ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E, HEV) เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยในหลายประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดีพอ การติดต่อส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่บางกลุ่ม เช่น หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง อาจมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง รวมถึงภาวะตับวายเฉียบพลัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันไวรัสตับอักเสบอี จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณสามารถดูแลตนเองและลดความเสี่ยงของโรคได้อย่างถูกวิธี
ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E Virus: HEV) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับแบบเฉียบพลัน การติดเชื้อมักเกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน พบมากในประเทศที่มีสุขาภิบาลไม่ดี และสามารถก่อให้เกิดการระบาดในชุมชนได้
ไวรัสตับอักเสบอี ถูกค้นพบครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1980 ระหว่างการระบาดในประเทศอินเดียและเอเชียกลาง ต่อมามีการยืนยันว่าเป็นไวรัส RNA จัดอยู่ในตระกูล Hepeviridae ซึ่งแตกต่างจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น เช่น A, B, C และ D
องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี มากกว่า 20 ล้านคนต่อปี โดยประมาณ 3 ล้านรายมีอาการป่วยชัดเจน โรคนี้เป็นปัญหาสำคัญในเอเชียและแอฟริกา รวมถึงประเทศไทยที่มีรายงานการพบเชื้อในผู้บริจาคเลือดในอัตราสูงกว่าหลายประเทศ
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งมักพบในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี น้ำดื่มหรืออาหารที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุกสะอาดสามารถเป็นพาหะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง
นอกจากการแพร่เชื้อผ่านทางน้ำและอาหาร ยังมีหลักฐานยืนยันว่าไวรัส HEV สามารถแพร่จากสัตว์บางชนิด เช่น หมูและกวาง มาสู่คนได้ โดยเฉพาะการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในหลายประเทศ รวมถึงในเอเชียตะวันออกและยุโรป
ในบางกรณี การรับเลือดหรืออวัยวะปลูกถ่ายที่มีเชื้อ HEV สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง งานวิจัยในประเทศไทยยังพบว่าผู้บริจาคเลือดบางรายมีเชื้อ HEV ซึ่งเป็นเหตุผลที่หลายประเทศเริ่มมีมาตรการตรวจคัดกรองเชื้อ HEV ในเลือดบริจาค
ไวรัสตับอักเสบอี มีระยะฟักตัวเฉลี่ยประมาณ 2–6 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ ระยะนี้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักยังไม่แสดงอาการ ทำให้โรคสามารถแพร่กระจายได้โดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว
เมื่อเข้าสู่ระยะที่เชื้อแสดงอาการ ผู้ติดเชื้ออาจมีอาการคล้ายไข้หวัดหรือโรคไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น ได้แก่
เมื่อเชื้อส่งผลต่อตับโดยตรง จะมีอาการที่เด่นชัดมากขึ้น เช่น
แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเกิดภาวะรุนแรง เช่น
ในระหว่างตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกันของผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อลดการต่อต้านทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อสู้เชื้อโรคลดลง เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบอี จึงมีโอกาสที่โรคจะดำเนินไปอย่างรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม สามารถนำไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลัน มีการเสียชีวิตของมารดาในอัตราสูงกว่าผู้ป่วยทั่วไปหลายเท่า และยังมีโอกาสเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติหรือการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย
การติดเชื้อ HEV ของหญิงตั้งครรภ์ไม่เพียงกระทบต่อแม่ แต่ยังส่งผลต่อทารกในครรภ์ เช่น การแท้ง การคลอดก่อนกำหนด และการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด นอกจากนี้ยังมีรายงานการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านรก ทำให้ทารกเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบตั้งแต่แรกเกิด
การตรวจทางซีรั่มเพื่อหาภูมิคุ้มกันเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่
วิธีการตรวจที่มีความแม่นยำสูงคือการหา HEV RNA ในเลือดหรืออุจจาระ ด้วยเทคนิค RT-PCR ซึ่งสามารถยืนยันการติดเชื้อได้อย่างแน่นอน และยังใช้ติดตามการติดเชื้อในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำที่อาจมีการติดเชื้อเรื้อรัง
ในบางห้องปฏิบัติการมีการใช้วิธีตรวจหา HEV Antigen ซึ่งช่วยยืนยันการติดเชื้อได้เร็วขึ้น แต่ยังไม่แพร่หลายเท่าการตรวจ IgM หรือ RNA
การตรวจหาเชื้อ HEV มีความสำคัญอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้บริจาคเลือด เนื่องจากหากไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรือการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี มักมีอาการเฉียบพลันและหายเองได้ การรักษาจึงเน้นไปที่การประคับประคอง เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และการหลีกเลี่ยงยาที่อาจทำลายตับ เช่น ยาพาราเซตามอลในขนาดสูงหรือยาที่แพทย์ไม่แนะนำ
แม้ยังไม่มียาที่ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการในการรักษาไวรัสตับอักเสบอี แต่ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีการติดเชื้อเรื้อรัง อาจพิจารณาใช้ Ribavirin ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ
การรักษาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะตับวายเฉียบพลัน การตกเลือด หรือภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากทีมแพทย์เฉพาะทาง
หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดของการติดเชื้อ HEV คือภาวะตับวายเฉียบพลัน โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรังอยู่เดิม ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
แม้ไวรัสตับอักเสบอี มักทำให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลัน แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ อาจพัฒนาเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง ทำให้เกิดตับแข็งหรือตับวายในระยะยาว
นอกจากความผิดปกติของตับแล้ว ยังมีรายงานภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับระบบอื่น ๆ เช่น
ในผู้ที่รอดชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อาจมีความเสี่ยงต่อการทำงานของตับที่บกพร่องในระยะยาว และต้องติดตามสุขภาพอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับในอนาคต
|
ประเภทไวรัสตับอักเสบ |
สาเหตุการติดเชื้อ |
วิธีการติดต่อหลัก |
ความรุนแรงของโรค |
โอกาสเรื้อรัง |
วัคซีนป้องกัน |
กลุ่มเสี่ยงสำคัญ |
|---|---|---|---|---|---|---|
|
HAV |
อาหาร-น้ำปนเปื้อน (fecal-oral) |
เฉียบพลัน, หายเองได้ |
ไม่มี |
มี |
ผู้ที่อยู่ในพื้นที่สุขาภิบาลต่ำ |
|
|
HBV |
เลือด เพศสัมพันธ์ แม่สู่ลูก |
เฉียบพลันและเรื้อรัง |
มี (10–15%) |
มี |
ผู้ใช้เข็มร่วม, เด็กแรกเกิดจากแม่ติดเชื้อ |
|
|
HCV |
เลือดเป็นหลัก (เช่น เข็มฉีดยา) |
มักไม่แสดงอาการช่วงแรก |
มีสูง (70–80%) |
ไม่มี |
ผู้ใช้เข็มร่วม, ผู้ได้รับเลือด |
|
|
HDV |
ต้องมี HBV ร่วม |
เลือด, เพศสัมพันธ์, แม่สู่ลูก |
เพิ่มความรุนแรงในผู้ติด HBV |
มี |
ไม่มี (ใช้วัคซีน HBV ป้องกันได้) |
|
|
ไวรัสตับอักเสบอี |
HEV |
อาหาร-น้ำปนเปื้อน, เนื้อสัตว์ไม่สุก |
เฉียบพลัน, รุนแรงในหญิงตั้งครรภ์ |
ไม่มี (ยกเว้นในผู้ภูมิคุ้มกันต่ำ) |
มีเฉพาะจีน (Hecolin) |
หญิงตั้งครรภ์, ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ในพื้นที่สุขาภิบาลต่ำ |
ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบอี (ชื่อ Hecolin) ที่พัฒนาและใช้ในประเทศจีน แต่ยังไม่ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นมาตรการป้องกันหลักจึงยังคงเป็นสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหารและน้ำ
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี ที่ผ่านการพัฒนามีชื่อว่า Hecolin (HEV 239 vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด recombinant protein ผลิตขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน โดยผ่านการรับรองการใช้ในปี ค.ศ. 2011
ปัจจุบันวัคซีน Hecolin ใช้ในบางพื้นที่ของประเทศจีน เพื่อควบคุมการระบาดในชุมชนที่มีอัตราการติดเชื้อสูง มีรายงานว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดี แต่ยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายนอกประเทศจีน
นักวิจัยหลายประเทศยังคงติดตามข้อมูลทางคลินิกเพิ่มเติมของ Hecolin และวัคซีน HEV รุ่นใหม่ ๆ หากมีข้อมูลสนับสนุนมากขึ้น อาจมีการพิจารณาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสตับอักเสบอี
แม้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน แต่มีรายงานว่าการถ่ายทอดเชื้อผ่านการรับเลือด (transfusion-transmitted infection) ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีมาตรการตรวจคัดกรอง HEV ในเลือดบริจาคอย่างเป็นระบบ
การศึกษาในประเทศไทยพบว่า ผู้บริจาคเลือดบางส่วนมีการตรวจพบแอนติบอดีหรือสารพันธุกรรมของ HEV โดยมีอัตราการตรวจพบสูงถึงประมาณ 29.7% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชียและยุโรป ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าผู้รับเลือดในไทยอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว
การถ่ายทอดเชื้อ HEV ผ่านเลือดถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับ
หลายประเทศได้เริ่มนำการตรวจคัดกรอง HEV RNA ในผู้บริจาคเลือดมาใช้เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ขณะที่ในประเทศไทยยังต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้และต้นทุนในการนำมาตรการนี้มาใช้ในระบบสาธารณสุข
ในผู้ป่วยทั่วไป ไวรัสตับอักเสบอี มักก่อให้เกิดอาการเฉียบพลันและหายเอง แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะหรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิ เชื้อ HEV สามารถคงอยู่ในร่างกายและกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดการอักเสบของตับอย่างต่อเนื่อง
การติดเชื้อเรื้อรังจาก HEV ในกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือตับวายเรื้อรังภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยปกติที่โรคมักไม่พัฒนาไปถึงระยะดังกล่าว
การรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องอาศัยการเฝ้าระวังใกล้ชิด เช่น
งานวิจัยในประเทศไทยพบว่า ประชากรบางกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีระบบสุขาภิบาลจำกัด มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ในระดับที่น่ากังวล การศึกษาบางฉบับยังรายงานว่าพบแอนติบอดีต่อ HEV ในผู้บริจาคเลือดมากกว่าที่คาดไว้ แสดงถึงการมีเชื้อหมุนเวียนในชุมชน
แม้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง แต่ในบางกรณีโดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์และผู้มีโรคประจำตัวอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ปัจจุบันการเฝ้าระวังยังมีข้อจำกัดเพราะอาการมักไม่จำเพาะ และไม่ใช่ทุกโรงพยาบาลที่มีการตรวจ HEV RNA เป็นมาตรฐาน
ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี (HEV 239 vaccine) ในบางประเทศ เช่น จีน แต่ยังไม่ได้รับการใช้แพร่หลายทั่วโลก รวมถึงยังไม่มีการใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เพิ่มการเฝ้าระวัง HEV โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ และการปรับปรุงระบบสุขาภิบาลเป็นแนวทางหลักในการลดการแพร่เชื้อ
ไวรัส HEV ติดต่อผ่านการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสอุจจาระที่มีเชื้อ
มีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว คลื่นไส้ อาเจียน และอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ส่วนใหญ่หายเองได้ แต่บางราย โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง อาจเกิดตับวายเฉียบพลันซึ่งอันตรายถึงชีวิต
ยังไม่มียาที่ใช้รักษาเฉพาะเจาะจง ส่วนมากจะรักษาตามอาการ แต่มีการใช้ ribavirin ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังบางราย
มีวัคซีน HEV 239 ที่พัฒนาและใช้ในบางประเทศ แต่ยังไม่แพร่หลายทั่วโลก
แตกต่างที่วิธีการติดต่อ (ส่วนใหญ่จากอาหารและน้ำปนเปื้อน) และมีความเสี่ยงรุนแรงในหญิงตั้งครรภ์มากกว่าสายพันธุ์อื่น
ไวรัสตับอักเสบอี เป็นโรคที่มักถูกมองข้าม แต่มีความสำคัญต่อสาธารณสุข โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แม้ว่าโรคนี้ส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่การป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่สะอาด ดื่มน้ำที่ปราศจากการปนเปื้อน และรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ปัจจุบันแม้จะมีวัคซีนในบางประเทศ แต่ยังไม่แพร่หลาย ดังนั้นความรู้และการป้องกันจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้