Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 - 20:30

โรคซิฟิลิสที่ตา เช็กลักษณะอาการ รีบรักษาก่อนตาบอด!

อาการผิดปกติทางตา เช่น ตาแดง ตามัว หรือแสบตา เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่โรคตาทั่วไปอย่างเยื่อบุตาอักเสบ ไปจนถึงโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท อย่าง “โรคซิฟิลิสที่ตา” ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนไม่เคยคาดคิด

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า โรคซิฟิลิสที่ตามีลักษณะอย่างไร และแตกต่างจากโรคตาอื่นอย่างไร เพื่อให้สามารถสังเกตและแยกแยะอาการได้อย่างถูกต้อง และตัดสินใจเข้าพบแพทย์ได้ทันท่วงที

โรคซิฟิลิสที่ตาคืออะไร?

โรคซิฟิลิสที่ตา (Ocular Syphilis) คือภาวะแทรกซ้อนจากโรคซิฟิลิส ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่แพร่กระจายเข้าสู่ระบบประสาทและดวงตา โดยสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระยะของโรค แต่พบได้บ่อยในระยะที่สองหรือระยะแฝง (latent stage)

โรคนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในคนทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย

โรคซิฟิลิสที่ตาสามารถส่งผลต่ออวัยวะหลายส่วนของตา เช่น จอตา ม่านตา เส้นประสาทตา หรือแม้แต่เยื่อบุตา และอาจทำให้การมองเห็นลดลงหรือตาบอดได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

แม้จะเป็นภาวะที่พบได้น้อยเมื่อเทียบกับซิฟิลิสทั่วไป แต่ความรุนแรงของผลกระทบต่อการมองเห็น ทำให้โรคซิฟิลิสที่ตาถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางจักษุแพทย์ที่ไม่ควรมองข้าม

โรคซิฟิลิสที่ตาอันตรายแค่ไหน?

โรคซิฟิลิสที่ตาเป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum สามารถทำลายโครงสร้างสำคัญของดวงตา เช่น เส้นประสาทตา และจอตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีบทบาทหลักในการรับภาพ

อันตรายของโรคซิฟิลิสที่ตาอยู่ที่การดำเนินโรคที่อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยหลายรายละเลยหรือไม่รู้ตัวว่ามีการติดเชื้อ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่ตา จนเกิดความเสียหายอย่างถาวร

ยิ่งไปกว่านั้น การติดเชื้อที่ดวงตาอาจเป็นสัญญาณว่าเชื้อได้ลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทกลางแล้ว ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า Neurosyphilis และมีความเกี่ยวข้องกับโรคซิฟิลิสที่ตาในหลายกรณี

ดังนั้น โรคซิฟิลิสที่ตาจึงไม่ใช่แค่โรคตา แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพระบบประสาทที่ต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยด่วน

อาการของโรคซิฟิลิสที่ตาเป็นอย่างไร?

โรคซิฟิลิสที่ตาสามารถแสดงอาการได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงตาที่ติดเชื้อ โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ตาแดง อักเสบ
  • ตามัว มองเห็นไม่ชัดในบางช่วงเวลา
  • มองเห็นแสงแฟลช หรือจุดดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา
  • ปวดในลูกตาหรือรอบเบ้าตา โดยเฉพาะเวลาขยับลูกตา
  • ไวต่อแสง (photophobia)
  • สูญเสียการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน (เฉพาะบางราย)

ลักษณะอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป และอาจเกิดขึ้นกับตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคตาอื่น เช่น เยื่อบุตาอักเสบ, ยูเวียอักเสบ หรือแม้แต่เส้นประสาทตาอักเสบจากสาเหตุอื่น

ผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการเจ็บตาชัดเจน แต่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากปล่อยไว้อาจพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรง เช่น ตาบอดถาวรได้

ตาแดง/ตาพร่ามัว อาจเป็นซิฟิลิสหรือเปล่า?

ตาแดงหรือการมองเห็นพร่ามัวเป็นอาการที่พบได้บ่อยจากหลายสาเหตุ เช่น ภูมิแพ้ การติดเชื้อ หรือแม้แต่ความล้าในดวงตา อย่างไรก็ตาม หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นร่วมกับพฤติกรรมเสี่ยง เช่น เคยติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือมีประวัติเป็นซิฟิลิสมาก่อน ควรระวังว่าอาจเป็นสัญญาณของ “โรคซิฟิลิสที่ตา” ได้

อาการที่ควรตั้งข้อสงสัยว่าตาแดงหรือพร่ามัวนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ ได้แก่

  • อาการที่ไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาหยอดตาทั่วไป
  • ตามัวที่เป็นเฉพาะบางเวลา เช่น ตอนเช้าหรือหลังจากพักผ่อน
  • ตาแดงที่ไม่มีอาการคันหรือไม่มีขี้ตาแบบที่พบในภูมิแพ้
  • มีประวัติเป็นซิฟิลิส หรือโรคติดต่ออื่นๆ มาก่อน
  • มีอาการร่วมอื่น เช่น ปวดตา แสงจ้าทำให้ระคายตา

หากคุณมีอาการเหล่านี้ และอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรเข้าพบจักษุแพทย์หรือแพทย์โรคติดต่อเพื่อประเมินโดยละเอียด เพราะการปล่อยให้อาการลุกลาม อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้

ใครบ้างที่เสี่ยงซิฟิลิสขึ้นตา?

แม้ว่าซิฟิลิสจะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ดวงตา เช่น “โรคซิฟิลิสที่ตา” โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยดังต่อไปนี้:

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นซิฟิลิสในอดีต โดยเฉพาะหากไม่เคยรักษาจนหายขาด
  • ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM: Men who have sex with men) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราพบซิฟิลิสสูงในปัจจุบัน
  • ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
  • ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Neurosyphilis (ซิฟิลิสที่มีการลุกลามเข้าสู่ระบบประสาท)

สิ่งสำคัญคือ แม้ไม่มีอาการผิดปกติที่ดวงตา ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ เพราะโรคซิฟิลิสที่ตาสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ไม่มีอาการทางระบบอื่นเลย

โรคซิฟิลิสที่ตาเจอบ่อยไหม?

แม้โรคซิฟิลิสที่ตาจะจัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับซิฟิลิสในระบบอื่น ๆ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับดวงตาจากโรคซิฟิลิสกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV และกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)

จากรายงานของ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า มีการรายงานผู้ป่วย ocular syphilis เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยหลายรายมีอาการตาพร่ามัวและตาอักเสบรุนแรง ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลให้ตาบอดถาวรได้

สำหรับในประเทศไทย แม้จะยังไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับโรคซิฟิลิสที่ตา แต่จากแนวโน้มของผู้ป่วยซิฟิลิสที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานและกลุ่มเสี่ยงทางเพศ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ภาวะนี้จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

โรคซิฟิลิสที่ตาแม้จะพบไม่บ่อย แต่เป็นภาวะที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและไม่ควรถูกมองข้าม โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย

การตรวจโรคซิฟิลิสที่ตาทำอย่างไร?

การตรวจโรคซิฟิลิสที่ตา จำเป็นต้องใช้ทั้งการซักประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกายทางตา และการตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกัน เพื่อยืนยันว่าการอักเสบหรือความผิดปกติในดวงตานั้นมีสาเหตุมาจากเชื้อ Treponema pallidum หรือไม่

ขั้นตอนการตรวจ

  • การตรวจตาด้วยเครื่องมือจักษุแพทย์ (Ophthalmic Examination): แพทย์จะใช้เครื่องมือเฉพาะทาง เช่น slit-lamp หรือ ophthalmoscope เพื่อตรวจสอบสภาพม่านตา จอตา เส้นประสาทตา และโครงสร้างภายในดวงตา
  • การตรวจเลือดหาเชื้อซิฟิลิส: รวมถึงการตรวจแบบไม่เฉพาะเจาะจง (non-treponemal tests เช่น RPR หรือ VDRL) และการตรวจแบบเฉพาะเจาะจง (treponemal tests เช่น TPHA หรือ FTA-ABS) เพื่อยืนยันว่ามีการติดเชื้อซิฟิลิสในร่างกาย
  • การเจาะน้ำไขสันหลัง (ในบางกรณี): หากแพทย์สงสัยว่ามีการลุกลามเข้าสู่ระบบประสาท (neurosyphilis) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับโรคซิฟิลิสที่ตา อาจต้องตรวจน้ำไขสันหลังร่วมด้วย
  • การส่งตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ ตามความจำเป็น: เช่น การถ่ายภาพจอประสาทตา (fundus photography) หรือการตรวจวัดสนามการมองเห็น (visual field test)

เนื่องจากโรคซิฟิลิสที่ตาสามารถเลียนแบบอาการของโรคตาอื่นได้หลายชนิด การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจร่วมกันหลายวิธี และควรดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาและโรคติดต่อโดยเฉพาะ

การรักษาโรคซิฟิลิสที่ตาทำอย่างไร?

การรักษาโรคซิฟิลิสที่ตามีเป้าหมายหลักเพื่อกำจัดเชื้อ Treponema pallidum และป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร โดยแนวทางการรักษาหลักคือการใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับการแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา (CDC)

  • ยาฉีด Penicillin G (Benzylpenicillin): ใช้ในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (IV) ขนาด 18–24 ล้านยูนิตต่อวัน แบ่งฉีดทุก 4 ชั่วโมง ติดต่อกันอย่างน้อย 10–14 วัน
  • ผู้แพ้ Penicillin: ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้ยา อาจต้องพิจารณาทำ desensitization เพื่อให้สามารถใช้ยาได้ หรือใช้ยาทางเลือกอื่น เช่น Ceftriaxone ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • การดูแลร่วมกับจักษุแพทย์: เนื่องจากโรคซิฟิลิสที่ตาอาจเกี่ยวข้องกับหลายโครงสร้างภายในดวงตา แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยาจำเป็นต้องประเมินอาการและติดตามผลอย่างใกล้ชิด
  • ติดตามอาการหลังการรักษา: ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจซ้ำเป็นระยะ เช่น ตรวจสายตา ตรวจเลือด และอาจรวมถึงการเจาะน้ำไขสันหลังซ้ำในบางราย เพื่อประเมินว่าการรักษาได้ผลหรือไม่

หลังรักษาโรคซิฟิลิสที่ตา ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

แม้การรักษาโรคซิฟิลิสที่ตาด้วยยาปฏิชีวนะจะช่วยกำจัดเชื้อได้สำเร็จในหลายกรณี แต่การดูแลตัวเองหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อซ้ำ และสามารถฟื้นฟูการมองเห็นได้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

  • ตรวจติดตามตามนัดอย่างเคร่งครัด: รวมถึงการตรวจสายตา, การตรวจเลือดซ้ำเพื่อติดตามค่าภูมิคุ้มกัน และอาจรวมถึงการเจาะน้ำไขสันหลังซ้ำในรายที่มีภาวะ neurosyphilis
  • หลีกเลี่ยงแสงจ้าและกิจกรรมที่ใช้สายตามาก: โดยเฉพาะช่วง 1–2 สัปดาห์แรกหลังรักษา เพื่อป้องกันการกระตุ้นการอักเสบซ้ำ
  • ดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง: นอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์หรือสารเสพติด
  • งดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศชั่วคราว: เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย ควรหลีกเลี่ยงอย่างน้อย 3 เดือนหลังการรักษา และตรวจซ้ำก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง

โรคซิฟิลิสที่ตาสามารถป้องกันได้ไหม?

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์: โดยเฉพาะกับคู่นอนที่ไม่ทราบประวัติทางสุขภาพ
  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ: อย่างน้อยทุก 6–12 เดือน โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคนพร้อมกัน: หรืออย่างน้อยควรพูดคุยและตรวจสุขภาพร่วมกันก่อนเริ่มความสัมพันธ์
  • หากเคยติดซิฟิลิสมาก่อน ควรตรวจติดตามผลตามแพทย์นัด: เพื่อยืนยันว่าการรักษาได้ผล และไม่มีการติดเชื้อซ้ำ
  • สังเกตความผิดปกติของดวงตาเสมอ: เช่น ตามัว ตาแดง แสบตา หรือไวต่อแสง หากเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์
  • ไม่สัมผัสตาโดยไม่ล้างมือ หากมีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง: เพราะเชื้อสามารถแพร่ผ่านของเหลวจากร่างกายได้

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคซิฟิลิสที่ตา

  • “ซิฟิลิสขึ้นตา ต้องเป็นเอดส์เท่านั้นถึงจะเป็นได้”
    ความจริง: โรคซิฟิลิสที่ตาสามารถเกิดได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ โดยไม่จำเป็นต้องติดเชื้อ HIV แม้ผู้ที่มี HIV จะมีความเสี่ยงมากกว่า
  • “ตาแดงหรือพร่ามัวไม่น่าเกี่ยวกับโรคทางเพศ”
    ความจริง: ตาอาจเป็นหนึ่งในอวัยวะแรกๆ ที่แสดงอาการของซิฟิลิสในบางราย โดยเฉพาะในระยะที่เชื้อลุกลาม
  • “ถ้าไม่มีแผลที่อวัยวะเพศ แสดงว่าไม่ติดซิฟิลิส”
    ความจริง: ซิฟิลิสสามารถเข้าสู่ระยะแฝงโดยไม่มีอาการ และแสดงออกผ่านอวัยวะอื่น เช่น ดวงตา หรือระบบประสาท
  • “ซิฟิลิสหายเองได้ ไม่ต้องรักษา”
    ความจริง: แม้บางคนอาจไม่มีอาการ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถลุกลามจนเกิดโรคซิฟิลิสที่ตาหรือระบบประสาทได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

อาการแบบไหน ‘ต้องรีบ’ พบแพทย์โดยด่วน?

  • มองเห็นภาพพร่ามัวลงอย่างรวดเร็ว หรือแย่ลงภายในไม่กี่วัน
  • เห็นจุดดำ แสงวาบ หรือเงาดำเคลื่อนไหวในตา อย่างเฉียบพลัน
  • มีอาการปวดตารุนแรงหรือปวดเบ้าตา โดยเฉพาะขณะกลอกตา
  • ตามัวข้างเดียวแบบไม่มีสาเหตุชัดเจน และไม่ดีขึ้นแม้พักสายตา
  • มีอาการไวต่อแสงผิดปกติ รู้สึกแสบหรือเคืองตามากเมื่ออยู่ในที่สว่าง
  • อาการทางตาร่วมกับมีประวัติเป็นซิฟิลิส หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง

หากมีหนึ่งในอาการข้างต้น ไม่ควรรอดูอาการ แต่ควรรีบพบ จักษุแพทย์ หรือ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้การติดเชื้อลุกลามไปยังจอตา เส้นประสาทตา หรือระบบประสาทส่วนกลาง

รักษาโรคซิฟิลิสที่ตา ที่ไหนดี?

เมื่อคุณเริ่มมีอาการผิดปกติที่ดวงตา เช่น ตาแดง ตามัว ปวดตา และมีประวัติเสี่ยงทางเพศ หรือเคยติดเชื้อซิฟิลิสมาก่อน ควรเลือกสถานพยาบาลที่มีทั้ง แพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดต่อ

ที่ Safe Clinic เรามีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ตรงในการดูแลผู้ป่วยซิฟิลิส โดยเฉพาะเคสที่มีความซับซ้อน เช่น การลุกลามของเชื้อเข้าสู่ตาและระบบประสาท เราให้บริการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำและปลอดภัย พร้อมดูแลคุณอย่างเป็นส่วนตัว ด้วยแนวทางการรักษาที่อิงตามมาตรฐานสากล (CDC / WHO)

บริการของเราครอบคลุมทั้ง

  • การตรวจซิฟิลิสด้วยชุดตรวจมาตรฐาน
  • การประเมินอาการทางตาร่วมกับจักษุแพทย์พันธมิตร
  • การฉีดยา Penicillin โดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ
  • การติดตามอาการหลังรักษาอย่างต่อเนื่อง
  • ให้คำแนะนำและป้องกันการติดเชื้อซ้ำในระยะยาว

สรุป

โรคซิฟิลิสที่ตาเป็นภาวะที่สามารถเลียนแบบอาการของโรคตาอื่นได้หลายชนิด จึงมีความเสี่ยงต่อการวินิจฉัยผิดหรือล่าช้า หากไม่สังเกตความแตกต่างอย่างละเอียด โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีประวัติเคยติดเชื้อซิฟิลิส

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างโรคซิฟิลิสที่ตากับโรคตาทั่วไป จะช่วยให้คุณตัดสินใจเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทางได้อย่างรวดเร็ว และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว

icon email