Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

เริมที่จมูก (Nasal Herpes) คืออะไร? อาการ สาเหตุ วิธีรักษา และแนวทางป้องกัน

แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับ “เริม” ที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ แต่อาการเริมที่เกิดบริเวณจมูกก็เป็นอีกภาวะที่พบได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีประวัติการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) มาก่อน เริมที่จมูกอาจเริ่มต้นจากอาการคัน แสบ หรือมีตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ บริเวณปีกจมูกหรือลึกเข้าไปด้านใน สร้างความเจ็บปวด รำคาญใจ และทำให้หลายคนกังวลว่าเป็นอาการอันตรายหรือไม่

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับเริมที่จมูก ตั้งแต่สาเหตุของโรค อาการที่พบบ่อย วิธีดูแลและรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ พร้อมคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณสามารถดูแลตนเองได้อย่างมั่นใจ และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

เริมที่จมูกคืออะไร?

เริมที่จมูก (Nasal Herpes) คือภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) โดยมักเกิดจากเชื้อชนิด HSV-1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ทำให้เกิดแผลร้อนในหรือเริมที่ริมฝีปาก แม้จะพบได้น้อยกว่าเริมบริเวณปากหรืออวัยวะเพศ แต่การติดเชื้อที่บริเวณจมูกก็สามารถทำให้เกิดตุ่มน้ำใส เจ็บ แสบ หรือระคายเคืองบริเวณรูจมูกได้เช่นกัน

การติดเชื้อสามารถเกิดได้ทั้งที่รูจมูกด้านนอกและด้านใน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเพิ่งฟื้นตัวจากไข้หวัด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เชื้อที่แฝงตัวอยู่กลับมาแสดงอาการอีกครั้ง

ไวรัส HSV สามารถคงอยู่ในร่างกายแม้หลังจากแผลหายแล้ว โดยแฝงตัวอยู่ในปมประสาท และอาจกลับมาแสดงอาการใหม่ในอนาคตเมื่อร่างกายอ่อนแอหรือมีสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด แสงแดดจัด หรือการเจ็บป่วย

ชนิดของไวรัสที่ทำให้เกิดเริมที่จมูก

HSV-1 (Herpes Simplex Virus type 1)

เป็นไวรัสที่พบบ่อยที่สุดในกรณีของเริมที่จมูก และเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ทำให้เกิดเริมที่ริมฝีปาก มักติดต่อผ่านการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การหอมแก้ม หรือใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน

HSV-2 (Herpes Simplex Virus type 2)

แม้จะพบได้น้อยมากในบริเวณจมูก แต่ HSV-2 ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับเริมที่อวัยวะเพศ ก็สามารถแพร่ไปยังบริเวณอื่นของร่างกายได้หากมีการสัมผัสกับแผลโดยตรง

เริมที่จมูกพบได้บ่อยแค่ไหน?

แม้จะไม่ได้เป็นตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด เริมที่จมูกสามารถพบได้ในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีประวัติติดเชื้อเริมมาก่อน โดยมีรายงานว่าผู้ติดเชื้อ HSV-1 กว่า 50–80% ทั่วโลกอาจเคยมีอาการแสดงในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง รวมถึงบริเวณจมูก

เริมที่จมูกแตกต่างจากแผลในจมูกทั่วไปอย่างไร?

แผลเริมมักเริ่มจากอาการรู้สึกแสบร้อนหรือคัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำเล็ก ๆ ซึ่งต่อมาจะแตกออกและกลายเป็นสะเก็ดแผล ในขณะที่แผลทั่วไปในจมูกมักไม่มีอาการนำแบบนี้ และอาจเกิดจากการแคะจมูก แพ้อากาศ หรือภาวะผิวแห้งในฤดูหนาว

เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินหากสงสัยว่าเป็นเริมบริเวณจมูก

เริมที่จมูกมีอาการแบบไหนบ้าง?

อาการของเริมที่จมูกอาจแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปมักปรากฏเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้

1. ระยะเริ่มต้น (Prodrome)

  • รู้สึกแสบ คัน หรือเจ็บเล็กน้อยบริเวณจมูก
  • บางคนอาจรู้สึกตึงหรือรู้สึกเหมือน “จมูกจะเป็นแผล”

2. ระยะตุ่มน้ำ

  • เกิดตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ บริเวณปีกจมูก หรือภายในรูจมูก
  • ตุ่มมักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และอาจเจ็บหรือแสบ

3. ระยะตุ่มแตก

  • ตุ่มน้ำจะแตกออก และกลายเป็นแผลเปิด
  • ระยะนี้มีโอกาสแพร่เชื้อได้มากที่สุด

4. ระยะตกสะเก็ด

  • แผลเริ่มแห้งและกลายเป็นสะเก็ดสีเหลืองหรือน้ำตาล
  • อาจรู้สึกตึง เจ็บเล็กน้อย หรือคัน

5. ระยะหาย

  • สะเก็ดจะหลุดออก และผิวหนังค่อย ๆ ฟื้นตัว
  • ในบางกรณีอาจทิ้งรอยแดงหรือรอยคล้ำไว้ชั่วคราว

อาการทั้งหมดนี้มักใช้เวลาประมาณ 7–14 วันจึงจะหายโดยไม่ทิ้งแผลเป็น หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน

เริมที่จมูกเกิดจากอะไร?

เริมที่จมูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) โดยส่วนใหญ่เป็นชนิดที่ 1 (HSV-1) ซึ่งแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำเหลืองจากแผลเริม หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ หรือเครื่องสำอาง

เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปฝังตัวอยู่ในปมประสาทและสามารถอยู่ในสภาวะไม่แสดงอาการได้นานหลายปี ก่อนจะถูกกระตุ้นให้แสดงอาการในช่วงที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

ปัจจัยที่ทำให้เริมแสดงอาการ

  • ความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • การติดเชื้ออื่น เช่น ไข้หวัด
  • แสงแดดจ้า
  • การได้รับบาดเจ็บหรือการระคายเคืองบริเวณจมูก

แม้ว่าผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วจะไม่มีอาการเป็นเวลานาน แต่ปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เริมกลับมาแสดงอาการได้อีกครั้ง

เริมที่จมูกแตกต่างจากสิวหรือผื่นแพ้อย่างไร?

หลายคนอาจสับสนระหว่างแผลเริม สิว หรือผื่นแพ้ที่เกิดบริเวณจมูก เนื่องจากลักษณะอาการภายนอกอาจคล้ายกัน เช่น มีตุ่ม ผื่น หรือรอยแดง แต่ในทางการแพทย์ ทั้งสามภาวะมีลักษณะแตกต่างกันชัดเจน

ลักษณะของแผลเริมที่จมูก

  • เริ่มจากอาการแสบ คัน หรือรู้สึกตึงก่อนเกิดตุ่ม
  • เกิดตุ่มน้ำใสขนาดเล็กที่แตกออกและกลายเป็นแผล
  • แผลอาจเจ็บ แสบ และตกสะเก็ดในเวลาต่อมา
  • ตุ่มมักเกิดเป็น “กลุ่ม” บริเวณเดิมซ้ำ ๆ

ลักษณะของสิว

  • เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมัน
  • อาจมีหัวขาว หัวดำ หรือหัวหนอง
  • มักไม่มีอาการแสบก่อนเกิดตุ่ม และไม่แพร่กระจายไปยังผู้อื่น
  • มักขึ้นกระจาย ไม่จำกัดเฉพาะจุด

ลักษณะของผื่นแพ้ (Allergic rash)

  • เป็นผื่นแดง ผิวแห้ง คัน หรือเป็นปื้น
  • ไม่มีตุ่มน้ำใสหรือแผลเปิด
  • อาจเกิดจากปัจจัยกระตุ้น เช่น ฝุ่น, สารเคมี, โลชั่น, อาหาร

หากไม่แน่ใจว่าตุ่มหรือแผลที่จมูกคืออะไร ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

เริมที่จมูกแพร่เชื้อได้ไหม? และติดต่อยังไง?

เริมที่จมูกสามารถแพร่เชื้อได้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีตุ่มน้ำหรือแผลเปิด ซึ่งเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสสูงที่สุด เชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (HSV-1) แพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวจากแผลเริม หรือการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา หรือเครื่องสำอาง

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่พบว่า เชื้อ HSV สามารถแพร่ได้แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการชัดเจน (เรียกว่า asymptomatic shedding) ซึ่งหมายความว่าบางคนอาจแพร่เชื้อได้โดยไม่รู้ตัว

วิธีที่เริมแพร่กระจาย

  • สัมผัสโดยตรงกับแผลหรือตุ่มน้ำของผู้ที่ติดเชื้อ
  • ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าขนหนู แว่นตา หลอดดูด
  • การหอมแก้มหรือจูบ
  • การแพร่กระจายจากตัวเองไปยังส่วนอื่นของร่างกายผ่านการสัมผัสแผล แล้วไปแตะบริเวณอื่น เช่น ดวงตา

เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยตรง ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่นในช่วงที่มีอาการ

เริมที่จมูกรักษาอย่างไร?

เริมที่จมูกไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัส HSV จะคงอยู่ในร่างกายแม้หลังจากอาการหายไป แต่สามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ลดระยะเวลาของการเป็นแผล และลดโอกาสแพร่เชื้อได้ โดยการรักษาแบ่งเป็น 3 แนวทางหลัก ดังนี้:

1. การใช้ยาต้านไวรัส (Antiviral medications)

เป็นแนวทางหลักในการรักษาเริมที่จมูก โดยแพทย์อาจสั่งยากินหรือยาทา เช่น:

  • Acyclovir
  • Valacyclovir
  • Famciclovir

ควรเริ่มใช้ยาให้เร็วที่สุดหลังเริ่มมีอาการ (ในระยะรู้สึกแสบหรือคัน) เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

2. การดูแลแผลเฉพาะที่

  • ล้างแผลเบา ๆ ด้วยน้ำเกลือหรือสบู่อ่อน
  • หลีกเลี่ยงการเกา แกะ หรือสัมผัสแผล
  • ใช้ครีมหรือเจลที่ช่วยลดการอักเสบหรือป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้)

3. การพักผ่อนและเสริมภูมิคุ้มกัน

  • นอนหลับให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้
  • หลีกเลี่ยงความเครียด และดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง

หากอาการรุนแรง แผลหายช้า หรือเป็นซ้ำบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าจำเป็นต้องได้รับการรักษาแบบป้องกันระยะยาวหรือไม่

ยาที่ใช้ต่อต้านไวรัส (Antiviral) ที่เหมาะกับเริมที่จมูก

การรักษาเริมที่จมูกด้วยยาต้านไวรัสเป็นวิธีหลักที่ใช้ควบคุมการแพร่เชื้อและบรรเทาอาการ โดยยาที่ใช้จะช่วยลดระยะเวลาการเกิดแผล และลดความรุนแรงของอาการหากเริ่มใช้ในช่วงต้นของการระบาด

ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน (Oral antivirals)

ชื่อยา

ขนาดที่ใช้บ่อย

ความถี่ในการใช้

หมายเหตุ

Acyclovir

400 มก.

วันละ 3–5 ครั้ง

เริ่มใช้ทันทีหลังมีอาการ

Valacyclovir

500–1000 มก.

วันละ 2 ครั้ง

สะดวกกว่า, ระยะยานาน

Famciclovir

250–500 มก.

วันละ 2–3 ครั้ง

ใช้เฉพาะรายที่แพ้ยาตัวอื่น

ยาทาเฉพาะที่ (Topical antivirals)

  • Acyclovir cream 5%: ทาบริเวณตุ่มเริมวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 4–5 วัน
  • Penciclovir cream 1%: ช่วยลดระยะเวลาการหายของแผลหากใช้ทันที

คำแนะนำ: ควรเริ่มใช้ยาให้เร็วที่สุดเมื่อรู้สึกถึงอาการแรกเริ่ม เช่น คันหรือแสบ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

หมายเหตุ: ไม่ควรใช้ยาด้วยตนเองหากไม่แน่ใจว่าเป็นเริม ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนเสมอ

วิธีดูแลแผลและ home remedies ที่ปลอดภัย

แม้ว่าการรักษาหลักของเริมที่จมูกจะใช้ยาต้านไวรัส แต่การดูแลแผลอย่างถูกวิธีสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดการติดเชื้อแทรกซ้อน และบรรเทาความไม่สบายจากอาการต่าง ๆ ได้

แนวทางดูแลแผลเริมที่จมูก

  • ล้างแผลเบา ๆ ด้วยน้ำเกลือสะอาด วันละ 1–2 ครั้ง เพื่อชำระเชื้อและสิ่งสกปรก
  • ซับให้แห้งด้วยกระดาษทิชชูสะอาด หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าขนหนูซ้ำ
  • หลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือสัมผัสแผลบ่อย ๆ เพราะอาจทำให้แผลลุกลามหรือเกิดรอยแผลเป็น
  • งดการใช้ครีมหรือยาสมุนไพรที่ไม่ผ่านการรับรอง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์หรือแอลกอฮอล์เข้มข้น

วิธีบรรเทาอาการด้วยวิธีธรรมชาติที่ปลอดภัย

  • ประคบเย็นด้วยผ้าสะอาด ช่วยลดอาการบวมและแสบร้อน
  • วาสลีนหรือปิโตรเลียมเจลลี่ ทาบาง ๆ เพื่อกันแผลแห้งแตก แต่ต้องใช้กับแผลที่ไม่เปิด
  • ครีมที่มีส่วนผสมของ zinc oxide หรือ aloe vera (ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก อย.)

คำเตือน: ห้ามใช้ยาหม่อง ยาทาแก้ปวดร้อนแรง หรือสมุนไพรสดทาแผลโดยตรง เพราะอาจทำให้แผลระคายเคืองมากขึ้น

เริมที่จมูกหายเองได้ไหม และใช้เวลานานเท่าไหร่?

เริมที่จมูกสามารถหายได้เองในกรณีที่อาการไม่รุนแรง และร่างกายมีภูมิคุ้มกันแข็งแรง โดยทั่วไปแล้ว การติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (HSV-1) จะมีวงจรการระบาดที่ค่อนข้างชัดเจน และสามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัสในบางราย

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาจะช่วยเร่งการหายของแผลและลดการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะหากเริ่มใช้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ระยะเวลาที่อาการมักใช้ในการหาย

  • วันแรก–2: เริ่มรู้สึกคัน แสบ หรือระคายเคือง
  • วันที่ 3–5: ตุ่มน้ำปรากฏและเริ่มแตกเป็นแผล
  • วันที่ 6–10: แผลแห้งและเริ่มตกสะเก็ด
  • วันที่ 11–14: สะเก็ดหลุดออก ผิวหนังฟื้นตัว

โดยรวมแล้ว เริมที่จมูกมักหายภายใน 7–14 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการดูแลแผล หากมีการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือภูมิคุ้มกันต่ำ อาจใช้เวลานานกว่านี้

หากแผลไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ หรืออาการรุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม

เริมที่จมูกติดต่อได้แม้อยู่ในระยะไม่มีอาการ (asymptomatic)?

ใช่ – การติดเชื้อเริมที่จมูกสามารถแพร่เชื้อได้แม้ในช่วงที่ไม่มีแผลหรือตุ่มปรากฏให้เห็น ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า “การหลั่งไวรัสแบบไม่มีอาการ” (asymptomatic viral shedding)

ในช่วงนี้ ร่างกายอาจยังคงปล่อยเชื้อไวรัส HSV ออกทางผิวหนังหรือเยื่อบุ โดยที่ไม่มีสัญญาณภายนอกใด ๆ ผู้ติดเชื้ออาจไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

ความสำคัญของภาวะ asymptomatic shedding

  • ทำให้การแพร่กระจายของเชื้อ HSV-1 เกิดขึ้นได้แม้ไม่มีอาการ
  • พบได้ในผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนและดูเหมือน “หายแล้ว”
  • มีรายงานว่าประมาณ 10%–20% ของผู้ติดเชื้อ มีการหลั่งไวรัสในช่วงไม่มีอาการ

แนวทางป้องกันการแพร่เชื้อแม้ไม่มีอาการ

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด เช่น จูบ หรือใช้ของส่วนตัวร่วมกัน
  • หมั่นล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะหลังสัมผัสใบหน้า
  • หลีกเลี่ยงการจับ/แคะจมูกโดยไม่จำเป็น
  • หากมีประวัติเริมบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการรักษาแบบป้องกัน (suppression therapy)

เริมที่จมูกในเด็กเล็ก หรือทารกต้องดูแลต่างจากผู้ใหญ่ไหม?

เริมที่จมูกในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารก ถือเป็นภาวะที่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปยังอวัยวะอื่น เช่น ดวงตา หรือระบบประสาทส่วนกลาง

ความเสี่ยงในเด็กเล็ก

  • อาจเกิด ภาวะแทรกซ้อน ได้ง่าย เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) หรือการติดเชื้อกระจกตา (herpetic keratitis)
  • เด็กอาจ เกาแผล และแพร่เชื้อไปยังบริเวณอื่นโดยไม่รู้ตัว
  • การวินิจฉัยอาจทำได้ยากกว่า เพราะเด็กเล็กยังบอกอาการไม่ชัดเจน

แนวทางการดูแลเด็กที่ติดเชื้อเริมที่จมูก

  • ควรพบแพทย์ทันที หากสงสัยว่าเป็นเริม
  • ห้ามใช้ยาทา ยาสมุนไพร หรือยาสเตียรอยด์โดยไม่ผ่านคำแนะนำจากแพทย์
  • หมั่นล้างมือเด็ก และหลีกเลี่ยงการให้สัมผัสแผล
  • ใช้ผ้าสะอาดประคบเย็นหากมีอาการบวม แต่ควรทำภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

สำคัญ: ทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนที่มีอาการคล้ายเริมควรได้รับการประเมินจากแพทย์ทันที เพราะอาจมีความเสี่ยงร้ายแรง

เริมที่จมูกกับภูมิคุ้มกันเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

เริมที่จมูกเป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสที่มักจะไม่ก่อให้เกิดปัญหารุนแรงในคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) สามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกาย และแสดงอาการเมื่อภูมิคุ้มกันลดลง

ภูมิคุ้มกันส่งผลต่อเริมอย่างไร?

  • เมื่อภูมิคุ้มกันแข็งแรง: ร่างกายสามารถควบคุมไวรัสที่แฝงตัวไว้ไม่ให้แสดงอาการ
  • เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: เช่น ในช่วงพักผ่อนน้อย เครียด หรือป่วย — เชื้อไวรัสจะ “ตื่น” และทำให้เกิดแผลหรือตุ่มขึ้นอีก

กลุ่มที่มีความเสี่ยงจากภูมิคุ้มกันต่ำ

  • ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรืออยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด
  • ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น หลังปลูกถ่ายอวัยวะ
  • ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรัง

แนวทางเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อลดความถี่ของเริม

  • พักผ่อนให้เพียงพออย่างสม่ำเสมอ
  • ลดความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
  • รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี, สังกะสี (Zinc), และกรดอะมิโนไลซีน (L-Lysine)

การดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เป็นวิธีป้องกันการกลับมาของเริมที่ได้ผลในระยะยาว

หากมีเริมที่จมูก ควรกักตัวไหม?

โดยทั่วไปแล้ว การมีเริมที่จมูกไม่จำเป็นต้องแยกตัวหรือหยุดใช้ชีวิตประจำวันทั้งหมด แต่ควรเพิ่มความระมัดระวังในช่วงที่แผลยังเปิดหรือตุ่มยังไม่หายดี เพราะเป็นช่วงที่สามารถแพร่เชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะหากมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น

กรณีที่ควรหลีกเลี่ยงการออกสังคมหรือใกล้ชิดผู้อื่น

  • มีแผลหรือตุ่มน้ำชัดเจนบริเวณจมูก
  • ทำงานที่ต้องสัมผัสใกล้กับเด็กเล็ก หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
  • มีพฤติกรรมสัมผัสใบหน้า เช่น การแต่งหน้า หรือใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น

วิธีลดความเสี่ยงต่อผู้อื่นขณะยังมีอาการ

  • หลีกเลี่ยงการจูบ หอมแก้ม หรือการสัมผัสใบหน้าใกล้ชิด
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสแผล
  • แยกของใช้ส่วนตัว เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว
  • หลีกเลี่ยงการจับแผลแล้วไปแตะบริเวณอื่นโดยไม่ล้างมือ

แม้เริมจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่การรักษามารยาทและป้องกันการแพร่เชื้อจะช่วยสร้างความสบายใจให้ทั้งตนเองและคนรอบข้าง

เริมที่จมูกอาจเกี่ยวข้องกับโรคอื่นไหม?

โดยทั่วไป เริมที่จมูกเป็นการติดเชื้อเฉพาะที่ซึ่งหายได้เอง แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง อาจพบว่าเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) มีความเกี่ยวข้องกับภาวะหรือโรคอื่นที่ซับซ้อนมากขึ้น

โรคหรือภาวะที่อาจมีความเกี่ยวข้อง

  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส (Herpes Meningitis): เชื้อ HSV อาจแพร่เข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรง ไข้ หรือสับสน
  • โรคสมองอักเสบจากเริม (Herpes Encephalitis): ภาวะรุนแรงที่เกิดจากการติดเชื้อ HSV ในสมอง พบได้น้อย แต่ต้องรักษาโดยด่วน
  • herpetic keratitis: การติดเชื้อ HSV ที่ดวงตา ซึ่งอาจทำให้การมองเห็นเสียถาวรหากไม่ได้รับการรักษา
  • ปัญหาทางระบบประสาท: มีงานวิจัยบางชิ้นที่ศึกษาแนวโน้มความเกี่ยวข้องระหว่างการติดเชื้อ HSV-1 กับความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ หรือภาวะการเรียนรู้บกพร่องในเด็ก แต่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม

ถึงแม้ความเกี่ยวข้องเหล่านี้จะพบไม่บ่อย แต่การใส่ใจในอาการและรีบพบแพทย์เมื่อมีสัญญาณผิดปกติสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

เริมที่จมูกมีผลต่อความงาม/แผลเป็นระยะยาวหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว เริมที่จมูกในคนที่มีสุขภาพดีและได้รับการดูแลแผลอย่างถูกวิธีมักจะหายโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นถาวร อย่างไรก็ตามในบางกรณี โดยเฉพาะหากมีการเกา แกะ หรือแผลติดเชื้อแทรกซ้อน อาจทิ้งรอยแดง รอยดำ หรือแผลเป็นระยะยาวได้

ปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยแผลหรือรอยดำ

  • การเกา/แกะแผลในระยะที่ยังไม่แห้ง
  • การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
  • ผิวอักเสบลึกหรือมีประวัติแผลเป็นง่าย
  • แพ้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทารักษาแผล

แนวทางลดความเสี่ยงการเกิดรอยหรือแผลเป็น

  • อย่าแกะแผล ไม่ว่าจะรู้สึกคันหรือระคายเคียงแค่ไหนก็ตาม
  • ประคบเย็นเบา ๆ เพื่อลดการอักเสบโดยไม่ทำลายผิว
  • ทาครีมที่ช่วยลดการอักเสบหรือลดรอยดำ (ที่แพทย์แนะนำ)
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอหลังแผลหาย

หากมีรอยดำหรือแผลเป็นที่กังวล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการดูแลเพิ่มเติม

วิธีเลือกซื้อยาทาเริมอย่างปลอดภัยจากร้านขายยา

สำหรับผู้ที่มีอาการเริมที่จมูกเล็กน้อยและไม่ต้องการพบแพทย์ทันที อาจเลือกใช้ยาทาเฉพาะที่ (topical creams) เพื่อช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกผลิตภัณฑ์ต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะหากซื้อจากร้านขายยาทั่วไป

คำแนะนำในการเลือกยาทาเริม

  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีตัวยาต้านไวรัส เช่น acyclovir หรือ penciclovir ซึ่งผ่านการรับรองจาก อย
  • ตรวจสอบวันหมดอายุ และฉลากภาษาไทยอย่างชัดเจน
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลขทะเบียน อย. หรืออ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น “หายขาด” หรือ “ไม่กลับมาอีกเลย”
  • หากเป็นผู้แพ้ง่าย ควรเลือกครีมที่ ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารสเตียรอยด์

ตัวอย่างตัวยายอดนิยมที่มีในร้านขายยา

ตัวยา

ประเภท

วิธีใช้

Acyclovir 5% cream

ยาต้านไวรัส

ทาวันละ 5 ครั้ง 4–5 วัน

Penciclovir 1% cream

ยาต้านไวรัส

ทาทุก 2 ชั่วโมง ขณะตื่น

สำคัญ: หากไม่แน่ใจว่าเป็นเริมหรือไม่ หรือมีอาการมาก ควรพบแพทย์ก่อนใช้ยาทาใด ๆ

วิธีป้องกันไม่ให้เริมที่จมูกกลับมาเป็นซ้ำอีก

เริมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเชื้อไวรัส HSV จะยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย แม้อาการจะหายแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม เราสามารถลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ (recurrence) ได้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เริมกลับมาแสดงอาการ

  • ความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ภูมิคุ้มกันลดลงจากการเจ็บป่วย
  • แสงแดดจัด หรืออากาศแห้งจัด
  • การบาดเจ็บที่บริเวณผิวหนังเดิม

วิธีลดความเสี่ยงของการเป็นซ้ำ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ และมีเวลาผ่อนคลายอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่เสริมภูมิคุ้มกัน เช่น อาหารที่มี Zinc, Vitamin C, L-Lysine
  • ใช้ลิปบาล์มหรือครีมกันแดดบริเวณจมูก เมื่อต้องเผชิญแสงแดดจัด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส/ระคายเคืองบริเวณที่เคยเป็นแผล
  • หากเป็นซ้ำบ่อย ให้ปรึกษาแพทย์เรื่อง การใช้ยาต้านไวรัสแบบป้องกัน (Suppression therapy)

การดูแลอย่างต่อเนื่องในระยะยาวมีบทบาทสำคัญในการควบคุมโรคและลดความถี่ของการระบาด

ใครบ้างที่ควรไปพบแพทย์เมื่อมีเริมที่จมูก?

แม้ว่าเริมที่จมูกส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาในโรงพยาบาล แต่ก็มีบางกรณีที่ควรรีบพบแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และประเมินแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง

กลุ่มที่ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการ

  • ผู้ที่ มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วย HIV, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ
  • ผู้ที่ ติดเชื้อครั้งแรก และมีอาการรุนแรงหรือหลายตำแหน่ง
  • เริม ลุกลามไปบริเวณตา หรือมีอาการปวดรอบเบ้าตา น้ำตาไหลเยอะ
  • อาการ ยังไม่ดีขึ้นภายใน 14 วัน
  • ผู้ที่มี การระบาดซ้ำบ่อยกว่าปกติ เช่น มากกว่า 5–6 ครั้งต่อปี
  • เด็กเล็ก ทารก หรือผู้สูงอายุที่มีอาการไม่แน่ชัด

อาการเตือนที่อาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อน

  • ปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับไข้
  • สับสน ง่วงซึม หรือพูดไม่ชัด
  • แผลขยายใหญ่ผิดปกติ หรือมีหนอง/กลิ่นไม่พึงประสงค์

การได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็วสามารถลดความเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ เช่น ตา หรือระบบประสาทได้อย่างมาก

ความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากเริมที่จมูกมีอะไรบ้าง?

แม้ว่าเริมที่จมูกส่วนใหญ่มักหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีพฤติกรรมดูแลแผลไม่เหมาะสม อาจเกิดปัญหาตามมาได้ โดยภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจเกิดขึ้นทั้งบริเวณผิวหนังหรืออวัยวะอื่นที่เกี่ยวข้อง

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้

  • การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน: แผลอาจมีหนอง บวม แดง หรือปวดมากกว่าปกติ
  • แพร่กระจายไปยังดวงตา (herpetic keratitis): ทำให้ระคายเคืองตา ปวดตา หรือการมองเห็นพร่ามัว
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส (herpes meningitis): พบได้น้อยมาก แต่สามารถเกิดได้ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ
  • โรคสมองอักเสบ (herpes encephalitis): ภาวะรุนแรงที่ส่งผลต่อสมองโดยตรง
  • ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า: จากการเป็นซ้ำบ่อย หรือเกิดในตำแหน่งที่มองเห็นชัด

ใครบ้างที่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน?

  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่ใช้ยากดภูมิ
  • ผู้ที่มีประวัติเริมระบาดรุนแรง

การสังเกตอาการผิดปกติแต่เนิ่น ๆ และพบแพทย์เมื่อมีสัญญาณเตือน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก

สรุปโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: เริมที่จมูกควรดูแลอย่างไร?

เริมที่จมูกอาจดูเป็นเรื่องเล็กในสายตาหลายคน แต่ในมุมของแพทย์แล้ว หากดูแลไม่ถูกวิธีอาจนำไปสู่การระบาดซ้ำ หรือแม้แต่ภาวะแทรกซ้อนที่กระทบต่อดวงตาและระบบประสาทได้ แม้อาการมักจะหายเองได้ในคนสุขภาพดี แต่การรู้ทันโรคและดูแลอย่างถูกต้องถือเป็นกุญแจสำคัญ

คำแนะนำจากแพทย์

  • เริ่มยาต้านไวรัสเร็วที่สุดเมื่อมีอาการ เช่น คัน แสบ หรือรู้สึกตึงบริเวณจมูก
  • หลีกเลี่ยงการเกา แกะ หรือสัมผัสแผล เพราะอาจทำให้เชื้อแพร่หรือเกิดรอยถาวร
  • หากเคยเป็นเริมซ้ำบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาป้องกันระยะยาว
  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการ
  • การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นหัวใจสำคัญในการลดความถี่ของการระบาด

“เริมอาจไม่ใช่โรคร้ายแรงในแง่การเสียชีวิต แต่ในมุมคุณภาพชีวิต หากปล่อยให้เป็นซ้ำบ่อย ๆ หรือไม่ดูแลให้ถูกต้อง อาจรบกวนชีวิตประจำวันอย่างมากได้”

icon email