Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

HPV 18 คืออะไร? ทำไมสายพันธุ์นี้ถึงเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก

HPV 18 หรือ Human Papillomavirus สายพันธุ์ที่ 18 คือหนึ่งในไวรัสที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “สายพันธุ์เสี่ยงสูง” (High-risk HPV) เนื่องจากมีศักยภาพในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จนพัฒนาไปสู่โรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะเร็งปากมดลูกชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarcinoma)” ซึ่งพบว่าเชื้อ HPV 18 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน

แม้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ และร่างกายอาจสามารถกำจัดเชื้อได้เอง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รู้ตัว การติดเชื้อนี้อาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรงในอนาคตได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ HPV 18 อย่างถูกต้อง ตั้งแต่การติดต่อ อาการ วิธีตรวจ ไปจนถึงการป้องกันและวัคซีน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ข้อมูลด้านสุขภาพมีบทบาทต่อการดูแลชีวิตมากกว่าที่เคย

HPV 18 คืออะไร?

HPV 18 หรือ Human Papillomavirus Type 18 คือหนึ่งในไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์เสี่ยงสูง ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเกิดมะเร็งปากมดลูกชนิดต่อม (adenocarcinoma) ซึ่งเกิดในเซลล์ต่อมของปากมดลูกที่ตรวจเจอได้ยากกว่ามะเร็งชนิดเซลล์สความัสทั่วไป

ลักษณะสำคัญของการติดเชื้อ HPV 18 คือการไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ และปล่อยให้ไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน ส่งผลให้เชื้อมีโอกาสพัฒนาเป็นเซลล์ผิดปกติหรือกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า HPV 16 และ 18 ร่วมกันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกมากถึง 70% ของผู้ป่วยทั่วโลก ถือเป็นไวรัสที่ควรได้รับการป้องกันและตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ

ความแตกต่างระหว่าง HPV 18 กับ HPV สายพันธุ์อื่นๆ

ไวรัสเอชพีวี (HPV) มีมากกว่า 150 สายพันธุ์ย่อย โดยแต่ละสายพันธุ์มีระดับความเสี่ยงต่อร่างกายแตกต่างกัน สายพันธุ์ที่จัดว่าเป็นความเสี่ยงต่ำ (Low-risk HPV) มักก่อให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศหรือผิวหนัง ในขณะที่สายพันธุ์เสี่ยงสูง (High-risk HPV) อย่างเช่น HPV 16 และ 18 มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเซลล์ผิดปกติและกลายเป็นมะเร็งได้

HPV 18 มีความแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นในหลายด้าน โดยเฉพาะความเชื่อมโยงกับมะเร็งชนิดต่อม (adenocarcinoma) ซึ่งตรวจพบได้ยากกว่ามะเร็งชนิด squamous cell ที่มักเกิดจากสายพันธุ์ HPV 16 และสามารถตรวจเจอได้ง่ายกว่าในการตรวจแปปสเมียร์ทั่วไป ความสามารถของ HPV 18 ในการพัฒนาเซลล์ผิดปกติแบบลึกจึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง

อีกหนึ่งจุดต่างคือพฤติกรรมของเชื้อ HPV 18 ที่มักไม่แสดงอาการภายนอก เช่น หูดหรือรอยโรคที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ทำให้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่รู้ตัวและไม่ได้รับการรักษาจนกว่าเชื้อจะลุกลามเป็นระยะก่อนมะเร็งหรือมะเร็งแล้ว

การแพร่กระจายของเชื้อ HPV 18

เชื้อไวรัส HPV 18 สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่หรือไม่สอดใส่ก็สามารถแพร่เชื้อได้ ทั้งในช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก รวมถึงการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศที่มีเชื้ออยู่ แม้ไม่มีรอยโรคชัดเจนก็ตาม

ความน่ากังวลคือ HPV 18 สามารถติดต่อได้แม้ในกรณีที่ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการหรือรอยโรคใด ๆ ให้เห็น โดยเฉพาะในช่วงระยะแฝงที่ไวรัสยังไม่แสดงอาการทางคลินิก แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้

นอกจากนี้ ยังมีรายงานการติดเชื้อผ่านการคลอดในผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อ HPV โดยทารกอาจได้รับเชื้อผ่านทางช่องคลอดขณะคลอด แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้น้อยแต่ก็ถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา

กลไกการเกิดมะเร็งจากเชื้อ HPV 18

เมื่อเชื้อ HPV 18 เข้าสู่ร่างกาย มันสามารถแทรกตัวเข้าสู่เซลล์เยื่อบุบริเวณปากมดลูก และเริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของเซลล์ ภายในดีเอ็นเอของไวรัสจะมียีนชนิดพิเศษ เช่น E6 และ E7 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรบกวนการทำงานของยีนควบคุมเซลล์ของร่างกายอย่าง p53 และ Rb (Retinoblastoma protein)

E6 จะจับกับโปรตีน p53 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการแบ่งตัวและการตายของเซลล์ หากโปรตีนนี้ถูกทำลาย เซลล์ที่มีความผิดปกติจะไม่สามารถถูกกำจัดออกตามกลไกธรรมชาติ ขณะที่ E7 จะจับกับโปรตีน Rb ทำให้เซลล์สามารถแบ่งตัวได้โดยไร้การควบคุม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเกิดเซลล์มะเร็ง

การติดเชื้อ HPV 18 อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในร่างกายที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ไวรัสจะสร้างความผิดปกติแบบถาวรในเซลล์ และพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด

กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังการติดเชื้อ HPV 18

แม้เชื้อ HPV 18 สามารถติดต่อได้ในทุกเพศทุกวัย แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อหรือพัฒนาเป็นโรคมะเร็งจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งได้แก่

  • ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกัน HPV
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย หรือมีคู่นอนหลายคน
  • ผู้ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอในการมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้หญิงที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ซึ่งมีผลต่อภูมิคุ้มกันในปากมดลูก
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก

การรู้ว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีความสำคัญ เพราะสามารถช่วยให้เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งหรือรับวัคซีนป้องกันได้อย่างทันท่วงที

อาการของการติดเชื้อ HPV 18 ที่ควรสังเกต

การติดเชื้อ HPV 18 มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ จึงมีโอกาสแพร่กระจายต่อหรือปล่อยให้เชื้อพัฒนาไปสู่ระยะก่อนมะเร็งหรือมะเร็งโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม อาจมีบางอาการที่สามารถสังเกตได้ โดยเฉพาะเมื่อเชื้อเริ่มสร้างความผิดปกติในเนื้อเยื่อ เช่น

  • ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดปน
  • มีเลือดออกจากช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือในช่วงที่ไม่ได้มีประจำเดือน
  • รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีติ่งเนื้อหรือหูดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ช่องคลอด หรือทวารหนัก
  • ปวดท้องน้อยเรื้อรังโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน

อาการเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็น HPV 18 เสมอไป แต่หากมีความเสี่ยงและพบอาการข้างต้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด

วิธีตรวจหาเชื้อ HPV 18 อย่างแม่นยำ

การตรวจหาเชื้อ HPV 18 อย่างแม่นยำมีความสำคัญต่อการเฝ้าระวังและป้องกันมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ปัจจุบันมีวิธีการตรวจวินิจฉัยหลายแบบที่ช่วยตรวจพบเชื้อ HPV ได้ทั้งในระยะก่อนแสดงอาการและระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์แล้ว ได้แก่

  • การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Test): ตรวจหาเซลล์ผิดปกติบริเวณปากมดลูก แต่ไม่สามารถบอกสายพันธุ์ของเชื้อได้
  • การตรวจ HPV DNA (HPV DNA Test): ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ HPV โดยตรง มีความแม่นยำสูง สามารถระบุได้ว่าเป็นสายพันธุ์ 16 หรือ 18
  • การตรวจตินเพร็พ (ThinPrep Pap Test): วิธีการคล้ายแปปสเมียร์ แต่เพิ่มความแม่นยำในการเก็บตัวอย่างเซลล์
  • การส่องกล้องคอลโปสโคป (Colposcopy): ใช้กล้องขยายตรวจดูความผิดปกติของเซลล์ในบริเวณปากมดลูกอย่างละเอียด
  • การตรวจด้วยกรดอะซิติก (Acetic Acid Test): ใช้สารละลายตรวจหาบริเวณที่เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะกลายเป็นสีขาว

การตรวจเหล่านี้มักใช้ร่วมกันในกรณีที่พบความผิดปกติจากการตรวจครั้งแรก เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา

การรักษาและดูแลผู้ติดเชื้อ HPV 18

แม้ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อ HPV 18 ให้หายขาดได้โดยตรง แต่การรักษามุ่งเน้นไปที่การควบคุมเชื้อและป้องกันไม่ให้พัฒนาเป็นเซลล์ผิดปกติหรือมะเร็ง การดูแลผู้ติดเชื้อจึงต้องอาศัยทั้งการติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและการส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย

แนวทางการรักษาและดูแลประกอบด้วย

  • การตรวจติดตาม: ตรวจแปปสเมียร์และ HPV DNA เป็นระยะเพื่อตรวจหาความผิดปกติของเซลล์อย่างใกล้ชิด
  • การรักษาเซลล์ผิดปกติ: หากพบความผิดปกติ แพทย์อาจพิจารณาการจี้เย็น (Cryotherapy), จี้ไฟฟ้า (LEEP), หรือการตัดชิ้นเนื้อด้วยเลเซอร์
  • การดูแลร่างกาย: รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และงดสูบบุหรี่
  • การใช้ถุงยางอนามัย: เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น
  • ให้ข้อมูลและคำปรึกษา: ผู้ติดเชื้อควรได้รับความรู้และการสนับสนุนทางจิตใจอย่างเหมาะสมจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

การดูแลที่ถูกต้องไม่เพียงลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง แต่ยังช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

วิธีป้องกันการติดเชื้อ HPV 18 อย่างได้ผล

การป้องกันการติดเชื้อ HPV 18 สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพหากมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง การป้องกันสามารถแบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก คือ การฉีดวัคซีน การมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ

  1. การฉีดวัคซีนป้องกัน HPV: วัคซีน HPV เช่น Gardasil 9 มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ได้สูงถึงกว่า 90% ควรฉีดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในวัยรุ่นอายุ 9-14 ปี
  2. พฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย: ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
  3. การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก: ผู้หญิงอายุ 25 ปีขึ้นไป ควรตรวจแปปสเมียร์และ HPV DNA อย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่มีอาการก็ตาม

การป้องกันที่ดีไม่เพียงลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งจาก HPV 18 ได้ในระยะยาว

วัคซีน HPV กับการป้องกันเชื้อสายพันธุ์ 18

วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV Vaccine) คือหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความเสี่ยงจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกชนิด adenocarcinoma

ปัจจุบันมีวัคซีนที่ได้รับการรับรองและใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่:

  • Gardasil 9: ป้องกันเชื้อ HPV ได้ 9 สายพันธุ์ รวมถึงสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็ง
  • Cervarix: มุ่งเน้นป้องกันสายพันธุ์ 16 และ 18 โดยเฉพาะ

การฉีดวัคซีนควรเริ่มตั้งแต่อายุ 9–14 ปี โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็มในระยะเวลา 6 เดือน และสำหรับผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปจะฉีด 3 เข็มภายใน 6 เดือนเช่นกัน

วัคซีนไม่สามารถรักษาผู้ที่ติดเชื้อแล้วได้ แต่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อใหม่ จึงแนะนำให้ฉีดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ และแม้ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังสามารถได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนในระดับหนึ่ง

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับเชื้อ HPV 18 ที่ควรเข้าใจใหม่

การรับรู้เกี่ยวกับเชื้อ HPV 18 ยังมีหลายความเข้าใจผิดที่อาจทำให้ละเลยการป้องกันหรือการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขเพื่อให้เกิดความตระหนักและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

ตัวอย่างของความเชื่อผิดที่พบบ่อย ได้แก่

  • “HPV เป็นโรคของผู้หญิงเท่านั้น” ความจริง: ผู้ชายก็สามารถติดเชื้อ HPV 18 ได้ และมีความเสี่ยงต่อมะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งองคชาติ
  • “ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องตรวจอีก” ความจริง: วัคซีนไม่สามารถป้องกัน HPV ได้ทุกสายพันธุ์ การตรวจคัดกรองยังจำเป็นอย่างยิ่ง
  • “ไม่มีอาการแปลว่าไม่ติดเชื้อ” ความจริง: HPV 18 มักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ยังสามารถแพร่เชื้อและทำให้เซลล์กลายพันธุ์ได้
  • “ติด HPV คือเป็นมะเร็งแน่ๆ” ความจริง: ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อจะพัฒนาเป็นมะเร็ง หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ความเสี่ยงจะลดลงอย่างมาก

การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องคือก้าวแรกของการดูแลสุขภาพตนเองและผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเชื้อ HPV 18

เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนเกี่ยวกับเชื้อ HPV 18 บทนี้ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยจากผู้ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสชนิดนี้ พร้อมคำตอบจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้

  1. Q: เชื้อ HPV 18 ติดต่อกันอย่างไร?
    A: ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการสัมผัสทางผิวหนังกับผู้ที่ติดเชื้อ แม้ไม่ได้มีการสอดใส่โดยตรง
  2. Q: ติด HPV 18 แล้วรักษาหายได้หรือไม่?
    A: ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาดได้โดยตรง แต่ร่างกายส่วนใหญ่สามารถกำจัดเชื้อได้เอง หากมีภูมิคุ้มกันดี
  3. Q: ผู้ชายควรตรวจหา HPV 18 หรือไม่?
    A: แม้การตรวจคัดกรองจะเน้นในผู้หญิง แต่ผู้ชาย โดยเฉพาะชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ควรพิจารณาตรวจหรือรับวัคซีน
  4. Q: ฉีดวัคซีนแล้ว จะยังติด HPV 18 ได้หรือไม่?
    A: วัคซีนมีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่ 100% ดังนั้นยังควรใช้ถุงยางและตรวจคัดกรองตามคำแนะนำแพทย์
  5. Q: ถ้าเคยติด HPV 18 แล้ว จะติดอีกได้ไหม?
    A: สามารถติดซ้ำได้ หากได้รับเชื้อใหม่จากคู่สัมพันธภาพที่ติดเชื้อ และหากภูมิคุ้มกันไม่สามารถจัดการเชื้อเดิมได้

บทสรุป

เชื้อไวรัส HPV 18 เป็นภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่ในร่างกายผู้ติดเชื้อได้เป็นเวลานานโดยไม่แสดงอาการ แต่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ที่นำไปสู่มะเร็งได้ในที่สุด ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับ HPV 18 จึงมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการป้องกัน คัดกรอง และรักษาอย่างทันท่วงที

การฉีดวัคซีน การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำคือวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย

icon email