แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ หรือ Granuloma Inguinale (Donovanosis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อยในประเทศไทย แต่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในหลายประเทศเขตร้อน โดยมีลักษณะเฉพาะคือแผลเรื้อรังบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศที่อาจลุกลามได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Klebsiella granulomatis และสามารถแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสกับแผลเปิดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น พังผืด แผลเป็นถาวร หรือติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบในทุกมิติ ทั้งอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน และความแตกต่างจากโรคอื่น เพื่อให้สามารถตัดสินใจเข้ารับการดูแลจากแพทย์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ (Granuloma Inguinale หรือ Donovanosis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อย แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจก่อให้เกิดแผลเรื้อรังที่ขาหนีบและอวัยวะเพศ ซึ่งมีลักษณะเจ็บ แดง และอาจลุกลามทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบได้
สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Klebsiella granulomatis (เดิมชื่อ Calymmatobacterium granulomatis) ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลเปิด โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือขาหนีบ
แม้โรคนี้จะพบได้ไม่บ่อยในประเทศไทย แต่มีรายงานผู้ป่วยในหลายประเทศเขตร้อน เช่น อินเดีย แอฟริกาใต้ และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การวินิจฉัยจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจเชื้ออย่างละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Klebsiella granulomatis ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบที่มีลักษณะพิเศษ คือสามารถอยู่ภายในเซลล์เม็ดเลือดของมนุษย์ได้ เชื้อนี้จะเข้าไปก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในชั้นใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดแผลเรื้อรังที่มีลักษณะเฉพาะบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศ
การติดเชื้อส่วนใหญ่มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ โดยไม่ใช้การป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย โดยเฉพาะหากมีบาดแผลหรือเยื่อบุที่อ่อนแอซึ่งเอื้อต่อการแพร่เชื้อ เชื้ออาจติดต่อผ่านทางออรัลเซ็กซ์หรือการสัมผัสโดยตรงกับแผลที่มีเชื้ออยู่ก็ได้
แม้การติดต่อหลักจะเป็นทางเพศสัมพันธ์ แต่ยังมีรายงานในบางกรณีที่เชื้อสามารถแพร่ได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อผ่านรอยแผลหรือรอยถลอก จึงควรระวังเป็นพิเศษหากอยู่ในพื้นที่ที่โรคนี้ยังพบได้ประปราย
อาการของโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมักเริ่มต้นจากตุ่มแดงขนาดเล็กหรือปื้นนูนบริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หรือรอบทวารหนัก ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่รู้สึกเจ็บในช่วงแรก แต่ภายในไม่กี่วัน ตุ่มเหล่านี้จะพัฒนาเป็นแผลเปิด มีลักษณะนุ่ม สีแดงสด ขอบเรียบ และไม่เจ็บหรือเจ็บเล็กน้อย
แผลมักขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ และอาจมีเลือดออกง่ายเมื่อสัมผัส นอกจากนี้ บางรายอาจพบอาการร่วม เช่น มีกลิ่นจากแผล ต่อมน้ำเหลืองบวม หรือมีหนองปนเลือด ทั้งนี้ ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และระยะเวลาที่เชื้อสะสมในร่างกายก่อนเริ่มการรักษา
เนื่องจากลักษณะของแผลคล้ายกับโรคกามโรคอื่น เช่น ซิฟิลิส หรือเริม อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดและชะลอการพบแพทย์ จึงควรรีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางทันทีที่พบความผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศหรือขาหนีบ
โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่ทำให้เกิดแผล เช่น ซิฟิลิส เริม หรือแผลริมอ่อน (Chancroid) ทั้งในด้านอาการ รูปลักษณ์ของแผล ความเร็วในการลุกลาม และการตอบสนองต่อการรักษา
แผลจากโรคแผลกามเรื้อรังจะมีลักษณะนุ่ม สีแดงสด ขอบเรียบ ไม่เจ็บหรือเจ็บเพียงเล็กน้อย และมีการลุกลามอย่างช้าๆ หากไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามลึกลงในชั้นใต้ผิวหนังจนทำลายเนื้อเยื่อ ในขณะที่แผลจากซิฟิลิสมักจะแข็ง ไม่เจ็บ และหายได้เองในระยะต้น ส่วนแผลจากเริมจะมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสเล็กๆ ก่อนจะแตกออกและเจ็บมาก ส่วนแผลริมอ่อนมักมีขอบแผลไม่เรียบ เจ็บ และมีหนองมาก
การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจหาสาเหตุทางห้องปฏิบัติการ ไม่ควรใช้เพียงรูปลักษณ์ของแผลในการแยกโรค เพื่อหลีกเลี่ยงการรักษาที่ผิดพลาดหรือไม่ครอบคลุม
การตรวจวินิจฉัยโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบจำเป็นต้องอาศัยการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากลักษณะแผลคล้ายโรคกามโรคชนิดอื่น การซักประวัติทางเพศและอาการร่วมเป็นขั้นตอนแรกที่แพทย์จะใช้ประเมินร่วมกับการตรวจร่างกายเฉพาะจุด
การยืนยันการวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การย้อมสี Wright หรือ Giemsa เพื่อตรวจหา Donovan bodies ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเชื้อ Klebsiella granulomatis ภายในเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ อาจมีการส่งชิ้นเนื้อไปตรวจทางจุลพยาธิวิทยา (biopsy) หรือการเพาะเชื้อแบคทีเรียหากต้องการความชัดเจนเพิ่มเติม
บางคลินิกอาจแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมเพื่อคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วย เช่น HIV ซิฟิลิส และหนองใน เพื่อให้การวางแผนรักษาครอบคลุมและปลอดภัยที่สุด
การรักษาโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมีเป้าหมายเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย Klebsiella granulomatis และป้องกันการลุกลามของแผล โดยแนวทางหลักคือการให้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องอย่างน้อย 3 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหายสนิท
ยาที่มักใช้ในการรักษา ได้แก่
ระยะเวลาการรักษาอาจนานกว่าการติดเชื้อทั่วไป โดยเฉพาะหากแผลมีขนาดใหญ่หรือเป็นมานาน ผู้ป่วยควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและไม่หยุดยาเองกลางคัน เพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับมาเป็นซ้ำ
ในกรณีที่มีแผลลุกลามมาก อาจพิจารณาการดูแลแผลเพิ่มเติม หรือทำหัตถการเพื่อช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น โดยต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
หลังจากได้รับการรักษาโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบด้วยยาปฏิชีวนะจนแผลเริ่มสมานหรือหายแล้ว ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและลดโอกาสการติดเชื้อแทรกซ้อน
แนวทางการดูแลตัวเองที่แนะนำ ได้แก่
การดูแลหลังรักษาที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโดยรวม
โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะเมื่อแผลลุกลามลงลึกหรือเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนในบริเวณแผลเดิม
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ เช่น
ในบางรายที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV อาจมีอาการรุนแรงหรือรักษาได้ยากกว่าคนทั่วไป จึงควรได้รับการติดตามจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
แม้โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบจะพบได้น้อย แต่การป้องกันยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ยังพบผู้ติดเชื้ออยู่
แนวทางการป้องกัน ได้แก่
การป้องกันที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงลดโอกาสการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการแพร่กระจายโรคในวงกว้าง และลดภาระการรักษาในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
แม้แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบจะพบได้น้อยในประชากรทั่วไป แต่ยังมีบางกลุ่มที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ ซึ่งควรได้รับการเฝ้าระวังและตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ
กลุ่มเสี่ยง ได้แก่
การรู้เท่าทันความเสี่ยงสามารถช่วยให้มีพฤติกรรมป้องกันที่เหมาะสม และเข้ารับการตรวจรักษาได้ทันท่วงทีหากมีอาการผิดปกติ
แผลเรื้อรังบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดจากแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบเสมอไป ยังมีโรคและภาวะทางผิวหนังหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นที่อาจมีลักษณะคล้ายกันได้
ตัวอย่างภาวะอื่นที่ควรพิจารณา ได้แก่
เนื่องจากโรคเหล่านี้มีลักษณะแผลคล้ายคลึงกัน การวินิจฉัยควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
แม้โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบและเชื้อ HIV จะเป็นโรคต่างชนิดกัน แต่มีความสัมพันธ์กันในแง่ของ “ความเสี่ยงในการติดเชื้อร่วม” โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
แผลที่เกิดจากโรคแผลกามเรื้อรังเป็นแผลเปิดที่มีลักษณะเรื้อรัง อาจเพิ่มโอกาสให้เชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเยื่อบุผิวหนังถูกทำลาย และมีหลอดเลือดฝอยเปิดในบริเวณแผล นอกจากนี้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ก็อาจมีอาการของโรคแผลกามเรื้อรังที่รุนแรงหรือรักษาได้ยากกว่าคนทั่วไป
ดังนั้น ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบควรได้รับการตรวจคัดกรอง HIV ร่วมด้วย และหากมีผลบวก ควรได้รับการวางแผนการรักษาร่วมกันอย่างเหมาะสม
หากมีแผลบริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ หรือรอบทวารหนักที่มีลักษณะผิดปกติ ควรสังเกตอาการและรีบพบแพทย์โดยไม่รอให้แผลลุกลาม โดยเฉพาะในกรณีที่แผลมีลักษณะดังต่อไปนี้
การตรวจวินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้สามารถรักษาได้ทัน และลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น รวมถึงลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในอนาคต
โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบแม้จะพบไม่บ่อย แต่สามารถส่งผลกระทบรุนแรงได้หากละเลยการรักษา การทำความเข้าใจอาการ สาเหตุ และแนวทางการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการหายขาดได้มากขึ้น
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย ควรได้รับการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็วที่สุด
ความรู้ที่ถูกต้องคือจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขภาพที่ดีทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้