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว (CD4) จนระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและนำไปสู่โรคเอดส์ในที่สุด โดย สาเหตุของการติดเชื้อ HIV และพัฒนาสู่โรคเอดส์ ได้แก่:
ช่องทางการติดเชื้อ HIV
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
- รวมถึงการสัก เจาะหู เจาะร่างกายด้วยอุปกรณ์ไม่สะอาด
- การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือดที่มีเชื้อ
- ปัจจุบันโอกาสน้อยมากเนื่องจากการคัดกรองเลือดที่เข้มงวด
- การติดจากแม่สู่ลูก
- ขณะตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร
- หากแม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างเหมาะสม โอกาสส่งต่อเชื้อลดเหลือต่ำกว่า 1%
- สัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ
- เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด
- ไม่ติดผ่าน น้ำลาย น้ำตา เหงื่อ หรือการสัมผัสทางผิวหนังทั่วไป
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- มีคู่นอนหลายคน
- มีแผลหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย
- มีโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแออยู่ก่อนแล้ว
สรุป: HIV เป็นไวรัสที่ต้อง “เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง” ถึงจะทำให้เกิดการติดเชื้อ และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้อจะทำลายภูมิคุ้มกันจนเข้าสู่ระยะโรคเอดส์
แนวทางการป้องกันโรคเอดส์มีอะไรบ้าง?
แม้ปัจจุบันโรคเอดส์ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ หากเริ่มต้นจากการ เข้าใจช่องทางการติดเชื้อ และเลือกพฤติกรรมเสี่ยงอย่างมีสติ การป้องกันโรคเอดส์สามารถทำได้จริงและได้ผลสูง
1. ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
- ป้องกันการสัมผัสสารคัดหลั่งระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- เหมาะกับทุกเพศ ทุกคู่ ทุกช่องทาง: ช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
- ควรใช้ถุงยางใหม่ทุกครั้งและอย่าใช้ซ้ำ
- ยาต้านไวรัสสำหรับคนที่ยังไม่ติดเชื้อ HIV
- ลดความเสี่ยงติดเชื้อได้มากกว่า 90–99% หากใช้อย่างถูกต้อง
- เหมาะกับผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ, มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง
- ใช้ในกรณีฉุกเฉินหลังสัมผัสเชื้อ (ภายใน 72 ชั่วโมง)
- เช่น ถุงยางแตก, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น
- ต้องรับยาเร็วที่สุดและครบสูตร 28 วัน
4. ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- ไม่ว่าจะเป็นเข็มฉีดยา เข็มเจาะ เลเซอร์ หรืออุปกรณ์สัก
5. ตรวจเลือดเป็นประจำ
- โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
- การรู้สถานะ HIV ของตนเองเป็นการเริ่มต้นป้องกันและวางแผนรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
6. ป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV สามารถรับยาต้านเพื่อไม่ให้ส่งต่อเชื้อไปยังลูกได้
- ปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ก่อนคลอดและวางแผนการดูแลหลังคลอด
การป้องกันโรคเอดส์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เฉพาะคนที่มี “พฤติกรรมเสี่ยง” เท่านั้น แต่คือ “ความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม”
การใช้ยาป้องกันการติดเชื้อ HIV (PrEP และ PEP)
ในปัจจุบันมีการพัฒนายาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
1. PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)
PrEP คืออะไร?
PrEP คือยาต้านไวรัสที่ให้กับผู้ที่ยัง ไม่ติดเชื้อ HIV เพื่อป้องกันการติดเชื้อในกรณีที่อาจมีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อในอนาคต โดยการทานยาต่อเนื่องก่อนจะมีความเสี่ยง
เหมาะกับใคร?
- ผู้มีคู่นอนที่ติดเชื้อ HIV
- ผู้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางเป็นประจำ
- กลุ่มชายรักชาย หรือ Transgender ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
- บุคคลที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่หลายคน
- ผู้ขายบริการทางเพศ
- ผู้เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซ้ำ ๆ
ประสิทธิภาพและการใช้งาน
- ป้องกัน HIV ได้มากถึง 99% หากใช้ถูกวิธี
- ต้องรับประทานต่อเนื่องวันละเม็ด
- ตรวจเลือดทุก 3 เดือนเพื่อเช็คการทำงานของยาและการติดเชื้อ
ข้อควรระวัง
- อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้ ปวดหัวในช่วงแรก
- ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น ซิฟิลิส หนองใน
อ่านเพิ่มเติม: ยา PrEP (เพร็พ) ยาป้องกันต้านเชื้อ hiv และ โรคเอดส์ คืออะไร ราคาเท่าไหร่
2. PEP (Post-Exposure Prophylaxis)
PEP คืออะไร?
PEP คือยาต้านไวรัสที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินหลังจาก สงสัยว่าได้รับเชื้อ HIV เช่น กรณีถุงยางแตก ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือใช้เข็มร่วมกัน
เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
- เกิดเหตุถุงยางฉีกขาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสเลือดผู้ติดเชื้อ
- ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
เงื่อนไขการใช้ยา
- ต้องรับยาภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังสัมผัสเชื้อ
- ต้องทานติดต่อกันครบ 28 วันตามแพทย์สั่ง
- ประสิทธิภาพลดลงหากเริ่มช้าเกินเวลา
หมายเหตุ: PEP ไม่ใช่ยาสำหรับใช้เป็นประจำ และ ไม่สามารถแทน PrEP หรือถุงยางอนามัยได้
อ่านเพิ่มเติม: ยา PEP (ยาเป๊ปฉุกเฉิน) ยาต้านหรือยาป้องกัน hiv คืออะไร ราคา อันตรายไหม
การวินิจฉัยโรคเอดส์: ตรวจอะไร? อย่างไร? เมื่อไหร่?
การวินิจฉัยโรคเอดส์ไม่สามารถทำได้จากอาการเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียดเพื่อระบุการติดเชื้อ HIV และประเมินระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยมีขั้นตอนและเครื่องมือตรวจหลัก ๆ ดังนี้
1. การตรวจหาเชื้อ HIV
A. ตรวจแอนติบอดี (HIV Antibody Test)
- ตรวจว่าร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV แล้วหรือไม่
- ทำได้จากเลือดหรือน้ำลาย
- ใช้เวลารอผลประมาณ 20 นาที (Rapid test) หรือส่งแล็บ 1-2 วัน
B. ตรวจแอนติเจน/แอนติบอดี (HIV Ag/Ab Combo)
- ตรวจหาเชื้อ HIV พร้อมกับตรวจภูมิคุ้มกัน
- พบเชื้อได้เร็วขึ้น (ภายใน 2-4 สัปดาห์หลังติดเชื้อ)
- เป็นมาตรฐานการตรวจเริ่มต้นในหลายโรงพยาบาล
C. NAT (Nucleic Acid Test)
- ตรวจหา RNA ของเชื้อ HIV โดยตรง
- แม่นยำสูง เหมาะกับกรณีเสี่ยงสูงหรือเพื่อยืนยันผล
2. ตรวจระดับภูมิคุ้มกันและปริมาณไวรัส
A. CD4 Count
- ตรวจจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแรงของภูมิคุ้มกัน
- หากต่ำกว่า 200 cells/mm³ จะถือว่าเข้าสู่ภาวะเอดส์
B. HIV Viral Load
- ตรวจปริมาณไวรัส HIV ในเลือด
- ใช้ติดตามประสิทธิภาพของการรักษา
- เป้าหมายคือ “ตรวจไม่พบเชื้อ” (Undetectable)
ควรตรวจเมื่อใด?
- หลังพฤติกรรมเสี่ยง: ทันที และตรวจซ้ำใน 1-3 เดือน
- ก่อนเริ่ม PrEP/PEP หรือมีคู่นอนใหม่
- หญิงตั้งครรภ์ทุกคน ตามคำแนะนำของแพทย์
- ผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายติดเชื้อเรื้อรัง
ข้อควรรู้: ผู้ที่มีผลตรวจ HIV บวก ไม่ได้แปลว่าเข้าสู่ระยะเอดส์เสมอไป ต้องตรวจ CD4 และ Viral Load ร่วมด้วยเสมอ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเอดส์ (FAQ)
1. โรคเอดส์ต่างจากเอชไอวีอย่างไร?
ตอบ: เอชไอวี (HIV) คือไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่วนโรคเอดส์ (AIDS) คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนติดเชื้อฉวยโอกาสหรือโรคแทรกซ้อนง่ายขึ้น
2. ติด HIV แล้วจะเป็นเอดส์ทันทีไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ครับ การติดเชื้อ HIV ไม่ได้ทำให้กลายเป็นเอดส์ทันที โดยทั่วไปอาจใช้เวลาเป็นปีหากไม่ได้รับการรักษา แต่ถ้าได้รับยาต้านไวรัสตั้งแต่ต้น สามารถชะลอหรือป้องกันไม่ให้เข้าสู่ระยะเอดส์ได้
3. คนเป็นเอดส์สามารถมีชีวิตปกติได้หรือไม่?
ตอบ: ได้ครับ ถ้าได้รับยาต้านไวรัสต่อเนื่องและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงคนทั่วไป และมีอายุยืนยาวได้
4. เอดส์รักษาหายได้ไหม?
ตอบ: ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเอดส์ให้หายขาด แต่สามารถควบคุมได้ด้วยยาต้านไวรัส ทำให้เชื้อไม่แพร่กระจายและร่างกายมีภูมิคุ้มกันดีขึ้น
5. คนที่เป็นเอดส์สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
ตอบ: สามารถมีได้ หากปฏิบัติตามแนวทางป้องกัน เช่น ใช้ถุงยางอนามัยและตรวจเชื้อสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อรับยาจนระดับไวรัสต่ำจนไม่สามารถตรวจพบ (Undetectable = Untransmittable)
6. เอดส์ติดทางการสัมผัสทั่วไป เช่น จับมือ กอด ใช้ของร่วมกันหรือไม่?
ตอบ: ไม่ติดครับ โรคเอดส์ไม่แพร่ผ่านการสัมผัสทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการกอด จับมือ ใช้ห้องน้ำ แก้วน้ำ หรือจานอาหารร่วมกัน
7. จำเป็นต้องเปิดเผยสถานะ HIV/เอดส์ต่อผู้อื่นหรือไม่?
ตอบ: โดยหลักจริยธรรมควรเปิดเผยกับคู่ของตน แต่ในเรื่องกฎหมายต้องดูข้อบังคับแต่ละประเทศ ส่วนในสถานพยาบาล การเปิดเผยช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมที่สุด
8. หากแพทย์บอกว่า “ตรวจไม่พบเชื้อ” หมายความว่าหายแล้วใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ครับ “ตรวจไม่พบเชื้อ” (Undetectable) หมายถึงปริมาณไวรัสในเลือดน้อยจนไม่สามารถตรวจพบด้วยวิธีมาตรฐาน แต่ยังมีเชื้ออยู่ และต้องทานยาต่อเนื่องทุกวันเพื่อควบคุมไม่ให้เชื้อกลับมา
บทสรุป
โรคเอดส์ในปัจจุบันไม่ใช่จุดจบของชีวิตอีกต่อไป ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหากได้รับการวินิจฉัยเร็ว เข้ารับการรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การป้องกัน เช่น การใช้ถุงยางอนามัย และการรับประทานยา PrEP/PEP ตามข้อบ่งชี้ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญคือสังคมควรเข้าใจและเปิดใจมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้สึกอับอายหรือโดดเดี่ยว และหากคุณมีความเสี่ยงหรือข้อสงสัย ควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพราะ “รู้เร็ว รักษาได้ ชีวิตปลอดภัยกว่าเดิม”