HPV 16 หรือเชื้อไวรัสเอชพีวี สายพันธุ์ 16 คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง ซึ่งคร่าชีวิตผู้หญิงไทยจำนวนมากในแต่ละปี แม้ว่าเชื้อนี้จะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ก็สามารถฝังตัวอยู่ในร่างกายและก่อให้เกิดความผิดปกติของเซลล์ได้โดยไม่รู้ตัว
บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ HPV 16 อย่างละเอียด ตั้งแต่กลไกของเชื้อ การติดเชื้อ อาการ การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถปกป้องสุขภาพของตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ
HPV 16 คือหนึ่งในสายพันธุ์ของไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา (Human Papillomavirus: HPV) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “สายพันธุ์เสี่ยงสูง” ที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะเร็งปากมดลูก” ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากในผู้หญิงทั่วโลก
จากการศึกษาทางระบาดวิทยา พบว่า HPV สายพันธุ์ 16 มีความเกี่ยวข้องกับกรณีของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 50–60% ทั่วโลก และหากรวมกับสายพันธุ์ HPV 18 จะครอบคลุมถึง 70% ของผู้ป่วยทั้งหมด (ข้อมูลจาก World Health Organization)
เชื้อไวรัส HPV 16 สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง โดยเฉพาะในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือแม้แต่การสัมผัสแบบ oral sex ก็สามารถแพร่เชื้อได้ แม้ผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ
ความน่ากังวลของเชื้อ HPV 16 คือ กระบวนการเข้าสู่เซลล์เยื่อบุผิว และไปกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ให้กลายเป็นเซลล์ผิดปกติ ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่ภาวะก่อนมะเร็ง หรือมะเร็งในที่สุด โดยเฉพาะหากเชื้อคงอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน
เนื่องจาก HPV 16 ไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและการตรวจหาเชื้อ HPV เป็นประจำจึงเป็นวิธีสำคัญที่ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
HPV 16 สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสผิวหนังโดยตรง โดยเฉพาะบริเวณที่มีเยื่อบุผิวบาง เช่น บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก และช่องปาก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ การสัมผัสแบบ oral sex หรือแม้แต่การเสียดสีบริเวณอวัยวะเพศที่ไม่มีการสอดใส่ก็ยังมีความเสี่ยง
นอกจากการมีเพศสัมพันธ์โดยตรงแล้ว ยังมีรายงานบางกรณีที่แสดงให้เห็นว่า HPV สามารถแพร่จากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอดได้ แม้อัตราการเกิดจะต่ำมากก็ตาม และแม้จะมีการใช้ถุงยางอนามัย ก็ยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% เนื่องจากไวรัสสามารถติดจากบริเวณผิวหนังรอบๆ ที่ถุงยางไม่สามารถปิดคลุมได้ทั้งหมด
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HPV 16 ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การสูบบุหรี่ และการไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกัน HPV
การเข้าใจวิธีการติดต่อของเชื้อ HPV 16 อย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยเริ่มมีเพศสัมพันธ์
แม้ว่า HPV 16 จะจัดเป็นสายพันธุ์เสี่ยงสูงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง แต่ในหลายกรณีเชื้อสามารถหายไปเองได้โดยไม่ต้องรักษา โดยเฉพาะในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ซึ่งจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่า มากกว่า 90% ของผู้ติดเชื้อ HPV ทั่วไป (รวมถึงสายพันธุ์ 16) จะสามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้เองภายในเวลา 1–2 ปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากเชื้อ HPV 16 อยู่ในร่างกายเป็นเวลานานเกิน 2 ปี หรือเกิดในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วย HIV หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งในกรณีนี้เชื้ออาจไม่หายเอง และสามารถนำไปสู่การพัฒนาของเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกหรืออวัยวะอื่นๆ ได้
การติดเชื้อ HPV 16 ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นมะเร็งเสมอไป แต่อาจต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยแพทย์จะพิจารณาความจำเป็นในการตรวจซ้ำ การทำคอลโปสโคป (Colposcopy) หรือการตัดชิ้นเนื้อตรวจหากพบความผิดปกติ
สรุปคือ เชื้อ HPV 16 อาจหายเองได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่หากไม่หายภายในเวลาที่ควร หรือพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ ควรได้รับการดูแลต่อเนื่องจากแพทย์เฉพาะทาง
เชื้อไวรัส HPV แบ่งออกเป็นมากกว่า 150 สายพันธุ์ย่อย โดยมีบางสายพันธุ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม “ความเสี่ยงสูง” (High-risk) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง และในบรรดาสายพันธุ์เหล่านี้ HPV 16 และ 18 ถือเป็นสองสายพันธุ์หลักที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกทั่วโลก
HPV 16 เป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด โดยมีความสามารถในการก่อการกลายพันธุ์ของเซลล์สูง และมีแนวโน้มจะอยู่ในร่างกายได้นานโดยไม่แสดงอาการ ขณะที่ HPV 18 แม้จะพบได้น้อยกว่า แต่ก็มีศักยภาพในการก่อมะเร็งได้รุนแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในกรณีที่พบร่วมกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
จากการศึกษาทางการแพทย์ HPV 16 มักก่อให้เกิดมะเร็งชนิด Squamous Cell Carcinoma ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด ขณะที่ HPV 18 มีความเชื่อมโยงกับ Adenocarcinoma ซึ่งเป็นมะเร็งชนิดที่ตรวจเจอได้ยากกว่าในการตรวจ Pap smear ทั่วไป
อีกความแตกต่างที่สำคัญคือความชุก (prevalence) และการตอบสนองต่อวัคซีน โดยวัคซีน HPV รุ่นใหม่ เช่น Gardasil 9 ได้รับการพัฒนาให้สามารถป้องกันทั้ง HPV 16 และ 18 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองสายพันธุ์นี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
HPV 16 เป็นสายพันธุ์ที่มี “ความสามารถในการก่อมะเร็งสูง” เนื่องจากกลไกทางชีววิทยาของเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสารพันธุกรรม (DNA) ของเซลล์มนุษย์ โดยเฉพาะโปรตีน 2 ชนิดสำคัญที่ไวรัสผลิตขึ้นคือ E6 และ E7 ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีบทบาทในการยับยั้งการทำงานของยีนกดมะเร็ง (tumor suppressor genes) อย่าง p53 และ Rb
เมื่อโปรตีน p53 และ Rb ถูกยับยั้ง เซลล์จะสูญเสียความสามารถในการควบคุมการแบ่งตัว และนำไปสู่การสะสมของเซลล์ผิดปกติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่เซลล์มะเร็ง โดย HPV 16 ทำกระบวนการนี้ได้มีประสิทธิภาพสูงกว่าสายพันธุ์อื่น
อีกปัจจัยที่ทำให้ HPV 16 ก่อมะเร็งปากมดลูกได้บ่อยก็คือ ระยะเวลาการติดเชื้อ โดยสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มจะ “คงอยู่ในร่างกาย” ได้นานกว่าสายพันธุ์อื่น หากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ภายใน 1–2 ปี โอกาสเกิดเซลล์ผิดปกติจึงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ HPV 16 ยังพบได้ในมะเร็งชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกับเยื่อบุ เช่น มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งช่องปาก-คอหอย ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของเชื้อชนิดนี้ในการก่อมะเร็งหลายระบบในร่างกาย
HPV 16 เป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาไวรัส HPV ทั้งหมด และมีอัตราการกลายเป็นมะเร็งสูงกว่าสายพันธุ์อื่นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากข้อมูลของ WHO และวารสาร The Lancet (2020) พบว่าในผู้หญิงที่มีการติดเชื้อ HPV 16 ประมาณ 10%–20% จะพัฒนาเป็นภาวะเซลล์ผิดปกติระดับสูง (High-grade lesion หรือ CIN2/3) ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี หากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษา
ในเชิงระบาดวิทยา มีรายงานว่า ผู้หญิงทั่วโลกกว่า 291 ล้านคนเคยติดเชื้อ HPV และราว 70% ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมีความเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ 16 และ 18 โดยเฉพาะ HPV 16 ที่พบมากถึง 50–60% ของทั้งหมด ทำให้เป็นสายพันธุ์หลักที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มที่มีปัจจัยร่วม เช่น การสูบบุหรี่ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ผู้ป่วย HIV) หรือการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย รวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน HPV
แม้หลายคนจะสามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้เอง แต่หากเชื้อ HPV 16 ยังคงอยู่ในร่างกายนานเกิน 1–2 ปี โดยไม่มีการตรวจคัดกรองหรือรักษาอย่างเหมาะสม ก็อาจนำไปสู่การกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อ HPV 16 มักจะ ไม่มีอาการแสดงในระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่เชื้อสามารถฝังตัวและก่อการเปลี่ยนแปลงของเซลล์โดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว
แม้เชื้อ HPV บางสายพันธุ์จะทำให้เกิด “หูด” บริเวณอวัยวะเพศ แต่สายพันธุ์ 16 ซึ่งเป็นสายพันธุ์เสี่ยงสูง ไม่ก่อให้เกิดหูด และแทบจะไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จะพัฒนาไปเป็นเซลล์ผิดปกติระดับสูงหรือกลายเป็นมะเร็ง
ในกรณีที่เชื้อ HPV 16 ก่อให้เกิดความผิดปกติที่ปากมดลูก ผู้ป่วยอาจพบอาการได้เมื่อโรคลุกลาม เช่น:
การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่เกิดจาก HPV 16 สามารถตรวจพบได้โดยการตรวจ Pap smear หรือ HPV DNA Test ก่อนจะมีอาการชัดเจน ดังนั้นจึงควรตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว และมีอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป
แม้ว่า HPV 16 จะถูกพูดถึงบ่อยในบริบทของมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง แต่ในความเป็นจริง ผู้ชายก็สามารถติดเชื้อ HPV 16 ได้ และยังมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งบางชนิดเช่นกัน
HPV 16 ในผู้ชายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เช่นเดียวกับในผู้หญิง แต่หากเชื้อคงอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ได้แก่
ความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM: Men who have Sex with Men) และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
ในปัจจุบัน ยังไม่มีการแนะนำให้ตรวจ HPV สำหรับผู้ชายทั่วไปเป็นประจำเหมือนในผู้หญิง เนื่องจากยังไม่มีแนวทางคัดกรองที่แม่นยำและใช้ได้ในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น MSM หรือผู้มีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ HPV โดยเฉพาะบริเวณทวารหนักหรือช่องปาก
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชายคือการฉีดวัคซีน HPV ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อมะเร็งจาก HPV ได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยและการมีคู่นอนที่ปลอดภัย
ผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV 16 สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ แต่การติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ในระหว่างตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงบางประการที่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์
ในกรณีส่วนใหญ่ HPV 16 ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และไม่เพิ่มความเสี่ยงของการแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดโดยตรง อย่างไรก็ตาม หากมีความผิดปกติของปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อ HPV 16 เช่น เซลล์ผิดปกติหรือภาวะก่อนมะเร็ง แพทย์อาจต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิดและอาจมีการเลื่อนการรักษา เช่น การจี้หรือผ่าตัด ออกไปจนหลังคลอด เพื่อความปลอดภัยของทารก
ส่วนในกรณีที่มีการติดเชื้อ HPV ร่วมกับการเกิดหูดบริเวณช่องคลอดหรือปากมดลูก (แม้พบได้น้อยในสายพันธุ์ 16) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV ในทารกขณะคลอดผ่านช่องคลอด แต่โอกาสเกิดภาวะนี้จัดว่าน้อยมาก
ผู้ที่ติดเชื้อ HPV 16 ขณะตั้งครรภ์ควรเข้ารับการฝากครรภ์และตรวจคัดกรองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทั้งแม่และลูกจะปลอดภัยตลอดระยะตั้งครรภ์
การตรวจหาเชื้อ HPV 16 ไม่สามารถทำได้ด้วยการสังเกตอาการเพียงอย่างเดียว เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้วเชื้อจะไม่แสดงอาการ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้วิธีทางห้องปฏิบัติการเพื่อระบุชนิดของเชื้ออย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงและผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปี
วิธีวินิจฉัยที่ใช้ในปัจจุบัน ได้แก่
การเลือกวิธีตรวจจะขึ้นอยู่กับอายุ ประวัติสุขภาพ และความเสี่ยงของผู้รับบริการ โดยควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง
การได้รับผลตรวจ HPV 16 “เป็นบวก” ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นมะเร็งในทันที แต่ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ที่ควรได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะ HPV 16 เป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการพัฒนาเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก
หลังจากผลตรวจเป็นบวก แนวทางการดูแลจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุของผู้ป่วย ประวัติการตรวจคัดกรองครั้งก่อน และผลของ Pap smear ร่วมด้วย แพทย์จะวางแผนการดูแลในลักษณะต่อไปนี้
การได้รับผล “HPV 16 Positive” จึงไม่ควรตื่นตระหนก แต่ควรใช้เป็นโอกาสในการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันการเกิดโรคในอนาคต
เมื่อผลตรวจพบการติดเชื้อ HPV 16 และมีหลักฐานของความผิดปกติของเซลล์ เช่น ภาวะ CIN2 หรือ CIN3 ซึ่งถือเป็นภาวะก่อนมะเร็ง แพทย์จะพิจารณาแผนการรักษาโดยพิจารณาจากระดับความรุนแรง อายุ และความต้องการมีบุตรของผู้ป่วย
แนวทางการรักษาหลักมีดังนี้
การเลือกวิธีรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และคำนึงถึงสุขภาพระยะยาวของผู้ป่วย
แม้ว่า HPV 16 จะเป็นไวรัสที่พบได้บ่อยและมีความเสี่ยงสูงในการก่อมะเร็ง แต่ก็สามารถ “ป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ด้วยการผสมผสานหลายแนวทางร่วมกัน ทั้งการฉีดวัคซีน พฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
วัคซีน HPV เป็นวิธีป้องกันหลักที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV 16 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ วัคซีนรุ่นใหม่อย่าง Gardasil 9 ที่ครอบคลุม HPV สายพันธุ์ 16, 18 และสายพันธุ์เสี่ยงต่ำอื่น ๆ ที่ก่อหูด
ถุงยางช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ได้ แม้ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เนื่องจาก HPV ติดต่อผ่านผิวหนังบริเวณอื่นได้ แต่ก็ถือเป็นการป้องกันขั้นพื้นฐานที่สำคัญ
การตรวจ Pap smear และ HPV DNA test อย่างสม่ำเสมอช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
เมื่อรวมวิธีการป้องกันเหล่านี้เข้าด้วยกัน จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ HPV 16 และลดอัตราการเกิดมะเร็งที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
HPV 16 คือสายพันธุ์ไวรัสที่มีศักยภาพในการก่อมะเร็งสูงที่สุด โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก แม้ว่าจะไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก แต่หากไม่ได้รับการตรวจคัดกรองหรือดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงในอนาคต
ข่าวดีคือ เชื้อ HPV 16 สามารถป้องกันได้ ด้วยการฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น การมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากคุณหรือคนใกล้ชิดเคยมีผลตรวจ HPV 16 เป็นบวก อย่าตกใจ แต่ควรรีบเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมตั้งแต่วัน
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้