Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ไวรัสตับอักเสบดี คืออะไร? อันตรายไหม สาเหตุ อาการ เกิดจากไวรัสบีจริงเปล่า? 2025

ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D หรือ HDV) คือหนึ่งในไวรัสตับอักเสบที่มีความซับซ้อนและรุนแรงที่สุดในกลุ่มไวรัสที่ส่งผลต่อตับของมนุษย์ ความพิเศษของไวรัสชนิดนี้คือ ไม่สามารถแพร่เชื้อหรือก่อโรคได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เป็น “ไวรัสตัวช่วย” จึงจะสามารถติดเชื้อในร่างกายมนุษย์ได้

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจทุกมิติของไวรัสตับอักเสบดี ตั้งแต่ลักษณะเชื้อ, กลไกการติดเชื้อ, อาการที่ควรเฝ้าระวัง, วิธีการวินิจฉัย, แนวทางการรักษา ไปจนถึงแนวป้องกันที่ใช้ได้จริง โดยอ้างอิงจากข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณตัดสินใจดูแลสุขภาพตับได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ไวรัสตับอักเสบดี คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D หรือ HDV) คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวคือ ไม่สามารถติดเชื้อได้ด้วยตัวเองอย่างอิสระ แต่จะเกิดการติดเชื้อได้ก็ต่อเมื่อมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) อยู่ในร่างกายก่อนแล้วเท่านั้น

HDV ถูกจัดเป็นไวรัสที่มีความแปลกกว่าสายพันธุ์อื่นในตระกูลไวรัสตับอักเสบ เพราะต้องพึ่งพาไวรัสบีในการสร้างปลอกหุ้มโปรตีนเพื่อแพร่กระจายออกจากเซลล์ตับ จึงมักพบในรูปแบบการติดเชื้อร่วมกับไวรัสบี (co-infection) หรือการติดเชื้อในผู้ที่มีไวรัสบีอยู่เดิม (superinfection)

โดยทั่วไป การติดเชื้อ HDV มักส่งผลรุนแรงต่อสุขภาพตับมากกว่าไวรัสบีเพียงอย่างเดียว เช่น อัตราการเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน (acute liver failure) และโอกาสพัฒนาเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับที่เร็วกว่าปกติ

ชื่อเรียกอื่นทางการแพทย์

  • Hepatitis Delta Virus (HDV)
  • Delta Agent

การจำแนกประเภท

HDV จัดอยู่ในกลุ่ม Defective virus ซึ่งหมายถึงไวรัสที่ไม่สามารถจำลองตัวเองได้โดยไม่มีไวรัสตัวช่วย โดยไวรัสตัวช่วยในกรณีนี้คือ ไวรัสตับอักเสบบี (HBV)

ไวรัสตับอักเสบดี ติดต่อกันอย่างไร?

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดี (HDV) จะเกิดขึ้นได้ เฉพาะในผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) อยู่ก่อนแล้วเท่านั้น เพราะ HDV ต้องอาศัยโปรตีนพื้นผิวจากไวรัสบีในการเข้าสู่เซลล์และแพร่กระจายในร่างกาย

ช่องทางการติดต่อ HDV คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี โดยสามารถแพร่ผ่าน:

  • การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ (เช่น ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือสัมผัสเลือดที่มีแผล)
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • การถ่ายเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ (หากไม่ได้ตรวจคัดกรอง)
  • จากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด (พบได้น้อยกว่า)

ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือมีโรคตับอยู่เดิมจากไวรัสบี ควรได้รับการตรวจหา HDV เพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อร่วม

เป็นไวรัสตับอักเสบดี ได้ไหม ถ้าไม่มีไวรัสบี?

ไม่ได้ครับ—ไม่สามารถติดไวรัสตับอักเสบดี ได้เลย หากไม่มีเชื้อไวรัสบี (HBV) อยู่ในร่างกายก่อน ไวรัสตับอักเสบดี (HDV) ต้องพึ่งพาไวรัสบีในการสร้างโปรตีนหุ้มไวรัสเพื่อเข้าสู่เซลล์ตับและจำลองตัวเอง

มี 2 กรณีหลักของการติดเชื้อ HDV:

  • การติดเชื้อร่วม (Co-infection): ติดไวรัสบีและดีพร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกัน
  • การติดเชื้อซ้ำซ้อน (Superinfection): ติดเชื้อไวรัสดีในผู้ที่เป็นพาหะไวรัสบีอยู่แล้ว

ในกรณี Superinfection มักจะมีความรุนแรงของโรคมากกว่า Co-infection และมีโอกาสสูงในการเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในระยะยาว

ดังนั้น การติดเชื้อ HDV จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี HBV เป็น “ตัวช่วย” เท่านั้น

อาการไวรัสตับอักเสบดี มีอะไรบ้าง?

อาการของไวรัสตับอักเสบดี (HDV) จะแตกต่างกันไปตามรูปแบบของการติดเชื้อ โดยแบ่งได้เป็น:

การติดเชื้อร่วม (Co-infection)

เมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัสบีและดีพร้อมกัน อาการที่พบมักจะคล้ายกับไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น เช่น:

  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดชายโครงด้านขวา
  • ตาเหลือง ตัวเหลือง (ดีซ่าน)
  • ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด

ในบางราย อาการอาจรุนแรงจนเกิด ตับวายเฉียบพลัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

การติดเชื้อซ้ำซ้อน (Superinfection)

ในผู้ที่เป็นพาหะไวรัสบีอยู่แล้ว หากติดไวรัสดีเพิ่ม อาการมักรุนแรงและเรื้อรังกว่า โดยอาจพบ:

  • อาการตับอักเสบแบบเรื้อรัง (Persistent liver inflammation)
  • ตับโต เจ็บบริเวณตับ
  • ความผิดปกติของเอนไซม์ตับที่ยาวนาน
  • ความเสี่ยงสูงในการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ

การแสดงอาการอาจไม่ชัดเจนในระยะแรก ผู้ที่มีความเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจแม้ไม่มีอาการชัดเจน

การตรวจวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบดีทำอย่างไร?

การตรวจหาไวรัสตับอักเสบดี (HDV) จะทำเฉพาะในผู้ที่มีผลตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) อยู่ก่อน เนื่องจาก HDV ต้องอาศัย HBV ในการติดเชื้อ

ขั้นตอนการวินิจฉัย

  1. ตรวจคัดกรองไวรัสบี (HBsAg): หากพบว่าบวก (positive) แสดงว่าร่างกายมีเชื้อไวรัสบี จึงสามารถตรวจ HDV ต่อได้
  2. ตรวจแอนติบอดีต้าน HDV (Anti-HDV antibody): เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ HDV
  3. ตรวจหา RNA ของ HDV (HDV RNA): ใช้วิธี PCR เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสในเลือด ซึ่งยืนยันการติดเชื้อแบบ active และบอกปริมาณไวรัส
  4. ตรวจประเมินการทำงานของตับ (Liver function test): เช่น ค่า ALT, AST, และระดับบิลิรูบิน เพื่อประเมินความเสียหายของตับ

การตรวจ HDV อาจไม่ได้ทำเป็นประจำในทุกรายที่มี HBV แพทย์จะพิจารณาตามความเสี่ยง ประวัติ และอาการทางคลินิก

ไวรัสตับอักเสบดี รักษาอย่างไร?

การรักษาไวรัสตับอักเสบดี (HDV) เป็นความท้าทายทางการแพทย์ เนื่องจากยังไม่มียาที่สามารถกำจัดไวรัสได้โดยตรงเหมือนไวรัสชนิดอื่น เช่น ไวรัสซี (HCV)

แนวทางการรักษาในปัจจุบัน

  1. ยาอินเตอร์เฟอรอนชนิด Pegylated (Peg-IFN): เป็นยาหลักที่ใช้รักษา HDV โดยการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ควบคุมการติดเชื้อ
    • ระยะเวลาการรักษาโดยทั่วไป: 48 สัปดาห์
    • การตอบสนองต่อยาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหลังหยุดยา
  2. การติดตามผลการทำงานของตับอย่างสม่ำเสมอ: ผู้ป่วยควรได้รับการติดตามค่าเอนไซม์ตับ และตรวจวัดปริมาณไวรัสอย่างต่อเนื่อง
  3. การพิจารณาเข้าร่วมการศึกษาวิจัย (Clinical trial): เนื่องจากยังไม่มีวิธีรักษาที่ตัดไวรัสได้ขาด การเข้าร่วมโครงการวิจัยอาจเปิดโอกาสในการเข้าถึงยารุ่นใหม่ เช่น Bulevirtide ซึ่งมีผลการทดลองบางส่วนที่น่าพอใจ
  4. การรักษาประคับประคอง: สำหรับผู้ที่มีตับแข็งหรือภาวะแทรกซ้อน อาจต้องได้รับการดูแลร่วมกับทีมแพทย์เฉพาะทาง เช่น การควบคุมภาวะน้ำในช่องท้อง หรือการปลูกถ่ายตับในกรณีที่ตับวาย

ปัจจุบันยังไม่มีการรับรองยารักษา HDV อย่างเป็นทางการในประเทศไทย แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและกำหนดแนวทางรักษาที่เหมาะสมเป็นรายบุคคล

ไวรัสตับอักเสบดี มีวัคซีนไหม?

ยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันไวรัสตับอักเสบดี (HDV) โดยตรง แต่สามารถป้องกันได้ทางอ้อมด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี (HBV) ซึ่งเป็นไวรัสที่ HDV ต้องพึ่งพาในการติดเชื้อ

หลักการป้องกันผ่านวัคซีนบี

  • HDV ต้องมี HBV เป็นตัวช่วย: หากไม่มีเชื้อไวรัสบีอยู่ในร่างกาย HDV ก็ไม่สามารถติดเชื้อได้
  • วัคซีนป้องกันไวรัสบีมีประสิทธิภาพสูง: การฉีดวัคซีนบีจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HBV ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเท่ากับเป็นการป้องกัน HDV ไปในตัว

กลุ่มที่ควรได้รับวัคซีนบี

  • ทารกแรกเกิด (ควรฉีดภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด)
  • บุคลากรทางการแพทย์
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้เข็มร่วม, มีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน
  • ผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องรับเลือดบ่อย

หากคุณได้รับวัคซีนไวรัสบีครบตามกำหนด และมีภูมิคุ้มกันต่อ HBV แล้ว ก็ถือว่ามีเกราะป้องกัน HDV ไปด้วยในตัว

ใครเสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบดีบ้าง?

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดี (HDV) คือกลุ่มที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อยู่เดิม หรือมีพฤติกรรมที่อาจทำให้ติดเชื้อ HBV ได้ง่าย ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการติด HDV

กลุ่มเสี่ยงสำคัญ

  • ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบีเรื้อรัง: โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคตับร่วม
  • ผู้ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: เช่น ผู้ใช้ยาเสพติดแบบฉีดเข้าเส้น
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน: โดยเฉพาะหากมีคู่นอนหลายคน หรือมีประวัติติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่ได้รับเลือด/อวัยวะจากผู้อื่น: โดยเฉพาะหากไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรองไวรัสบีและดี
  • ผู้ที่อยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อไวรัสบีหรือดี: เช่น สมาชิกในครอบครัว

แม้ HDV จะพบได้น้อยกว่าไวรัสบีหรือซี แต่ก็มีความรุนแรงกว่ามากในผู้ที่ติดเชื้อซ้ำซ้อน การรู้ความเสี่ยงและตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ป้องกันไวรัสตับอักเสบดีได้อย่างไร?

แม้จะยังไม่มีวัคซีนเฉพาะสำหรับไวรัสตับอักเสบดี (HDV) แต่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสบี (HBV) และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

วิธีป้องกันที่แนะนำ

  1. ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี: เป็นวิธีการป้องกัน HDV ที่ได้ผลดีที่สุด เพราะ HDV ต้องอาศัย HBV ในการติดเชื้อ
  2. ไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น: รวมถึงเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับเลือด เช่น กรรไกรตัดเล็บ มีดโกน
  3. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย: ใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีคู่นอนหลายคน
  4. ตรวจคัดกรองก่อนรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ: ควรมั่นใจว่าเลือดหรืออวัยวะได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสแล้ว
  5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ: โดยเฉพาะหากมีบาดแผลหรือผิวหนังเปิด

การป้องกันควรเน้นที่การควบคุม HBV เป็นหลัก เพราะหากไม่มีเชื้อบี ก็จะไม่สามารถติดเชื้อดีได้

ไวรัสตับอักเสบดี อันตรายแค่ไหน?

ไวรัสตับอักเสบดี (HDV) เป็นไวรัสตับอักเสบที่มี ความรุนแรงสูงที่สุดในบรรดาไวรัสตับอักเสบทั้งหมด โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดการติดเชื้อแบบ “superinfection” (ติดเชื้อ HDV ซ้ำซ้อนในผู้ที่มีไวรัสบีเรื้อรัง)

ความเสี่ยงต่อสุขภาพ

  • ภาวะตับอักเสบเฉียบพลันรุนแรง: อาจเกิดภายในไม่กี่สัปดาห์หลังติดเชื้อ โดยเฉพาะในผู้มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ตับแข็งเร็ว: HDV ทำให้เซลล์ตับถูกทำลายเร็วกว่าปกติ นำไปสู่ภาวะตับแข็งภายในไม่กี่ปี
  • มะเร็งตับ: ผู้ติดเชื้อ HDV ร่วมกับ HBV มีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่มีเพียงไวรัสบี
  • โอกาสหายขาดต่ำ: HDV ตอบสนองต่อการรักษาน้อยกว่าวิรัสอื่น และมีแนวโน้มเป็นเรื้อรัง

ผู้ที่ติดเชื้อ HDV จึงต้องได้รับการติดตามและดูแลจากแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาว

ไวรัสตับอักเสบดี กับ ซี ต่างกันยังไง?

ไวรัสตับอักเสบดี (HDV) และไวรัสตับอักเสบซี (HCV) เป็นไวรัสคนละชนิดกัน แม้จะทำให้เกิดอาการเกี่ยวกับตับคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างในหลายด้าน ทั้งโครงสร้างไวรัส กลไกการติดเชื้อ และวิธีการรักษา

ตารางเปรียบเทียบ HDV vs HCV

ประเด็น

ไวรัสตับอักเสบดี (HDV)

ไวรัสตับอักเสบซี (HCV)

ประเภทของไวรัส

Defective virus (ต้องพึ่งพา HBV)

RNA virus (ติดเชื้อได้โดยอิสระ)

การติดเชื้อ

ต้องมีไวรัสบีร่วม (co/superinfection)

ติดเชื้อได้เดี่ยว

ความรุนแรง

รุนแรงมากกว่าบีและซีในหลายกรณี

มักเรื้อรัง แต่ตอบสนองดีต่อการรักษา

การรักษา

มีเฉพาะอินเตอร์เฟอรอน, ตอบสนองจำกัด

มียารักษาเฉพาะ (DAAs), หายขาดได้

วัคซีน

ไม่มี (แต่ป้องกันผ่านวัคซีนบี)

ไม่มีวัคซีน

สรุปสั้น ๆ:

  • HDV อันตรายมากกว่า แต่พบได้น้อยกว่า
  • HCV พบได้บ่อยกว่า และมีทางรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

ตรวจไวรัสตับอักเสบดี ได้ที่ไหนบ้าง?

การตรวจไวรัสตับอักเสบดี (HDV) จะทำเฉพาะในผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อยู่ก่อน และอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งการตรวจจะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สถานพยาบาลที่สามารถตรวจได้

  • โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่: เช่น โรงพยาบาลศูนย์, โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ที่มีแผนกโรคตับ หรือโรคติดเชื้อ
  • โรงพยาบาลเอกชน: โดยเฉพาะกลุ่มที่มีบริการตรวจไวรัสครบวงจร เช่น แผนกโรคระบบทางเดินอาหาร (GI)
  • คลินิกเฉพาะทางโรคตับ: ที่มีแพทย์โรคตับดูแลโดยตรง และสามารถส่งตรวจเลือด HDV RNA หรือ Anti-HDV ได้
  • คลินิกเวชศาสตร์เขตร้อน: สำหรับผู้ที่มีประวัติเดินทางหรือใช้ชีวิตในพื้นที่ความเสี่ยงสูง

คำแนะนำก่อนตรวจ

  • ควรตรวจ HBsAg ก่อนเสมอ หากไม่พบเชื้อไวรัสบี จะไม่สามารถติด HDV ได้
  • ไม่ควรตรวจ HDV ด้วยตนเองจากชุดตรวจทั่วไป เพราะต้องใช้การวิเคราะห์ระดับโมเลกุล
  • ควรพบแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อประเมินความเสี่ยงและเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบดี

1. ถ้าฉีดวัคซีนไวรัสบีแล้ว ยังติดไวรัสดีได้ไหม?

ไม่สามารถติดไวรัสตับอักเสบดี ได้ หากมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสบีแล้ว เพราะ HDV ต้องอาศัยไวรัสบีในการติดเชื้อ

2. ไวรัสตับอักเสบดี หายขาดได้ไหม?

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด 100% แต่สามารถควบคุมโรคได้ในบางรายด้วยอินเตอร์เฟอรอน และต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด

3. ติดไวรัสดีแล้ว สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นไหม?

สามารถแพร่เชื้อได้ โดยเฉพาะผ่านเลือดหรือเพศสัมพันธ์ แต่เฉพาะในกรณีที่ผู้รับยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสบี

4. จำเป็นต้องตรวจหา HDV ทุกคนที่ติดไวรัสบีหรือไม่?

ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกราย แพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยง เช่น มีอาการผิดปกติทางตับ หรือมีประวัติเสี่ยงสูง

5. ไวรัสดีอันตรายกว่าไวรัสบีจริงหรือ?

โดยทั่วไป HDV มีความรุนแรงมากกว่า HBV โดยเฉพาะในรูปแบบ superinfection ที่อาจนำไปสู่ตับวายหรือตับแข็งเร็วกว่า

บทสรุป

ไวรัสตับอักเสบดี แม้จะพบไม่บ่อยเท่าไวรัสบีหรือซี แต่หากเกิดการติดเชื้อขึ้นแล้ว มักจะมีผลกระทบต่อร่างกายรุนแรงกว่า การรู้จักโรคนี้ให้ลึกซึ้งตั้งแต่สาเหตุ กลไก ไปจนถึงแนวทางป้องกัน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีเชื้อไวรัสบีอยู่เดิมหรือมีพฤติกรรมเสี่ยง

การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสบีและการดูแลสุขภาพอย่างมีสติ คือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงของไวรัสตับอักเสบดี และภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาในระยะยาว

icon email