โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คือหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก ซึ่งเกิดจากเชื้อ Herpes Simplex Virus (HSV) แม้โรคนี้จะไม่ใช่โรครุนแรงถึงชีวิตในคนทั่วไป แต่ก็สามารถมีผลกระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตในระยะยาว
หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเริม เช่น คิดว่าแค่ไม่มีแผลก็ไม่ติดต่อ หรือเป็นโรคของคนที่ชอบเปลี่ยนคู่นอน จริงๆ แล้วคนที่มีคู่นอนเพียงแค่คนเดียวก็สามารถเป็นเริมได้เช่นกัน
บทความนี้จัดทำขึ้นโดยอิงจากแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO), ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) และแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณ:
เริมที่อวัยวะเพศเกิดจากการติดเชื้อ Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งแบ่งเป็นชนิดที่ 1 และ 2 (HSV-1 และ HSV-2) HSV-1 มักจะทำให้เป็นเริมที่บริเวณปาก มักจะเกิดเพียงแค่ครั้งเดียว ส่วน HSV-2 ทำให้เป็นเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งเป็นโรคที่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้
หลังติดเชื้อครั้งแรก เชื้อ HSV-2 จะฝังตัวอยู่ในปมประสาท (nerve ganglia) บริเวณไขสันหลัง โดยเชื้อจะ “ตื่น” ขึ้นมาเมื่อร่างกายอ่อนแอ ความเครียด ทำให้เกิดเริม มีอาการปวดแสบคัน ตุ่มน้ำใส หรือแผลบริเวณอวัยวะเพศ
ในบางคนอาจไม่มีอาการชัดเจนเลย แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ผ่านการสัมผัสกับผิวหนังตรงที่มีเชื้อโดยตรง
ไวรัส HSV ไม่สามารถกำจัดออกจากร่างกายได้โดยสมบูรณ์ แต่สามารถควบคุมไม่ให้อาการกำเริบบ่อย และลดโอกาสแพร่เชื้อได้ด้วยการใช้ยาต้านไวรัส และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม
Herpes Simplex Virus (HSV) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่า HSV-1 สามารถทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้เช่นกัน โดยเฉพาะจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (oral sex)
รายการเปรียบเทียบ |
HSV-1 |
HSV-2 |
---|---|---|
บริเวณที่พบบ่อยที่สุด |
ริมฝีปาก, ช่องปาก |
อวัยวะเพศ, ทวารหนัก |
วิธีการแพร่เชื้อ |
น้ำลาย, สัมผัสใกล้ชิด |
สัมผัสใกล้ชิด เพศสัมพันธ์ |
ความรุนแรงของอาการ |
น้อยกว่า HSV-2 |
รุนแรงกว่า HSV-1 |
การกำเริบของโรค |
มักจะไม่เป็นซ้ำ |
มีโอกาสเป็นซ้ำได้มาก |
การแพร่ระหว่างไม่มีอาการ |
เกิดได้ แต่น้อย |
เกิดได้มากกว่า HSV-1 |
แผลเริมที่อวัยวะเพศมีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ โดยทั่วไปมีระยะการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังชัดเจน ซึ่งอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล:
💡 ข้อควรรู้: เริมอาจเกิดในตำแหน่งที่มองไม่เห็น เช่น ภายในช่องคลอด หรือในทวารหนัก ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ
ระยะฟักตัว (incubation period) คือช่วงเวลาตั้งแต่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HSV-2 จนกระทั่งแสดงอาการครั้งแรก เช่น ปวด คัน หรือตุ่มใสที่อวัยวะเพศ
ระยะฟักตัวอาจสั้นหรือยาวขึ้นได้ ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น
บางคนอาจไม่มีอาการเลยในช่วงแรก ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อจนกระทั่งเกิดการกำเริบในภายหลัง
แม้จะพบมากในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ แต่ก็มีหลายปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น จำนวนคู่นอน, อายุ, และภูมิคุ้มกันร่างกาย
– ยิ่งเปลี่ยนคู่นอนบ่อย โอกาสติดเชื้อ HSV-2 จากผู้ที่มีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการก็ยิ่งสูง
– การไม่ใช้ถุงยางเพิ่มความเสี่ยงของการสัมผัสเชื้อจากผิวหนังโดยตรง แม้ในกรณีที่ไม่มีตุ่มหรือแผล
– เช่น ซิฟิลิส หนองใน HIV ฯลฯ เนื่องจากมีโอกาสที่ผิวหนังหรือเยื่อบุถูกทำลายง่าย
– สถิติพบว่าผู้หญิงติด HSV-2 ได้ง่ายกว่าผู้ชายจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ (ข้อมูลจาก WHO)
– เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ใช้ยากดภูมิ ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายอวัยวะ
– โดยเฉพาะกรณีที่ HSV-1 ก่อเริมที่อวัยวะเพศจากการรับเชื้อทางปาก (oral-genital transmission)
❗️บางคนติดเชื้อแม้ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงชัดเจน เพราะคู่ของเขาอาจไม่มีอาการและไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นพาหะ
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “ถ้าไม่มีแผล = ไม่แพร่เชื้อ” แต่ความจริงคือ HSV-2 สามารถแพร่เชื้อได้แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการ (asymptomatic shedding) ซึ่งเป็นภาวะที่ไวรัสถูกปล่อยออกมาทางผิวหนังหรือเยื่อบุ โดยที่ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัว
❗️เริมไม่ติดต่อผ่านการใช้ห้องน้ำร่วมกัน, การจับมือ, หรือการกินอาหารร่วมกัน
ลักษณะอาการและความรุนแรงแตกต่างกันชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการรักษาและการป้องกันการแพร่เชื้อ
ลักษณะเปรียบเทียบ |
การติดเชื้อครั้งแรก (Primary) |
การกำเริบของเริม (Recurrent) |
---|---|---|
ระยะฟักตัวหลังติดเชื้อ |
2–12 วัน |
– |
ความรุนแรงของอาการ |
มักรุนแรง เจ็บมาก มีไข้ หนาวสั่น |
อาการเบาลง เจ็บน้อยกว่า |
ลักษณะตุ่มหรือแผล |
หลายตุ่ม ขนาดใหญ่ เจ็บแสบ บางรายมีน้ำเหลือง |
มักเป็นตุ่มเดี่ยว ๆ หรือกลุ่มเล็ก ๆ |
อาการร่วมอื่น ๆ |
ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อย ปัสสาวะแสบ |
มักไม่มีอาการร่วม |
ระยะเวลาการหาย |
2–3 สัปดาห์ (หากไม่รักษา) |
5–10 วัน |
ความถี่ในการเกิด |
ครั้งแรกหลังรับเชื้อ |
เกิดซ้ำได้ โดยเฉพาะช่วงเครียด/พักผ่อนน้อย |
ความสามารถในการแพร่เชื้อ |
สูงมาก |
ยังแพร่ได้ แต่ปริมาณไวรัสน้อยลง |
🔍 ข้อมูลจาก CDC และวารสาร Journal of Infectious Diseases ระบุว่า 50–80% ของผู้ติดเชื้อ HSV-2 จะมีการกำเริบของโรคในปีแรกหลังติดเชื้อ
ในบางราย เริมกำเริบโดยไม่มีตุ่มหรือแผล แต่ผู้ป่วยอาจรู้สึก “แสบเล็กน้อย คัน หรือตึงผิวหนัง” ซึ่งมักเป็นจุดเริ่มของการปล่อยเชื้อแบบไม่รู้ตัว (viral shedding)
ผู้ติดเชื้อบางรายมีอาการรุนแรงชัดเจน ขณะที่บางคนแทบไม่มีอาการเลย โดยเฉพาะในกรณีของการกำเริบซ้ำ อย่างไรก็ตาม ลักษณะอาการหลักที่พบได้บ่อย ได้แก่:
⚠️ หมายเหตุ: ในบางรายอาการไม่ปรากฏชัด หรือเข้าใจผิดว่าเป็นผื่นแพ้ เชื้อรา หรือขนคุด จึงควรปรึกษาแพทย์หากสงสัย
หลายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) และโรคผิวหนังทั่วไปสามารถทำให้เกิดแผล ผื่น หรือตุ่มในบริเวณเดียวกันได้ ดังนั้น การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจโดยแพทย์
ลักษณะอาการ |
เริม (HSV-2) |
ซิฟิลิสระยะที่ 1 |
ผื่นเชื้อรา / ยีสต์ |
---|---|---|---|
ลักษณะผื่น/แผล |
ตุ่มน้ำใสกลุ่มเล็ก → แตกเป็นแผลตื้น |
แผลเดียว ขอบเรียบ ไม่เจ็บ ไม่คัน |
ผื่นแดง คัน ขอบชัด มีขุย หรือเม็ดน้ำ |
ความรู้สึกขณะมีอาการ |
แสบ คัน เจ็บมากโดยเฉพาะตอนตุ่มแตก |
ไม่เจ็บ ไม่แสบ ไม่คัน |
คันมาก โดยเฉพาะบริเวณชื้น |
จำนวนแผล |
หลายจุด/กลุ่ม |
1 จุดใหญ่ |
กระจายเป็นวง/แผ่น |
ระยะเวลาหาย (หากไม่รักษา) |
7–14 วัน |
3–6 สัปดาห์ |
เรื้อรังได้ ไม่หายเองในบางคน |
การแพร่เชื้อ |
สูง โดยเฉพาะช่วงตุ่มแตก |
สูง โดยเฉพาะช่วงมีแผล |
ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศเสมอ |
การวินิจฉัยที่แม่นยำ |
PCR, Swab lesion |
Blood test (VDRL/TPHA), Swab |
ตรวจขูดผิวหรือส่องกล้องจุลทรรศน์ |
❗️ทุกโรคมีอาการที่ “คล้ายกันได้ในบางระยะ” จึงไม่ควรวินิจฉัยเอง หากสงสัย ควรพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างถูกต้อง
การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้รักษาได้ตรงจุด ลดการแพร่เชื้อ และลดความเข้าใจผิดกับโรคอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน
วิธีตรวจ |
รายละเอียด |
ความแม่นยำ |
---|---|---|
PCR |
ตรวจหาสารพันธุกรรมไวรัสจากแผลหรือตุ่ม |
สูงที่สุด (มาตรฐานหลัก) |
Viral Culture |
เพาะเชื้อจากแผล เรียกหาไวรัส |
น้อยกว่า PCR โดยเฉพาะถ้าแผลแห้งแล้ว |
เหมาะกับผู้ที่มีแผลหรือตุ่มชัดเจน และมาตรวจในช่วง 1–3 วันแรกของการเกิดแผล
วิธีตรวจ |
รายละเอียด |
ความแม่นยำ/ข้อควรระวัง |
---|---|---|
IgG (ชนิดยาว) |
บอกว่าร่างกายเคยติด HSV-1 หรือ HSV-2 มาก่อน |
แม่นยำถ้าเป็นหลังติดเชื้อนาน ≥ 12 สัปดาห์ |
IgM (ชนิดสั้น) |
บอกว่ากำลังติดเชื้อใหม่ |
ความแม่นยำต่ำ แนะนำไม่ใช้เดี่ยว ๆ |
⚠️ CDC ไม่แนะนำให้ตรวจเลือดแบบ routine ในคนไม่มีอาการ เพราะผลอาจคลาดเคลื่อน และทำให้เกิดความกังวลโดยไม่จำเป็น
แม้จะติดเชื้อเริม (HSV-2) จริง แต่การตรวจอาจให้ผล “ลบลวง (false negative)” ได้ ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดการตรวจ ระยะเวลาหลังติดเชื้อ และตำแหน่งที่เก็บตัวอย่าง
แนวทางการรักษาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่:
ใช้เมื่อมีอาการกำเริบ เช่น แผล หรือตุ่มน้ำใส โดยเน้นลดระยะเวลาการหาย ลดอาการเจ็บ และลดโอกาสแพร่เชื้อ
ยาที่ใช้ |
ขนาดยา |
ระยะเวลา |
---|---|---|
Acyclovir |
400 mg วันละ 3 ครั้ง |
5 วัน |
Valacyclovir |
500–1000 mg วันละ 2 ครั้ง |
3–5 วัน |
Famciclovir |
1000 mg วันละ 2 ครั้ง |
1 วัน (หรือ 500 mg วันละ 2 ครั้ง 3 วัน) |
✔️ ควรเริ่มใช้ทันทีภายใน 24–48 ชม. หลังเริ่มมีอาการเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการกำเริบบ่อย (≥6 ครั้ง/ปี) หรือมีคู่นอนที่ยังไม่ติดเชื้อ เพื่อลดโอกาสกำเริบและแพร่เชื้อแบบไม่มีอาการ
ยาที่ใช้ |
ขนาดยา |
ระยะเวลา |
---|---|---|
Acyclovir |
400 mg วันละ 2 ครั้ง |
ทุกวัน |
Valacyclovir |
500–1000 mg วันละครั้ง |
ทุกวัน |
Famciclovir |
250 mg วันละ 2 ครั้ง |
ทุกวัน |
📌 การรักษานี้ช่วยลดโอกาสแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ถึง 50% และลดการกำเริบซ้ำได้อย่างชัดเจน
การใช้ยาต้านไวรัสแบบต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่า Suppressive Therapy จะใช้เฉพาะในบางกรณีเท่านั้น ซึ่งพิจารณาตามความถี่ของการกำเริบ และความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังคู่นอน
⚠️ ห้ามหยุดยาเองหากใช้แบบ suppressive ต่อเนื่องโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจทำให้ไวรัสกำเริบกะทันหัน
โดยเฉพาะกรณีที่แม่เพิ่งติดเชื้อครั้งแรกในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งภูมิคุ้มกันยังไม่สามารถป้องกันไวรัสได้เต็มที่ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อ Neonatal Herpes ซึ่งเป็นภาวะรุนแรงในทารก
ประเภทการติดเชื้อในแม่ |
ช่วงที่เกิด |
ความเสี่ยงต่อทารก |
---|---|---|
ติดเชื้อครั้งแรก (Primary HSV-2) |
ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ |
สูง (30–50%) |
เคยติดเชื้อมาก่อน (Recurrent) |
มีอาการกำเริบช่วงคลอด |
ต่ำ (1–3%) |
เคยติดเชื้อ ไม่มีอาการ |
ไม่มีตุ่มหรือแผลช่วงคลอด |
ต่ำมาก |
⚠️ หากทารกติดเชื้อในครรภ์หรือขณะคลอด อาจเกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ตับอักเสบ หรือการติดเชื้อระบบรุนแรง
การดูแลที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงต่อทารกได้อย่างมาก และไม่จำเป็นต้องผ่าคลอดทุกราย หากไม่มีแผลหรืออาการในช่วงคลอด
การรู้เท่าทันและใช้วิธีป้องกันหลายรูปแบบร่วมกัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
งานวิจัยบางฉบับพบว่า ยา PrEP (tenofovir/emtricitabine) ที่ใช้สำหรับป้องกัน HIV อาจลดการติด HSV-2 ได้ในผู้หญิงบางกลุ่ม แต่ยังไม่ใช่แนวทางมาตรฐานสำหรับเริมโดยตรง และควรใช้ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น
⚠️ แม้จะใช้วิธีทั้งหมดร่วมกัน ก็ยังมีโอกาสติดเชื้ออยู่บ้าง แต่สามารถลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก หากปฏิบัติสม่ำเสมอ
เริมที่อวัยวะเพศ (โดยเฉพาะ HSV-2) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ อยู่ในร่างกายตลอดชีวิต หลังจากติดเชื้อครั้งแรก ไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมากำเริบได้ในภายหลัง แม้จะไม่มีอาการชัดเจน
ไม่จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิตในทุกคน แต่ควรมี แนวทางการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละราย เช่น:
ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเกิดความเครียด วิตกกังวล และเข้าใจโรคนี้คลาดเคลื่อน การรู้เท่าทันความเข้าใจผิดเหล่านี้ จะช่วยให้รับมือกับโรคได้ดีขึ้น และลดการตีตราทางสังคม
ความเชื่อผิด (Myth) |
ข้อเท็จจริง (Fact) |
---|---|
1. เริมเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่สะอาด |
เริมเกิดจากไวรัส HSV ซึ่งสามารถติดต่อได้แม้ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง และแม้ใช้ถุงยางก็ยังมีโอกาสติด |
2. เริมเป็นโรคของ “คนหลายคู่นอน” เท่านั้น |
ไม่จริงเลย คนที่มีคู่นอนเพียงคนเดียวก็สามารถติดเชื้อได้ หากคู่ของเขามีเชื้อโดยไม่รู้ตัว |
3. ถ้าไม่มีแผล = ไม่แพร่เชื้อ |
ผิด ไวรัส HSV-2 สามารถแพร่ได้แม้ไม่มีอาการ ผ่านการปล่อยเชื้อแบบไม่แสดงอาการ (asymptomatic shedding) |
4. เริม = เอดส์ หรือเกี่ยวกับ HIV |
ไม่เกี่ยวกัน เริมเป็นคนละไวรัสกับ HIV แต่ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติด HIV อาจมีอาการเริมรุนแรงกว่า |
5. ติดเริมแล้วต้องหยุดมีเพศสัมพันธ์ตลอดชีวิต |
ไม่จริงเลย เมื่อควบคุมอาการได้ดีและมีการป้องกันที่เหมาะสม ยังสามารถมีชีวิตรักที่ปลอดภัยได้ตามปกติ |
6. เริมติดต่อจากโถส้วมหรือการใช้ของร่วมกันได้ |
ไม่จริง เริมต้องมีการสัมผัสใกล้ชิดแบบผิวต่อผิว ไวรัสไม่แพร่ผ่านโถส้วมหรือของใช้ทั่วไป |
7. เริมคือโรคที่อันตรายถึงชีวิต |
เริมไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิตในคนทั่วไป แม้จะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต แต่สามารถควบคุมและใช้ชีวิตได้ตามปกติ |
A: ติดผ่านการสัมผัสผิวหนังหรือเยื่อบุโดยตรงระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งแบบสอดใส่, oral sex หรือ anal sex แม้ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้
A: ไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยาต้านไวรัส และใช้ชีวิตปกติได้
A: ได้ แต่ความเสี่ยงลดลง เพราะถุงยางครอบคลุมไม่ถึงผิวหนังรอบอวัยวะเพศที่อาจมีเชื้อ
A: ได้ เรียกว่า “asymptomatic shedding” ไวรัสสามารถออกจากร่างกายและแพร่เชื้อโดยไม่มีแผลหรือตุ่มใด ๆ
A: เชื้อไวรัสต่างชนิดกัน (HSV-1 กับ HSV-2) แต่สามารถติดสลับตำแหน่งได้ เช่น HSV-1 ก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้จาก oral sex
A: ได้ หากไม่มีอาการ และมีการป้องกัน เช่น ใช้ถุงยาง และ/หรือใช้ยาระงับไวรัสทุกวัน
A: ไม่ หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม แต่ในบางกลุ่มเสี่ยง เช่น ทารกแรกเกิด หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
A: ไม่แน่ หากตรวจเร็วเกินไป หรือใช้วิธีตรวจที่ไม่แยกชนิดไวรัส อาจให้ผลลบลวง (false negative) ได้
A: ใช้ถุงยางทุกครั้ง หลีกเลี่ยง sex ตอนแฟนมีอาการ และให้แฟนใช้ยา suppressive ทุกวันเพื่อลดการปล่อยเชื้อ
A: แจ้งแพทย์ทันที อาจเริ่มยาตั้งแต่สัปดาห์ที่ 36 และพิจารณาวิธีคลอดที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงต่อลูก
เริมที่อวัยวะเพศ (HSV‑2) แม้จะเป็นโรคที่อยู่กับร่างกายไปตลอดชีวิต แต่ก็ ไม่ใช่โรคที่อันตราย ผู้ที่ติดเชื้อสามารถควบคุมอาการได้ มีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัย และตั้งครรภ์ได้ภายใต้การดูแลของแพทย์
สิ่งสำคัญคือ:
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้