แม้ซิฟิลิสจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนรู้จัก แต่ยังมีอีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่มักถูกมองข้าม คือ “ซิฟิลิสในหัวใจและหลอดเลือด” ภาวะนี้มักเกิดขึ้นในผู้ที่ติดเชื้อมานานโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น เชื้อแบคทีเรียจะค่อย ๆ ทำลายผนังหลอดเลือดใหญ่และวาล์วหัวใจ จนก่อให้เกิดอาการรุนแรง เช่น หลอดเลือดโป่งพอง ลิ้นหัวใจรั่ว หรือแม้กระทั่งหัวใจวายเฉียบพลัน
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของภาวะนี้ กลุ่มเสี่ยง สัญญาณเตือน วิธีวินิจฉัย ไปจนถึงการรักษาอย่างครบถ้วน เพื่อให้สามารถรับมือได้ทันท่วงทีก่อนเกิดอันตรายที่ไม่คาดคิด
ซิฟิลิสในหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Syphilis) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคซิฟิลิสระยะที่สาม ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อมาแล้วหลายปีโดยไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ครบถ้วน เชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum จะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ระบบหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงใหญ่ (Aorta) ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอลง อาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดโป่งพอง (Aortic Aneurysm) หรือวาล์วหัวใจรั่ว (Aortic Regurgitation)
ความรุนแรงของโรคสามารถนำไปสู่หัวใจวายเฉียบพลัน หรือภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าเคยติดเชื้อมาก่อน เนื่องจากเชื้อมักหลบซ่อนโดยไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก
เมื่อเชื้อ Treponema pallidum เข้าสู่กระแสเลือดในระยะลึกของการติดเชื้อ เชื้อนี้จะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ผนังของหลอดเลือดแดงใหญ่ โดยเฉพาะในบริเวณทรวงอก (Thoracic Aorta) ส่งผลให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดเล็ก (vasa vasorum) ที่คอยหล่อเลี้ยงผนังหลอดเลือดหลัก
การอักเสบนี้ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอลง เกิดการเสื่อมของเนื้อเยื่อ และนำไปสู่การโป่งพองของหลอดเลือด (Aortic Aneurysm) หรือการรั่วของลิ้นหัวใจ (Aortic Regurgitation) ซึ่งเป็นภาวะที่อาจทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ และพัฒนาไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะยาว
ซิฟิลิสที่ลุกลามเข้าสู่ระบบหัวใจและหลอดเลือดมักไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่เมื่อเกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดหรือวาล์วหัวใจมากขึ้น อาการจะค่อยๆ แสดงออกมา ซึ่งอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจทั่วไปหากไม่ได้ตรวจอย่างละเอียด
อาการที่ควรระวัง ได้แก่:
ผู้ที่มีประวัติเคยติดซิฟิลิสมาก่อนโดยไม่ได้รักษาหรือรักษาไม่ครบ ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาการตรวจระบบหัวใจเพิ่มเติม
แม้ว่าภาวะซิฟิลิสในหัวใจและหลอดเลือดจะพบได้น้อยเมื่อเทียบกับซิฟิลิสในระยะอื่น ๆ แต่กลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มพบภาวะนี้ได้มากกว่าคือผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสมานานกว่า 10 ปี และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก
กลุ่มที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:
การตรวจคัดกรองซิฟิลิสในกลุ่มเหล่านี้ควรทำเป็นระยะ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคต
เมื่อเชื้อซิฟิลิสเข้าสู่หลอดเลือดใหญ่โดยเฉพาะในบริเวณทรวงอก ความเสียหายที่เกิดขึ้นสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ถูกวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ โดยภาวะที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:
Aortic aneurysm คือภาวะที่ผนังของหลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) อ่อนแอลงและโป่งพองออกเหมือนลูกโป่ง เนื่องจากการทำลายของเชื้อซิฟิลิสในชั้นผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดบางลงและขยายตัวผิดปกติ
หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา ผนังหลอดเลือดที่โป่งพองอาจแตกจนเกิด aortic rupture ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงมากภายในเวลาอันสั้น
Aortic regurgitation คือภาวะที่ลิ้นหัวใจไม่สามารถปิดได้สนิท ทำให้เลือดที่ถูกสูบออกจากหัวใจกลับไหลย้อนเข้าสู่หัวใจห้องล่างซ้ายอีกครั้ง ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
ในระยะยาว ภาวะนี้อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว หรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือแน่นหน้าอกขณะออกแรง
แม้ภาวะหัวใจผิดปกติจากซิฟิลิสจะมีลักษณะคล้ายกับโรคหัวใจทั่วไปหลายประการ เช่น หัวใจล้มเหลวหรือเจ็บหน้าอก แต่มีจุดสังเกตสำคัญที่ทำให้สามารถแยกแยะได้ว่าต้นเหตุเกิดจากเชื้อซิฟิลิสหรือไม่
การวินิจฉัยภาวะนี้ต้องแยกจากโรคหัวใจทั่วไป เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงจากสาเหตุอื่น การตรวจทางภาพถ่ายรังสี หัวใจอัลตราซาวนด์ และการตรวจเลือดเฉพาะทางเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อยืนยัน
ในผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อซิฟิลิส หรือมีผลเลือดเป็นบวก แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจระบบหัวใจเพื่อคัดกรองภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในกรณีที่ติดเชื้อมานานหรือมีอาการบ่งชี้ของระบบหัวใจ
ผู้ป่วยซิฟิลิสที่ติดเชื้อมานานกว่า 10 ปี หรือไม่มั่นใจว่าเคยได้รับการรักษาหรือไม่ ควรตรวจระบบหัวใจอย่างน้อย 1 ครั้ง แม้ไม่มีอาการ เพื่อประเมินความเสี่ยงแอบแฝงที่อาจคุกคามชีวิตในอนาคต
เมื่อมีการวินิจฉัยว่าเชื้อซิฟิลิสได้ลุกลามเข้าสู่หัวใจหรือหลอดเลือดใหญ่ การรักษาจะต้องดำเนินควบคู่กันสองด้าน ได้แก่ การกำจัดเชื้อ และการดูแลรักษาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหัวใจ
การวางแผนการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
ในบางกรณีที่ซิฟิลิสลุกลามถึงระบบหัวใจและก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง เช่น หลอดเลือดแดงโป่งพองขนาดใหญ่ หรือวาล์วหัวใจรั่วขั้นรุนแรง การรักษาโดยใช้ยาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องพิจารณาการผ่าตัดหัวใจร่วมด้วย
โดยทั่วไป หากได้รับการรักษาอย่างครบถ้วนและเชื้อถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวได้ดี การผ่าตัดหัวใจในกรณีนี้สามารถลดความเสี่ยงเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมาก
ซิฟิลิสในระยะที่ลุกลามเข้าสู่หลอดเลือดใหญ่นั้น อาจใช้เวลาหลายปีจึงจะแสดงอาการ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ความเสียหายที่สะสมจะส่งผลต่อหัวใจอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้จริง
ผู้ป่วยที่ไม่เคยรู้ตัวว่าติดเชื้อซิฟิลิส หรือไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป เพราะความเสียหายจะค่อยๆ สะสมและแสดงอาการก็ต่อเมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้วเท่านั้น
ได้ หากเชื้อทำให้หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองหรือวาล์วหัวใจเสียหายรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
แนะนำให้ตรวจ เนื่องจากภาวะซิฟิลิสในหัวใจมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะรุนแรง
ไม่จำเป็นเสมอไป การเจาะน้ำไขสันหลังจะทำในกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อในระบบประสาทร่วมด้วย
อาจแยกได้ยากหากไม่ตรวจเลือดเฉพาะทาง แนะนำแจ้งแพทย์หากมีประวัติเคยติดเชื้อซิฟิลิส
หากได้รับยาปฏิชีวนะครบและเหมาะสม มีโอกาสหายขาดสูง แต่หากยังมีพฤติกรรมเสี่ยง อาจติดเชื้อใหม่ได้
ซิฟิลิสในหัวใจและหลอดเลือดเป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะพบได้น้อยเมื่อเทียบกับระยะอื่นของโรคซิฟิลิส แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะมีความรุนแรงสูงและอาจคร่าชีวิตได้โดยไม่ทันตั้งตัว การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง การรักษาที่ถูกต้อง และการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด จะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้