Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ถุงยางอนามัยแตก เสี่ยงติดโรค-ท้องไม่พร้อม ทำไงดี?

หลายคนอาจเคยเจอสถานการณ์ไม่คาดคิดอย่าง “ถุงยางอนามัยแตก หรือ ถุงยางแตก” แล้วไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี บางคนตกใจ บางคนกลัวท้อง หรือกังวลเรื่องโรคติดต่อ ถุงยางแตกอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่จริง ๆ แล้วส่งผลได้หลายด้านทั้งร่างกายและจิตใจ

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทุกแง่มุมของปัญหานี้ ตั้งแต่สาเหตุที่ถุงยางแตก เสี่ยงอะไรบ้าง วิธีรับมือทันทีที่เกิดเหตุ และวิธีป้องกันไม่ให้ถุงยางแตก

ถุงยางแตก

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ถุงยางอนามัยแตกคืออะไร?

เวลาพูดถึง “ถุงยางแตก” หลายคนอาจจะนึกว่าแค่ขาดนิดเดียวไม่เป็นไร แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการที่ถุงยางขาดหรือแตกระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เชื้อโรคหรืออสุจิสามารถเล็ดลอดเข้าไปได้โดยตรง

หลายคนสับสนว่า “ถุงยางแตก” กับ “ถุงยางรั่ว” ต่างกันยังไง?

  • ถุงยาง แตก คือฉีกขาดแบบชัดเจน มักเกิดทันทีระหว่างมีเซ็กส์ เช่น แตกกลางชิ้น หรือหลุดออกมาเลย
  • ถุงยาง รั่ว คือมีรูเล็ก ๆ หรือชำรุดตั้งแต่แรก อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

สาเหตุที่ทำให้ถุงยางแตกบ่อยมีอะไรบ้าง?

  • ใช้ถุงยางหมดอายุ
  • ขนาดไม่พอดี (เล็กไปหรือหลวมเกิน)
  • ใส่ผิดวิธี ไม่เว้นอากาศที่ปลายถุง
  • ไม่มีการใช้เจลหล่อลื่น ทำให้เสียดสีมากเกินไป
  • ใช้ถุงยางซ้ำ หรือเก็บไว้ผิดวิธี (เจอความร้อน/แดด)

รู้ได้ไงว่าถุงยางอนามัยแตก?

บางครั้งถุงยางแตกแบบเห็นชัด ๆ เราอาจจะรู้ตัวตอนนั้นเลย แต่ก็มีหลายกรณีที่แตกแบบเงียบ ๆ ไม่รู้ตัว จนกว่าจะเสร็จไปแล้ว หรือบางคนเพิ่งมารู้ตอนถอดออก

วิธีเช็กง่าย ๆ ว่าถุงยางแตกหรือไม่

  • หลังมีเพศสัมพันธ์ ให้ดึงถุงยางออกอย่างระวัง แล้วสังเกตดูว่ามีรอยขาดหรือไม่
  • ตรวจดูว่ามีน้ำอสุจิรั่วออกมาที่โคน หรือบริเวณปลายถุงยางหรือเปล่า
  • ถุงยางหลุดคาไว้ในช่องคลอด หรือติดอยู่ที่อวัยวะเพศอีกฝั่ง แปลว่ามีความเสี่ยงแน่นอน

อาการหรือสิ่งที่ควรระวัง

  • รู้สึกว่าอะไรแปลก ๆ ระหว่างมีเซ็กส์ เช่น รู้สึกว่าถุงหลวม หรือไม่มีแรงต้าน
  • ถุงยางหายไป หรือตอนเสร็จแล้วมองไม่เห็นถุงยาง
  • มีน้ำหล่อลื่นหรือน้ำอสุจิออกมามากผิดปกติ

ถ้าไม่แน่ใจ อย่ารอ ควรรีบจัดการเบื้องต้น เช่น กินยาคุมฉุกเฉินหรือตรวจโรคตามขั้นตอน

ถุงยางอนามัยแตกแล้วเสี่ยงอะไร?

ถุงยางแตกไม่ใช่แค่เรื่องช็อก แต่ยังมาพร้อมความเสี่ยงที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเรื่องโรคติดต่อกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม

ความเสี่ยงหลัก ๆ ที่ต้องระวัง

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs): ถุงยางคือเกราะป้องกันโรคอย่าง HIV, หนองใน, ซิฟิลิส, เริม หรือ HPV ถ้าแตกเมื่อไหร่ นั่นแปลว่าความเสี่ยงในการติดเชื้อก็พุ่งขึ้นทันที โดยเฉพาะถ้าคู่ของเรามีประวัติเสี่ยงมาก่อน
  • ตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ: ถุงยางที่แตกอาจปล่อยให้อสุจิเข้าไปได้ แม้จะหลั่งข้างนอกก็ยังมีโอกาสท้องได้ถ้ามีน้ำหล่อลื่นที่ปนเชื้ออสุจิ
  • ความเสี่ยงสะสม: ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ๆ โดยไม่ป้องกันหรือไม่ตรวจตามขั้นตอน ความเสี่ยงสะสมก็จะมากขึ้น ทั้งเรื่องสุขภาพและสภาพจิตใจ

ถุงยางอนามัยแตก ต้องทำยังไงทันที?

ถุงยางแตกแล้ว ไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ก็ ห้ามนิ่งเฉย ยิ่งจัดการเร็ว โอกาสลดความเสี่ยงก็ยิ่งสูง มาดูกันว่าควรเริ่มจากอะไรบ้าง

สิ่งที่ควรทำทันที

  • หยุดกิจกรรมทันที อย่าฝืนต่อ เพราะยิ่งนานยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
  • รีบล้างทำความสะอาดเบื้องต้น ด้วยน้ำสะอาด ไม่ต้องสวนล้างแรง ๆ เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อระคายเคือง
  • ใช้ยาคุมฉุกเฉิน ถ้าเสี่ยงท้องและยังอยู่ในช่วงเวลาที่ใช้ได้ (แนะนำภายใน 72 ชม. ยิ่งเร็ว ยิ่งดี)
  • พิจารณาใช้ยาต้าน HIV (PEP) ถ้ามีความเสี่ยงสูง เช่น มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้สถานะ HIV หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 72 ชั่วโมง

แล้ว PrEP ล่ะ?

  • PrEP ไม่ใช่ยาฉุกเฉิน แต่เป็นยาป้องกันล่วงหน้าสำหรับคนที่มีความเสี่ยงสูงเป็นประจำ เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ค่อยใช้ถุงยาง
  • ถ้ายังไม่เคยกิน PrEP มาก่อน และถุงยางเพิ่งแตกครั้งแรก → ให้โฟกัสที่ PEP ก่อน

อ่านเพิ่มเติม: ยา PEP และ ยา PrEP ต่างกันอย่างไร

ยาคุมฉุกเฉิน ใช้ยังไงให้ได้ผล?

ถุงยางแตกแล้วกลัวท้อง? ยาคุมฉุกเฉินคือทางออกที่หลายคนเลือก แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธีถึงจะได้ผล

กินเมื่อไหร่?

  • ยาคุมฉุกเฉินควรกิน ภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง
  • แต่! ถ้าจะให้ดีที่สุด ให้กิน ทันที หรือ ภายใน 12 ชั่วโมงแรก ยิ่งเร็ว ยิ่งกันได้ดี

กินยังไง?

  • ส่วนใหญ่มี 2 แบบ: แบบเม็ดเดียว (กินครั้งเดียวจบ), แบบ 2 เม็ด (กินเม็ดแรกแล้วรออีก 12 ชั่วโมงกินเม็ดที่สอง)
  • อ่านฉลากก่อนทุกครั้ง หรือปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยา

สิ่งที่ควรรู้

  • ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาคุมแบบกินประจำ และ ไม่ควรกินบ่อย
  • กินบ่อย = ฮอร์โมนรวน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดหัว คลื่นไส้ ฯลฯ
  • ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ป้องกันโรคติดต่อนะ ป้องกันแค่ท้องเท่านั้น

ตรวจโรคหลังถุงอนามัยยางแตก ต้องตรวจอะไรบ้าง?

ถุงยางแตก แล้วกังวลเรื่องโรค? ไม่ต้องรอให้มีอาการก่อน เพราะบางโรคไม่แสดงอาการทันที แต่ก็สามารถ “แอบอยู่ในร่างกายเรา” ได้

ตรวจอะไรบ้าง?

สิ่งที่ควรตรวจหลังมีความเสี่ยงคือพวก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เช่น

บางโรคตรวจได้เร็ว บางโรคต้องรอเวลานิดนึงถึงจะเจอผลที่ชัวร์

ตรวจเมื่อไหร่ดี?

  • HIV: ควรรอประมาณ 14 วันขึ้นไป ถึงตรวจแบบรู้ผลได้แม่นยำ ถ้าตรวจเร็วเกินไปอาจยังไม่เจอ
  • โรคอื่น ๆ: หลายโรคตรวจได้เลยตั้งแต่ช่วง 3–7 วันแรก ถ้ามีอาการ ให้รีบไปตรวจทันที
  • ถ้าไม่แน่ใจว่า “ควรตรวจตอนไหน?” ให้ปรึกษาหมอหรือนักเทคนิคการแพทย์ได้เลย

ตรวจที่ไหน?

  • โรงพยาบาลทั่วไป
  • เซฟคลินิก คลินิกเฉพาะทาง บริการตรวจและรักษา HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ทุกชนิด

ถุงยางแตก แล้วท้องไม่พร้อม ทำไงดี?

กลัวท้อง ไม่พร้อมมีลูก? ทำไงดี อันดับแรกต้องเช็กก่อนว่าท้องรึเปล่า อย่างน้อย 14 วันหลังเสี่ยง ค่อยตรวจครรภ์ เพราะถ้าตรวจเร็วไป ผลอาจคลาดเคลื่อน ชุดตรวจครรภ์แบบปัสสาวะ หาซื้อได้ทั่วไป หรือถ้าชัวร์กว่านั้น ไปตรวจเลือดที่คลินิก

ถ้าตรวจแล้วท้องจริง แต่ยังไม่พร้อมทางเลือกที่สามารถทำได้

  • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตั้งครรภ์
  • ขอคำแนะนำจากคลินิกหรือหน่วยงานที่ดูแลเรื่อง “ตั้งครรภ์ไม่พร้อม”
  • ถ้าต้องการยุติการตั้งครรภ์ ให้ไปสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย

อย่าตัดสินใจลำพัง และอย่าใช้วิธีที่เสี่ยงอันตรายกับชีวิต

วิธีลดความเสี่ยงไม่ให้ถุงยางแตก หรือฉีกขาด

  1. เลือกขนาดให้พอดี ถุงยางที่ แน่นเกินไป = เสี่ยงขาด, ถ้าหลวม = เสี่ยงหลุด ลองดูไซซ์ที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ต้องเขินที่จะลองหลายแบบ
  2. ใส่ให้ถูกวิธีตั้งแต่แรก บีบปลายถุงก่อนใส่ เพื่อให้มีที่รองรับน้ำอสุจิ และป้องกันลมดันจนแตก
  3. อย่าลืมเจลหล่อลื่น (ถ้าจำเป็น) โดยเฉพาะถ้ามีเพศสัมพันธ์ที่นาน หรือฝ่ายรับแห้งง่าย เลือกเจลแบบ water-based เท่านั้น เพราะแบบ oil-based ทำให้ถุงยางเปื่อยเร็ว
  4. อย่าเก็บถุงยางในที่ร้อนหรือโดนแดด อย่างกระเป๋าตังค์ในกางเกงหรือหน้ารถนี่ห้ามเลย เพราะมันทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพง่าย
  5. ใช้ใหม่ทุกครั้ง! ไม่ว่าจะหลั่งหรือยัง อย่าเอาถุงยางเก่ากลับมาใช้ซ้ำเด็ดขาด

บทสรุป

ถุงยางแตกไม่ใช่เรื่องที่ควรปล่อยผ่านหรือรู้สึกผิด แต่มันคือเรื่องที่สามารถ “รับมือได้” ถ้าเรารู้วิธี การตั้งสติ แล้วจัดการอย่างถูกต้อง เช่น กินยาคุมฉุกเฉินภายในเวลาที่เหมาะสม ตรวจหาโรคติดต่อ หรือไปพบแพทย์เพื่อรับยาต้าน HIV หากจำเป็น คือวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก ที่สำคัญคือ การใช้ถุงยางอย่างถูกต้อง เลือกขนาดให้พอดี เก็บให้เหมาะสม และไม่ลืมใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ จะช่วยป้องกันได้ดี และอาจช่วยคุณหรือคนรอบข้างในเวลาที่คาดไม่ถึงได้

icon email