HPV 18 หรือ Human Papillomavirus สายพันธุ์ที่ 18 คือหนึ่งในไวรัสที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “สายพันธุ์เสี่ยงสูง” (High-risk HPV) เนื่องจากมีศักยภาพในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จนพัฒนาไปสู่โรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะเร็งปากมดลูกชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarcinoma)” ซึ่งพบว่าเชื้อ HPV 18 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
แม้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ และร่างกายอาจสามารถกำจัดเชื้อได้เอง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รู้ตัว การติดเชื้อนี้อาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรงในอนาคตได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ HPV 18 อย่างถูกต้อง ตั้งแต่การติดต่อ อาการ วิธีตรวจ ไปจนถึงการป้องกันและวัคซีน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ข้อมูลด้านสุขภาพมีบทบาทต่อการดูแลชีวิตมากกว่าที่เคย
HPV 18 หรือ Human Papillomavirus Type 18 คือหนึ่งในไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์เสี่ยงสูง ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเกิดมะเร็งปากมดลูกชนิดต่อม (adenocarcinoma) ซึ่งเกิดในเซลล์ต่อมของปากมดลูกที่ตรวจเจอได้ยากกว่ามะเร็งชนิดเซลล์สความัสทั่วไป
ลักษณะสำคัญของการติดเชื้อ HPV 18 คือการไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ และปล่อยให้ไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน ส่งผลให้เชื้อมีโอกาสพัฒนาเป็นเซลล์ผิดปกติหรือกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า HPV 16 และ 18 ร่วมกันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกมากถึง 70% ของผู้ป่วยทั่วโลก ถือเป็นไวรัสที่ควรได้รับการป้องกันและตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
ไวรัสเอชพีวี (HPV) มีมากกว่า 150 สายพันธุ์ย่อย โดยแต่ละสายพันธุ์มีระดับความเสี่ยงต่อร่างกายแตกต่างกัน สายพันธุ์ที่จัดว่าเป็นความเสี่ยงต่ำ (Low-risk HPV) มักก่อให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศหรือผิวหนัง ในขณะที่สายพันธุ์เสี่ยงสูง (High-risk HPV) อย่างเช่น HPV 16 และ 18 มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเซลล์ผิดปกติและกลายเป็นมะเร็งได้
HPV 18 มีความแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นในหลายด้าน โดยเฉพาะความเชื่อมโยงกับมะเร็งชนิดต่อม (adenocarcinoma) ซึ่งตรวจพบได้ยากกว่ามะเร็งชนิด squamous cell ที่มักเกิดจากสายพันธุ์ HPV 16 และสามารถตรวจเจอได้ง่ายกว่าในการตรวจแปปสเมียร์ทั่วไป ความสามารถของ HPV 18 ในการพัฒนาเซลล์ผิดปกติแบบลึกจึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง
อีกหนึ่งจุดต่างคือพฤติกรรมของเชื้อ HPV 18 ที่มักไม่แสดงอาการภายนอก เช่น หูดหรือรอยโรคที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ทำให้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่รู้ตัวและไม่ได้รับการรักษาจนกว่าเชื้อจะลุกลามเป็นระยะก่อนมะเร็งหรือมะเร็งแล้ว
เชื้อไวรัส HPV 18 สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่หรือไม่สอดใส่ก็สามารถแพร่เชื้อได้ ทั้งในช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก รวมถึงการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศที่มีเชื้ออยู่ แม้ไม่มีรอยโรคชัดเจนก็ตาม
ความน่ากังวลคือ HPV 18 สามารถติดต่อได้แม้ในกรณีที่ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการหรือรอยโรคใด ๆ ให้เห็น โดยเฉพาะในช่วงระยะแฝงที่ไวรัสยังไม่แสดงอาการทางคลินิก แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้
นอกจากนี้ ยังมีรายงานการติดเชื้อผ่านการคลอดในผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อ HPV โดยทารกอาจได้รับเชื้อผ่านทางช่องคลอดขณะคลอด แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้น้อยแต่ก็ถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
เมื่อเชื้อ HPV 18 เข้าสู่ร่างกาย มันสามารถแทรกตัวเข้าสู่เซลล์เยื่อบุบริเวณปากมดลูก และเริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของเซลล์ ภายในดีเอ็นเอของไวรัสจะมียีนชนิดพิเศษ เช่น E6 และ E7 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรบกวนการทำงานของยีนควบคุมเซลล์ของร่างกายอย่าง p53 และ Rb (Retinoblastoma protein)
E6 จะจับกับโปรตีน p53 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการแบ่งตัวและการตายของเซลล์ หากโปรตีนนี้ถูกทำลาย เซลล์ที่มีความผิดปกติจะไม่สามารถถูกกำจัดออกตามกลไกธรรมชาติ ขณะที่ E7 จะจับกับโปรตีน Rb ทำให้เซลล์สามารถแบ่งตัวได้โดยไร้การควบคุม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเกิดเซลล์มะเร็ง
การติดเชื้อ HPV 18 อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในร่างกายที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ไวรัสจะสร้างความผิดปกติแบบถาวรในเซลล์ และพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด
แม้เชื้อ HPV 18 สามารถติดต่อได้ในทุกเพศทุกวัย แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อหรือพัฒนาเป็นโรคมะเร็งจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งได้แก่
การรู้ว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีความสำคัญ เพราะสามารถช่วยให้เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งหรือรับวัคซีนป้องกันได้อย่างทันท่วงที
การติดเชื้อ HPV 18 มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ จึงมีโอกาสแพร่กระจายต่อหรือปล่อยให้เชื้อพัฒนาไปสู่ระยะก่อนมะเร็งหรือมะเร็งโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม อาจมีบางอาการที่สามารถสังเกตได้ โดยเฉพาะเมื่อเชื้อเริ่มสร้างความผิดปกติในเนื้อเยื่อ เช่น
อาการเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็น HPV 18 เสมอไป แต่หากมีความเสี่ยงและพบอาการข้างต้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
การตรวจหาเชื้อ HPV 18 อย่างแม่นยำมีความสำคัญต่อการเฝ้าระวังและป้องกันมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ปัจจุบันมีวิธีการตรวจวินิจฉัยหลายแบบที่ช่วยตรวจพบเชื้อ HPV ได้ทั้งในระยะก่อนแสดงอาการและระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์แล้ว ได้แก่
การตรวจเหล่านี้มักใช้ร่วมกันในกรณีที่พบความผิดปกติจากการตรวจครั้งแรก เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
แม้ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อ HPV 18 ให้หายขาดได้โดยตรง แต่การรักษามุ่งเน้นไปที่การควบคุมเชื้อและป้องกันไม่ให้พัฒนาเป็นเซลล์ผิดปกติหรือมะเร็ง การดูแลผู้ติดเชื้อจึงต้องอาศัยทั้งการติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและการส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย
แนวทางการรักษาและดูแลประกอบด้วย
การดูแลที่ถูกต้องไม่เพียงลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง แต่ยังช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
การป้องกันการติดเชื้อ HPV 18 สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพหากมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง การป้องกันสามารถแบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก คือ การฉีดวัคซีน การมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
การป้องกันที่ดีไม่เพียงลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งจาก HPV 18 ได้ในระยะยาว
วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV Vaccine) คือหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความเสี่ยงจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกชนิด adenocarcinoma
ปัจจุบันมีวัคซีนที่ได้รับการรับรองและใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่:
การฉีดวัคซีนควรเริ่มตั้งแต่อายุ 9–14 ปี โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็มในระยะเวลา 6 เดือน และสำหรับผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปจะฉีด 3 เข็มภายใน 6 เดือนเช่นกัน
วัคซีนไม่สามารถรักษาผู้ที่ติดเชื้อแล้วได้ แต่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อใหม่ จึงแนะนำให้ฉีดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ และแม้ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังสามารถได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนในระดับหนึ่ง
การรับรู้เกี่ยวกับเชื้อ HPV 18 ยังมีหลายความเข้าใจผิดที่อาจทำให้ละเลยการป้องกันหรือการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขเพื่อให้เกิดความตระหนักและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม
ตัวอย่างของความเชื่อผิดที่พบบ่อย ได้แก่
การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องคือก้าวแรกของการดูแลสุขภาพตนเองและผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนเกี่ยวกับเชื้อ HPV 18 บทนี้ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยจากผู้ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัสชนิดนี้ พร้อมคำตอบจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้
เชื้อไวรัส HPV 18 เป็นภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่ในร่างกายผู้ติดเชื้อได้เป็นเวลานานโดยไม่แสดงอาการ แต่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ที่นำไปสู่มะเร็งได้ในที่สุด ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับ HPV 18 จึงมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการป้องกัน คัดกรอง และรักษาอย่างทันท่วงที
การฉีดวัคซีน การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำคือวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้