โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) อาจยังไม่เป็นชื่อที่คุ้นหูนักในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการพบเชื้อนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเพศชายและหญิง โดยเฉพาะในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และที่น่ากังวลคือ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใด ๆ เลย ทำให้ตรวจพบได้ยาก และเสี่ยงแพร่เชื้อต่อโดยไม่รู้ตัว
บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับ MG อย่างครบถ้วน ทั้งวิธีติดต่อ อาการ การตรวจ การรักษา และวิธีป้องกัน พร้อมอัปเดตข้อมูลล่าสุดที่คุณควรรู้ เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น
โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) คือหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย โดยมีลักษณะพิเศษคือเชื้อนี้มีขนาดเล็กมากและไม่มีผนังเซลล์ จึงทนต่อยาปฏิชีวนะบางชนิด และอาจทำให้การรักษายากขึ้นหากไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก
เชื้อนี้สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือการสัมผัสเยื่อเมือกบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง และอาจทำให้เกิดการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ เช่น ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก รวมถึงท่อนำไข่และลูกอัณฑะ
จุดที่ทำให้โรคนี้มีความซับซ้อน คือผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีอาการใด ๆ จึงมักไม่รู้ตัวว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย และยังสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้โรคนี้เริ่มถูกจับตามองมากขึ้นในวงการแพทย์ทั่วโลก
ผู้ที่ติดเชื้อไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม (Mycoplasma Genitalium) อาจมีอาการที่คล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ โดยเฉพาะหนองในเทียม เช่น อาการปัสสาวะแสบขัด ตกขาวผิดปกติ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลคือ บางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
ข้อสังเกต: แม้อาการจะไม่รุนแรงหรือไม่แสดงเลย แต่หากไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะมีบุตรยาก การอักเสบเรื้อรังของอวัยวะสืบพันธุ์ หรือการติดเชื้อกระจายสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้
โรคไมโคพลาสมาเจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสกับเยื่อเมือกบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น:
สิ่งที่ควรตระหนักคือ ผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ ยังสามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่มีการป้องกันระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เช่น การไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีคู่นอนหลายคน
ติดต่อได้จากเพศสัมพันธ์ทุกเพศ ทุกทาง: ไม่ว่าจะเป็นชาย-หญิง ชาย-ชาย หรือหญิง-หญิง หากมีการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือเยื่อเมือกที่ติดเชื้อ ก็มีโอกาสแพร่เชื้อได้ทั้งหมด
การวินิจฉัยโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) ต้องอาศัยการตรวจเฉพาะทาง เพราะไม่สามารถพบเชื้อได้จากการตรวจปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งทั่วไปเหมือนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด
ตรวจด้วย NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการตรวจหา DNA ของเชื้อ MG จากตัวอย่างที่เก็บจากบริเวณที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ
แพทย์จะพิจารณาเลือกบริเวณตรวจตามลักษณะอาการหรือประวัติความเสี่ยงของผู้ป่วย
สามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 1 สัปดาห์หลังสัมผัสโรค แต่หากเพิ่งติดเชื้อไม่นาน อาจยังไม่สามารถตรวจเจอได้ จึงควรรออย่างน้อย 7 วันหลังเสี่ยง
เชื้อนี้ต้องอาศัยเทคนิคการตรวจเฉพาะที่เรียกว่า NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) ในการตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อ จึงจะยืนยันการติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ
ดังนั้น หากมีอาการหรือประวัติเสี่ยง แต่ผลตรวจ STI ปกติ ควรถามแพทย์ว่า ชุดตรวจนั้นรวม MG หรือไม่ เพราะหากไม่ตรวจเฉพาะ อาจพลาดการวินิจฉัยได้
แนะนำ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบ, ตกขาวผิดปกติ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่ผลตรวจ STI เป็นลบ ควรพิจารณาตรวจหา MG โดยตรง
การรักษาโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมกับเชื้อนี้โดยเฉพาะ เพราะ MG มีแนวโน้ม “ดื้อยา” มากขึ้นเรื่อย ๆ หากรักษาด้วยยาทั่วไปแบบเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น อาจไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมด
แพทย์อาจเลือกแนวทางรักษาตามความรุนแรงของอาการ หรือผลการตรวจเชื้อ รวมถึงพิจารณาความเสี่ยงต่อการดื้อยา
ข้อควรระวัง
หลังรักษาเสร็จควรตรวจซ้ำประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดจริง และไม่มีการติดเชื้อซ้ำจากคู่นอน
หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญของการรักษาโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) คือการที่เชื้อนี้เริ่ม ดื้อยาปฏิชีวนะ หลายชนิด โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก หรือหยุดยาเองก่อนครบคอร์ส
เชื้อ MG มีลักษณะพิเศษคือไม่มีผนังเซลล์ ทำให้ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม เช่น เพนิซิลลิน ใช้ไม่ได้ และต้องใช้ยาเฉพาะทาง เช่น Doxycycline หรือ Moxifloxacin ซึ่งหากเชื้อดื้อยาเหล่านี้ อาจต้องใช้ยาทางเลือกที่มีผลข้างเคียงมากขึ้น หรือไม่สามารถรักษาให้หายได้ในบางราย
สิ่งสำคัญ: อย่าลืมว่าการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่ม และตรวจซ้ำหลังรักษา คือกุญแจในการลดโอกาสเกิดเชื้อดื้อยาในระยะยาว
หลายคนเข้าใจว่าหากเคยติดเชื้อไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) แล้วรักษาหาย จะไม่กลับมาติดซ้ำอีก แต่ในความเป็นจริงคือ สามารถติดซ้ำได้ หากมีพฤติกรรมเสี่ยงหลังจากการรักษา
MG ไม่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันถาวรในร่างกาย หมายความว่า หากคุณหรือคู่นอนยังคงมีเชื้ออยู่ หรือหากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน ก็มีโอกาสติดซ้ำได้เทียบเท่ากับการติดครั้งแรก
ข้อแนะนำ: หลังรักษา MG ควรตรวจซ้ำหลังผ่านไป 3–4 สัปดาห์ และพาคู่นอนมาตรวจพร้อมกันเสมอ เพื่อป้องกันการ “วนลูปติดเชื้อซ้ำ”
โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) อาจดูเหมือนโรคทั่วไปในกลุ่มติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา หรือวินิจฉัยล่าช้า เชื้อนี้สามารถ ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อระบบสืบพันธุ์ และสุขภาพระยะยาวได้
อย่าละเลยแม้ไม่มีอาการ: เพราะ MG สามารถทำลายระบบสืบพันธุ์แบบเงียบ ๆ หากตรวจไม่เจอหรือละเลยการรักษา
โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) และโรคหนองในเทียม (Chlamydia trachomatis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มี อาการใกล้เคียงกันมาก จนทำให้เข้าใจผิดหรือวินิจฉัยสลับกันได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่มีอาการ
หัวข้อ |
MG (Mycoplasma genitalium) |
หนองในเทียม (Chlamydia) |
---|---|---|
ชนิดของเชื้อ |
แบคทีเรียไม่มีผนังเซลล์ |
แบคทีเรียทั่วไป |
ความยากในการตรวจพบ |
ต้องตรวจเฉพาะ NAAT |
ตรวจเจอในชุดตรวจ STI ทั่วไป |
การดื้อยา |
ดื้อยาสูงขึ้นเรื่อย ๆ |
ยังตอบสนองต่อยาทั่วไปได้ดีในหลายกรณี |
การรับรู้ในวงการแพทย์ |
เพิ่งเริ่มได้รับการยอมรับแพร่หลาย |
เป็นโรคที่รู้จักและตรวจคัดกรองได้แพร่หลาย |
หมายเหตุ: แม้อาการจะคล้ายกันมาก แต่ MG ต้องใช้การตรวจและการรักษาเฉพาะทาง หากสงสัยว่าติดโรคควรแจ้งแพทย์โดยตรงว่าต้องการตรวจ “Mycoplasma genitalium” ด้วย
โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) เป็นโรคที่อาจไม่มีอาการ แต่สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้หากไม่รักษา วิธีป้องกันที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่แค่การรักษาเท่านั้น แต่คือ การลดโอกาสเสี่ยงตั้งแต่แรก
ความรับผิดชอบร่วมกัน: หากพบว่าตนเองมีเชื้อ ควรแจ้งคู่นอนเพื่อให้มาตรวจและรักษาพร้อมกัน เพื่อไม่ให้กลับมาติดเชื้อซ้ำอีกครั้ง
เชื้อไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) เป็นหนึ่งในเชื้อที่สามารถก่อให้เกิด ปัญหาระบบสืบพันธุ์ ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในเพศหญิง เชื้อนี้อาจมีผลต่อการตั้งครรภ์และสุขภาพของทารกในครรภ์
นอกจากนี้ เชื้อ MG ยังสามารถส่งผลทางอ้อมต่อภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในมดลูกหรือท่อนำไข่
ข้อควรระวัง: หญิงที่วางแผนมีบุตรหรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ควรตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์อย่างละเอียด และแจ้งแพทย์หากมีประวัติติดเชื้อ MG มาก่อน
แม้โรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) จะยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนักในหมู่ประชาชนทั่วไป แต่จำนวนผู้ติดเชื้อกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ปัญหาสำคัญคือ หลายคนลังเลที่จะเข้ารับการตรวจเพราะ กลัวอาย หรือกลัวถูกตีตรา ว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งที่จริงแล้วปัจจุบันมีคลินิกและสถานพยาบาลจำนวนมากที่ให้บริการตรวจแบบเป็นส่วนตัว และไม่จำเป็นต้องแจ้งชื่อหากไม่ต้องการ
หลายแห่งเปิดให้ จองคิวออนไลน์ ไม่ต้องใช้ชื่อจริง และสามารถขอรับผลทางอีเมล/โทรศัพท์ เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด
แนะนำ: เลือกสถานที่ที่มีบริการ “NAAT สำหรับ MG โดยเฉพาะ” เพราะชุดตรวจทั่วไปอาจไม่ครอบคลุม
หลายคนอาจลังเลที่จะตรวจโรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) เพราะไม่แน่ใจเรื่อง ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเมื่อการตรวจ MG ต้องใช้ชุดตรวจเฉพาะที่ต่างจากการตรวจ STI ทั่วไป
รายการ |
ช่วงราคาประมาณ (บาท) |
---|---|
ตรวจหาเชื้อ MG ด้วย NAAT |
3,500 |
ค่าตรวจ STI รวมหลายชนิด |
3,200 – 6900 |
ค่าพบแพทย์ (บางแห่งอาจรวมแล้ว) |
600 |
ค่ายาปฏิชีวนะ (Doxycycline + Moxifloxacin) |
350 – 1,500 |
หมายเหตุ: ราคาอาจแตกต่างกันในแต่ละคลินิก หรือขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนของผลตรวจ
คำแนะนำ: อย่าให้ “ความไม่แน่ใจเรื่องราคา” เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณละเลยการตรวจ เพราะการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ประหยัดกว่าและปลอดภัยกว่ามาก
ต้องงดอะไรบ้างก่อนตรวจ MG?
ควรงดปัสสาวะอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนเก็บตัวอย่าง และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ 24–48 ชม. ก่อนตรวจ
โรคนี้รักษาหายขาดหรือไม่?
สามารถรักษาหายได้ด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม หากรักษาครบคอร์สและตรวจซ้ำหลังจบการรักษา
ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ ต้องรักษาไหม?
ต้องรักษา เพราะสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่น และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้
ตรวจ STI ปกติรวม MG ไหม?
ไม่เสมอไป ควรสอบถามแพทย์หรือคลินิกว่ารวมการตรวจ MG ด้วยหรือไม่ เพราะต้องใช้ชุดตรวจเฉพาะ
ใช้ถุงยางอนามัยช่วยป้องกัน MG ได้ 100% ไหม?
ไม่ 100% แต่ลดความเสี่ยงได้มาก ควรใช้ทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
MG ติดจากปากได้ไหม?
ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า MG ติดทางปากหรือลำคอ แต่ควรระมัดระวังไว้เสมอ
แม้โรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม จะเป็นโรคที่ไม่ค่อยมีอาการแสดง แต่ก็ไม่ควรละเลย เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ภาวะมีบุตรยาก การอักเสบเรื้อรัง หรือการติดเชื้อซ้ำแบบไม่รู้ตัว การตรวจและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ คือหัวใจสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างปลอดภัย
หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือยังไม่แน่ใจว่าชุดตรวจ STI ของคุณรวมการตรวจ MG หรือไม่ ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ หรือติดต่อคลินิกที่เชี่ยวชาญ เพื่อความชัดเจนและการรักษาที่ตรงจุด