เชื้อเอชพีวี (HPV) เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดชนิดหนึ่งในคน และสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางเพศ แม้ในคู่รักที่ดูสุขภาพดี เชื้อนี้มีมากกว่าร้อยสายพันธุ์ แต่มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะ HPV16 และ HPV18 ที่แพทย์ทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
ทั้งสองสายพันธุ์นี้คือสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกกว่า 70% และยังเกี่ยวข้องกับมะเร็งในอวัยวะอื่น เช่น ช่องปาก คอหอย ทวารหนัก และอวัยวะเพศชาย ความน่ากลัวของมันคือ เชื้อมักไม่แสดงอาการ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้ออยู่ในร่างกาย
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า ทำไม HPV16 และ HPV18 ถึงอันตรายกว่าสายพันธุ์อื่น, มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดใดบ้าง และเราจะสามารถตรวจหรือป้องกันได้อย่างไร เพื่อช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในระยะยาว
เชื้อเอชพีวี (HPV: Human Papillomavirus) เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัส และพบได้ทั่วไปในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ปัจจุบันมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่มีศักยภาพทำให้เซลล์ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงจนพัฒนาเป็นมะเร็งได้
สายพันธุ์ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ความเสี่ยงสูง” คือ HPV 16 และ HPV 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกกว่า 70% ของผู้ป่วยทั่วโลก และยังเกี่ยวข้องกับมะเร็งในบริเวณอื่น เช่น ช่องปาก คอหอย ทวารหนัก และอวัยวะเพศชายด้วย
จุดสำคัญคือ การติดเชื้อจากสายพันธุ์เหล่านี้มักไม่แสดงอาการ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จึงไม่รู้ตัว ทำให้เชื้ออยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานาน และอาจค่อย ๆ ทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว
เชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “สายพันธุ์เสี่ยงสูง” เพราะไวรัสมีความสามารถในการแทรกตัวเข้าไปในสารพันธุกรรมของเซลล์มนุษย์ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย โปรตีนชนิดพิเศษของไวรัสที่เรียกว่า E6 และ E7 จะเข้าไปรบกวนการทำงานของยีนควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์
โปรตีน E6 มีบทบาทในการยับยั้งการทำงานของ ยีน p53 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้เซลล์ที่เสียหายหยุดแบ่งตัวหรือทำลายตัวเอง ส่วนโปรตีน E7 จะยับยั้ง ยีน Rb (Retinoblastoma protein) ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ เมื่อยีนทั้งสองถูกยับยั้งพร้อมกัน เซลล์จะเริ่มแบ่งตัวผิดปกติและอาจกลายพันธุ์เป็นมะเร็งในที่สุด
กระบวนการนี้ไม่เกิดขึ้นทันที แต่ใช้เวลาหลายปี โดยเชื้อจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเซลล์ในชั้นเยื่อบุ ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมมะเร็งจาก HPV มักเกิดขึ้นแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” และตรวจไม่พบในระยะแรก
เชื้อ HPV 16 และ HPV 18 เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก ซึ่งพบว่าสายพันธุ์ทั้งสองนี้เป็นต้นเหตุของมากกว่า 70% ของผู้ป่วยทั่วโลก ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
ในผู้หญิง เชื้อ HPV 16 มักสัมพันธ์กับ มะเร็งปากมดลูกชนิดเซลล์สความัส (Squamous Cell Carcinoma) ส่วน HPV 18 มักพบใน มะเร็งต่อมของปากมดลูก (Adenocarcinoma) ซึ่งตรวจเจอได้ยากกว่า นอกจากนี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งช่องคลอดและมะเร็งอวัยวะเพศภายนอกอีกด้วย
สำหรับผู้ชาย สายพันธุ์ HPV 16 พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ มะเร็งคอหอยและช่องปาก, มะเร็งทวารหนัก, และ มะเร็งองคชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อที่ยาวนานและไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง
ตารางด้านล่างคือภาพรวมของโรคที่สัมพันธ์กับสายพันธุ์ทั้งสอง:
|
อวัยวะ / บริเวณที่เกิดโรค |
สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง |
เพศที่พบ |
ประเภทของมะเร็งที่สัมพันธ์ |
|---|---|---|---|
|
ปากมดลูก |
HPV16, HPV18 |
พบเฉพาะเพศหญิง |
Squamous Cell, Adenocarcinoma |
|
ช่องคลอด / ปากช่องคลอด |
HPV16, HPV18 |
พบเฉพาะเพศหญิง |
Squamous Cell Carcinoma |
|
ช่องปาก / คอหอย |
HPV16 |
ชาย > หญิง |
Oropharyngeal Cancer |
|
ทวารหนัก |
HPV16 |
ทั้งสองเพศ |
Anal Cancer |
|
องคชาติ |
HPV16 |
พบเฉพาะเพศชาย |
Penile Cancer |
เชื้อทั้งสองชนิดนี้จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังมะเร็งจาก HPV เกือบทั้งหมด ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย การตรวจและป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ยังไม่มีอาการ
เชื้อ HPV18 มักทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกชนิด adenocarcinoma ซึ่งเริ่มต้นจาก “เซลล์ต่อม” ที่อยู่ลึกในช่องปากมดลูก แตกต่างจากมะเร็งชนิดสความัสที่เกิดบนผิวเยื่อบุด้านนอก ทำให้การตรวจด้วย Pap smear แบบทั่วไปอาจไม่สามารถเก็บเซลล์จากบริเวณลึกนี้ได้ครบถ้วน
นอกจากนี้ adenocarcinoma ยังมีลักษณะเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงช้า และไม่แสดงความผิดปกติชัดเจนในระยะต้น ผลตรวจ Pap smear จึงอาจออกมาว่า “ปกติ” ทั้งที่มีเชื้อ HPV18 อยู่ในเนื้อเยื่อแล้ว
ปัจจุบันแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำให้ใช้การตรวจ HPV DNA test หรือ Co-testing (Pap + HPV DNA) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เคยมีผล Pap smear ปกติแต่ยังมีความเสี่ยงสูง
แม้เชื้อเอชพีวีจะถูกพูดถึงบ่อยในผู้หญิง แต่ในความเป็นจริง ผู้ชายก็สามารถติดเชื้อ HPV16 ได้เช่นกัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 30–55 ปี ที่มีพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์หลายรูปแบบหรือไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
ในผู้ชาย เชื้อ HPV16 มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ มะเร็งช่องปากและคอหอย (Oropharyngeal Cancer) ซึ่งเป็นชนิดของมะเร็งที่พบมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า กว่า 90% ของมะเร็งคอหอยที่มีการตรวจพบเชื้อ HPV จะเป็นสายพันธุ์ 16 นอกจากนี้ยังพบความเกี่ยวข้องกับมะเร็งทวารหนักและมะเร็งองคชาติด้วย
สิ่งที่ทำให้เชื้อ HPV16 น่ากังวลในผู้ชาย คือมักไม่ก่อให้เกิดอาการหรือรอยโรคชัดเจนเหมือนในผู้หญิง การติดเชื้อจึงมักไม่ได้รับการตรวจพบจนกว่าจะเริ่มเกิดอาการ เช่น เจ็บคอเรื้อรัง กลืนลำบาก หรือคลำพบก้อนที่ลำคอ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในระยะเริ่มต้นของมะเร็ง
โดยทั่วไป ร่างกายของคนส่วนใหญ่สามารถกำจัดเชื้อเอชพีวีได้เองภายในเวลา 1–2 ปี หลังติดเชื้อ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง การติดเชื้อในช่วงแรกมักไม่ก่อให้เกิดอาการ และในหลายกรณีเชื้อจะหายไปเองโดยไม่ต้องรักษาเฉพาะทาง
อย่างไรก็ตาม เชื้อ HPV16 และ HPV18 มีแนวโน้มอยู่ในร่างกายได้นานกว่าสายพันธุ์อื่น และอาจคงอยู่ในรูปแบบ “การติดเชื้อเรื้อรัง (persistent infection)” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยโรคระดับสูง หรือมะเร็งในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปี หรือผู้ที่สูบบุหรี่และมีภูมิคุ้มกันต่ำ
ดังนั้น แม้เชื้อบางส่วนอาจหายได้เอง แต่ก็ไม่สามารถรู้แน่ชัดว่าใครจะกำจัดเชื้อได้หมด การตรวจคัดกรองและติดตามผลจึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจาก HPV
วัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวีถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด โดยเฉพาะ HPV16 และ HPV18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกกว่า 70% ทั่วโลก ปัจจุบันวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทย เช่น Cervarix (2 สายพันธุ์) และ Gardasil / Gardasil-9 (4 และ 9 สายพันธุ์) ต่างมีความสามารถในการป้องกันเชื้อ 16 และ 18 ได้โดยตรง
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) พบว่า การฉีดวัคซีนครบตามกำหนดสามารถลดอัตราการติดเชื้อ HPV16 และ 18 ได้มากกว่า 90% และช่วยลดความชุกของรอยโรคระดับสูง (CIN2/3) ที่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีนัยสำคัญ
วัคซีนนี้ยังให้ประโยชน์ทางอ้อมแก่ผู้ชายด้วย เพราะสามารถลดโอกาสการติดเชื้อ HPV16 ที่สัมพันธ์กับมะเร็งคอหอย ทวารหนัก และองคชาติได้ด้วย แม้ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับช่วงอายุและภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล แต่การฉีดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์จะให้ผลดีที่สุด
ในปี 2025 แนวทางคัดกรองและป้องกันเชื้อเอชพีวีได้รับการปรับปรุงให้เหมาะกับแต่ละช่วงอายุและความเสี่ยงของแต่ละคนมากขึ้น โดยแพทย์แนะนำให้ ผู้หญิงทุกคนอายุ 25 ปีขึ้นไป เริ่มตรวจคัดกรองเชื้อเอชพีวีเป็นประจำ แม้ไม่มีอาการหรือเคยมีผลตรวจปกติก็ตาม
การตรวจหลักในปัจจุบันคือ HPV DNA Test ซึ่งสามารถตรวจหาเชื้อได้โดยตรงจากสารพันธุกรรมของไวรัส และมีความแม่นยำกว่าการทำ Pap smear แบบเดิม นอกจากนี้ยังมีการใช้วิธี Co-testing (Pap + HPV DNA) เพื่อเพิ่มความครอบคลุมในกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เคยมีผลตรวจผิดปกติในอดีต
ในส่วนของการฉีดวัคซีน แนะนำให้เริ่มตั้งแต่อายุ 9–26 ปี เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด โดยสามารถฉีดได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 26 ปี ยังสามารถฉีดได้หากยังไม่เคยติดเชื้อ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมและจำนวนเข็มที่ต้องใช้
เชื้อ HPV 16 และ HPV 18 คือสาเหตุสำคัญของมะเร็งหลายชนิด ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แม้เชื้อส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง แต่สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้มีแนวโน้มอยู่ในร่างกายได้นาน และค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเซลล์โดยไม่แสดงอาการ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวจนตรวจพบในระยะลุกลาม
การรู้เท่าทันและตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด การฉีดวัคซีน HPV ช่วยลดโอกาสติดเชื้อและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การตรวจ HPV DNA จะช่วยให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
หากคุณยังไม่เคยตรวจหาเชื้อ HPV หรือยังไม่แน่ใจว่าควรฉีดวัคซีนหรือไม่ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางคือจุดเริ่มต้นที่ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุด เพราะการป้องกันตั้งแต่วันนี้…อาจหมายถึงการหลีกเลี่ยงมะเร็งในวันหน้าได้จริง
ไม่แน่เสมอไปค่ะ เพราะเชื้อ HPV18 มักทำให้เกิดมะเร็งชนิดต่อม (adenocarcinoma) ซึ่งอยู่ลึกในช่องปากมดลูก ทำให้การตรวจ Pap smear แบบทั่วไปอาจไม่สามารถเก็บเซลล์จากบริเวณนี้ได้ครบ การตรวจ HPV DNA จึงช่วยยืนยันผลได้แม่นยำกว่ามาก
ได้ครับ โดยเฉพาะมะเร็งคอหอย ช่องปาก และทวารหนัก ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับเชื้อ HPV16 ปัจจุบันพบว่ามะเร็งคอหอยจาก HPV ในผู้ชายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงควรตรวจเช็กเมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บคอเรื้อรังหรือกลืนลำบาก
ในหลายกรณี ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เองภายใน 1–2 ปี แต่หากเชื้อยังคงอยู่ในร่างกายเกิน 2 ปี จะถือว่าเป็น “การติดเชื้อเรื้อรัง” ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสเกิดเซลล์ผิดปกติหรือมะเร็งได้ จำเป็นต้องติดตามผลกับแพทย์อย่างใกล้ชิด
วัคซีน HPV ป้องกันได้เฉพาะสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะ HPV16 และ HPV18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก และในวัคซีนรุ่นใหม่ (เช่น Gardasil 9) ยังป้องกันสายพันธุ์อื่นที่มีความเสี่ยงรองลงมาได้เพิ่มเติม
แพทย์แนะนำให้ตรวจคัดกรองทุก 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับอายุและผลการตรวจครั้งก่อน หากเคยมีผลผิดปกติ ควรตรวจบ่อยขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้