Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

เริมที่อวัยวะเพศ เกิดจากอะไร หายเองได้ไหม มีลักษณะยังไง วิธีรักษาและป้องกัน

โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คือหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก ซึ่งเกิดจากเชื้อ Herpes Simplex Virus (HSV) แม้โรคนี้จะไม่ใช่โรครุนแรงถึงชีวิตในคนทั่วไป แต่ก็สามารถมีผลกระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตในระยะยาว

หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเริม เช่น คิดว่าแค่ไม่มีแผลก็ไม่ติดต่อ หรือเป็นโรคของคนที่ชอบเปลี่ยนคู่นอน จริงๆ แล้วคนที่มีคู่นอนเพียงแค่คนเดียวก็สามารถเป็นเริมได้เช่นกัน

บทความนี้จัดทำขึ้นโดยอิงจากแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO), ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) และแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณ:

  • เข้าใจว่าเริมคืออะไร และต่างจากโรคอื่นอย่างไร
  • รู้จักอาการ สาเหตุ วิธีการตรวจ และแนวทางการรักษา
  • วางแผนการดูแลตัวเองและป้องกันคนรอบข้างได้อย่างมั่นใจ
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

เริมที่อวัยวะเพศคืออะไร?

เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง

เริมที่อวัยวะเพศเกิดจากการติดเชื้อ Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งแบ่งเป็นชนิดที่ 1 และ 2 (HSV-1 และ HSV-2) HSV-1 มักจะทำให้เป็นเริมที่บริเวณปาก มักจะเกิดเพียงแค่ครั้งเดียว ส่วน HSV-2 ทำให้เป็นเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งเป็นโรคที่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้

HSV-2 ส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย?

หลังติดเชื้อครั้งแรก เชื้อ HSV-2 จะฝังตัวอยู่ในปมประสาท (nerve ganglia) บริเวณไขสันหลัง โดยเชื้อจะ “ตื่น” ขึ้นมาเมื่อร่างกายอ่อนแอ ความเครียด ทำให้เกิดเริม มีอาการปวดแสบคัน ตุ่มน้ำใส หรือแผลบริเวณอวัยวะเพศ

ในบางคนอาจไม่มีอาการชัดเจนเลย แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ผ่านการสัมผัสกับผิวหนังตรงที่มีเชื้อโดยตรง

สาเหตุของโรคเริมที่อวัยวะเพศ

  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ HSV-2 โดยไม่ใช้ถุงยาง
  • การสัมผัสสารคัดหลั่งหรือบริเวณที่มีเชื้อ แม้ไม่มีแผลชัดเจน
  • HSV-1 อาจก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้จาก oral sex โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่เคยสัมผัสเชื้อมาก่อน

เริมไม่สามารถ “หายขาด” แต่สามารถควบคุมได้

ไวรัส HSV ไม่สามารถกำจัดออกจากร่างกายได้โดยสมบูรณ์ แต่สามารถควบคุมไม่ให้อาการกำเริบบ่อย และลดโอกาสแพร่เชื้อได้ด้วยการใช้ยาต้านไวรัส และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

HSV-2 ต่างจาก HSV-1 อย่างไร?

เชื้อไวรัสเริมมี 2 ชนิดหลัก: HSV-1 และ HSV-2

Herpes Simplex Virus (HSV) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่

  • HSV-1: พบมากในผู้ที่มีแผลบริเวณปาก (oral herpes) เช่น แผลที่ริมฝีปาก หรือในช่องปาก
  • HSV-2: เป็นสาเหตุหลักของเริมที่อวัยวะเพศ (genital herpes) และมีแนวโน้มกำเริบบ่อยกว่า

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่า HSV-1 สามารถทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้เช่นกัน โดยเฉพาะจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (oral sex)

ตารางเปรียบเทียบ HSV-1 และ HSV-2

รายการเปรียบเทียบ

HSV-1

HSV-2

บริเวณที่พบบ่อยที่สุด

ริมฝีปาก, ช่องปาก

อวัยวะเพศ, ทวารหนัก 

วิธีการแพร่เชื้อ

น้ำลาย, สัมผัสใกล้ชิด

สัมผัสใกล้ชิด เพศสัมพันธ์

ความรุนแรงของอาการ

น้อยกว่า HSV-2

รุนแรงกว่า HSV-1

การกำเริบของโรค

มักจะไม่เป็นซ้ำ

มีโอกาสเป็นซ้ำได้มาก

การแพร่ระหว่างไม่มีอาการ

เกิดได้ แต่น้อย

เกิดได้มากกว่า HSV-1

เริมที่อวัยวะเพศหน้าตาเป็นยังไง?

ลักษณะของแผลเริมที่อวัยวะเพศ

แผลเริมที่อวัยวะเพศมีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ โดยทั่วไปมีระยะการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังชัดเจน ซึ่งอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล:

ลำดับลักษณะของแผลเริม (HSV-2)

  1. ผิวหนังระคายเคือง คัน หรือปวดจี๊ด ๆ – มักเกิดในระยะเริ่มต้น ก่อนเกิดตุ่ม
  2. ตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ คล้ายพองน้ำ – อาจขึ้นเดี่ยว ๆ หรือเป็นกลุ่ม
  3. ตุ่มแตกกลายเป็นแผลตื้น ๆ สีแดง/ขาว – มักรู้สึกเจ็บแสบ โดยเฉพาะขณะปัสสาวะ (ในเพศหญิง)
  4. แผลตกสะเก็ดและหายได้เองใน 7–14 วัน – ถ้าเป็นครั้งแรกอาจใช้เวลานานกว่านี้

บริเวณที่พบบ่อย

  • เพศชาย: ปลายองคชาต, หนังหุ้มปลาย, โคนอวัยวะเพศ
  • เพศหญิง: แคมเล็ก, แคมใหญ่, ช่องคลอด, ปากช่องคลอด
  • อื่น ๆ: ทวารหนัก, ก้น, ขาหนีบ, ต้นขาด้านใน

💡 ข้อควรรู้: เริมอาจเกิดในตำแหน่งที่มองไม่เห็น เช่น ภายในช่องคลอด หรือในทวารหนัก ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ

เริมที่อวัยวะเพศมีระยะฟักตัวกี่วัน?

ระยะฟักตัวของเริม (HSV-2) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4–7 วัน

ระยะฟักตัว (incubation period) คือช่วงเวลาตั้งแต่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HSV-2 จนกระทั่งแสดงอาการครั้งแรก เช่น ปวด คัน หรือตุ่มใสที่อวัยวะเพศ

  • โดยทั่วไป อาการจะเริ่มปรากฏภายใน 2–12 วัน
  • แต่โดยเฉลี่ยมักอยู่ที่ 4–7 วัน หลังการสัมผัสเชื้อ

📌 ข้อมูลจาก Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ระบุว่า 90% ของผู้ติดเชื้อ HSV-2 จะเริ่มแสดงอาการภายใน 2 สัปดาห์

ทำไมระยะฟักตัวจึงไม่เท่ากันในแต่ละคน?

ระยะฟักตัวอาจสั้นหรือยาวขึ้นได้ ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น

  • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ปริมาณเชื้อที่ได้รับ
  • ตำแหน่งที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
  • การมีบาดแผลร่วมขณะสัมผัสเชื้อ

บางคนอาจไม่มีอาการเลยในช่วงแรก ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อจนกระทั่งเกิดการกำเริบในภายหลัง

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นเริมที่อวัยวะเพศ?

โรคเริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2) สามารถเกิดได้กับทุกคน ไม่จำกัดเพศหรือวัย

แม้จะพบมากในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ แต่ก็มีหลายปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น จำนวนคู่นอน, อายุ, และภูมิคุ้มกันร่างกาย

กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศสูง ได้แก่:

1. ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน

– ยิ่งเปลี่ยนคู่นอนบ่อย โอกาสติดเชื้อ HSV-2 จากผู้ที่มีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการก็ยิ่งสูง

2. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

– การไม่ใช้ถุงยางเพิ่มความเสี่ยงของการสัมผัสเชื้อจากผิวหนังโดยตรง แม้ในกรณีที่ไม่มีตุ่มหรือแผล

3. ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น (STIs)

– เช่น ซิฟิลิส หนองใน HIV ฯลฯ เนื่องจากมีโอกาสที่ผิวหนังหรือเยื่อบุถูกทำลายง่าย

4. ผู้หญิง

– สถิติพบว่าผู้หญิงติด HSV-2 ได้ง่ายกว่าผู้ชายจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ (ข้อมูลจาก WHO)

5. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

– เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ใช้ยากดภูมิ ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายอวัยวะ

6. ผู้ที่เคยมี oral sex กับผู้ที่ติดเชื้อ HSV-1

– โดยเฉพาะกรณีที่ HSV-1 ก่อเริมที่อวัยวะเพศจากการรับเชื้อทางปาก (oral-genital transmission)

❗️บางคนติดเชื้อแม้ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงชัดเจน เพราะคู่ของเขาอาจไม่มีอาการและไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นพาหะ

เริมแพร่เชื้อได้ยังไง? ต้องมีแผลหรือไม่?

เริม (HSV-2) แพร่เชื้อได้แม้ไม่มีแผลให้เห็น

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “ถ้าไม่มีแผล = ไม่แพร่เชื้อ” แต่ความจริงคือ HSV-2 สามารถแพร่เชื้อได้แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการ (asymptomatic shedding) ซึ่งเป็นภาวะที่ไวรัสถูกปล่อยออกมาทางผิวหนังหรือเยื่อบุ โดยที่ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัว

วิธีการแพร่เชื้อของเริมที่อวัยวะเพศ

ช่องทางหลัก

  • การสัมผัสโดยตรงระหว่างผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ
  • การมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ (vaginal หรือ anal sex)
  • การมี oral sex กับผู้ที่มี HSV-2 หรือ HSV-1 บริเวณปาก

ช่องทางอื่น ๆ

  • การใช้ sex toy ร่วมกันโดยไม่ล้างให้สะอาด
  • การสัมผัสสารคัดหลั่งบริเวณที่มีเชื้อ

❗️เริมไม่ติดต่อผ่านการใช้ห้องน้ำร่วมกัน, การจับมือ, หรือการกินอาหารร่วมกัน

ระยะที่มีโอกาสแพร่เชื้อมากที่สุด

  • ขณะมี ตุ่มน้ำหรือแผลที่อวัยวะเพศ
  • ในช่วง 2–5 วันก่อนแผลขึ้น และ 1–2 วันหลังแผลหาย
  • แม้ไม่มีอาการเลยก็ตาม ก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้ในบางวัน (asymptomatic shedding)

สถิติน่ารู้:

  • งานวิจัยพบว่า ผู้ติดเชื้อ HSV-2 มีการปล่อยเชื้อเฉลี่ยประมาณ 10–20% ของวันในแต่ละเดือน
  • ผู้ที่ใช้ยาแบบ suppressive therapy มีโอกาสแพร่เชื้อลดลงเหลือ <5%

อาการเริมครั้งแรก vs ตอนกำเริบ ต่างกันยังไง?

เริมที่อวัยวะเพศมีได้ทั้ง “การติดเชื้อครั้งแรก (Primary infection)” และ “การกำเริบ (Recurrent episodes)”

ลักษณะอาการและความรุนแรงแตกต่างกันชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการรักษาและการป้องกันการแพร่เชื้อ

ตารางเปรียบเทียบ: อาการเริมครั้งแรก vs การกำเริบ

ลักษณะเปรียบเทียบ

การติดเชื้อครั้งแรก (Primary)

การกำเริบของเริม (Recurrent)

ระยะฟักตัวหลังติดเชื้อ

2–12 วัน

ความรุนแรงของอาการ

มักรุนแรง เจ็บมาก มีไข้ หนาวสั่น

อาการเบาลง เจ็บน้อยกว่า

ลักษณะตุ่มหรือแผล

หลายตุ่ม ขนาดใหญ่ เจ็บแสบ บางรายมีน้ำเหลือง

มักเป็นตุ่มเดี่ยว ๆ หรือกลุ่มเล็ก ๆ

อาการร่วมอื่น ๆ

ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อย ปัสสาวะแสบ

มักไม่มีอาการร่วม

ระยะเวลาการหาย

2–3 สัปดาห์ (หากไม่รักษา)

5–10 วัน

ความถี่ในการเกิด

ครั้งแรกหลังรับเชื้อ

เกิดซ้ำได้ โดยเฉพาะช่วงเครียด/พักผ่อนน้อย

ความสามารถในการแพร่เชื้อ

สูงมาก

ยังแพร่ได้ แต่ปริมาณไวรัสน้อยลง

🔍 ข้อมูลจาก CDC และวารสาร Journal of Infectious Diseases ระบุว่า 50–80% ของผู้ติดเชื้อ HSV-2 จะมีการกำเริบของโรคในปีแรกหลังติดเชื้อ

จุดสังเกต: ทำไมการกำเริบบางครั้งไม่มีอาการชัดเจน?

ในบางราย เริมกำเริบโดยไม่มีตุ่มหรือแผล แต่ผู้ป่วยอาจรู้สึก “แสบเล็กน้อย คัน หรือตึงผิวหนัง” ซึ่งมักเป็นจุดเริ่มของการปล่อยเชื้อแบบไม่รู้ตัว (viral shedding)

อาการเริมที่อวัยวะเพศเป็นยังไง?

อาการของเริมที่อวัยวะเพศอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน

ผู้ติดเชื้อบางรายมีอาการรุนแรงชัดเจน ขณะที่บางคนแทบไม่มีอาการเลย โดยเฉพาะในกรณีของการกำเริบซ้ำ อย่างไรก็ตาม ลักษณะอาการหลักที่พบได้บ่อย ได้แก่:

อาการเริ่มต้นที่พบบ่อย

  • แสบ คัน หรือรู้สึกตึงบริเวณอวัยวะเพศ
  • ปวดเสียวหรือเจ็บจี๊ดในบริเวณที่ไวรัสจะปรากฏ
  • บางรายมีไข้ อ่อนเพลีย หรือปวดเมื่อยคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่

อาการเฉพาะบริเวณผิวหนังและเยื่อบุ

  • ตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก: มักขึ้นเป็นกลุ่มในบริเวณผิวหนังหรือเยื่อบุ
  • แผลตื้น ๆ สีแดงหรือขาว: เกิดหลังจากตุ่มแตก มักเจ็บแสบมาก
  • แผลแห้งตกสะเก็ดแล้วหายได้เองใน 7–14 วัน (หากไม่ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน)

ตำแหน่งที่พบบ่อย

ในเพศหญิง:

  • แคมใหญ่ แคมเล็ก ปากช่องคลอด
  • ผิวหนังรอบ ๆ ทวารหนัก
  • ปากมดลูก (ในบางรายอาจไม่มีอาการภายนอก)

ในเพศชาย:

  • ปลายองคชาติ
  • โคนองคชาติ
  • ถุงอัณฑะ
  • รอบทวารหนัก

อาการร่วมอื่น ๆ ที่พบได้

  • ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต กดเจ็บ
  • ปัสสาวะแสบ หรือปัสสาวะลำบาก
  • ปวดหน่วงหรือปวดร้าวไปถึงต้นขา/หลังส่วนล่าง

⚠️ หมายเหตุ: ในบางรายอาการไม่ปรากฏชัด หรือเข้าใจผิดว่าเป็นผื่นแพ้ เชื้อรา หรือขนคุด จึงควรปรึกษาแพทย์หากสงสัย

เริม VS แผลซิฟิลิส VS แผลเชื้อรา ต่างกันยังไง?

แผลหรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศไม่ได้หมายถึง “เริม” เสมอไป

หลายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) และโรคผิวหนังทั่วไปสามารถทำให้เกิดแผล ผื่น หรือตุ่มในบริเวณเดียวกันได้ ดังนั้น การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจโดยแพทย์

ตารางเปรียบเทียบ: เริม / ซิฟิลิส / เชื้อรา

ลักษณะอาการ

เริม (HSV-2)

ซิฟิลิสระยะที่ 1

ผื่นเชื้อรา / ยีสต์

ลักษณะผื่น/แผล

ตุ่มน้ำใสกลุ่มเล็ก → แตกเป็นแผลตื้น

แผลเดียว ขอบเรียบ ไม่เจ็บ ไม่คัน

ผื่นแดง คัน ขอบชัด มีขุย หรือเม็ดน้ำ

ความรู้สึกขณะมีอาการ

แสบ คัน เจ็บมากโดยเฉพาะตอนตุ่มแตก

ไม่เจ็บ ไม่แสบ ไม่คัน

คันมาก โดยเฉพาะบริเวณชื้น

จำนวนแผล

หลายจุด/กลุ่ม

1 จุดใหญ่

กระจายเป็นวง/แผ่น

ระยะเวลาหาย (หากไม่รักษา)

7–14 วัน

3–6 สัปดาห์

เรื้อรังได้ ไม่หายเองในบางคน

การแพร่เชื้อ

สูง โดยเฉพาะช่วงตุ่มแตก

สูง โดยเฉพาะช่วงมีแผล

ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศเสมอ

การวินิจฉัยที่แม่นยำ

PCR, Swab lesion

Blood test (VDRL/TPHA), Swab

ตรวจขูดผิวหรือส่องกล้องจุลทรรศน์

❗️ทุกโรคมีอาการที่ “คล้ายกันได้ในบางระยะ” จึงไม่ควรวินิจฉัยเอง หากสงสัย ควรพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างถูกต้อง

จุดสังเกตสำคัญ

  • เริม: เจ็บแสบ / แผลหลายจุด / กำเริบซ้ำได้
  • ซิฟิลิส: แผลเดียว ไม่เจ็บ / มักไม่รู้ตัว
  • เชื้อรา: คันมาก / ไม่ใช่แผลแต่เป็นผื่น

ตรวจเริมที่อวัยวะเพศยังไง?

การวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศต้องอาศัยการตรวจทางการแพทย์ร่วมกับการซักประวัติ

การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้รักษาได้ตรงจุด ลดการแพร่เชื้อ และลดความเข้าใจผิดกับโรคอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน

วิธีการตรวจเริมที่ใช้ในทางคลินิก

1. ตรวจเชื้อจากแผลโดยตรง (PCR หรือ Viral Culture)

วิธีตรวจ

รายละเอียด

ความแม่นยำ

PCR

ตรวจหาสารพันธุกรรมไวรัสจากแผลหรือตุ่ม

สูงที่สุด (มาตรฐานหลัก)

Viral Culture

เพาะเชื้อจากแผล เรียกหาไวรัส

น้อยกว่า PCR โดยเฉพาะถ้าแผลแห้งแล้ว

เหมาะกับผู้ที่มีแผลหรือตุ่มชัดเจน และมาตรวจในช่วง 1–3 วันแรกของการเกิดแผล

2. ตรวจเลือดหา Antibody (IgG/IgM)

วิธีตรวจ

รายละเอียด

ความแม่นยำ/ข้อควรระวัง

IgG (ชนิดยาว)

บอกว่าร่างกายเคยติด HSV-1 หรือ HSV-2 มาก่อน

แม่นยำถ้าเป็นหลังติดเชื้อนาน ≥ 12 สัปดาห์

IgM (ชนิดสั้น)

บอกว่ากำลังติดเชื้อใหม่

ความแม่นยำต่ำ แนะนำไม่ใช้เดี่ยว ๆ

⚠️ CDC ไม่แนะนำให้ตรวจเลือดแบบ routine ในคนไม่มีอาการ เพราะผลอาจคลาดเคลื่อน และทำให้เกิดความกังวลโดยไม่จำเป็น

3. ตรวจร่วมกับโรคอื่น (ถ้ามีความเสี่ยง)

  • แพทย์อาจแนะนำตรวจ HIV, ซิฟิลิส หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วย
  • หากมีแผลเรื้อรัง ไม่ตอบสนองต่อยาทั่วไป อาจต้องตรวจเพิ่มเติม

ต้องตรวจเมื่อใด?

  • มีแผลที่อวัยวะเพศ ตุ่มน้ำ หรืออาการที่สงสัย
  • มีคู่นอนติดเริม หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • เตรียมตั้งครรภ์ หรือเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยง

HSV-2 ตรวจไม่เจอ เป็นไปได้ไหม?

คำตอบคือ: เป็นไปได้ในบางกรณี

แม้จะติดเชื้อเริม (HSV-2) จริง แต่การตรวจอาจให้ผล “ลบลวง (false negative)” ได้ ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดการตรวจ ระยะเวลาหลังติดเชื้อ และตำแหน่งที่เก็บตัวอย่าง

สาเหตุที่อาจทำให้ “ตรวจไม่เจอ HSV-2” ได้แก่:

1. ตรวจเร็วเกินไปหลังติดเชื้อ

  • หากตรวจเลือดในช่วง ก่อน 12 สัปดาห์ หลังสัมผัสเชื้อ ผล IgG อาจยังไม่ขึ้น
  • ระยะฟักตัวของระบบภูมิคุ้มกันใช้เวลานานกว่าระบบผิวหนัง

2. แผลแห้งหรือไม่มีตุ่มให้เก็บตัวอย่าง

  • การตรวจ PCR หรือ swab lesion ต้องใช้ของเหลวจากแผลสด
  • หากแผลแห้งแล้ว หรือไม่สามารถเข้าถึงแผลได้ (เช่น ภายในทวารหนัก/ช่องคลอด) อาจตรวจไม่พบ

3. ใช้ชุดตรวจที่มีความไวต่ำ หรือมีเฉพาะ HSV รวม (ไม่แยกชนิด)

  • บางแล็บใช้วิธีรวม HSV-1/2 หรือใช้ IgM ที่ไม่แม่นยำ
  • ควรใช้แล็บที่แยกชนิดไวรัสได้ (type-specific testing)

4. ติดเชื้อแล้วแต่ไม่มีภูมิขึ้นชัดเจน

  • พบได้น้อย แต่บางรายติดเชื้อแล้วร่างกายไม่สร้าง antibody มากพอให้ตรวจเจอ

คำแนะนำเมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ แต่ “ตรวจไม่เจอ”

  • รอให้ครบ 12–16 สัปดาห์หลังเสี่ยงติดเชื้อ แล้วตรวจซ้ำแบบแยกชนิด (type-specific IgG)
  • ถ้ามีตุ่มหรือแผล → รีบพบแพทย์เพื่อเก็บตัวอย่างทันที ไม่ควรปล่อยให้แห้ง
  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อวางแผนติดตามและป้องกันแพร่เชื้อ

รักษาเริมที่อวัยวะเพศยังไง?

เริมที่อวัยวะเพศแม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถ “ควบคุมอาการ” และ “ลดการแพร่เชื้อ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางการรักษาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่:

1. การรักษาเฉพาะตอนกำเริบ (Episodic Therapy)

ใช้เมื่อมีอาการกำเริบ เช่น แผล หรือตุ่มน้ำใส โดยเน้นลดระยะเวลาการหาย ลดอาการเจ็บ และลดโอกาสแพร่เชื้อ

ยาที่ใช้

ขนาดยา

ระยะเวลา

Acyclovir

400 mg วันละ 3 ครั้ง

5 วัน

Valacyclovir

500–1000 mg วันละ 2 ครั้ง

3–5 วัน

Famciclovir

1000 mg วันละ 2 ครั้ง

1 วัน (หรือ 500 mg วันละ 2 ครั้ง 3 วัน)

✔️ ควรเริ่มใช้ทันทีภายใน 24–48 ชม. หลังเริ่มมีอาการเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

2. การรักษาระงับอาการระยะยาว (Suppressive Therapy)

เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการกำเริบบ่อย (≥6 ครั้ง/ปี) หรือมีคู่นอนที่ยังไม่ติดเชื้อ เพื่อลดโอกาสกำเริบและแพร่เชื้อแบบไม่มีอาการ

ยาที่ใช้

ขนาดยา

ระยะเวลา

Acyclovir

400 mg วันละ 2 ครั้ง

ทุกวัน

Valacyclovir

500–1000 mg วันละครั้ง

ทุกวัน

Famciclovir

250 mg วันละ 2 ครั้ง

ทุกวัน

📌 การรักษานี้ช่วยลดโอกาสแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ถึง 50% และลดการกำเริบซ้ำได้อย่างชัดเจน

แนวทางเสริมระหว่างการรักษา

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีแผลหรือรู้สึกแสบ
  • ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ลดความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • แจ้งคู่นอนหากทราบว่าติดเชื้อ เพื่อร่วมวางแผนดูแล

ต้องกินยาต่อเนื่องตลอดชีวิตไหม?

คำตอบคือ: ไม่จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิตทุกคน

การใช้ยาต้านไวรัสแบบต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่า Suppressive Therapy จะใช้เฉพาะในบางกรณีเท่านั้น ซึ่งพิจารณาตามความถี่ของการกำเริบ และความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังคู่นอน

ในกรณีใดที่แพทย์อาจแนะนำให้กินยาทุกวัน?

1. ผู้ที่มีการกำเริบบ่อย (≥6 ครั้ง/ปี)

  • ยาช่วยลดจำนวนครั้งที่เริมกำเริบ และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ลดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น เจ็บ คัน แสบบริเวณอวัยวะเพศ

2. ผู้ที่มีคู่นอนยังไม่ติดเชื้อ (serodiscordant couple)

  • ยาช่วยลดโอกาสแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ประมาณ 50%
  • ควรใช้ร่วมกับถุงยางเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

3. หญิงตั้งครรภ์ในช่วงใกล้คลอด

  • เริ่มให้ยาตั้งแต่สัปดาห์ที่ 36 เป็นต้นไป เพื่อลดโอกาสเริมกำเริบระหว่างคลอด
  • ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ HSV ไปยังทารกขณะคลอด (neonatal herpes)

แล้วถ้าไม่เข้ากลุ่มเสี่ยง ต้องกินยาต่อเนื่องไหม?

  • ไม่จำเป็น ผู้ที่มีอาการน้อย หรือกำเริบไม่บ่อย สามารถใช้ยาตามอาการ (episodic) ได้เท่านั้น
  • แพทย์จะประเมินเป็นรายบุคคล หากไม่มีอาการนาน 1 ปี อาจหยุดยาได้ภายใต้การติดตามของแพทย์

⚠️ ห้ามหยุดยาเองหากใช้แบบ suppressive ต่อเนื่องโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจทำให้ไวรัสกำเริบกะทันหัน

เริมในคนท้อง อันตรายไหม? ควรคลอดแบบไหน?

เริมที่อวัยวะเพศในหญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อทารก หากมีการติดเชื้อขณะคลอด

โดยเฉพาะกรณีที่แม่เพิ่งติดเชื้อครั้งแรกในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งภูมิคุ้มกันยังไม่สามารถป้องกันไวรัสได้เต็มที่ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อ Neonatal Herpes ซึ่งเป็นภาวะรุนแรงในทารก

ความเสี่ยงของเริมต่อทารกมีระดับแตกต่างกันไป

ประเภทการติดเชื้อในแม่

ช่วงที่เกิด

ความเสี่ยงต่อทารก

ติดเชื้อครั้งแรก (Primary HSV-2)

ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์

สูง (30–50%)

เคยติดเชื้อมาก่อน (Recurrent)

มีอาการกำเริบช่วงคลอด

ต่ำ (1–3%)

เคยติดเชื้อ ไม่มีอาการ

ไม่มีตุ่มหรือแผลช่วงคลอด

ต่ำมาก

⚠️ หากทารกติดเชื้อในครรภ์หรือขณะคลอด อาจเกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ตับอักเสบ หรือการติดเชื้อระบบรุนแรง

แนวทางการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเริม

1. แจ้งแพทย์ฝากครรภ์ทันทีหากเคยมีอาการเริม หรือคู่นอนติดเชื้อ

  • แพทย์จะวางแผนติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงท้ายการตั้งครรภ์
  • อาจแนะนำการตรวจ PCR หรือ antibody หากมีข้อสงสัย

2. เริ่มให้ยาต้านไวรัสตั้งแต่สัปดาห์ที่ 36

  • เช่น Acyclovir 400 mg วันละ 3 ครั้ง หรือ Valacyclovir 500 mg วันละ 2 ครั้ง
  • ลดโอกาสเริมกำเริบในช่วงคลอด และลด viral shedding

3. พิจารณาคลอดทางหน้าท้อง (ผ่าคลอด) หากมีแผลช่วงใกล้คลอด

  • หากมีตุ่มหรือแผลเริมที่อวัยวะเพศในช่วงเจ็บครรภ์ → แนะนำผ่าคลอด
  • หากไม่มีแผลและใช้ยาระงับเชื้ออย่างต่อเนื่อง → สามารถคลอดธรรมชาติได้ในบางกรณี ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

สรุป: หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเริมควรดูแลแบบรายบุคคล โดยแพทย์เฉพาะทาง

การดูแลที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงต่อทารกได้อย่างมาก และไม่จำเป็นต้องผ่าคลอดทุกราย หากไม่มีแผลหรืออาการในช่วงคลอด

วิธีป้องกันไม่ให้ติดเริมจากคู่นอน

เริมที่อวัยวะเพศสามารถป้องกันได้ แม้คู่นอนจะมีเชื้ออยู่แล้ว

การรู้เท่าทันและใช้วิธีป้องกันหลายรูปแบบร่วมกัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีป้องกันการติดเริมที่ได้ผลจริง

1. ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้ง

  • ถุงยางช่วยลดการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่มีเชื้อ
  • แม้ไม่ป้องกันได้ 100% แต่ลดความเสี่ยงได้ประมาณ 30–50%
  • ควรใช้ทั้งระหว่าง sex สอดใส่ และ oral sex (โดยเฉพาะหากมี HSV-1)

2. ควบคุมการกำเริบของเชื้อในคู่นอน

  • ถ้าคู่นอนติดเริม ควรใช้ยาแบบ suppressive therapy เพื่อลด viral shedding
  • การกินยาทุกวันสามารถลดโอกาสแพร่เชื้อได้ถึง 48–70%

3. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีอาการ

  • ห้ามมี sex หากมีอาการ เช่น แสบ คัน หรือตุ่มขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย
  • เพราะช่วงที่มีแผลคือช่วงที่ไวรัสแพร่เชื้อได้มากที่สุด

4. หลีกเลี่ยงการสัมผัส oral sex ถ้าคู่มีแผลที่ปาก

  • HSV-1 จากปากสามารถก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้เช่นกัน
  • การใช้ dental dam หรือ barrier อื่น ๆ ช่วยลดความเสี่ยง

5. เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

  • การพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และดูแลสุขภาพโดยรวม ช่วยลดโอกาสกำเริบ
  • ลดโอกาสทั้งติดเชื้อและปล่อยเชื้อในร่างกาย

ทางเลือกเพิ่มเติม: การใช้ PrEP ในบางกลุ่ม

งานวิจัยบางฉบับพบว่า ยา PrEP (tenofovir/emtricitabine) ที่ใช้สำหรับป้องกัน HIV อาจลดการติด HSV-2 ได้ในผู้หญิงบางกลุ่ม แต่ยังไม่ใช่แนวทางมาตรฐานสำหรับเริมโดยตรง และควรใช้ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น

⚠️ แม้จะใช้วิธีทั้งหมดร่วมกัน ก็ยังมีโอกาสติดเชื้ออยู่บ้าง แต่สามารถลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก หากปฏิบัติสม่ำเสมอ

เริมที่อวัยวะเพศหายขาดไหม?

คำตอบคือ: ไม่สามารถหายขาดได้ แต่สามารถ “ควบคุม” ให้มีชีวิตปกติได้

เริมที่อวัยวะเพศ (โดยเฉพาะ HSV-2) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ อยู่ในร่างกายตลอดชีวิต หลังจากติดเชื้อครั้งแรก ไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมากำเริบได้ในภายหลัง แม้จะไม่มีอาการชัดเจน

ทำไมเริมถึงไม่หายขาด?

  • ไวรัส HSV จะ “ฝังตัว” อยู่ในระบบประสาทส่วนปลาย ไม่ถูกระบบภูมิคุ้มกันกำจัดได้หมด
  • แม้ไม่มีตุ่มหรือแผล ก็ยังมีโอกาสปล่อยเชื้อในบางช่วง (asymptomatic shedding)
  • ปัจจุบันยัง ไม่มีวัคซีนหรือยาที่สามารถกำจัด HSV ออกจากร่างกายได้

แล้วต้องดูแลตลอดชีวิตไหม?

ไม่จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิตในทุกคน แต่ควรมี แนวทางการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละราย เช่น:

  • หากมีอาการไม่บ่อย → ใช้ยาตามอาการเฉพาะตอนกำเริบ
  • หากกำเริบบ่อย หรือมีคู่นอนที่ยังไม่ติดเชื้อ → ใช้ยาระงับแบบต่อเนื่อง
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ลดความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันการกำเริบ

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับเริมที่อวัยวะเพศ

โรคเริมเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงผิด ๆ ในสังคมมากมาย

ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเกิดความเครียด วิตกกังวล และเข้าใจโรคนี้คลาดเคลื่อน การรู้เท่าทันความเข้าใจผิดเหล่านี้ จะช่วยให้รับมือกับโรคได้ดีขึ้น และลดการตีตราทางสังคม

รวม 7 ความเชื่อผิดที่พบบ่อย พร้อมข้อเท็จจริงจากแพทย์

ความเชื่อผิด (Myth)

ข้อเท็จจริง (Fact)

1. เริมเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่สะอาด

เริมเกิดจากไวรัส HSV ซึ่งสามารถติดต่อได้แม้ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง และแม้ใช้ถุงยางก็ยังมีโอกาสติด

2. เริมเป็นโรคของ “คนหลายคู่นอน” เท่านั้น

ไม่จริงเลย คนที่มีคู่นอนเพียงคนเดียวก็สามารถติดเชื้อได้ หากคู่ของเขามีเชื้อโดยไม่รู้ตัว

3. ถ้าไม่มีแผล = ไม่แพร่เชื้อ

ผิด ไวรัส HSV-2 สามารถแพร่ได้แม้ไม่มีอาการ ผ่านการปล่อยเชื้อแบบไม่แสดงอาการ (asymptomatic shedding)

4. เริม = เอดส์ หรือเกี่ยวกับ HIV

ไม่เกี่ยวกัน เริมเป็นคนละไวรัสกับ HIV แต่ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติด HIV อาจมีอาการเริมรุนแรงกว่า

5. ติดเริมแล้วต้องหยุดมีเพศสัมพันธ์ตลอดชีวิต

ไม่จริงเลย เมื่อควบคุมอาการได้ดีและมีการป้องกันที่เหมาะสม ยังสามารถมีชีวิตรักที่ปลอดภัยได้ตามปกติ

6. เริมติดต่อจากโถส้วมหรือการใช้ของร่วมกันได้

ไม่จริง เริมต้องมีการสัมผัสใกล้ชิดแบบผิวต่อผิว ไวรัสไม่แพร่ผ่านโถส้วมหรือของใช้ทั่วไป

7. เริมคือโรคที่อันตรายถึงชีวิต

เริมไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิตในคนทั่วไป แม้จะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต แต่สามารถควบคุมและใช้ชีวิตได้ตามปกติ

วิธีลดผลกระทบจากความเชื่อผิด

  • พูดคุยกับแพทย์ ไม่เชื่อข่าวลือจากโซเชียล
  • สร้างความเข้าใจในกลุ่มเพื่อน คู่รัก และครอบครัว
  • เข้ารับการรักษาและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการตีตราผู้ติดเชื้อ เพราะโรคนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับเริมที่อวัยวะเพศ

Q: เริมที่อวัยวะเพศติดต่อได้ทางไหนบ้าง?

A: ติดผ่านการสัมผัสผิวหนังหรือเยื่อบุโดยตรงระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งแบบสอดใส่, oral sex หรือ anal sex แม้ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้

Q: เริมเป็นแล้วหายไหม?

A: ไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยาต้านไวรัส และใช้ชีวิตปกติได้

Q: ใช้ถุงยางแล้ว ยังติดเริมได้ไหม?

A: ได้ แต่ความเสี่ยงลดลง เพราะถุงยางครอบคลุมไม่ถึงผิวหนังรอบอวัยวะเพศที่อาจมีเชื้อ

Q: คนที่ไม่มีอาการสามารถแพร่เชื้อได้หรือไม่?

A: ได้ เรียกว่า “asymptomatic shedding” ไวรัสสามารถออกจากร่างกายและแพร่เชื้อโดยไม่มีแผลหรือตุ่มใด ๆ

Q: เริมที่ปากกับเริมที่อวัยวะเพศต่างกันไหม?

A: เชื้อไวรัสต่างชนิดกัน (HSV-1 กับ HSV-2) แต่สามารถติดสลับตำแหน่งได้ เช่น HSV-1 ก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้จาก oral sex

Q: มีเพศสัมพันธ์ได้ไหมถ้าเป็นเริม?

A: ได้ หากไม่มีอาการ และมีการป้องกัน เช่น ใช้ถุงยาง และ/หรือใช้ยาระงับไวรัสทุกวัน

Q: เริมอันตรายถึงชีวิตไหม?

A: ไม่ หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม แต่ในบางกลุ่มเสี่ยง เช่น ทารกแรกเกิด หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

Q: ตรวจเลือดแล้วไม่เจอ แปลว่าไม่ติดแน่หรือไม่?

A: ไม่แน่ หากตรวจเร็วเกินไป หรือใช้วิธีตรวจที่ไม่แยกชนิดไวรัส อาจให้ผลลบลวง (false negative) ได้

Q: ถ้าแฟนเป็นเริมแล้วเรายังไม่ติด ควรทำอย่างไร?

A: ใช้ถุงยางทุกครั้ง หลีกเลี่ยง sex ตอนแฟนมีอาการ และให้แฟนใช้ยา suppressive ทุกวันเพื่อลดการปล่อยเชื้อ

Q: ตั้งครรภ์ขณะติดเริมต้องทำอย่างไร?

A: แจ้งแพทย์ทันที อาจเริ่มยาตั้งแต่สัปดาห์ที่ 36 และพิจารณาวิธีคลอดที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงต่อลูก

บทสรุป

เริมที่อวัยวะเพศ (HSV‑2) แม้จะเป็นโรคที่อยู่กับร่างกายไปตลอดชีวิต แต่ก็ ไม่ใช่โรคที่อันตราย ผู้ที่ติดเชื้อสามารถควบคุมอาการได้ มีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัย และตั้งครรภ์ได้ภายใต้การดูแลของแพทย์

สิ่งสำคัญคือ:

  • อย่ากลัวที่จะรู้ตัว เพราะยิ่งรู้เร็ว ยิ่งวางแผนดูแลได้เร็ว
  • อย่ารักษาเอง เพราะการวินิจฉัยและดูแลที่ถูกต้องต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • อย่าอายที่จะขอคำปรึกษา เพราะสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักมีค่ามากกว่า stigma ใด ๆ
icon email