Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ไวรัสตับอักเสบอี คืออะไร เสี่ยงตับวาย-เสียชีวิตจริงไหม รู้วิธีรับมือ 2025

ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E, HEV) เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยในหลายประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดีพอ การติดต่อส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่บางกลุ่ม เช่น หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง อาจมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง รวมถึงภาวะตับวายเฉียบพลัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันไวรัสตับอักเสบอี จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณสามารถดูแลตนเองและลดความเสี่ยงของโรคได้อย่างถูกวิธี

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ไวรัสตับอักเสบอี คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E Virus: HEV) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับแบบเฉียบพลัน การติดเชื้อมักเกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน พบมากในประเทศที่มีสุขาภิบาลไม่ดี และสามารถก่อให้เกิดการระบาดในชุมชนได้

ไวรัสตับอักเสบอี ถูกค้นพบครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1980 ระหว่างการระบาดในประเทศอินเดียและเอเชียกลาง ต่อมามีการยืนยันว่าเป็นไวรัส RNA จัดอยู่ในตระกูล Hepeviridae ซึ่งแตกต่างจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น เช่น A, B, C และ D

ความสำคัญทางสาธารณสุข

องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี มากกว่า 20 ล้านคนต่อปี โดยประมาณ 3 ล้านรายมีอาการป่วยชัดเจน โรคนี้เป็นปัญหาสำคัญในเอเชียและแอฟริกา รวมถึงประเทศไทยที่มีรายงานการพบเชื้อในผู้บริจาคเลือดในอัตราสูงกว่าหลายประเทศ

ไวรัสตับอักเสบอี ติดต่อได้อย่างไร?

การติดต่อหลักทางอาหารและน้ำ

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งมักพบในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี น้ำดื่มหรืออาหารที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุกสะอาดสามารถเป็นพาหะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง

การติดเชื้อจากสัตว์สู่คน

นอกจากการแพร่เชื้อผ่านทางน้ำและอาหาร ยังมีหลักฐานยืนยันว่าไวรัส HEV สามารถแพร่จากสัตว์บางชนิด เช่น หมูและกวาง มาสู่คนได้ โดยเฉพาะการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในหลายประเทศ รวมถึงในเอเชียตะวันออกและยุโรป

การติดเชื้อจากการรับเลือดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะ

ในบางกรณี การรับเลือดหรืออวัยวะปลูกถ่ายที่มีเชื้อ HEV สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง งานวิจัยในประเทศไทยยังพบว่าผู้บริจาคเลือดบางรายมีเชื้อ HEV ซึ่งเป็นเหตุผลที่หลายประเทศเริ่มมีมาตรการตรวจคัดกรองเชื้อ HEV ในเลือดบริจาค

อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี

ระยะฟักตัวของเชื้อ

ไวรัสตับอักเสบอี มีระยะฟักตัวเฉลี่ยประมาณ 2–6 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ ระยะนี้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักยังไม่แสดงอาการ ทำให้โรคสามารถแพร่กระจายได้โดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว

อาการทั่วไป

เมื่อเข้าสู่ระยะที่เชื้อแสดงอาการ ผู้ติดเชื้ออาจมีอาการคล้ายไข้หวัดหรือโรคไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น ได้แก่

  • มีไข้ อ่อนเพลีย
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เบื่ออาหาร
  • ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา
  • ปวดเมื่อยตามตัว

อาการของโรคตับอักเสบ

เมื่อเชื้อส่งผลต่อตับโดยตรง จะมีอาการที่เด่นชัดมากขึ้น เช่น

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • อุจจาระสีซีด
  • ตับโต ตรวจพบเจ็บตับเมื่อกด

กลุ่มอาการรุนแรง

แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเกิดภาวะรุนแรง เช่น

  • ตับวายเฉียบพลัน
  • ภาวะเลือดออกง่าย
  • สมองอักเสบ (ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ) ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ทำไม “หญิงตั้งครรภ์” ถึงเสี่ยงอันตรายจากไวรัสตับอักเสบอี?

ความเปราะบางของร่างกายหญิงตั้งครรภ์

ในระหว่างตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกันของผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อลดการต่อต้านทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อสู้เชื้อโรคลดลง เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบอี จึงมีโอกาสที่โรคจะดำเนินไปอย่างรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป

ภาวะแทรกซ้อนต่อมารดา

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม สามารถนำไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลัน มีการเสียชีวิตของมารดาในอัตราสูงกว่าผู้ป่วยทั่วไปหลายเท่า และยังมีโอกาสเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติหรือการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย

ความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์

การติดเชื้อ HEV ของหญิงตั้งครรภ์ไม่เพียงกระทบต่อแม่ แต่ยังส่งผลต่อทารกในครรภ์ เช่น การแท้ง การคลอดก่อนกำหนด และการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด นอกจากนี้ยังมีรายงานการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านรก ทำให้ทารกเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบตั้งแต่แรกเกิด

การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ทำได้อย่างไร?

การตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน

การตรวจทางซีรั่มเพื่อหาภูมิคุ้มกันเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่

  • Anti-HEV IgM: บ่งบอกการติดเชื้อในระยะเฉียบพลัน
  • Anti-HEV IgG: บ่งบอกการติดเชื้อที่ผ่านมา หรือเคยมีภูมิคุ้มกันมาก่อน

 

 

การตรวจสารพันธุกรรมไวรัส

วิธีการตรวจที่มีความแม่นยำสูงคือการหา HEV RNA ในเลือดหรืออุจจาระ ด้วยเทคนิค RT-PCR ซึ่งสามารถยืนยันการติดเชื้อได้อย่างแน่นอน และยังใช้ติดตามการติดเชื้อในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำที่อาจมีการติดเชื้อเรื้อรัง

การตรวจแอนติเจนของไวรัส

ในบางห้องปฏิบัติการมีการใช้วิธีตรวจหา HEV Antigen ซึ่งช่วยยืนยันการติดเชื้อได้เร็วขึ้น แต่ยังไม่แพร่หลายเท่าการตรวจ IgM หรือ RNA

ความสำคัญของการตรวจในกลุ่มเสี่ยง

การตรวจหาเชื้อ HEV มีความสำคัญอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้บริจาคเลือด เนื่องจากหากไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรือการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว

การรักษาไวรัสตับอักเสบอี ทำอย่างไร?

การรักษาตามอาการ (Supportive Care)

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี มักมีอาการเฉียบพลันและหายเองได้ การรักษาจึงเน้นไปที่การประคับประคอง เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และการหลีกเลี่ยงยาที่อาจทำลายตับ เช่น ยาพาราเซตามอลในขนาดสูงหรือยาที่แพทย์ไม่แนะนำ

การใช้ยาต้านไวรัสในกรณีพิเศษ

แม้ยังไม่มียาที่ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการในการรักษาไวรัสตับอักเสบอี แต่ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีการติดเชื้อเรื้อรัง อาจพิจารณาใช้ Ribavirin ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ

การดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูง

  • หญิงตั้งครรภ์: ต้องติดตามใกล้ชิดในโรงพยาบาล เนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะตับวายและการเสียชีวิต
  • ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะหรือภูมิคุ้มกันต่ำ: อาจต้องใช้การปรับยากดภูมิและติดตามผลการตรวจ HEV RNA อย่างต่อเนื่อง

 

 

การป้องกันภาวะแทรกซ้อน

การรักษาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะตับวายเฉียบพลัน การตกเลือด หรือภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากทีมแพทย์เฉพาะทาง

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากไวรัสตับอักเสบอี

ภาวะตับวายเฉียบพลัน

หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดของการติดเชื้อ HEV คือภาวะตับวายเฉียบพลัน โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรังอยู่เดิม ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

การติดเชื้อเรื้อรัง

แม้ไวรัสตับอักเสบอี มักทำให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลัน แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ อาจพัฒนาเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง ทำให้เกิดตับแข็งหรือตับวายในระยะยาว

ภาวะแทรกซ้อนนอกตับ

นอกจากความผิดปกติของตับแล้ว ยังมีรายงานภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับระบบอื่น ๆ เช่น

  • ระบบประสาท: เส้นประสาทอักเสบ, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, สมองอักเสบ
  • ระบบเลือด: ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้เลือดออกง่าย
  • ไต: ภาวะไตอักเสบที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ HEV

 

 

ผลกระทบระยะยาว

ในผู้ที่รอดชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อาจมีความเสี่ยงต่อการทำงานของตับที่บกพร่องในระยะยาว และต้องติดตามสุขภาพอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับในอนาคต

ความแตกต่างของไวรัสตับอักเสบ A–E

ตารางเปรียบเทียบไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิด

ประเภทไวรัสตับอักเสบ

สาเหตุการติดเชื้อ

วิธีการติดต่อหลัก

ความรุนแรงของโรค

โอกาสเรื้อรัง

วัคซีนป้องกัน

กลุ่มเสี่ยงสำคัญ

ไวรัสตับอักเสบเอ

HAV

อาหาร-น้ำปนเปื้อน (fecal-oral)

เฉียบพลัน, หายเองได้

ไม่มี

มี

ผู้ที่อยู่ในพื้นที่สุขาภิบาลต่ำ

ไวรัสตับอักเสบบี

HBV

เลือด เพศสัมพันธ์ แม่สู่ลูก

เฉียบพลันและเรื้อรัง

มี (10–15%)

มี

ผู้ใช้เข็มร่วม, เด็กแรกเกิดจากแม่ติดเชื้อ

ไวรัสตับอักเสบซี

HCV

เลือดเป็นหลัก (เช่น เข็มฉีดยา)

มักไม่แสดงอาการช่วงแรก

มีสูง (70–80%)

ไม่มี

ผู้ใช้เข็มร่วม, ผู้ได้รับเลือด

ไวรัสตับอักเสบดี

HDV

ต้องมี HBV ร่วม

เลือด, เพศสัมพันธ์, แม่สู่ลูก

เพิ่มความรุนแรงในผู้ติด HBV

มี

ไม่มี (ใช้วัคซีน HBV ป้องกันได้)

ไวรัสตับอักเสบอี

HEV

อาหาร-น้ำปนเปื้อน, เนื้อสัตว์ไม่สุก

เฉียบพลัน, รุนแรงในหญิงตั้งครรภ์

ไม่มี (ยกเว้นในผู้ภูมิคุ้มกันต่ำ)

มีเฉพาะจีน (Hecolin)

หญิงตั้งครรภ์, ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ในพื้นที่สุขาภิบาลต่ำ

วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบอี

การรักษาสุขอนามัยของอาหารและน้ำ

  • ดื่มน้ำที่ผ่านการต้มสุกหรือผ่านการกรองที่ได้มาตรฐาน
  • หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารดิบ โดยเฉพาะเนื้อหมู เครื่องใน และสัตว์ป่าที่อาจมีเชื้อ HEV
  • ล้างผัก ผลไม้ และอาหารสดอย่างถูกวิธีก่อนรับประทาน

สุขอนามัยส่วนบุคคล

  • ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
  • ใช้ภาชนะรับประทานอาหารที่สะอาดและไม่ปนเปื้อน

มาตรการด้านสาธารณสุข

  • การจัดการระบบน้ำเสียและสิ่งปฏิกูลให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อลดการปนเปื้อนในชุมชน
  • การตรวจสอบคุณภาพน้ำและอาหารในพื้นที่เสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
  • การคัดกรองผู้บริจาคเลือดในบางประเทศ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อ HEV

วัคซีนป้องกัน

ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบอี (ชื่อ Hecolin) ที่พัฒนาและใช้ในประเทศจีน แต่ยังไม่ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นมาตรการป้องกันหลักจึงยังคงเป็นสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหารและน้ำ

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี มีหรือไม่?

การพัฒนาวัคซีน

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี ที่ผ่านการพัฒนามีชื่อว่า Hecolin (HEV 239 vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด recombinant protein ผลิตขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน โดยผ่านการรับรองการใช้ในปี ค.ศ. 2011

การใช้งานจริง

ปัจจุบันวัคซีน Hecolin ใช้ในบางพื้นที่ของประเทศจีน เพื่อควบคุมการระบาดในชุมชนที่มีอัตราการติดเชื้อสูง มีรายงานว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดี แต่ยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายนอกประเทศจีน

เหตุผลที่ยังไม่แพร่หลาย

  • ข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในหญิงตั้งครรภ์และผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำยังมีจำกัด
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนอย่างกว้างขวาง ยกเว้นในสถานการณ์การระบาดรุนแรงหรือในกลุ่มเสี่ยงจำเพาะ
  • ประเทศส่วนใหญ่ รวมถึงประเทศไทย ยังไม่มีการนำวัคซีนนี้มาใช้ในระบบสาธารณสุข

แนวโน้มในอนาคต

นักวิจัยหลายประเทศยังคงติดตามข้อมูลทางคลินิกเพิ่มเติมของ Hecolin และวัคซีน HEV รุ่นใหม่ ๆ หากมีข้อมูลสนับสนุนมากขึ้น อาจมีการพิจารณาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสตับอักเสบอี

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี จากการบริจาคเลือด

ความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อ

แม้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน แต่มีรายงานว่าการถ่ายทอดเชื้อผ่านการรับเลือด (transfusion-transmitted infection) ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีมาตรการตรวจคัดกรอง HEV ในเลือดบริจาคอย่างเป็นระบบ

งานวิจัยในประเทศไทย

การศึกษาในประเทศไทยพบว่า ผู้บริจาคเลือดบางส่วนมีการตรวจพบแอนติบอดีหรือสารพันธุกรรมของ HEV โดยมีอัตราการตรวจพบสูงถึงประมาณ 29.7% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชียและยุโรป ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าผู้รับเลือดในไทยอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว

ผลกระทบต่อผู้ป่วย

การถ่ายทอดเชื้อ HEV ผ่านเลือดถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับ

  • ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคตับ
  • หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องได้รับการถ่ายเลือด

แนวทางการป้องกัน

หลายประเทศได้เริ่มนำการตรวจคัดกรอง HEV RNA ในผู้บริจาคเลือดมาใช้เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ขณะที่ในประเทศไทยยังต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้และต้นทุนในการนำมาตรการนี้มาใช้ในระบบสาธารณสุข

ไวรัสตับอักเสบอี ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ

ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเรื้อรัง

ในผู้ป่วยทั่วไป ไวรัสตับอักเสบอี มักก่อให้เกิดอาการเฉียบพลันและหายเอง แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะหรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิ เชื้อ HEV สามารถคงอยู่ในร่างกายและกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดการอักเสบของตับอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบต่อสุขภาพตับ

การติดเชื้อเรื้อรังจาก HEV ในกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือตับวายเรื้อรังภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยปกติที่โรคมักไม่พัฒนาไปถึงระยะดังกล่าว

การดูแลและติดตาม

การรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องอาศัยการเฝ้าระวังใกล้ชิด เช่น

  • การตรวจ HEV RNA ซ้ำเพื่อติดตามภาวะการติดเชื้อ
  • การปรับลดขนาดยากดภูมิในบางกรณี เพื่อช่วยให้ร่างกายควบคุมไวรัสได้ดีขึ้น
  • การพิจารณาใช้ยา Ribavirin ซึ่งมีรายงานว่าได้ผลในผู้ป่วยบางราย แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง

สถานการณ์ไวรัสตับอักเสบอี ในประเทศไทย

ความชุกของการติดเชื้อ

งานวิจัยในประเทศไทยพบว่า ประชากรบางกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีระบบสุขาภิบาลจำกัด มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ในระดับที่น่ากังวล การศึกษาบางฉบับยังรายงานว่าพบแอนติบอดีต่อ HEV ในผู้บริจาคเลือดมากกว่าที่คาดไว้ แสดงถึงการมีเชื้อหมุนเวียนในชุมชน

ปัจจัยเสี่ยงในประเทศไทย

  • การบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก เช่น เครื่องในหมูดิบหรือก้อยหมู ซึ่งอาจปนเปื้อนเชื้อ HEV
  • การขาดระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพในบางพื้นที่ ทำให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
  • กลุ่มอาชีพที่สัมผัสสัตว์เลี้ยง เช่น เกษตรกรเลี้ยงหมู มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป

ความท้าทายด้านการควบคุม

แม้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง แต่ในบางกรณีโดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์และผู้มีโรคประจำตัวอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ปัจจุบันการเฝ้าระวังยังมีข้อจำกัดเพราะอาการมักไม่จำเพาะ และไม่ใช่ทุกโรงพยาบาลที่มีการตรวจ HEV RNA เป็นมาตรฐาน

การป้องกันและแนวทางสาธารณสุข

การป้องกันในระดับบุคคล

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะเครื่องในหมูหรืออาหารที่มีการปนเปื้อนง่าย
  • ดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มสุกหรือกรองอย่างถูกวิธี
  • รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ

การป้องกันในระดับชุมชน

  • พัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียและการจัดการสิ่งปฏิกูลอย่างมีประสิทธิภาพ
  • รณรงค์การบริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่ในพื้นที่ชนบทและกลุ่มเสี่ยง
  • เพิ่มการตรวจคัดกรอง HEV ในผู้บริจาคโลหิตเพื่อลดความเสี่ยงในการถ่ายเลือด

วัคซีนและความเป็นไปได้

ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี (HEV 239 vaccine) ในบางประเทศ เช่น จีน แต่ยังไม่ได้รับการใช้แพร่หลายทั่วโลก รวมถึงยังไม่มีการใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

แนวทางสาธารณสุข

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เพิ่มการเฝ้าระวัง HEV โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ และการปรับปรุงระบบสุขาภิบาลเป็นแนวทางหลักในการลดการแพร่เชื้อ

การวิจัยและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบอี

การพัฒนาวัคซีน

  • วัคซีน HEV 239 ได้รับการพัฒนาและอนุมัติให้ใช้ในบางประเทศ เช่น จีน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HEV ได้สูง
  • มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการใช้วัคซีนในประเทศอื่น ๆ แต่ยังติดข้อจำกัดด้านการอนุมัติและการเข้าถึง

การพัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัย

  • เทคโนโลยีการตรวจแบบ real-time PCR ช่วยเพิ่มความแม่นยำและความเร็วในการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส HEV
  • งานวิจัยใหม่ ๆ เน้นการพัฒนาชุดตรวจที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น เพื่อใช้ในพื้นที่ชนบทหรือประเทศกำลังพัฒนา

ความเข้าใจในกลไกการเกิดโรค

  • นักวิจัยกำลังศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างไวรัส HEV และระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะบทบาทของเซลล์ T และการตอบสนองของ cytokine
  • มีการค้นพบปัจจัยทางพันธุกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับวายเฉียบพลันในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น หญิงตั้งครรภ์

แนวโน้มการรักษาใหม่

  • การศึกษาเกี่ยวกับยาต้านไวรัส เช่น ribavirin แสดงผลบวกในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • กำลังมีการทดสอบยารุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์เฉพาะต่อ HEV เพื่อพัฒนาทางเลือกการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบอี (FAQ)

ไวรัสตับอักเสบอี ติดต่อกันได้อย่างไร?

ไวรัส HEV ติดต่อผ่านการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงการสัมผัสอุจจาระที่มีเชื้อ

อาการของไวรัสตับอักเสบอี เป็นอย่างไร?

มีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว คลื่นไส้ อาเจียน และอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี รุนแรงแค่ไหน?

ส่วนใหญ่หายเองได้ แต่บางราย โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง อาจเกิดตับวายเฉียบพลันซึ่งอันตรายถึงชีวิต

สามารถรักษาไวรัสตับอักเสบอี ได้หรือไม่?

ยังไม่มียาที่ใช้รักษาเฉพาะเจาะจง ส่วนมากจะรักษาตามอาการ แต่มีการใช้ ribavirin ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังบางราย

มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี หรือไม่?

มีวัคซีน HEV 239 ที่พัฒนาและใช้ในบางประเทศ แต่ยังไม่แพร่หลายทั่วโลก

ไวรัสตับอักเสบอี ต่างจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นอย่างไร?

แตกต่างที่วิธีการติดต่อ (ส่วนใหญ่จากอาหารและน้ำปนเปื้อน) และมีความเสี่ยงรุนแรงในหญิงตั้งครรภ์มากกว่าสายพันธุ์อื่น

บทสรุป

ไวรัสตับอักเสบอี เป็นโรคที่มักถูกมองข้าม แต่มีความสำคัญต่อสาธารณสุข โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แม้ว่าโรคนี้ส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่การป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่สะอาด ดื่มน้ำที่ปราศจากการปนเปื้อน และรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ปัจจุบันแม้จะมีวัคซีนในบางประเทศ แต่ยังไม่แพร่หลาย ดังนั้นความรู้และการป้องกันจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอี

icon email