Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ซิฟิลิสขึ้นสมอง คืออะไร? อันตรายแค่ไหน เช็กอาการด่วน

ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคซิฟิลิสที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ถึงแม้ว่าซิฟิลิสจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาได้ แต่หากปล่อยให้ติดเชื้อเรื้อรังหรือรักษาไม่ครบ เชื้อ Treponema pallidum อาจแพร่เข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความผิดปกติที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสมองและร่างกาย

อาการของซิฟิลิสขึ้นสมองมีความหลากหลาย ตั้งแต่ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ซึมเศร้า ความจำเสื่อม ไปจนถึงอัมพาตหรือสูญเสียการมองเห็นได้ในบางราย การตรวจคัดกรองและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงเหล่านี้

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ซิฟิลิสขึ้นสมอง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา รวมถึงวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) คืออะไร?

ซิฟิลิสขึ้นสมอง หรือ Neurosyphilis เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum เชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของโรคซิฟิลิส โดยเมื่อการติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เชื้อสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ สมอง และ ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจ

Neurosyphilis สามารถเกิดได้ในทุกระยะของโรคซิฟิลิส โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ ไม่ได้รับการรักษา หรือ มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ภาวะนี้มีความรุนแรงและอาจส่งผลกระทบระยะยาวหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

การแพร่กระจายของเชื้อไปยังระบบประสาท

หลังการติดเชื้อซิฟิลิส เชื้อ Treponema pallidum สามารถเข้าสู่กระแสเลือด และแพร่กระจายไปยัง เยื่อหุ้มสมอง (meninges), สมอง และ ไขสันหลัง การลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ ระยะต้น หรืออาจใช้เวลานานหลายปี

ในบางราย Neurosyphilis อาจไม่มีอาการในช่วงแรก ทำให้ตรวจพบได้ยาก หากไม่ได้รับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ

ซิฟิลิสขึ้นสมองพบในระยะใดของโรค?

Neurosyphilis สามารถเกิดขึ้นได้ใน ทุกระยะ ของโรคซิฟิลิส ได้แก่

  • ซิฟิลิสระยะแรก (Early syphilis) ที่เชื้อเริ่มเข้าสู่ระบบประสาท
  • ซิฟิลิสระยะลุกลาม (Late syphilis) ซึ่งไม่ได้รับการรักษานานเกินไป
  • กลุ่มผู้ที่มี ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อ HIV
  • กลุ่มผู้ที่ ติดเชื้อซ้ำบ่อยครั้ง หรือได้รับการรักษาไม่ครบถ้วน

การเฝ้าระวังและตรวจหาเชื้อซิฟิลิสในระยะแรกเริ่มเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันการลุกลามไปสู่ระบบประสาท

ความสำคัญของการตรวจและติดตาม

การตรวจวินิจฉัย Neurosyphilis ให้เร็วที่สุด เป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงของ ความเสียหายต่อสมองและระบบประสาท ซึ่งในหลายกรณีอาจไม่สามารถย้อนกลับได้

การตรวจซิฟิลิสอย่างสม่ำเสมอ และการติดตามผลโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในอนาคต

ซิฟิลิสขึ้นสมองมีกี่ชนิด? อาการแต่ละแบบต่างกันอย่างไร?

ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) สามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด ตามตำแหน่งและลักษณะของระบบประสาทที่ได้รับผลกระทบ การจำแนกชนิดของโรคมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย

ซิฟิลิสขึ้นสมองแบบไม่มีอาการ (Asymptomatic Neurosyphilis)

ผู้ป่วยมักไม่มีอาการทางคลินิกชัดเจน แต่เมื่อตรวจน้ำไขสันหลัง (CSF) อาจพบ

  • จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ
  • ระดับโปรตีนใน CSF สูงขึ้น

หากไม่ได้รับการรักษา อาจพัฒนาไปสู่ระยะที่มีอาการรุนแรงขึ้นได้

ซิฟิลิสขึ้นสมองแบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningeal Neurosyphilis)

พบในระยะแรกของการติดเชื้อ โดยเชื้อจะทำให้เกิด การอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง อาการที่อาจพบ ได้แก่:

  • ปวดศีรษะรุนแรง
  • คอแข็ง
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ในบางรายอาจมี อาการชัก

ซิฟิลิสขึ้นสมองแบบเยื่อหุ้มสมองและหลอดเลือดอักเสบ (Meningovascular Neurosyphilis)

เชื้อซิฟิลิสทำให้เกิด การอักเสบของหลอดเลือดสมอง ส่งผลให้เกิดอาการคล้าย โรคหลอดเลือดสมอง เช่น

  • อ่อนแรงของแขนขา
  • พูดไม่ชัด
  • สูญเสียการทรงตัว

ซิฟิลิสขึ้นสมองแบบพาเรซิสทั่วไป (General Paresis)

เชื้อซิฟิลิสทำลายเนื้อเยื่อสมองโดยตรง ทำให้เกิด

  • ความผิดปกติด้านความคิดและบุคลิกภาพ
  • ความจำเสื่อม
  • สูญเสียความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน
  • อาการทางจิต ในบางราย

ซิฟิลิสขึ้นสมองแบบเยื่อหุ้มไขสันหลังเสื่อม (Tabes Dorsalis)

เชื้อทำลาย เส้นประสาทไขสันหลังส่วนหลัง ส่งผลให้เกิด:

  • สูญเสียการรับรู้ตำแหน่งร่างกาย (Proprioception)
  • เดินเซ
  • ปวดเสียวแปล๊บเป็นพัก ๆ
  • สูญเสียการควบคุมการขับถ่าย

ความสำคัญของการจำแนกชนิดของซิฟิลิสขึ้นสมอง

การแยกชนิดของ Neurosyphilis ช่วยให้แพทย์สามารถ

  • วางแผนการตรวจเพิ่มเติมที่เหมาะสม
  • กำหนดแนวทางการรักษาที่ตรงกับอาการของผู้ป่วย
  • ประเมินความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

อาการของซิฟิลิสขึ้นสมองมีอะไรบ้าง?

ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) สามารถแสดงอาการได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและระดับความรุนแรง
ในบางกรณีอาจเริ่มจากอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง ทำให้ผู้ป่วยหรือแพทย์ทั่วไปอาจไม่ทันสังเกต ดังนั้นการรู้จัก อาการที่พบบ่อย ของโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

อาการทางระบบประสาท

  • ปวดศีรษะเรื้อรัง
  • เวียนศีรษะ
  • คอแข็ง
  • อาการชัก
  • สูญเสียการทรงตัว
  • เดินเซ
  • สูญเสียความรู้สึกบางส่วน

อาการทางการรับรู้และจิตใจ

  • ความจำเสื่อม
  • สับสน
  • สมาธิสั้น
  • เปลี่ยนบุคลิกภาพ
  • มีพฤติกรรมผิดปกติ
  • ซึมเศร้า
  • วิตกกังวล

อาการคล้ายโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke-like symptoms)

  • อ่อนแรงของแขนขา
  • พูดไม่ชัด
  • กลืนลำบาก
  • สูญเสียการรับรู้ตำแหน่งร่างกาย

อาการอื่น ๆ ที่อาจพบ

  • ปวดเสียวแปล๊บตามแขน ขา หรือใบหน้า
  • สูญเสียการควบคุมปัสสาวะหรืออุจจาระ
  • ปัญหาการมองเห็น (ในบางกรณีพบร่วมกับซิฟิลิสที่ตา)

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อซิฟิลิสขึ้นสมอง?

แม้ว่า ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ติดเชื้อซิฟิลิสทุกคน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงในการที่เชื้อจะแพร่เข้าสู่ ระบบประสาทส่วนกลาง

การทราบว่ากลุ่มใดมีความเสี่ยงสูง จะช่วยให้สามารถเฝ้าระวังและเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะแรก

ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสและไม่ได้รับการรักษา

ผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสแล้ว ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง หรือไม่ได้รักษาจนครบ มีความเสี่ยงสูงมากที่เชื้อจะลุกลามเข้าสู่สมองและระบบประสาท

ผู้ติดเชื้อ HIV

  • การมี ภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้เชื้อ Treponema pallidum สามารถแพร่กระจายเข้าสู่สมองได้ง่ายขึ้น
  • ผู้ติดเชื้อ HIV ที่เป็นซิฟิลิส มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป ในการเกิด Neurosyphilis

ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM)

  • การศึกษาพบว่า MSM เป็นกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อซิฟิลิสและ Neurosyphilis สูงขึ้นอย่างชัดเจน
  • เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากการที่ซิฟิลิสในกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะถูกตรวจพบและรักษาช้ากว่ากลุ่มอื่น

ผู้ที่มีการติดเชื้อซิฟิลิสซ้ำบ่อยครั้ง

  • การติดเชื้อซิฟิลิสซ้ำหลายรอบ หรือมีประวัติ ซิฟิลิสเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงที่เชื้อจะสะสมและลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทได้มากขึ้น

ผู้ที่มีการตอบสนองต่อการรักษาไม่ดี

  • แม้ว่าจะได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้ว แต่หาก เชื้อไม่ถูกกำจัดหมด หรือการตอบสนองต่อยาต่ำ
    อาจทำให้เชื้อคงอยู่และก่อให้เกิด Neurosyphilis ได้ในอนาคต

วิธีตรวจซิฟิลิสขึ้นสมองทำอย่างไร? (CSF‑VDRL, เจาะหลัง, MRI)

การวินิจฉัย ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) จำเป็นต้องใช้การตรวจเฉพาะทาง เนื่องจากอาการของโรคมีความหลากหลายและอาจคล้ายกับโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท

กระบวนการตรวจจะเริ่มตั้งแต่การ ซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ หากมีข้อสงสัยว่าเชื้อซิฟิลิสได้แพร่เข้าสู่ระบบประสาท จะต้องดำเนินการตรวจเพิ่มเติมดังนี้

การตรวจเลือด

  • เริ่มจากการตรวจหาเชื้อซิฟิลิสในเลือด ด้วยการตรวจเชิงภูมิคุ้มกัน เช่น
    • VDRL (Venereal Disease Research Laboratory test)
    • RPR (Rapid Plasma Reagin)
    • TPHA / FTA-ABS (Treponemal tests)

ผลเลือดบวก ร่วมกับอาการทางระบบประสาท จะเป็นข้อบ่งชี้ให้ทำการตรวจขั้นต่อไป

การเจาะหลัง (Lumbar Puncture)

เป็นวิธีหลักในการวินิจฉัย Neurosyphilis โดยการเก็บ น้ำไขสันหลัง (CSF) มาตรวจ

  • CSF-VDRL
    • → การตรวจหาแอนติบอดีซิฟิลิสในน้ำไขสันหลัง
    • → เป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการติดเชื้อในระบบประสาท
  • จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว → มักพบว่ามีระดับสูงกว่าปกติ
  • ระดับโปรตีนใน CSF → เพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีการอักเสบ
  • ระดับน้ำตาลใน CSF → อาจลดลงในบางราย

การตรวจภาพทางรังสี (Neuroimaging)

ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาใช้การตรวจ MRI หรือ CT Scan เพื่อช่วยประเมินความเสียหายของสมองหรือเส้นประสาทที่อาจเกิดจาก Neurosyphilis

  • MRI → มีความไวสูงในการตรวจพบการอักเสบหรือความผิดปกติของเนื้อเยื่อสมอง
  • CT Scan → ใช้ในกรณีที่ MRI ไม่สามารถทำได้ หรือใช้เพื่อประเมินร่วม

การประเมินทางคลินิกอื่น ๆ

นอกจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการ แพทย์จะทำการ

  • ตรวจร่างกายระบบประสาทโดยละเอียด
  • ประเมินสภาพจิตใจและความสามารถทางการรับรู้
  • ติดตามผลการรักษาหลังเริ่มใช้ยา

ซิฟิลิสขึ้นสมองรักษาอย่างไร? ใช้ยาอะไร?

ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) สามารถรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาอย่างทันท่วงที เป้าหมายของการรักษาคือ กำจัดเชื้อซิฟิลิสออกจากระบบประสาท และ ลดความเสี่ยงของความเสียหายถาวร

แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับ แนวทางสากล (เช่น CDC, WHO) และการพิจารณาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ยาหลักที่ใช้รักษา

การรักษา Neurosyphilis ต้องใช้ ยาปฏิชีวนะที่สามารถผ่านเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • Penicillin G sodium (IV)
    • ฉีดเข้าเส้นเลือด (IV)
    • ขนาด 18–24 ล้านยูนิต/วัน → โดยแบ่งฉีดทุก 4 ชั่วโมง หรือแบบ Continuous Infusion
    • ระยะเวลา 10–14 วัน
    • เป็นแนวทางการรักษามาตรฐานที่แนะนำโดย CDC

ทางเลือกในกรณีแพ้ Penicillin

ในกรณีที่ผู้ป่วย แพ้ Penicillin อาจพิจารณาใช้

  • Ceftriaxone (IV)
    • ขนาด 2 กรัม/วัน
    • ระยะเวลา 10–14 วัน
    • มีข้อมูลสนับสนุนว่าเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ
  • หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือ Desensitization → ทำให้ร่างกายสามารถรับ Penicillin ได้ และกลับไปใช้ Penicillin เป็นยาหลัก

การติดตามผลหลังการรักษา

หลังจากสิ้นสุดการรักษา จำเป็นต้องมี การติดตามผลอย่างใกล้ชิด

  • ตรวจ CSF ซ้ำ → เพื่อประเมินว่าการอักเสบลดลงหรือไม่
  • ประเมินอาการทางระบบประสาท อย่างต่อเนื่อง
  • ติดตามผลเลือด VDRL/RPR เพื่อตรวจการตอบสนองของการรักษา

ระยะเวลาการฟื้นตัว

  • การฟื้นตัวของอาการขึ้นอยู่กับ ความรุนแรงของโรคก่อนเริ่มรักษา
  • อาการบางอย่าง เช่น ปวดหัว เดินเซ ความจำเสื่อม อาจดีขึ้นภายในไม่กี่เดือน แต่หากมีความเสียหายถาวรแล้ว → อาจไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่

อาการ Jarisch‑Herxheimer Reaction คืออะไร?

หนึ่งในอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังเริ่มรักษา ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) ด้วยยาปฏิชีวนะ คือ Jarisch‑Herxheimer Reaction เป็น ภาวะตอบสนองของร่างกายต่อการตายของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเริ่มใช้ยา

แม้ว่าภาวะนี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบาย แต่โดยทั่วไปถือเป็น อาการชั่วคราว และ ไม่ถือว่าเป็นการแพ้ยา

สาเหตุของ Jarisch‑Herxheimer Reaction

  • เกิดจาก การสลายตัวอย่างรวดเร็วของเชื้อ Treponema pallidum
    เมื่อได้รับยาปฏิชีวนะ
  • การปล่อย สารพิษและโปรตีนจากเชื้อ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองอย่างรวดเร็ว → เกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่

อาการที่พบบ่อย

  • ไข้สูง
  • หนาวสั่น
  • ปวดหัว
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • เหงื่อออก
  • ความดันโลหิตต่ำ (ในบางราย)
  • ใจสั่น

โดยทั่วไปอาการจะเริ่มภายใน 1–2 ชั่วโมง หลังเริ่มฉีดยา และ หายได้เองภายใน 12–24 ชั่วโมง

การดูแลเมื่อเกิด Jarisch‑Herxheimer Reaction

  • แพทย์จะ เฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในผู้ป่วย Neurosyphilis ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทอยู่แล้ว
  • อาจให้ยา ลดไข้ (Paracetamol) และ ยาแก้ปวด เพื่อลดความรุนแรงของอาการ
  • การหยุดการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ไม่แนะนำ → เพราะอาการจะหายไปเอ

ข้อควรระวัง

  • ในผู้ป่วย Neurosyphilis ระยะรุนแรง หรือผู้มี โรคประจำตัว อาการ Jarisch‑Herxheimer Reaction อาจกระตุ้นให้อาการทางระบบประสาทแย่ลงชั่วคราว จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ซิฟิลิสขึ้นสมองมีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง? (Stroke, Dementia, Blindness)

ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจก่อให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และ ความเสียหายถาวร ต่อระบบประสาท

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับ ชนิดของ Neurosyphilis และระยะเวลาที่โรคดำเนินไปโดยไม่ถูกควบคุม

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

  • การอักเสบของ หลอดเลือดในสมอง (Meningovascular Neurosyphilis) อาจทำให้เกิด ลิ่มเลือดอุดตัน ส่งผลให้เกิด ภาวะโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
  • ผู้ป่วยอาจมีอาการ
    • อ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตครึ่งซีก
    • สูญเสียการพูด
    • สูญเสียการทรงตัวอย่างถาวร

ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)

  • General Paresis ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ ภาวะสมองเสื่อมถาวร
  • อาการที่พบได้
    • ความจำเสื่อมระยะสั้นและระยะยาว
    • ความสามารถในการคิด การตัดสินใจลดลง
    • การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ
    • ภาวะซึมเศร้าเรื้อรังร่วมด้วย

การสูญเสียการมองเห็น (Blindness)

  • ในกรณีที่มี ซิฟิลิสขึ้นสมองร่วมกับซิฟิลิสที่ตา (Ocular Syphilis) หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิด
    • การอักเสบของเส้นประสาทตา (Optic neuritis)
    • การเสื่อมของจอประสาทตา (Retinal degeneration)
    • สูญเสียการมองเห็นถาวร

การสูญเสียการได้ยิน (Hearing Loss)

  • การอักเสบของ เส้นประสาทหู (Auditory nerve) อาจทำให้เกิด
    • สูญเสียการได้ยินแบบถาวร
    • หูอื้อ
    • เวียนศีรษะ

ภาวะอื่น ๆ

  • ปวดแปล๊บเรื้อรัง → จากความเสียหายของเส้นประสาท (เช่นใน Tabes Dorsalis)
  • สูญเสียการควบคุมการขับถ่าย
  • สูญเสียการรับรู้ตำแหน่งร่างกาย
  • สูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างอิสระ

ผลลัพธ์หลังรักษาซิฟิลิสขึ้นสมองเป็นอย่างไร? จะกลับมาเป็นซ้ำไหม?

ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาเร็ว มีโอกาสสูงที่จะควบคุมโรคได้สำเร็จ และลดความเสี่ยงของความเสียหายถาวร

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการรักษาขึ้นอยู่กับ ระยะของโรค และ ความรุนแรงของอาการก่อนเริ่มรักษา นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่โรคจะ กลับมาเป็นซ้ำ ในบางกรณี → ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด

โอกาสในการฟื้นตัว

  • ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาเร็ว → โดยเฉพาะในระยะ Asymptomatic หรือ Meningeal neurosyphilis → มักฟื้นตัวได้ดี
  • อาการเช่น
    • ปวดศีรษะ
    • เดินเซ
    • ปัญหาด้านความคิดและอารมณ์ → มัก ดีขึ้นภายใน 3–6 เดือน หลังการรักษา

ความเสี่ยงของความเสียหายถาวร

  • ผู้ป่วยที่มี General paresis หรือ Tabes dorsalis → มีโอกาสเกิดความเสียหายถาวรสูงกว่า
  • อาการที่อาจไม่หายสนิท
    • ภาวะสมองเสื่อมบางส่วน
    • สูญเสียการมองเห็น/การได้ยิน
    • สูญเสียความสามารถในการทรงตัวถาวร

โอกาสกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrence)

  • แม้ได้รับการรักษาแล้ว ยังมีโอกาสเกิดการกลับเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม:
    • ผู้ติดเชื้อ HIV
    • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
    • ผู้ที่มีการติดเชื้อซิฟิลิสซ้ำในอนาคต
  • การติดตามผลเป็นระยะจึงมีความสำคัญมาก → เพื่อตรวจจับการกลับเป็นซ้ำตั้งแต่ระยะแรก

การติดตามผลหลังรักษา

  • ตรวจ CSF ซ้ำ → ทุก 6 เดือน หรือจนกว่า CSF จะกลับเป็นปกติ
  • ติดตามอาการทางระบบประสาท
  • ตรวจเลือด VDRL/RPR → ดูแนวโน้มของระดับ Antibody

แพทย์จะพิจารณาแนวทางการติดตามเป็นรายบุคคล ตามความรุนแรงและความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย

ป้องกันซิฟิลิสขึ้นสมองอย่างไร? ต้องทำอะไรบ้าง?

แม้ว่า ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) จะสามารถรักษาได้ แต่ การป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยง ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และ ความเสียหายต่อระบบประสาท

การป้องกัน Neurosyphilis เริ่มตั้งแต่ การป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิส → ไปจนถึง การตรวจคัดกรองและรักษาตั้งแต่ระยะต้น

1. ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ

  • การใช้ ถุงยางอนามัย อย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อซิฟิลิสได้อย่างมาก
  • ควรใช้ถุงยางอนามัยทั้งในกรณี มีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก

2. ตรวจคัดกรองซิฟิลิสเป็นประจำ

  • ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น
    • เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • มีคู่นอนที่ไม่ได้ตรวจซิฟิลิส
    • เป็น MSM (ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย) หรือ ผู้ติดเชื้อ HIV ควรเข้ารับ การตรวจคัดกรองซิฟิลิสอย่างน้อยปีละ 1–2 ครั้ง
  • การตรวจพบซิฟิลิส ในระยะแรกสุด ช่วยลดความเสี่ยงที่เชื้อจะลุกลามเข้าสู่ระบบประสาท

3. เข้ารับการรักษาอย่างครบถ้วน

  • หากตรวจพบว่าติดเชื้อซิฟิลิส → ควรเข้ารับ การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ ปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างครบถ้วน
  • ไม่ควรหยุดยาเอง หรือเว้นการนัดติดตาม → เพราะการรักษาไม่ครบจะเพิ่มความเสี่ยงของ Neurosyphilis

4. ตรวจติดตามหลังรักษา

  • แม้รักษาซิฟิลิสแล้ว ควรตรวจ ติดตามผลเลือด VDRL/RPR เป็นระยะ เพื่อตรวจดูว่าเชื้อถูกกำจัดหมดหรือไม่ → หากพบค่าผิดปกติ → แพทย์จะพิจารณาตรวจ CSF เพิ่มเติม เพื่อป้องกัน Neurosyphilis

5. ปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติ

  • หากมี อาการผิดปกติทางระบบประสาท เช่น
    • ปวดศีรษะเรื้อรัง
    • เดินเซ
    • ความจำเสื่อม
    • ปัญหาการมองเห็นหรือการได้ยิน ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ Neurosyphilis

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับซิฟิลิสขึ้นสมอง

การติดเชื้อ ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) ยังเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัย และมักเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ต่อไปนี้เป็น คำถามที่พบบ่อย ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจโรคนี้ได้ถูกต้องมากขึ้น

ซิฟิลิสขึ้นสมองสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

  • หากตรวจพบและเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะต้น → มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูง
  • แต่หากปล่อยให้เชื้อลุกลามจนเกิด ความเสียหายถาวรต่อระบบประสาท → อาการบางอย่างอาจไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ → ดังนั้นการตรวจและรักษาแต่เนิ่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก

ซิฟิลิสขึ้นสมองเกิดเฉพาะในผู้ติดเชื้อ HIV หรือไม่?

  • ไม่ใช่เฉพาะผู้ติดเชื้อ HIV
  • คนทั่วไปที่ติดเชื้อซิฟิลิส หากไม่ได้รับการรักษา → ก็มีโอกาสเกิด Neurosyphilis ได้เช่นกัน → แต่ในผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ → มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น

ถ้าเคยรักษาซิฟิลิสแล้ว ยังมีโอกาสเป็นซิฟิลิสขึ้นสมองอีกไหม?

  • หาก รักษาไม่ครบ หรือเกิด การติดเชื้อซ้ำในอนาคต → ยังมีโอกาสเกิด Neurosyphilis ได้
  • จึงควร ตรวจติดตามผลเลือด อย่างสม่ำเสมอ แม้จะเคยรักษาซิฟิลิสไปแล้ว

ซิฟิลิสขึ้นสมองติดต่อได้หรือไม่?

  • Neurosyphilis ไม่ใช่โรคติดต่อโดยตรง
  • การติดต่อเกิดจากเชื้อ Treponema pallidum ซึ่งอยู่ในระยะซิฟิลิส → ติดต่อผ่าน การมีเพศสัมพันธ์ หรือ การสัมผัสกับแผลติดเชื้อ
  • หากเชื้อลุกลามเข้าไปในสมองแล้ว → ส่วนที่เรียกว่า “ซิฟิลิสขึ้นสมอง” จะไม่ติดต่อจากการสัมผัสปกติ

ถ้าสงสัยว่าตัวเองมีความเสี่ยง ควรทำอย่างไร?

  • ควรรีบ เข้ารับการตรวจซิฟิลิสกับแพทย์เฉพาะทาง
  • หากมีอาการทางระบบประสาท → แพทย์จะพิจารณา ตรวจน้ำไขสันหลัง (CSF) เพิ่มเติม → การตรวจพบเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงของความเสียหายถาวรได้มาก

บทสรุป

ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้ หากได้รับการตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ การเข้ารับการตรวจคัดกรองซิฟิลิสเป็นประจำ และการรักษาอย่างครบถ้วนภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท

หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว การดูแลตัวเองอย่างใส่ใจตั้งแต่วันนี้ จะช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพในอนาคต และช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปได้อย่างยั่งยืน

icon email