แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับ “เริม” ที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ แต่อาการเริมที่เกิดบริเวณจมูกก็เป็นอีกภาวะที่พบได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีประวัติการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) มาก่อน เริมที่จมูกอาจเริ่มต้นจากอาการคัน แสบ หรือมีตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ บริเวณปีกจมูกหรือลึกเข้าไปด้านใน สร้างความเจ็บปวด รำคาญใจ และทำให้หลายคนกังวลว่าเป็นอาการอันตรายหรือไม่
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับเริมที่จมูก ตั้งแต่สาเหตุของโรค อาการที่พบบ่อย วิธีดูแลและรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ พร้อมคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณสามารถดูแลตนเองได้อย่างมั่นใจ และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
เริมที่จมูก (Nasal Herpes) คือภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) โดยมักเกิดจากเชื้อชนิด HSV-1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ทำให้เกิดแผลร้อนในหรือเริมที่ริมฝีปาก แม้จะพบได้น้อยกว่าเริมบริเวณปากหรืออวัยวะเพศ แต่การติดเชื้อที่บริเวณจมูกก็สามารถทำให้เกิดตุ่มน้ำใส เจ็บ แสบ หรือระคายเคืองบริเวณรูจมูกได้เช่นกัน
การติดเชื้อสามารถเกิดได้ทั้งที่รูจมูกด้านนอกและด้านใน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเพิ่งฟื้นตัวจากไข้หวัด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เชื้อที่แฝงตัวอยู่กลับมาแสดงอาการอีกครั้ง
ไวรัส HSV สามารถคงอยู่ในร่างกายแม้หลังจากแผลหายแล้ว โดยแฝงตัวอยู่ในปมประสาท และอาจกลับมาแสดงอาการใหม่ในอนาคตเมื่อร่างกายอ่อนแอหรือมีสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด แสงแดดจัด หรือการเจ็บป่วย
เป็นไวรัสที่พบบ่อยที่สุดในกรณีของเริมที่จมูก และเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ทำให้เกิดเริมที่ริมฝีปาก มักติดต่อผ่านการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การหอมแก้ม หรือใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
แม้จะพบได้น้อยมากในบริเวณจมูก แต่ HSV-2 ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับเริมที่อวัยวะเพศ ก็สามารถแพร่ไปยังบริเวณอื่นของร่างกายได้หากมีการสัมผัสกับแผลโดยตรง
แม้จะไม่ได้เป็นตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด เริมที่จมูกสามารถพบได้ในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีประวัติติดเชื้อเริมมาก่อน โดยมีรายงานว่าผู้ติดเชื้อ HSV-1 กว่า 50–80% ทั่วโลกอาจเคยมีอาการแสดงในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง รวมถึงบริเวณจมูก
แผลเริมมักเริ่มจากอาการรู้สึกแสบร้อนหรือคัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำเล็ก ๆ ซึ่งต่อมาจะแตกออกและกลายเป็นสะเก็ดแผล ในขณะที่แผลทั่วไปในจมูกมักไม่มีอาการนำแบบนี้ และอาจเกิดจากการแคะจมูก แพ้อากาศ หรือภาวะผิวแห้งในฤดูหนาว
เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินหากสงสัยว่าเป็นเริมบริเวณจมูก
อาการของเริมที่จมูกอาจแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปมักปรากฏเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
อาการทั้งหมดนี้มักใช้เวลาประมาณ 7–14 วันจึงจะหายโดยไม่ทิ้งแผลเป็น หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน
เริมที่จมูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) โดยส่วนใหญ่เป็นชนิดที่ 1 (HSV-1) ซึ่งแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำเหลืองจากแผลเริม หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ หรือเครื่องสำอาง
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปฝังตัวอยู่ในปมประสาทและสามารถอยู่ในสภาวะไม่แสดงอาการได้นานหลายปี ก่อนจะถูกกระตุ้นให้แสดงอาการในช่วงที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
แม้ว่าผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วจะไม่มีอาการเป็นเวลานาน แต่ปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เริมกลับมาแสดงอาการได้อีกครั้ง
หลายคนอาจสับสนระหว่างแผลเริม สิว หรือผื่นแพ้ที่เกิดบริเวณจมูก เนื่องจากลักษณะอาการภายนอกอาจคล้ายกัน เช่น มีตุ่ม ผื่น หรือรอยแดง แต่ในทางการแพทย์ ทั้งสามภาวะมีลักษณะแตกต่างกันชัดเจน
หากไม่แน่ใจว่าตุ่มหรือแผลที่จมูกคืออะไร ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
เริมที่จมูกสามารถแพร่เชื้อได้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีตุ่มน้ำหรือแผลเปิด ซึ่งเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสสูงที่สุด เชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (HSV-1) แพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวจากแผลเริม หรือการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา หรือเครื่องสำอาง
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่พบว่า เชื้อ HSV สามารถแพร่ได้แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการชัดเจน (เรียกว่า asymptomatic shedding) ซึ่งหมายความว่าบางคนอาจแพร่เชื้อได้โดยไม่รู้ตัว
เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยตรง ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่นในช่วงที่มีอาการ
เริมที่จมูกไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัส HSV จะคงอยู่ในร่างกายแม้หลังจากอาการหายไป แต่สามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ลดระยะเวลาของการเป็นแผล และลดโอกาสแพร่เชื้อได้ โดยการรักษาแบ่งเป็น 3 แนวทางหลัก ดังนี้:
เป็นแนวทางหลักในการรักษาเริมที่จมูก โดยแพทย์อาจสั่งยากินหรือยาทา เช่น:
ควรเริ่มใช้ยาให้เร็วที่สุดหลังเริ่มมีอาการ (ในระยะรู้สึกแสบหรือคัน) เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
หากอาการรุนแรง แผลหายช้า หรือเป็นซ้ำบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าจำเป็นต้องได้รับการรักษาแบบป้องกันระยะยาวหรือไม่
การรักษาเริมที่จมูกด้วยยาต้านไวรัสเป็นวิธีหลักที่ใช้ควบคุมการแพร่เชื้อและบรรเทาอาการ โดยยาที่ใช้จะช่วยลดระยะเวลาการเกิดแผล และลดความรุนแรงของอาการหากเริ่มใช้ในช่วงต้นของการระบาด
ชื่อยา |
ขนาดที่ใช้บ่อย |
ความถี่ในการใช้ |
หมายเหตุ |
---|---|---|---|
Acyclovir |
400 มก. |
วันละ 3–5 ครั้ง |
เริ่มใช้ทันทีหลังมีอาการ |
Valacyclovir |
500–1000 มก. |
วันละ 2 ครั้ง |
สะดวกกว่า, ระยะยานาน |
Famciclovir |
250–500 มก. |
วันละ 2–3 ครั้ง |
ใช้เฉพาะรายที่แพ้ยาตัวอื่น |
คำแนะนำ: ควรเริ่มใช้ยาให้เร็วที่สุดเมื่อรู้สึกถึงอาการแรกเริ่ม เช่น คันหรือแสบ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
หมายเหตุ: ไม่ควรใช้ยาด้วยตนเองหากไม่แน่ใจว่าเป็นเริม ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนเสมอ
แม้ว่าการรักษาหลักของเริมที่จมูกจะใช้ยาต้านไวรัส แต่การดูแลแผลอย่างถูกวิธีสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดการติดเชื้อแทรกซ้อน และบรรเทาความไม่สบายจากอาการต่าง ๆ ได้
คำเตือน: ห้ามใช้ยาหม่อง ยาทาแก้ปวดร้อนแรง หรือสมุนไพรสดทาแผลโดยตรง เพราะอาจทำให้แผลระคายเคืองมากขึ้น
เริมที่จมูกสามารถหายได้เองในกรณีที่อาการไม่รุนแรง และร่างกายมีภูมิคุ้มกันแข็งแรง โดยทั่วไปแล้ว การติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (HSV-1) จะมีวงจรการระบาดที่ค่อนข้างชัดเจน และสามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัสในบางราย
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาจะช่วยเร่งการหายของแผลและลดการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะหากเริ่มใช้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
โดยรวมแล้ว เริมที่จมูกมักหายภายใน 7–14 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการดูแลแผล หากมีการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือภูมิคุ้มกันต่ำ อาจใช้เวลานานกว่านี้
หากแผลไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ หรืออาการรุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม
ใช่ – การติดเชื้อเริมที่จมูกสามารถแพร่เชื้อได้แม้ในช่วงที่ไม่มีแผลหรือตุ่มปรากฏให้เห็น ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า “การหลั่งไวรัสแบบไม่มีอาการ” (asymptomatic viral shedding)
ในช่วงนี้ ร่างกายอาจยังคงปล่อยเชื้อไวรัส HSV ออกทางผิวหนังหรือเยื่อบุ โดยที่ไม่มีสัญญาณภายนอกใด ๆ ผู้ติดเชื้ออาจไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
เริมที่จมูกในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารก ถือเป็นภาวะที่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปยังอวัยวะอื่น เช่น ดวงตา หรือระบบประสาทส่วนกลาง
สำคัญ: ทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนที่มีอาการคล้ายเริมควรได้รับการประเมินจากแพทย์ทันที เพราะอาจมีความเสี่ยงร้ายแรง
เริมที่จมูกเป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสที่มักจะไม่ก่อให้เกิดปัญหารุนแรงในคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) สามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกาย และแสดงอาการเมื่อภูมิคุ้มกันลดลง
การดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เป็นวิธีป้องกันการกลับมาของเริมที่ได้ผลในระยะยาว
โดยทั่วไปแล้ว การมีเริมที่จมูกไม่จำเป็นต้องแยกตัวหรือหยุดใช้ชีวิตประจำวันทั้งหมด แต่ควรเพิ่มความระมัดระวังในช่วงที่แผลยังเปิดหรือตุ่มยังไม่หายดี เพราะเป็นช่วงที่สามารถแพร่เชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะหากมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น
แม้เริมจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่การรักษามารยาทและป้องกันการแพร่เชื้อจะช่วยสร้างความสบายใจให้ทั้งตนเองและคนรอบข้าง
โดยทั่วไป เริมที่จมูกเป็นการติดเชื้อเฉพาะที่ซึ่งหายได้เอง แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง อาจพบว่าเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) มีความเกี่ยวข้องกับภาวะหรือโรคอื่นที่ซับซ้อนมากขึ้น
ถึงแม้ความเกี่ยวข้องเหล่านี้จะพบไม่บ่อย แต่การใส่ใจในอาการและรีบพบแพทย์เมื่อมีสัญญาณผิดปกติสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
โดยทั่วไปแล้ว เริมที่จมูกในคนที่มีสุขภาพดีและได้รับการดูแลแผลอย่างถูกวิธีมักจะหายโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นถาวร อย่างไรก็ตามในบางกรณี โดยเฉพาะหากมีการเกา แกะ หรือแผลติดเชื้อแทรกซ้อน อาจทิ้งรอยแดง รอยดำ หรือแผลเป็นระยะยาวได้
หากมีรอยดำหรือแผลเป็นที่กังวล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการดูแลเพิ่มเติม
สำหรับผู้ที่มีอาการเริมที่จมูกเล็กน้อยและไม่ต้องการพบแพทย์ทันที อาจเลือกใช้ยาทาเฉพาะที่ (topical creams) เพื่อช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกผลิตภัณฑ์ต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะหากซื้อจากร้านขายยาทั่วไป
ตัวยา |
ประเภท |
วิธีใช้ |
---|---|---|
Acyclovir 5% cream |
ยาต้านไวรัส |
ทาวันละ 5 ครั้ง 4–5 วัน |
Penciclovir 1% cream |
ยาต้านไวรัส |
ทาทุก 2 ชั่วโมง ขณะตื่น |
สำคัญ: หากไม่แน่ใจว่าเป็นเริมหรือไม่ หรือมีอาการมาก ควรพบแพทย์ก่อนใช้ยาทาใด ๆ
เริมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเชื้อไวรัส HSV จะยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย แม้อาการจะหายแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม เราสามารถลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ (recurrence) ได้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
การดูแลอย่างต่อเนื่องในระยะยาวมีบทบาทสำคัญในการควบคุมโรคและลดความถี่ของการระบาด
แม้ว่าเริมที่จมูกส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาในโรงพยาบาล แต่ก็มีบางกรณีที่ควรรีบพบแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และประเมินแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
การได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็วสามารถลดความเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ เช่น ตา หรือระบบประสาทได้อย่างมาก
แม้ว่าเริมที่จมูกส่วนใหญ่มักหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีพฤติกรรมดูแลแผลไม่เหมาะสม อาจเกิดปัญหาตามมาได้ โดยภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจเกิดขึ้นทั้งบริเวณผิวหนังหรืออวัยวะอื่นที่เกี่ยวข้อง
การสังเกตอาการผิดปกติแต่เนิ่น ๆ และพบแพทย์เมื่อมีสัญญาณเตือน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก
เริมที่จมูกอาจดูเป็นเรื่องเล็กในสายตาหลายคน แต่ในมุมของแพทย์แล้ว หากดูแลไม่ถูกวิธีอาจนำไปสู่การระบาดซ้ำ หรือแม้แต่ภาวะแทรกซ้อนที่กระทบต่อดวงตาและระบบประสาทได้ แม้อาการมักจะหายเองได้ในคนสุขภาพดี แต่การรู้ทันโรคและดูแลอย่างถูกต้องถือเป็นกุญแจสำคัญ
“เริมอาจไม่ใช่โรคร้ายแรงในแง่การเสียชีวิต แต่ในมุมคุณภาพชีวิต หากปล่อยให้เป็นซ้ำบ่อย ๆ หรือไม่ดูแลให้ถูกต้อง อาจรบกวนชีวิตประจำวันอย่างมากได้”
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้