หลายคนอาจเคยมีอาการตาแดง ขี้ตาเยอะ หรือเคืองตาเรื้อรัง แล้วคิดว่าเป็นเพียง “ตาอักเสบธรรมดา” จากภูมิแพ้หรือเชื้อไวรัส แต่รู้หรือไม่ว่า อาการเหล่านี้บางครั้งอาจเกิดจากเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า คลามัยเดีย (Chlamydia)
เมื่อเชื้อนี้เข้าสู่ดวงตา จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Chlamydial conjunctivitis หรือเยื่อบุตาอักเสบจากเชื้อคลามัยเดีย ซึ่งพบได้ทั้งในผู้ใหญ่และทารกแรกเกิด โดยมักเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ หรือการแพร่จากแม่สู่ลูกขณะคลอด
โรคนี้มักถูกมองข้ามเพราะมีอาการคล้ายตาแดงทั่วไป แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังหรือกระจกตาเป็นแผลได้ ดังนั้น การรู้จักอาการ สาเหตุ และวิธีรักษาอย่างถูกวิธี คือก้าวแรกของการดูแลสุขภาพดวงตาอย่างปลอดภัย
Chlamydial conjunctivitis หรือ เยื่อบุตาอักเสบจากเชื้อคลามัยเดีย คือการติดเชื้อที่เยื่อบุตาดวงตาจากแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถเกิดได้ทั้งในผู้ใหญ่และทารกแรกเกิด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
โรคนี้มักมีอาการตาแดง บวม เคือง และมีขี้ตาข้นเรื้อรัง บางรายอาจมีอาการคล้ายตาอักเสบทั่วไป ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นภูมิแพ้หรือตาแห้ง หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อาจลุกลามจนเกิดการอักเสบเรื้อรังที่กระจกตาได้
เชื้อสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสมือ สารคัดหลั่ง หรือผ้าขนหนูร่วมกับผู้ติดเชื้อ รวมถึงสามารถแพร่จากแม่สู่ลูกขณะคลอด ทำให้ทารกมีอาการตาอักเสบในช่วงแรกเกิด โรคนี้สามารถรักษาได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและได้รับยาปฏิชีวนะเฉพาะทางจากแพทย์
เชื้อ Chlamydia trachomatis เป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตาดวงตา โดยมักแพร่เชื้อมาจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำตา หรือ น้ำเมือกจากอวัยวะเพศ เมื่อมือที่สัมผัสเชื้อมาสัมผัสดวงตา เชื้อสามารถเข้าสู่เยื่อบุตาและเริ่มติดเชื้อได้
ในผู้ใหญ่ การติดเชื้อมักเกิดจากเพศสัมพันธ์โดยตรง หรือการสัมผัสมือหลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ล้างมือให้สะอาด ส่วนในทารกแรกเกิด เชื้อสามารถแพร่จากแม่สู่ลูกระหว่างคลอด เมื่อทารกสัมผัสกับสารคัดหลั่งในช่องคลอดของมารดาที่มีการติดเชื้อ จึงทำให้เกิดอาการตาอักเสบในช่วงแรกเกิดได้
นอกจากนี้ ยังพบได้ในผู้ที่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า หรือ ผ้าขนหนู โดยไม่รู้ว่าผู้ใช้ก่อนหน้ามีการติดเชื้อ การรักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาโดยไม่ล้างมือ คือวิธีสำคัญในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อชนิดนี้
โรค Chlamydial conjunctivitis มักเริ่มด้วยอาการ ตาแดง บวม และระคายเคืองคล้ายตาอักเสบทั่วไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีขี้ตาข้นเหนียวสีเหลืองหรือขาว โดยเฉพาะในตอนเช้า บางรายมีอาการคันตา หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตาอย่างต่อเนื่อง
ในระยะเรื้อรัง เยื่อบุตาอาจหนาและเกิดตุ่มเล็ก (follicles) บริเวณด้านในเปลือกตา หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา การอักเสบสามารถลุกลามไปยังกระจกตา ทำให้ตามัวหรือเจ็บตาได้ ในทารกแรกเกิด อาการมักเกิดขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์หลังคลอด โดยมีขี้ตาเหนียวและบวมรอบดวงตาชัดเจน
การวินิจฉัยโรค Chlamydial conjunctivitis จำเป็นต้องตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตาหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติอาการ ระยะเวลาที่เป็น และพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จากนั้นตรวจเยื่อบุตาด้วยกล้องขยายเพื่อตรวจหาการอักเสบและตุ่มเล็ก (follicles) ที่มักพบในโรคนี้
การยืนยันการติดเชื้อมักใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อ (NAAT หรือ PCR) จากตัวอย่างเยื่อบุตา ซึ่งมีความแม่นยำสูงกว่า 95% ในบางกรณี แพทย์อาจใช้การย้อมสี Giemsa เพื่อดูเซลล์ติดเชื้อภายใต้กล้องจุลทรรศน์
ผลตรวจที่รวดเร็วและแม่นยำมีความสำคัญต่อการรักษาที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีอาการเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป
การรักษาโรค Chlamydial conjunctivitis ทำได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะทาง เพื่อกำจัดเชื้อ Chlamydia trachomatis ทั้งในดวงตาและในระบบร่างกาย แนวทางปี 2025 แนะนำให้ใช้ Azithromycin ขนาดรับประทานครั้งเดียว หรือ Doxycycline รับประทานต่อเนื่อง 7 วัน ตามดุลยพินิจของแพทย์
ในทารกแรกเกิด มักใช้ Erythromycin syrup ซึ่งปลอดภัยและเหมาะกับวัย ส่วนผู้ที่มีอาการตาอักเสบร่วมมาก แพทย์อาจให้ยาหยอดตาปฏิชีวนะร่วมด้วย การรักษาคู่กับคู่เพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำไปมา
ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์โดยไม่ปรึกษาแพทย์ และควรมาตรวจติดตามอาการจนแน่ใจว่าเชื้อหมด เพื่อป้องกันภาวะเรื้อรังหรือการกลับมาเป็นซ้ำ
หากปล่อยให้โรค Chlamydial conjunctivitis เป็นเรื้อรังโดยไม่ได้รับการรักษา การอักเสบของเยื่อบุตาอาจลุกลามไปยังกระจกตา ทำให้เกิด กระจกตาอักเสบ (keratitis) และอาจส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัวหรือลดลงได้ในระยะยาว
ผู้ป่วยบางรายอาจเกิด เยื่อบุตาหนาตัว หรือเกิดแผลเป็นภายในเปลือกตา ซึ่งทำให้ขนตางอกเข้าด้านใน (trichiasis) และขูดกระจกตาซ้ำๆ จนนำไปสู่การติดเชื้อแทรกซ้อนอื่นได้ ในกรณีทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจหรือปอดบวมร่วมด้วย
การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจึงมีความสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็น และลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
การป้องกันโรค Chlamydial conjunctivitis เริ่มได้จากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาด้วยมือที่ไม่สะอาด และไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า หรือ ผ้าขนหนู เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย
การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเชื้อ Chlamydia trachomatis สามารถติดต่อจากอวัยวะเพศเข้าสู่ดวงตาได้โดยตรง แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อก่อนคลอด เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังทารกขณะคลอด หากพบการติดเชื้อ ควรเข้ารับการรักษาทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทั้งต่อตนเองและลูกน้อย
โรค Chlamydial conjunctivitis สามารถเกิดได้ทั้งในผู้ใหญ่และทารก แต่สาเหตุและลักษณะอาการจะแตกต่างกันชัดเจน ในผู้ใหญ่ มักเกิดจากการติดเชื้อผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของคู่เพศสัมพันธ์ หรือจากการใช้มือสัมผัสดวงตาหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ล้างมือให้สะอาด
ในขณะที่ทารกแรกเกิดมักติดเชื้อจากแม่ที่มี Chlamydia trachomatis โดยเชื้อแพร่จากช่องคลอดของมารดาขณะคลอดเข้าสู่ดวงตาของทารก อาการในทารกมักเริ่มภายใน 5–14 วันหลังคลอด มีตาบวม แดง และมีขี้ตาข้นปริมาณมากกว่าผู้ใหญ่
แนวทางการรักษาจะแตกต่างกัน ผู้ใหญ่ใช้ยาปฏิชีวนะรับประทาน เช่น Azithromycin หรือ Doxycycline ส่วนทารกใช้ Erythromycin syrup ซึ่งออกฤทธิ์อ่อนโยนและปลอดภัยตามคำแนะนำของแพทย์
หากมีอาการตาแดง บวม หรือมีขี้ตาเหนียวต่อเนื่องเกิน 1 สัปดาห์ แม้ใช้ยาหยอดตาทั่วไปแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง โดยเฉพาะหากมีความเสี่ยงจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ในทารกแรกเกิด หากพบว่ามีขี้ตาเหนียวหรือเปลือกตาบวมภายใน 2 สัปดาห์หลังคลอด ควรพาเข้าพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดจากการติดเชื้อ Chlamydia trachomatis การรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของกระจกตาและการมองเห็น
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ หรือพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้ารับการตรวจและรักษาได้ที่ Safe Clinic ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ให้คำปรึกษาโดยตรง
โรค Chlamydial conjunctivitis อาจเริ่มจากอาการตาแดงทั่วไป แต่หากไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง อาจลุกลามจนกระทบต่อการมองเห็นได้ การเข้ารับการตรวจตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยให้วินิจฉัยได้เร็ว และรักษาได้ตรงจุด
หากคุณมีอาการตาแดง บวม มีขี้ตาเรื้อรัง หรือสงสัยว่าอาจติดเชื้อจากคู่เพศสัมพันธ์ ควรเข้าพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจยืนยันและรับการรักษาที่เหมาะสม ที่ Safe Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พร้อมให้คำปรึกษา ตรวจ และรักษาอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานทางการแพทย์
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้