Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

โรคเอดส์ คืออะไร สาเหตุ อาการ การรักษา การป้องกัน

หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “เอดส์” อาจรู้สึกกลัว กังวล หรือเกิดอคติต่อผู้ป่วย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โรคเอดส์คือภาวะที่เกิดขึ้นในระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV และสามารถควบคุมได้หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกล มีแนวทางดูแลและป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์แบบครบถ้วน ตั้งแต่นิยาม อาการ ระยะของโรค สาเหตุ วิธีการวินิจฉัย การใช้ยา PrEP/PEP ตลอดจนการป้องกันที่สามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณมีข้อมูลที่ถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ดูแลตัวเองหรือคนที่คุณรักได้อย่างเหมาะสม

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

โรคเอดส์ (AIDS) คืออะไร?

โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือ AIDS) คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายจนไม่สามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและมะเร็งบางชนิดได้อีกต่อไป ผู้ป่วยในระยะนี้จะติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม เชื้อราในสมอง หรือมะเร็งบางชนิด

HIV จะค่อย ๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน หากไม่ได้รับยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง ระดับ CD4 จะลดต่ำลงจนเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยว่าเข้าสู่ระยะโรคเอดส์เมื่อ

  • CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
  • หรือมีการติดเชื้อฉวยโอกาสที่จำเพาะ

ข้อเท็จจริงสำคัญ

  • โรคเอดส์ ไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HIV ในระยะท้าย
  • คนที่ติดเชื้อ HIV หากได้รับยาต้านไวรัสตั้งแต่เนิ่น ๆ และทานยาอย่างต่อเนื่องจะสามารถ ไม่พัฒนาเข้าสู่โรคเอดส์ได้เลย
  • ปัจจุบันผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้รับการรักษาสม่ำเสมอมีอายุขัยใกล้เคียงกับคนทั่วไป

ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อ HIV พัฒนาเป็นโรคเอดส์

  • ไม่ได้รับการวินิจฉัยเร็ว
  • ขาดยา/ไม่ทานยาต่อเนื่อง
  • มีโรคร่วมที่เร่งให้ภูมิคุ้มกันแย่ลง เช่น วัณโรค โรคตับ ฯลฯ

HIV กับ AIDS ต่างกันอย่างไร?

แม้คำว่า “HIV” และ “AIDS” มักจะถูกใช้แทนกันในชีวิตประจำวัน แต่ในทางการแพทย์แล้ว ทั้งสองคำนี้มีความหมายและบริบทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

  • HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือชื่อของไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ CD4 หากไม่รักษาจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
  • AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายถูกไวรัส HIV ทำลายจนภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง เป็นระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV

กล่าวง่าย ๆ คือ ทุกคนที่เป็น AIDS จะต้องติดเชื้อ HIV มาก่อน แต่ ไม่ใช่ทุกคนที่ติด HIV จะกลายเป็น AIDS หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

ตารางเปรียบเทียบ: HIV vs AIDS

หัวข้อ

HIV

AIDS

ความหมาย

ไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกัน

กลุ่มอาการระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV

ระยะของโรค

ระยะแรกของการติดเชื้อ

ระยะสุดท้าย หากไม่ได้รับการรักษา

การวินิจฉัย

ตรวจเจอเชื้อไวรัส HIV ในเลือด

CD4 < 200 หรือมีโรคฉวยโอกาส

การรักษา

ใช้ยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมเชื้อ

ใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับการรักษาโรคแทรกซ้อน

โอกาสฟื้นตัว

สูงมาก หากเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรก

หากได้รับการดูแลต่อเนื่อง ก็สามารถฟื้นตัวได้บางส่วน

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

  • ❌ “ติด HIV = เป็นเอดส์แล้ว” → ผิด เพราะ HIV เป็นจุดเริ่มต้น ไม่ใช่ระยะสุดท้าย
  • ✅ หากตรวจพบ HIV ตั้งแต่เนิ่น ๆ และทานยาต่อเนื่อง ผู้ป่วยสามารถ ไม่พัฒนาไปเป็น AIDS ได้เลย

โรคเอดส์มีกี่ระยะ?

การพัฒนาโรคจากการติดเชื้อ HIV ไปสู่โรคเอดส์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะค่อย ๆ ดำเนินไปตามลำดับระยะ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระยะหลัก โดยแต่ละระยะจะมีลักษณะอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกัน

1. ระยะไม่ปรากฏอาการ (Asymptomatic Stage)

  • เกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อ HIV ในช่วงแรก
  • ผู้ติดเชื้ออาจรู้สึกแข็งแรงดี ไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ
  • หากตรวจเลือดในระยะนี้อาจพบเชื้อ HIV ได้แล้ว
  • เป็นระยะที่เชื้อยังไม่ทำลายภูมิคุ้มกันมาก

หมายเหตุ: หากเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในระยะนี้ จะช่วยชะลอไม่ให้เชื้อพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ได้

2. ระยะมีอาการเริ่มต้น (Early Symptomatic Stage)

  • เกิดเมื่อภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนแอลง
  • อาการที่พบได้: น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย มีแผลในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้เรื้อรัง
  • ตรวจเลือดจะพบว่าระดับ CD4 ลดลง
  • เป็นระยะที่ควรเริ่มต้นการรักษาอย่างจริงจัง

3. ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น (AIDS Stage)

  • ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมะเร็งบางชนิด
  • ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาเฉพาะโรคร่วมกับ ART อย่างใกล้ชิด

หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ แม้จะอยู่ในระยะโรคเอดส์แล้ว ก็ยังสามารถควบคุมโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

อ่านเพิ่มเติม: เอดส์ (AIDS) กับ เอชไอวี (HIV) ต่างกันอย่างไร?

อาการของโรคเอดส์มีอะไรบ้าง?

อาการโรคเอดส์ที่พบได้บ่อย

เมื่อผู้ติดเชื้อ HIV เข้าสู่ระยะโรคเอดส์ ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่ำลงมาก จึงมีโอกาสเกิดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงและติดเชื้อได้ง่าย โดยอาการของโรคเอดส์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

1. อาการทั่วไปที่มักพบในระยะเอดส์

  • น้ำหนักลดผิดปกติ
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  • มีไข้เรื้อรัง (สูงหรือต่ำสลับกัน)
  • ท้องเสียเรื้อรัง หรือเป็น ๆ หาย ๆ
  • เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
  • ต่อมน้ำเหลืองโตหลายตำแหน่ง
  • ผื่นหรือแผลในช่องปาก
  • เกิดฝ้าขาวในช่องปาก (oral thrush)
  • ปวดหัว หรือเวียนศีรสบ่อย
  • มีปัญหาด้านความจำหรือการรับรู้

2. อาการจากการติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic Infections)

  • วัณโรคในปอดหรือส่วนอื่นของร่างกาย
  • ปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis jirovecii
  • เชื้อราในสมองหรือไขสันหลัง (cryptococcal meningitis)
  • เริมที่รุนแรงหรือลุกลาม
  • มะเร็งที่สัมพันธ์กับภูมิคุ้มกัน เช่น Kaposi’s sarcoma
  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • ไอเป็นเลือด หายใจติดขัด หรือหอบเหนื่อยง่าย

อาการเหล่านี้มักเกิดร่วมกันในระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งถือเป็นระยะโรคเอดส์ การเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาเร็วที่สุดมีความสำคัญอย่างยิ่ง

สาเหตุของโรคเอดส์เกิดจากอะไร?

ต้นเหตุของโรคเอดส์คือการติดเชื้อไวรัส HIV ซึ่งจะเข้าสู่ร่างกายผ่านช่องทางต่าง ๆ แล้วค่อย ๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว (CD4) จนระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและนำไปสู่โรคเอดส์ในที่สุด โดย สาเหตุของการติดเชื้อ HIV และพัฒนาสู่โรคเอดส์ ได้แก่:

ช่องทางการติดเชื้อ HIV

  1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
    • ช่องทางที่พบบ่อยที่สุด
    • รวมถึงเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก (Oral sex)
  2. การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
    • โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
    • รวมถึงการสัก เจาะหู เจาะร่างกายด้วยอุปกรณ์ไม่สะอาด
  3. การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือดที่มีเชื้อ
    • ปัจจุบันโอกาสน้อยมากเนื่องจากการคัดกรองเลือดที่เข้มงวด
  4. การติดจากแม่สู่ลูก
    • ขณะตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร
    • หากแม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างเหมาะสม โอกาสส่งต่อเชื้อลดเหลือต่ำกว่า 1%
  5. สัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ
    • เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด
    • ไม่ติดผ่าน น้ำลาย น้ำตา เหงื่อ หรือการสัมผัสทางผิวหนังทั่วไป

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

  • มีคู่นอนหลายคน
  • มีแผลหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย
  • มีโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแออยู่ก่อนแล้ว

สรุป: HIV เป็นไวรัสที่ต้อง “เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง” ถึงจะทำให้เกิดการติดเชื้อ และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้อจะทำลายภูมิคุ้มกันจนเข้าสู่ระยะโรคเอดส์

แนวทางการป้องกันโรคเอดส์มีอะไรบ้าง?

แม้ปัจจุบันโรคเอดส์ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ หากเริ่มต้นจากการ เข้าใจช่องทางการติดเชื้อ และเลือกพฤติกรรมเสี่ยงอย่างมีสติ การป้องกันโรคเอดส์สามารถทำได้จริงและได้ผลสูง

1. ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

  • ป้องกันการสัมผัสสารคัดหลั่งระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • เหมาะกับทุกเพศ ทุกคู่ ทุกช่องทาง: ช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
  • ควรใช้ถุงยางใหม่ทุกครั้งและอย่าใช้ซ้ำ

2. รับยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)

  • ยาต้านไวรัสสำหรับคนที่ยังไม่ติดเชื้อ HIV
  • ลดความเสี่ยงติดเชื้อได้มากกว่า 90–99% หากใช้อย่างถูกต้อง
  • เหมาะกับผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ, มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง

3. รับยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis)

  • ใช้ในกรณีฉุกเฉินหลังสัมผัสเชื้อ (ภายใน 72 ชั่วโมง)
  • เช่น ถุงยางแตก, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น
  • ต้องรับยาเร็วที่สุดและครบสูตร 28 วัน

4. ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

  • ไม่ว่าจะเป็นเข็มฉีดยา เข็มเจาะ เลเซอร์ หรืออุปกรณ์สัก

5. ตรวจเลือดเป็นประจำ

  • โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
  • การรู้สถานะ HIV ของตนเองเป็นการเริ่มต้นป้องกันและวางแผนรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

6. ป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก

  • ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV สามารถรับยาต้านเพื่อไม่ให้ส่งต่อเชื้อไปยังลูกได้
  • ปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ก่อนคลอดและวางแผนการดูแลหลังคลอด

การป้องกันโรคเอดส์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เฉพาะคนที่มี “พฤติกรรมเสี่ยง” เท่านั้น แต่คือ “ความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม”

การใช้ยาป้องกันการติดเชื้อ HIV (PrEP และ PEP)

ในปัจจุบันมีการพัฒนายาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:

1. PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)

PrEP คืออะไร?

PrEP คือยาต้านไวรัสที่ให้กับผู้ที่ยัง ไม่ติดเชื้อ HIV เพื่อป้องกันการติดเชื้อในกรณีที่อาจมีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อในอนาคต โดยการทานยาต่อเนื่องก่อนจะมีความเสี่ยง

เหมาะกับใคร?

  • ผู้มีคู่นอนที่ติดเชื้อ HIV
  • ผู้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางเป็นประจำ
  • กลุ่มชายรักชาย หรือ Transgender ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
  • บุคคลที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่หลายคน
  • ผู้ขายบริการทางเพศ
  • ผู้เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซ้ำ ๆ

ประสิทธิภาพและการใช้งาน

  • ป้องกัน HIV ได้มากถึง 99% หากใช้ถูกวิธี
  • ต้องรับประทานต่อเนื่องวันละเม็ด
  • ตรวจเลือดทุก 3 เดือนเพื่อเช็คการทำงานของยาและการติดเชื้อ

ข้อควรระวัง

  • อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้ ปวดหัวในช่วงแรก
  • ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น ซิฟิลิส หนองใน

อ่านเพิ่มเติม: ยา PrEP (เพร็พ) ยาป้องกันต้านเชื้อ hiv และ โรคเอดส์ คืออะไร ราคาเท่าไหร่

2. PEP (Post-Exposure Prophylaxis)

PEP คืออะไร?

PEP คือยาต้านไวรัสที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินหลังจาก สงสัยว่าได้รับเชื้อ HIV เช่น กรณีถุงยางแตก ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือใช้เข็มร่วมกัน

เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • เกิดเหตุถุงยางฉีกขาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสเลือดผู้ติดเชื้อ
  • ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

เงื่อนไขการใช้ยา

  • ต้องรับยาภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังสัมผัสเชื้อ
  • ต้องทานติดต่อกันครบ 28 วันตามแพทย์สั่ง
  • ประสิทธิภาพลดลงหากเริ่มช้าเกินเวลา

หมายเหตุ: PEP ไม่ใช่ยาสำหรับใช้เป็นประจำ และ ไม่สามารถแทน PrEP หรือถุงยางอนามัยได้

อ่านเพิ่มเติม: ยา PEP (ยาเป๊ปฉุกเฉิน) ยาต้านหรือยาป้องกัน hiv คืออะไร ราคา อันตรายไหม

การวินิจฉัยโรคเอดส์: ตรวจอะไร? อย่างไร? เมื่อไหร่?

การวินิจฉัยโรคเอดส์ไม่สามารถทำได้จากอาการเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียดเพื่อระบุการติดเชื้อ HIV และประเมินระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยมีขั้นตอนและเครื่องมือตรวจหลัก ๆ ดังนี้

1. การตรวจหาเชื้อ HIV

A. ตรวจแอนติบอดี (HIV Antibody Test)

  • ตรวจว่าร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV แล้วหรือไม่
  • ทำได้จากเลือดหรือน้ำลาย
  • ใช้เวลารอผลประมาณ 20 นาที (Rapid test) หรือส่งแล็บ 1-2 วัน

B. ตรวจแอนติเจน/แอนติบอดี (HIV Ag/Ab Combo)

  • ตรวจหาเชื้อ HIV พร้อมกับตรวจภูมิคุ้มกัน
  • พบเชื้อได้เร็วขึ้น (ภายใน 2-4 สัปดาห์หลังติดเชื้อ)
  • เป็นมาตรฐานการตรวจเริ่มต้นในหลายโรงพยาบาล

C. NAT (Nucleic Acid Test)

  • ตรวจหา RNA ของเชื้อ HIV โดยตรง
  • แม่นยำสูง เหมาะกับกรณีเสี่ยงสูงหรือเพื่อยืนยันผล

2. ตรวจระดับภูมิคุ้มกันและปริมาณไวรัส

A. CD4 Count

  • ตรวจจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแรงของภูมิคุ้มกัน
  • หากต่ำกว่า 200 cells/mm³ จะถือว่าเข้าสู่ภาวะเอดส์

B. HIV Viral Load

  • ตรวจปริมาณไวรัส HIV ในเลือด
  • ใช้ติดตามประสิทธิภาพของการรักษา
  • เป้าหมายคือ “ตรวจไม่พบเชื้อ” (Undetectable)

ควรตรวจเมื่อใด?

  • หลังพฤติกรรมเสี่ยง: ทันที และตรวจซ้ำใน 1-3 เดือน
  • ก่อนเริ่ม PrEP/PEP หรือมีคู่นอนใหม่
  • หญิงตั้งครรภ์ทุกคน ตามคำแนะนำของแพทย์
  • ผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายติดเชื้อเรื้อรัง

ข้อควรรู้: ผู้ที่มีผลตรวจ HIV บวก ไม่ได้แปลว่าเข้าสู่ระยะเอดส์เสมอไป ต้องตรวจ CD4 และ Viral Load ร่วมด้วยเสมอ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเอดส์ (FAQ)

1. โรคเอดส์ต่างจากเอชไอวีอย่างไร?

ตอบ: เอชไอวี (HIV) คือไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่วนโรคเอดส์ (AIDS) คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนติดเชื้อฉวยโอกาสหรือโรคแทรกซ้อนง่ายขึ้น

2. ติด HIV แล้วจะเป็นเอดส์ทันทีไหม?

ตอบ: ไม่ใช่ครับ การติดเชื้อ HIV ไม่ได้ทำให้กลายเป็นเอดส์ทันที โดยทั่วไปอาจใช้เวลาเป็นปีหากไม่ได้รับการรักษา แต่ถ้าได้รับยาต้านไวรัสตั้งแต่ต้น สามารถชะลอหรือป้องกันไม่ให้เข้าสู่ระยะเอดส์ได้

3. คนเป็นเอดส์สามารถมีชีวิตปกติได้หรือไม่?

ตอบ: ได้ครับ ถ้าได้รับยาต้านไวรัสต่อเนื่องและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงคนทั่วไป และมีอายุยืนยาวได้

4. เอดส์รักษาหายได้ไหม?

ตอบ: ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเอดส์ให้หายขาด แต่สามารถควบคุมได้ด้วยยาต้านไวรัส ทำให้เชื้อไม่แพร่กระจายและร่างกายมีภูมิคุ้มกันดีขึ้น

5. คนที่เป็นเอดส์สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?

ตอบ: สามารถมีได้ หากปฏิบัติตามแนวทางป้องกัน เช่น ใช้ถุงยางอนามัยและตรวจเชื้อสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อรับยาจนระดับไวรัสต่ำจนไม่สามารถตรวจพบ (Undetectable = Untransmittable)

6. เอดส์ติดทางการสัมผัสทั่วไป เช่น จับมือ กอด ใช้ของร่วมกันหรือไม่?

ตอบ: ไม่ติดครับ โรคเอดส์ไม่แพร่ผ่านการสัมผัสทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการกอด จับมือ ใช้ห้องน้ำ แก้วน้ำ หรือจานอาหารร่วมกัน

7. จำเป็นต้องเปิดเผยสถานะ HIV/เอดส์ต่อผู้อื่นหรือไม่?

ตอบ: โดยหลักจริยธรรมควรเปิดเผยกับคู่ของตน แต่ในเรื่องกฎหมายต้องดูข้อบังคับแต่ละประเทศ ส่วนในสถานพยาบาล การเปิดเผยช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมที่สุด

8. หากแพทย์บอกว่า “ตรวจไม่พบเชื้อ” หมายความว่าหายแล้วใช่ไหม?

ตอบ: ไม่ใช่ครับ “ตรวจไม่พบเชื้อ” (Undetectable) หมายถึงปริมาณไวรัสในเลือดน้อยจนไม่สามารถตรวจพบด้วยวิธีมาตรฐาน แต่ยังมีเชื้ออยู่ และต้องทานยาต่อเนื่องทุกวันเพื่อควบคุมไม่ให้เชื้อกลับมา

บทสรุป

โรคเอดส์ในปัจจุบันไม่ใช่จุดจบของชีวิตอีกต่อไป ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหากได้รับการวินิจฉัยเร็ว เข้ารับการรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การป้องกัน เช่น การใช้ถุงยางอนามัย และการรับประทานยา PrEP/PEP ตามข้อบ่งชี้ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญคือสังคมควรเข้าใจและเปิดใจมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้สึกอับอายหรือโดดเดี่ยว และหากคุณมีความเสี่ยงหรือข้อสงสัย ควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพราะ “รู้เร็ว รักษาได้ ชีวิตปลอดภัยกว่าเดิม”

icon email