Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 - 20:30

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม เช็กด่วน! คุณอาจติดเชื้อแบบไม่รู้ตัว?

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) อาจยังไม่เป็นชื่อที่คุ้นหูนักในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการพบเชื้อนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเพศชายและหญิง โดยเฉพาะในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และที่น่ากังวลคือ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใด ๆ เลย ทำให้ตรวจพบได้ยาก และเสี่ยงแพร่เชื้อต่อโดยไม่รู้ตัว

บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับ MG อย่างครบถ้วน ทั้งวิธีติดต่อ อาการ การตรวจ การรักษา และวิธีป้องกัน พร้อมอัปเดตข้อมูลล่าสุดที่คุณควรรู้ เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม คืออะไร?

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) คือหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย โดยมีลักษณะพิเศษคือเชื้อนี้มีขนาดเล็กมากและไม่มีผนังเซลล์ จึงทนต่อยาปฏิชีวนะบางชนิด และอาจทำให้การรักษายากขึ้นหากไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก

เชื้อนี้สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือการสัมผัสเยื่อเมือกบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง และอาจทำให้เกิดการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ เช่น ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก รวมถึงท่อนำไข่และลูกอัณฑะ

จุดที่ทำให้โรคนี้มีความซับซ้อน คือผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีอาการใด ๆ จึงมักไม่รู้ตัวว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย และยังสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้โรคนี้เริ่มถูกจับตามองมากขึ้นในวงการแพทย์ทั่วโลก

อาการของโรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม มีอะไรบ้าง?

ผู้ที่ติดเชื้อไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม (Mycoplasma Genitalium) อาจมีอาการที่คล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ โดยเฉพาะหนองในเทียม เช่น อาการปัสสาวะแสบขัด ตกขาวผิดปกติ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลคือ บางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

อาการในเพศหญิง

  • ปวดแสบขณะปัสสาวะ
  • ตกขาวผิดปกติ หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ปวดท้องน้อยคล้ายปวดประจำเดือน
  • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • กรณีรุนแรงอาจทำให้ปากมดลูกหรือมดลูกอักเสบ

อาการในเพศชาย

  • ปัสสาวะแสบขัด หรือคันบริเวณท่อปัสสาวะ
  • ของเหลวผิดปกติไหลออกจากปลายองคชาติ
  • ลูกอัณฑะอักเสบ หรือรู้สึกปวดบวมที่ถุงอัณฑะ

อาการทางทวารหนัก (ในบางราย)

  • เจ็บหรือรู้สึกไม่สบายขณะถ่ายอุจจาระ หากติดเชื้อบริเวณทวารหนัก

ข้อสังเกต: แม้อาการจะไม่รุนแรงหรือไม่แสดงเลย แต่หากไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะมีบุตรยาก การอักเสบเรื้อรังของอวัยวะสืบพันธุ์ หรือการติดเชื้อกระจายสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม ติดต่อได้อย่างไร?

โรคไมโคพลาสมาเจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสกับเยื่อเมือกบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น:

  • การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด
  • การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • การสัมผัสกับของเหลวในระบบสืบพันธุ์ของผู้ที่มีเชื้อ เช่น น้ำอสุจิ หรือตกขาว
  • ในบางกรณีอาจแพร่เชื้อได้ผ่านการสัมผัสเยื่อเมือกที่ตา หากมีการสัมผัสสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ

สิ่งที่ควรตระหนักคือ ผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ ยังสามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่มีการป้องกันระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เช่น การไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีคู่นอนหลายคน

ติดต่อได้จากเพศสัมพันธ์ทุกเพศ ทุกทาง: ไม่ว่าจะเป็นชาย-หญิง ชาย-ชาย หรือหญิง-หญิง หากมีการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือเยื่อเมือกที่ติดเชื้อ ก็มีโอกาสแพร่เชื้อได้ทั้งหมด

การตรวจหาโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม ทำอย่างไร?

การวินิจฉัยโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) ต้องอาศัยการตรวจเฉพาะทาง เพราะไม่สามารถพบเชื้อได้จากการตรวจปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งทั่วไปเหมือนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด

วิธีการตรวจ

ตรวจด้วย NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการตรวจหา DNA ของเชื้อ MG จากตัวอย่างที่เก็บจากบริเวณที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ

ตัวอย่างบริเวณที่เก็บสิ่งส่งตรวจ

  • เพศชาย: ปัสสาวะ หรือเก็บตัวอย่างจากท่อปัสสาวะ
  • เพศหญิง: เก็บสารคัดหลั่งจากช่องคลอดหรือปากมดลูก
  • ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางทวารหนัก: เก็บตัวอย่างจากทวารหนัก

แพทย์จะพิจารณาเลือกบริเวณตรวจตามลักษณะอาการหรือประวัติความเสี่ยงของผู้ป่วย

เมื่อไหร่ควรตรวจ?

สามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 1 สัปดาห์หลังสัมผัสโรค แต่หากเพิ่งติดเชื้อไม่นาน อาจยังไม่สามารถตรวจเจอได้ จึงควรรออย่างน้อย 7 วันหลังเสี่ยง

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม ตรวจไม่เจอจากการตรวจทั่วไป จริงไหม?

เชื้อนี้ต้องอาศัยเทคนิคการตรวจเฉพาะที่เรียกว่า NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) ในการตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อ จึงจะยืนยันการติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ

การตรวจทั่วไปที่ “ไม่เจอเชื้อ MG” เช่น

  • ตรวจปัสสาวะทั่วไป (Urinalysis)
  • ตรวจน้ำเชื้อแบบเบื้องต้น
  • ตรวจ STI panel ที่ไม่รวม MG

ดังนั้น หากมีอาการหรือประวัติเสี่ยง แต่ผลตรวจ STI ปกติ ควรถามแพทย์ว่า ชุดตรวจนั้นรวม MG หรือไม่ เพราะหากไม่ตรวจเฉพาะ อาจพลาดการวินิจฉัยได้

แนะนำ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบ, ตกขาวผิดปกติ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่ผลตรวจ STI เป็นลบ ควรพิจารณาตรวจหา MG โดยตรง

การรักษาโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม มีวิธีใดบ้าง?

การรักษาโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมกับเชื้อนี้โดยเฉพาะ เพราะ MG มีแนวโน้ม “ดื้อยา” มากขึ้นเรื่อย ๆ หากรักษาด้วยยาทั่วไปแบบเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น อาจไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมด

แนวทางการรักษาปัจจุบัน

  1. เริ่มด้วยยา Doxycycline (ด็อกซีไซคลิน) เป็นเวลา 7 วัน
  2. เริ่มด้วยยา  Moxifloxacin (ม๊อกซีฟ๊อกซาซิน) เป็นเวลา 7 วัน

แพทย์อาจเลือกแนวทางรักษาตามความรุนแรงของอาการ หรือผลการตรวจเชื้อ รวมถึงพิจารณาความเสี่ยงต่อการดื้อยา

ข้อควรระวัง

  • ห้ามหยุดยาเองก่อนครบคอร์ส แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษา
  • ควรพาคู่นอนมาตรวจและรักษาพร้อมกัน เพื่อป้องกันการ “ติดเชื้อซ้ำ”

หลังรักษาเสร็จควรตรวจซ้ำประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดจริง และไม่มีการติดเชื้อซ้ำจากคู่นอน

Mycoplasma genitalium ดื้อยาแล้วทำยังไง?

หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญของการรักษาโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) คือการที่เชื้อนี้เริ่ม ดื้อยาปฏิชีวนะ หลายชนิด โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก หรือหยุดยาเองก่อนครบคอร์ส

เชื้อ MG มีลักษณะพิเศษคือไม่มีผนังเซลล์ ทำให้ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม เช่น เพนิซิลลิน ใช้ไม่ได้ และต้องใช้ยาเฉพาะทาง เช่น Doxycycline หรือ Moxifloxacin ซึ่งหากเชื้อดื้อยาเหล่านี้ อาจต้องใช้ยาทางเลือกที่มีผลข้างเคียงมากขึ้น หรือไม่สามารถรักษาให้หายได้ในบางราย

วิธีรับมือเมื่อเชื้อดื้อยา

  • ตรวจเชื้อซ้ำพร้อมตรวจหาความไวต่อยา (Antibiotic resistance testing)
  • ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อหรือระบบทางเดินปัสสาวะ
  • พิจารณาการใช้ยาทางเลือก เช่น Pristinamycin หรือยาใหม่ที่อยู่ระหว่างการวิจัย
  • ห้ามใช้ยาซ้ำเองหรือสั่งยากินเอง เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้เชื้อดื้อยามากขึ้น

สิ่งสำคัญ: อย่าลืมว่าการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่ม และตรวจซ้ำหลังรักษา คือกุญแจในการลดโอกาสเกิดเชื้อดื้อยาในระยะยาว

การติดเชื้อ MG ซ้ำได้หรือไม่?

หลายคนเข้าใจว่าหากเคยติดเชื้อไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) แล้วรักษาหาย จะไม่กลับมาติดซ้ำอีก แต่ในความเป็นจริงคือ สามารถติดซ้ำได้ หากมีพฤติกรรมเสี่ยงหลังจากการรักษา

MG ไม่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันถาวรในร่างกาย หมายความว่า หากคุณหรือคู่นอนยังคงมีเชื้ออยู่ หรือหากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน ก็มีโอกาสติดซ้ำได้เทียบเท่ากับการติดครั้งแรก

ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงติดเชื้อซ้ำ

  • มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเดิมที่ยังไม่รักษา
  • ไม่ตรวจซ้ำหลังการรักษา
  • ไม่ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างและหลังการรักษา
  • มีคู่นอนหลายคนหลังรักษาโดยไม่ตรวจคัดกรอง

ข้อแนะนำ: หลังรักษา MG ควรตรวจซ้ำหลังผ่านไป 3–4 สัปดาห์ และพาคู่นอนมาตรวจพร้อมกันเสมอ เพื่อป้องกันการ “วนลูปติดเชื้อซ้ำ”

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม อันตรายหรือไม่?

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) อาจดูเหมือนโรคทั่วไปในกลุ่มติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา หรือวินิจฉัยล่าช้า เชื้อนี้สามารถ ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อระบบสืบพันธุ์ และสุขภาพระยะยาวได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

  • ในเพศหญิง
    • ปากมดลูกอักเสบ
    • มดลูกหรือท่อนำไข่อักเสบ
    • ภาวะมีบุตรยากจากพังผืดในอุ้งเชิงกราน
    • เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ในเพศชาย
    • ท่อปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง
    • ลูกอัณฑะอักเสบ
    • ปัญหาภาวะเจริญพันธุ์
  • ในทั้งสองเพศ
    • การติดเชื้อเรื้อรัง
    • อาการกำเริบซ้ำหลังรักษา
    • ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ STI อื่น เช่น HIV เพิ่มขึ้น

อย่าละเลยแม้ไม่มีอาการ: เพราะ MG สามารถทำลายระบบสืบพันธุ์แบบเงียบ ๆ หากตรวจไม่เจอหรือละเลยการรักษา

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม กับโรคหนองในเทียม ต่างกันอย่างไร?

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) และโรคหนองในเทียม (Chlamydia trachomatis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มี อาการใกล้เคียงกันมาก จนทำให้เข้าใจผิดหรือวินิจฉัยสลับกันได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่มีอาการ

จุดที่เหมือนกัน

  • ทั้งสองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ผ่านทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือการสัมผัสเยื่อเมือก
  • ผู้ติดเชื้อหลายรายไม่มีอาการ
  • อาจทำให้เกิดภาวะอักเสบในระบบสืบพันธุ์ เช่น ท่อปัสสาวะ มดลูก หรือลูกอัณฑะ
  • หากไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้

จุดที่แตกต่างกัน

หัวข้อ

MG (Mycoplasma genitalium)

หนองในเทียม (Chlamydia)

ชนิดของเชื้อ

แบคทีเรียไม่มีผนังเซลล์

แบคทีเรียทั่วไป

ความยากในการตรวจพบ

ต้องตรวจเฉพาะ NAAT

ตรวจเจอในชุดตรวจ STI ทั่วไป

การดื้อยา

ดื้อยาสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ยังตอบสนองต่อยาทั่วไปได้ดีในหลายกรณี

การรับรู้ในวงการแพทย์

เพิ่งเริ่มได้รับการยอมรับแพร่หลาย

เป็นโรคที่รู้จักและตรวจคัดกรองได้แพร่หลาย

หมายเหตุ: แม้อาการจะคล้ายกันมาก แต่ MG ต้องใช้การตรวจและการรักษาเฉพาะทาง หากสงสัยว่าติดโรคควรแจ้งแพทย์โดยตรงว่าต้องการตรวจ “Mycoplasma genitalium” ด้วย

การป้องกันโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม ทำได้อย่างไร?

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) เป็นโรคที่อาจไม่มีอาการ แต่สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้หากไม่รักษา วิธีป้องกันที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่แค่การรักษาเท่านั้น แต่คือ การลดโอกาสเสี่ยงตั้งแต่แรก

วิธีป้องกันที่ได้ผล

  1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ แม้จะไม่ป้องกันได้ 100% แต่ลดโอกาสติดเชื้อ MG ได้อย่างมาก
  2. มีคู่นอนประจำคนเดียว และมั่นใจว่าปลอดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่เดียวที่ผ่านการตรวจ STI แล้ว จะลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด
  3. ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือมีคู่นอนหลายคน
  4. งดมีเพศสัมพันธ์ระหว่างรอผลตรวจ หรือระหว่างการรักษา เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น
  5. ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่นในบริเวณอวัยวะเพศ เช่น ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน ฯลฯ (แม้โอกาสติดเชื้อทางนี้ต่ำมาก)

ความรับผิดชอบร่วมกัน: หากพบว่าตนเองมีเชื้อ ควรแจ้งคู่นอนเพื่อให้มาตรวจและรักษาพร้อมกัน เพื่อไม่ให้กลับมาติดเชื้อซ้ำอีกครั้ง

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม มีผลต่อการตั้งครรภ์หรือไม่?

เชื้อไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) เป็นหนึ่งในเชื้อที่สามารถก่อให้เกิด ปัญหาระบบสืบพันธุ์ ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในเพศหญิง เชื้อนี้อาจมีผลต่อการตั้งครรภ์และสุขภาพของทารกในครรภ์

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมี MG ขณะตั้งครรภ์

  • เสี่ยง แท้งบุตรในระยะแรก
  • เพิ่มโอกาส ตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • อาจเกิด ภาวะน้ำคร่ำน้อย หรือการคลอดก่อนกำหนด
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการ ติดเชื้อในเยื่อหุ้มทารก (chorioamnionitis)

นอกจากนี้ เชื้อ MG ยังสามารถส่งผลทางอ้อมต่อภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในมดลูกหรือท่อนำไข่

ข้อควรระวัง: หญิงที่วางแผนมีบุตรหรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ควรตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์อย่างละเอียด และแจ้งแพทย์หากมีประวัติติดเชื้อ MG มาก่อน

ตรวจ MG ที่ไหนดี? แบบไม่อาย/ไม่ต้องแจ้งชื่อ

แม้โรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) จะยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนักในหมู่ประชาชนทั่วไป แต่จำนวนผู้ติดเชื้อกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

ปัญหาสำคัญคือ หลายคนลังเลที่จะเข้ารับการตรวจเพราะ กลัวอาย หรือกลัวถูกตีตรา ว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งที่จริงแล้วปัจจุบันมีคลินิกและสถานพยาบาลจำนวนมากที่ให้บริการตรวจแบบเป็นส่วนตัว และไม่จำเป็นต้องแจ้งชื่อหากไม่ต้องการ

สถานที่ที่สามารถตรวจ MG ได้

  • คลินิกเฉพาะทางด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เซฟ คลินิก
  • โรงพยาบาลใหญ่ที่มีแผนกโรคติดเชื้อ/สูติ-นรีเวช
  • คลินิกเวชกรรมทั่วไปที่มีบริการตรวจ STI แบบเฉพาะทาง

หลายแห่งเปิดให้ จองคิวออนไลน์ ไม่ต้องใช้ชื่อจริง และสามารถขอรับผลทางอีเมล/โทรศัพท์ เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด

แนะนำ: เลือกสถานที่ที่มีบริการ “NAAT สำหรับ MG โดยเฉพาะ” เพราะชุดตรวจทั่วไปอาจไม่ครอบคลุม

ค่าใช้จ่ายในการตรวจ MG และรักษาโดยประมาณ

หลายคนอาจลังเลที่จะตรวจโรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) เพราะไม่แน่ใจเรื่อง ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเมื่อการตรวจ MG ต้องใช้ชุดตรวจเฉพาะที่ต่างจากการตรวจ STI ทั่วไป

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล):

รายการ

ช่วงราคาประมาณ (บาท)

ตรวจหาเชื้อ MG ด้วย NAAT

3,500

ค่าตรวจ STI รวมหลายชนิด

3,200 – 6900

ค่าพบแพทย์ (บางแห่งอาจรวมแล้ว)

600

ค่ายาปฏิชีวนะ (Doxycycline + Moxifloxacin)

350 – 1,500

หมายเหตุ: ราคาอาจแตกต่างกันในแต่ละคลินิก หรือขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนของผลตรวจ

สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนเข้ารับบริการ:

  • คลินิก/โรงพยาบาลมีชุดตรวจ NAAT สำหรับ MG หรือไม่
  • ค่าใช้จ่ายรวมอะไรบ้าง? มีค่าบริการแยกหรือไม่?
  • มีบริการติดตามผลทางออนไลน์/โทรศัพท์หรือไม่?
  • ให้ใบรับรองผลตรวจหรือไม่ (ในกรณีใช้ยื่นงาน/แฟนต้องการเห็นผล)

คำแนะนำ: อย่าให้ “ความไม่แน่ใจเรื่องราคา” เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณละเลยการตรวจ เพราะการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ประหยัดกว่าและปลอดภัยกว่ามาก

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (FAQ)

ต้องงดอะไรบ้างก่อนตรวจ MG?
ควรงดปัสสาวะอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนเก็บตัวอย่าง และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ 24–48 ชม. ก่อนตรวจ

โรคนี้รักษาหายขาดหรือไม่?
สามารถรักษาหายได้ด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม หากรักษาครบคอร์สและตรวจซ้ำหลังจบการรักษา

ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ ต้องรักษาไหม?
ต้องรักษา เพราะสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่น และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้

ตรวจ STI ปกติรวม MG ไหม?
ไม่เสมอไป ควรสอบถามแพทย์หรือคลินิกว่ารวมการตรวจ MG ด้วยหรือไม่ เพราะต้องใช้ชุดตรวจเฉพาะ

ใช้ถุงยางอนามัยช่วยป้องกัน MG ได้ 100% ไหม?
ไม่ 100% แต่ลดความเสี่ยงได้มาก ควรใช้ทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์

MG ติดจากปากได้ไหม?
ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า MG ติดทางปากหรือลำคอ แต่ควรระมัดระวังไว้เสมอ

บทสรุป

แม้โรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม จะเป็นโรคที่ไม่ค่อยมีอาการแสดง แต่ก็ไม่ควรละเลย เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ภาวะมีบุตรยาก การอักเสบเรื้อรัง หรือการติดเชื้อซ้ำแบบไม่รู้ตัว การตรวจและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ คือหัวใจสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างปลอดภัย

หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือยังไม่แน่ใจว่าชุดตรวจ STI ของคุณรวมการตรวจ MG หรือไม่ ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ หรือติดต่อคลินิกที่เชี่ยวชาญ เพื่อความชัดเจนและการรักษาที่ตรงจุด

icon email