Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ อย่าปล่อยไว้ เสี่ยงติดเชื้อหนัก

แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ หรือ Granuloma Inguinale (Donovanosis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อยในประเทศไทย แต่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในหลายประเทศเขตร้อน โดยมีลักษณะเฉพาะคือแผลเรื้อรังบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศที่อาจลุกลามได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Klebsiella granulomatis และสามารถแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสกับแผลเปิดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น พังผืด แผลเป็นถาวร หรือติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด

บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบในทุกมิติ ทั้งอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน และความแตกต่างจากโรคอื่น เพื่อให้สามารถตัดสินใจเข้ารับการดูแลจากแพทย์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ คืออะไร?

แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ (Granuloma Inguinale หรือ Donovanosis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อย แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจก่อให้เกิดแผลเรื้อรังที่ขาหนีบและอวัยวะเพศ ซึ่งมีลักษณะเจ็บ แดง และอาจลุกลามทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบได้

สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Klebsiella granulomatis (เดิมชื่อ Calymmatobacterium granulomatis) ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลเปิด โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือขาหนีบ

แม้โรคนี้จะพบได้ไม่บ่อยในประเทศไทย แต่มีรายงานผู้ป่วยในหลายประเทศเขตร้อน เช่น อินเดีย แอฟริกาใต้ และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การวินิจฉัยจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจเชื้ออย่างละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สาเหตุของโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบเกิดจากอะไร?

โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Klebsiella granulomatis ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบที่มีลักษณะพิเศษ คือสามารถอยู่ภายในเซลล์เม็ดเลือดของมนุษย์ได้ เชื้อนี้จะเข้าไปก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในชั้นใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดแผลเรื้อรังที่มีลักษณะเฉพาะบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศ

การติดเชื้อส่วนใหญ่มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ โดยไม่ใช้การป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย โดยเฉพาะหากมีบาดแผลหรือเยื่อบุที่อ่อนแอซึ่งเอื้อต่อการแพร่เชื้อ เชื้ออาจติดต่อผ่านทางออรัลเซ็กซ์หรือการสัมผัสโดยตรงกับแผลที่มีเชื้ออยู่ก็ได้

แม้การติดต่อหลักจะเป็นทางเพศสัมพันธ์ แต่ยังมีรายงานในบางกรณีที่เชื้อสามารถแพร่ได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อผ่านรอยแผลหรือรอยถลอก จึงควรระวังเป็นพิเศษหากอยู่ในพื้นที่ที่โรคนี้ยังพบได้ประปราย

อาการเบื้องต้นของโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบเป็นอย่างไร?

อาการของโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมักเริ่มต้นจากตุ่มแดงขนาดเล็กหรือปื้นนูนบริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หรือรอบทวารหนัก ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่รู้สึกเจ็บในช่วงแรก แต่ภายในไม่กี่วัน ตุ่มเหล่านี้จะพัฒนาเป็นแผลเปิด มีลักษณะนุ่ม สีแดงสด ขอบเรียบ และไม่เจ็บหรือเจ็บเล็กน้อย

แผลมักขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ และอาจมีเลือดออกง่ายเมื่อสัมผัส นอกจากนี้ บางรายอาจพบอาการร่วม เช่น มีกลิ่นจากแผล ต่อมน้ำเหลืองบวม หรือมีหนองปนเลือด ทั้งนี้ ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และระยะเวลาที่เชื้อสะสมในร่างกายก่อนเริ่มการรักษา

เนื่องจากลักษณะของแผลคล้ายกับโรคกามโรคอื่น เช่น ซิฟิลิส หรือเริม อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดและชะลอการพบแพทย์ จึงควรรีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางทันทีที่พบความผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศหรือขาหนีบ

แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบกับโรคกามโรคชนิดอื่นต่างกันอย่างไร?

โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่ทำให้เกิดแผล เช่น ซิฟิลิส เริม หรือแผลริมอ่อน (Chancroid) ทั้งในด้านอาการ รูปลักษณ์ของแผล ความเร็วในการลุกลาม และการตอบสนองต่อการรักษา

แผลจากโรคแผลกามเรื้อรังจะมีลักษณะนุ่ม สีแดงสด ขอบเรียบ ไม่เจ็บหรือเจ็บเพียงเล็กน้อย และมีการลุกลามอย่างช้าๆ หากไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามลึกลงในชั้นใต้ผิวหนังจนทำลายเนื้อเยื่อ ในขณะที่แผลจากซิฟิลิสมักจะแข็ง ไม่เจ็บ และหายได้เองในระยะต้น ส่วนแผลจากเริมจะมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสเล็กๆ ก่อนจะแตกออกและเจ็บมาก ส่วนแผลริมอ่อนมักมีขอบแผลไม่เรียบ เจ็บ และมีหนองมาก

การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจหาสาเหตุทางห้องปฏิบัติการ ไม่ควรใช้เพียงรูปลักษณ์ของแผลในการแยกโรค เพื่อหลีกเลี่ยงการรักษาที่ผิดพลาดหรือไม่ครอบคลุม

วิธีตรวจวินิจฉัยโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบทำอย่างไร?

การตรวจวินิจฉัยโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบจำเป็นต้องอาศัยการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากลักษณะแผลคล้ายโรคกามโรคชนิดอื่น การซักประวัติทางเพศและอาการร่วมเป็นขั้นตอนแรกที่แพทย์จะใช้ประเมินร่วมกับการตรวจร่างกายเฉพาะจุด

การยืนยันการวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การย้อมสี Wright หรือ Giemsa เพื่อตรวจหา Donovan bodies ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเชื้อ Klebsiella granulomatis ภายในเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ อาจมีการส่งชิ้นเนื้อไปตรวจทางจุลพยาธิวิทยา (biopsy) หรือการเพาะเชื้อแบคทีเรียหากต้องการความชัดเจนเพิ่มเติม

บางคลินิกอาจแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมเพื่อคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วย เช่น HIV ซิฟิลิส และหนองใน เพื่อให้การวางแผนรักษาครอบคลุมและปลอดภัยที่สุด

การรักษาโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมีวิธีใดบ้าง?

การรักษาโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบมีเป้าหมายเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย Klebsiella granulomatis และป้องกันการลุกลามของแผล โดยแนวทางหลักคือการให้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องอย่างน้อย 3 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหายสนิท

ยาที่มักใช้ในการรักษา ได้แก่

  • Azithromycin 1 กรัม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือ 500 มก. วันละ 1 ครั้ง
  • Doxycycline 100 มก. วันละ 2 ครั้ง
  • Ciprofloxacin 750 มก. วันละ 2 ครั้ง
  • Erythromycin และ Trimethoprim-sulfamethoxazole อาจใช้ในกรณีที่แพ้ยาหลัก

ระยะเวลาการรักษาอาจนานกว่าการติดเชื้อทั่วไป โดยเฉพาะหากแผลมีขนาดใหญ่หรือเป็นมานาน ผู้ป่วยควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและไม่หยุดยาเองกลางคัน เพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับมาเป็นซ้ำ

ในกรณีที่มีแผลลุกลามมาก อาจพิจารณาการดูแลแผลเพิ่มเติม หรือทำหัตถการเพื่อช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น โดยต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

หลังการรักษาโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

หลังจากได้รับการรักษาโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบด้วยยาปฏิชีวนะจนแผลเริ่มสมานหรือหายแล้ว ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและลดโอกาสการติดเชื้อแทรกซ้อน

แนวทางการดูแลตัวเองที่แนะนำ ได้แก่

  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งจนครบแม้แผลจะดีขึ้นแล้ว
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าแพทย์จะประเมินว่าไม่มีการติดเชื้อเหลืออยู่
  • รักษาความสะอาดบริเวณแผลอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ผ้าสะอาดซับให้แห้ง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือยาทาผิวโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • มาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อติดตามผลการรักษา และตรวจซ้ำหากจำเป็น

การดูแลหลังรักษาที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโดยรวม

มีผลข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อนอะไรบ้าง?

โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะเมื่อแผลลุกลามลงลึกหรือเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนในบริเวณแผลเดิม

ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ เช่น

  • แผลลุกลามขยายขนาด ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่ออย่างต่อเนื่อง
  • เกิดพังผืดหรือรอยแผลเป็นถาวร ซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนไหวหรือการมีเพศสัมพันธ์ลำบาก
  • ช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะตีบ กรณีที่แผลอยู่ในตำแหน่งที่กระทบต่ออวัยวะเหล่านี้
  • ภาวะติดเชื้อในระบบอื่นของร่างกาย หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
  • การแพร่เชื้อให้คู่นอน หากยังมีเชื้อคงค้างโดยไม่รู้ตัว

ในบางรายที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV อาจมีอาการรุนแรงหรือรักษาได้ยากกว่าคนทั่วไป จึงควรได้รับการติดตามจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

การป้องกันโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบทำได้อย่างไร?

แม้โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบจะพบได้น้อย แต่การป้องกันยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ยังพบผู้ติดเชื้ออยู่

แนวทางการป้องกัน ได้แก่

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ รวมถึงทางปากหรือทางทวารหนัก
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือขาหนีบ
  • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือเสื้อผ้า
  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีคู่นอนหลายคนหรือมีพฤติกรรมเสี่ยง
  • ให้ความรู้กับคู่ครอง เพื่อร่วมกันป้องกันและเฝ้าระวังอาการผิดปกติ

การป้องกันที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงลดโอกาสการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการแพร่กระจายโรคในวงกว้าง และลดภาระการรักษาในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ใครบ้างที่เสี่ยงสูงในการเป็นแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ?

แม้แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบจะพบได้น้อยในประชากรทั่วไป แต่ยังมีบางกลุ่มที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ ซึ่งควรได้รับการเฝ้าระวังและตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ

กลุ่มเสี่ยง ได้แก่

  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน โดยเฉพาะหากไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือขาหนีบ
  • ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือ HIV
  • ผู้ที่อาศัยหรือเดินทางไปในพื้นที่ที่ยังมีรายงานการระบาดของโรค เช่น บางประเทศในแอฟริกา อินเดีย หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ (ยา PrEP)

การรู้เท่าทันความเสี่ยงสามารถช่วยให้มีพฤติกรรมป้องกันที่เหมาะสม และเข้ารับการตรวจรักษาได้ทันท่วงทีหากมีอาการผิดปกติ

ถ้ามีแผลเรื้อรังแต่ไม่ใช่โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ อาจเป็นอะไรได้บ้าง?

แผลเรื้อรังบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดจากแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบเสมอไป ยังมีโรคและภาวะทางผิวหนังหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นที่อาจมีลักษณะคล้ายกันได้

ตัวอย่างภาวะอื่นที่ควรพิจารณา ได้แก่

  • ซิฟิลิสระยะที่ 1 (Primary Syphilis): มีแผลแข็ง ไม่เจ็บ อาจหายได้เอง
  • แผลริมอ่อน (Chancroid): มีแผลเจ็บ ขอบแผลไม่เรียบ มักมีหนอง
  • เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes): เริ่มจากตุ่มน้ำใส เจ็บแสบ ก่อนกลายเป็นแผล
  • เชื้อรา/การติดเชื้อแบคทีเรียทั่วไป: เกิดผื่นหรือแผลเรื้อรังร่วมกับอาการคัน
  • มะเร็งผิวหนังบางชนิด: เช่น Squamous cell carcinoma ที่อาจเริ่มต้นจากแผลเรื้อรัง

เนื่องจากโรคเหล่านี้มีลักษณะแผลคล้ายคลึงกัน การวินิจฉัยควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ อาจสัมพันธ์กับ HIV ได้ไหม?

แม้โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบและเชื้อ HIV จะเป็นโรคต่างชนิดกัน แต่มีความสัมพันธ์กันในแง่ของ “ความเสี่ยงในการติดเชื้อร่วม” โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ

แผลที่เกิดจากโรคแผลกามเรื้อรังเป็นแผลเปิดที่มีลักษณะเรื้อรัง อาจเพิ่มโอกาสให้เชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเยื่อบุผิวหนังถูกทำลาย และมีหลอดเลือดฝอยเปิดในบริเวณแผล นอกจากนี้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ก็อาจมีอาการของโรคแผลกามเรื้อรังที่รุนแรงหรือรักษาได้ยากกว่าคนทั่วไป

ดังนั้น ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบควรได้รับการตรวจคัดกรอง HIV ร่วมด้วย และหากมีผลบวก ควรได้รับการวางแผนการรักษาร่วมกันอย่างเหมาะสม

แผลลักษณะแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์ทันที?

หากมีแผลบริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ หรือรอบทวารหนักที่มีลักษณะผิดปกติ ควรสังเกตอาการและรีบพบแพทย์โดยไม่รอให้แผลลุกลาม โดยเฉพาะในกรณีที่แผลมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • แผลเรื้อรังที่ไม่หายภายใน 1–2 สัปดาห์
  • แผลมีเลือดออกง่าย หรือมีหนอง กลิ่นเหม็นร่วมด้วย
  • แผลมีลักษณะลุกลามหรือขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
  • มีอาการเจ็บ แสบ คัน หรือบวมร่วมกับแผล
  • มีไข้ หนาวสั่น หรืออ่อนเพลียร่วมกับแผล
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับคู่นอนที่ไม่ทราบประวัติสุขภาพ

การตรวจวินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้สามารถรักษาได้ทัน และลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น รวมถึงลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในอนาคต

บทสรุป

โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบแม้จะพบไม่บ่อย แต่สามารถส่งผลกระทบรุนแรงได้หากละเลยการรักษา การทำความเข้าใจอาการ สาเหตุ และแนวทางการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการหายขาดได้มากขึ้น

ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย ควรได้รับการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็วที่สุด

ความรู้ที่ถูกต้องคือจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขภาพที่ดีทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง

icon email