หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “หนองใน” แต่ไม่แน่ใจว่าหมายถึงโรคอะไร และทำไมถึงมีทั้ง “หนองในแท้” และ “หนองในเทียม” ซึ่งมักทำให้สับสนเพราะมีอาการคล้ายกัน เช่น ปัสสาวะแสบหรือมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ
บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจว่า หนองในแท้และหนองในเทียมคืออะไร แตกต่างกันตรงไหน อาการที่ควรรู้ วิธีตรวจวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงวิธีป้องกัน เพื่อช่วยให้คุณแยกความแตกต่างได้ง่ายขึ้นและรู้ว่าควรทำอย่างไรหากสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ
หนองใน (Urethritis) คือภาวะการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections: STI) โดยมีอาการหลักคือ มีหนองหรือน้ำขุ่นไหลออกจากท่อปัสสาวะร่วมกับอาการปัสสาวะแสบขัด
โรคหนองในแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
การแบ่งเช่นนี้มีความสำคัญทางการแพทย์ เพราะเชื้อก่อโรคต่างกัน ส่งผลให้แนวทางการรักษาและการใช้ยาปฏิชีวนะต่างกันด้วย
หนองในแท้ (Gonorrhea) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ซึ่งจะเข้าไปติดที่เยื่อบุผิวของท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก หรือคอหอย ทำให้เกิดการอักเสบและมีหนองออกมา
โรคนี้มีระยะฟักตัวค่อนข้างสั้น ประมาณ 1–10 วัน หลังได้รับเชื้อ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเริ่มมีอาการภายใน 5–7 วัน จุดเด่นของหนองในแท้คือ ลักษณะของหนองที่มักจะ ขุ่นและออกเป็นสีเหลืองหรือเขียว แตกต่างจากการติดเชื้อบางชนิดที่อาจมีหนองใสหรือไม่มีอาการชัดเจน
หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis: NGU หรือ Chlamydia) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อที่ไม่ใช่ Neisseria gonorrhoeae โดยสาเหตุหลักพบได้จากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากเชื้ออื่น เช่น Mycoplasma genitalium และ Ureaplasma urealyticum
โรคนี้มีระยะฟักตัวนานกว่าโรคหนองในแท้ โดยมักใช้เวลามากกว่า 10 วัน หลังได้รับเชื้อ ลักษณะของหนองอาจเป็น ใสหรือขุ่น และในหลายกรณีโดยเฉพาะในผู้หญิง อาจไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ และเสี่ยงแพร่เชื้อต่อให้คู่นอนโดยไม่ตั้งใจ
แม้ว่าหนองในแท้และหนองในเทียมจะมีอาการคล้ายกัน เช่น ปัสสาวะแสบ มีหนองไหลออกมา แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันหลายด้าน ทั้งชนิดของเชื้อก่อโรค ระยะฟักตัว ลักษณะของหนอง และแนวทางการรักษา
ประเด็นเปรียบเทียบ |
หนองในแท้ (Gonorrhea) |
หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis: NGU/Chlamydia) |
---|---|---|
เชื้อก่อโรค |
Neisseria gonorrhoeae |
ส่วนใหญ่เกิดจาก Chlamydia trachomatis |
ระยะฟักตัว |
1–10 วัน (มักมีอาการใน 5–7 วัน) |
มากกว่า 10 วันขึ้นไป |
ลักษณะของหนอง |
ขุ่น สีเหลืองหรือเขียว |
ใสหรือขุ่น ลักษณะบางครั้งไม่ชัดเจน |
ความชัดเจนของอาการ |
มักแสดงอาการเด่นชัด โดยเฉพาะในผู้ชาย |
อาจไม่แสดงอาการ โดยเฉพาะในผู้หญิง |
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น |
อัณฑะอักเสบ, ท่อปัสสาวะตีบ |
อุ้งเชิงกรานอักเสบ, มีบุตรยาก |
แนวทางการรักษา |
ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin |
ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Tetracycline หรือ Macrolide |
หนองในแท้มีอาการค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะในเพศชาย มักแสดงออกในช่วง 1–10 วันหลังติดเชื้อ อาการที่พบบ่อย ได้แก่
ในผู้หญิง อาการมักไม่ชัดเจนเท่าผู้ชาย แต่อาจสังเกตได้จาก
หนองในเทียมมักแสดงอาการช้ากว่าและบางรายอาจไม่มีอาการ โดยเฉพาะในเพศหญิง ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
ในผู้ชาย
ในผู้หญิง
หนองในเทียมสามารถเกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง แต่ลักษณะอาการมักแตกต่างกันตามเพศ ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้
ประเด็นเปรียบเทียบ |
ผู้ชาย |
ผู้หญิง |
---|---|---|
ความชัดเจนของอาการ |
มักแสดงอาการชัด เช่น หนองใส ปัสสาวะแสบ |
มักไม่มีอาการ หรืออาการไม่ชัด |
ลักษณะของสารคัดหลั่ง |
ของเหลวใสหรือขุ่นไหลออกจากท่อปัสสาวะ |
ตกขาวผิดปกติ มูกปนหนอง มีกลิ่น |
อาการร่วม |
ปัสสาวะแสบ คันหรือระคายเคืองบริเวณปลายอวัยวะเพศ |
ปวดท้องน้อย เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ |
ภาวะแทรกซ้อนหากไม่รักษา |
อัณฑะอักเสบ เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก |
อุ้งเชิงกรานอักเสบ เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก |
หนองในแท้และหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การแพร่เชื้อสามารถเกิดขึ้นได้หลายทาง ดังนี้
คำถามที่พบบ่อย:
หนองในไม่ได้เกิดเฉพาะที่อวัยวะเพศเท่านั้น แต่สามารถติดเชื้อที่คอและทวารหนักได้จากพฤติกรรมทางเพศ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทางทวาร
อาการของหนองในที่คอ (Pharyngeal gonorrhea / chlamydia)
อาการของหนองในที่ทวารหนัก (Rectal gonorrhea / chlamydia)
แม้อาการเหล่านี้อาจไม่เฉพาะเจาะจง แต่หากมีประวัติเสี่ยงทางเพศ ควรเข้ารับการตรวจเพื่อยืนยันและรักษาอย่างถูกต้อง
การตรวจวินิจฉัยโรคหนองในมีความสำคัญ เพราะอาการของหนองในแท้และหนองในเทียมอาจคล้ายกัน แต่เชื้อก่อโรคต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการเลือกใช้ยารักษา
วิธีการตรวจที่ใช้บ่อย ได้แก่:
ผลตรวจจะช่วยให้แพทย์แยกได้ว่าเป็น หนองในแท้ หรือ หนองในเทียม และกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ทั้งหนองในแท้และหนองในเทียมต่างเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ความรุนแรงขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ติดเชื้อ ระยะเวลาที่เป็น และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ไม่สามารถระบุได้ว่าชนิดใด “อันตรายกว่า” อย่างชัดเจน แต่มีลักษณะความเสี่ยงที่ต่างกันดังนี้
หนองในแท้ (Gonorrhea):
หนองในเทียม (Chlamydia / NGU):
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นหนองในแท้หรือหนองในเทียม หากสงสัยว่าติดเชื้อควรเข้ารับการตรวจและรักษาโดยแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต
การรักษาหนองในทั้งสองชนิดจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้เลือกชนิดยาและระยะเวลาในการใช้ตามชนิดของเชื้อและตำแหน่งที่ติดเชื้อ
แนวทางทั่วไปในการรักษา ได้แก่
นอกจากการให้ยากับผู้ป่วยแล้ว แพทย์ยังมักแนะนำให้ คู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษาไปพร้อมกัน เพื่อลดการแพร่เชื้อและป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
ในระหว่างการรักษาควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าเชื้อหายไปแล้ว และควรมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจติดตามผล
ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาหนองในขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ตำแหน่งที่ติดเชื้อ และการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรรับประทานยาหรือปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ จนครบคอร์ส แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับมาเป็นซ้ำ
หนองในเทียมบางกรณีอาจหายเองได้ แต่พบไม่บ่อย งานวิจัยบางชิ้นรายงานว่า ผู้ป่วยประมาณ 20–30% อาจหายเองภายใน 1–3 สัปดาห์ และประมาณ 60% อาจหายเองภายใน 2 เดือนโดยไม่รักษา
อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้โรคหายเองมีความเสี่ยงสูง เพราะเชื้ออาจยังคงอยู่และลุกลามไปยังอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือภาวะมีบุตรยากได้
คำแนะนำทางการแพทย์: หากสงสัยว่าติดเชื้อหนองในเทียม ควรเข้ารับการตรวจและรับยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง เพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
แม้ว่าหนองในแท้และหนองในเทียมสามารถรักษาได้ แต่การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง โดยแนวทางที่แพทย์แนะนำ ได้แก่
ทั้งหนองในแท้และหนองในเทียมสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ดังนั้น แม้หนองในจะรักษาได้ แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา มีความเป็นไปได้ที่จะกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ทั้งในเพศชายและเพศหญิง
ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ติดเชื้อหนองในแท้หรือหนองในเทียม อาจไม่ได้สังเกตอาการตั้งแต่แรกเริ่ม เนื่องจากอาการบางอย่างไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในผู้หญิง ทำให้มาพบแพทย์เมื่อมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้ว
ตัวอย่างกรณีศึกษา:
ข้อสังเกต: ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับการรักษาตามคำแนะนำแพทย์ มักตอบสนองต่อยาได้ดีและอาการดีขึ้นภายในเวลาไม่นาน
หนองในแท้และหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีอาการใกล้เคียงกัน เช่น ปัสสาวะแสบขัดและมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ แต่แตกต่างกันที่ชนิดของเชื้อก่อโรค ระยะฟักตัว และแนวทางการรักษา
ทั้งสองโรคสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นหากสงสัยว่ามีอาการ ควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลที่ถูกต้อง
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้