“ผื่นไม่คัน ไม่เจ็บ แต่ขึ้นฝ่ามือ ฝ่าเท้า” อาจฟังดูไม่น่ากังวล แต่ในทางการแพทย์แล้วนี่อาจเป็นสัญญาณของ ซิฟิลิสระยะที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อกำลังแพร่กระจายทั่วร่างกายอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการรุนแรง
หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ เพราะผื่นหายเองได้ แต่เชื้อยังคงอยู่และพร้อมลุกลามหากไม่รักษา บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ ลักษณะผื่นซิฟิลิส การแยกแยะจากผื่นอื่นๆ วิธีวินิจฉัย การรักษา และการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณรักษาได้ทันท่วงที
ผื่นซิฟิลิส คืออาการทางผิวหนังที่มักพบในผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 2 (Secondary Syphilis) ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายเริ่มตอบสนองต่อเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ผื่นนี้มีลักษณะเฉพาะคือ ไม่คัน ไม่เจ็บ และสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ไม่ค่อยพบผื่นจากโรคทั่วไป เช่น ฝ่ามือและฝ่าเท้า
อ้างอิง: NCBI StatPearls
หลังจากได้รับเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เชื้อจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 6–12 สัปดาห์ ก่อนเข้าสู่ระยะที่สอง ผื่นจะเกิดขึ้นเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดและถูกพาไปยังผิวหนังผ่านระบบไหลเวียน
ลักษณะของผื่นมักเป็นจุดแดง น้ำตาลแดง หรือแดงจางๆ กระจายทั่วตัว มักไม่มีอาการคันและไม่เจ็บ บางรายอาจพบผื่นเป็นตุ่มนูน หรือมีลักษณะคล้ายรอยโรคผิวหนังอื่น ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น ผื่นแพ้ ผื่นยา หรือผื่นจากการติดเชื้อทั่วไป
ผื่นซิฟิลิสในระยะที่ 2 มีลักษณะที่ค่อนข้างจำเพาะ และเป็นอาการเด่นที่มักพบในผู้ที่ติดเชื้อแล้วเข้าสู่ระยะลุกลาม โดยส่วนใหญ่มักไม่ทำให้รู้สึกคันหรือเจ็บ จึงอาจถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิดว่าเป็นผื่นธรรมดา
หนึ่งในลักษณะเฉพาะที่แพทย์ผิวหนังมักใช้วินิจฉัยคือ ผื่นที่ขึ้นบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งเป็นจุดที่ไม่ค่อยมีผื่นจากโรคอื่น ๆ เกิดขึ้น โดยผื่นอาจขึ้นเพียงบางจุดหรือกระจายไปทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณลำตัว หลัง คอ ท้องน้อย และอวัยวะเพศ
หลายคนอาจสงสัยว่า ผื่นซิฟิลิส แตกต่างจากผื่นแพ้ ผื่นยุงกัด หรือผื่นจากโรคผิวหนังอื่นอย่างไร เพราะผื่นเหล่านี้อาจดูคล้ายกันในช่วงแรก แต่อันที่จริงแล้ว ผื่นซิฟิลิสมีลักษณะเฉพาะบางอย่าง ที่สามารถใช้แยกแยะได้หากสังเกตอย่างละเอียด
</p>
กมีอาการค
หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยคือ ผื่นซิฟิลิสสามารถแพร่เชื้อได้หรือไม่? เพราะแม้จะไม่มีแผลเปิดหรือของเหลว แต่ในความเป็นจริง ผื่นในระยะที่สองของโรคซิฟิลิสยังคงเป็นช่วงที่เชื้อสามารถแพร่กระจายได้ง่าย
คำตอบคือ “ได้” ผื่นซิฟิลิสเกิดจากการที่เชื้อ Treponema pallidum แพร่กระจายผ่านกระแสเลือดและออกมาสู่ผิวหนัง ซึ่งผิวหนังในจุดที่มีผื่นอยู่จะมีเชื้อปะปนอยู่ แม้จะดูเหมือนผื่นธรรมดา ไม่คัน ไม่เจ็บ แต่ยังสามารถ แพร่เชื้อได้ผ่านการสัมผัสโดยตรง
โดยเฉพาะหากสัมผัสผ่านกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น
แม้ความเสี่ยงจะต่ำกว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่ การสัมผัสผื่นโดยตรงด้วยมือหรือผิวหนังที่มีบาดแผลหรือเยื่อเมือก ก็ยังมีโอกาสรับเชื้อได้ ผู้ที่ดูแลหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยจึงควร หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่มีผื่น และหมั่นล้างมือหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
หลังจากเชื้อ Treponema pallidum เข้าสู่ร่างกาย จะเริ่มมีการแบ่งระยะของโรคดังนี้
ระยะเวลานี้อาจแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อร่วมอื่น ๆ และการตอบสนองของร่างกาย
ดังนั้น แม้ผื่นจะหาย แต่หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อจะยังคงอยู่และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว เช่น ระบบประสาทหรือหัวใจ
หลายคนที่ตรวจพบว่าติดเชื้อซิฟิลิสอาจรู้สึกกังวลใจว่า “จะมีโอกาสติด HIV ด้วยหรือเปล่า?” คำถามนี้ถือเป็นจุดสำคัญ เพราะความเกี่ยวข้องของโรคทั้งสองไม่ได้เป็นแค่เรื่อง “บังเอิญ” แต่มี ความเสี่ยงที่เกี่ยวโยงกันอย่างชัดเจน
คำตอบคือ “จริง” การติดเชื้อซิฟิลิสจะเพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อ HIV มากขึ้นประมาณ 2–5 เท่า เมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน สาเหตุเพราะ:
ดังนั้น หากตรวจพบว่ามีซิฟิลิส แพทย์มักจะแนะนำให้ ตรวจหาเชื้อ HIV ควบคู่กัน เพื่อประเมินความเสี่ยงโดยรวมและวางแผนการดูแลรักษาที่เหมาะสม
ผู้ที่ติดเชื้อ HIV อยู่แล้ว หากได้รับเชื้อซิฟิลิสซ้ำจะมีโอกาสเกิด ผื่นหรืออาการที่รุนแรงกว่าปกติ รวมถึงความเสี่ยงที่เชื้อซิฟิลิสจะเข้าสู่ระบบประสาทเร็วกว่าคนทั่วไป จำเป็นต้องได้รับการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ในทางคลินิก ผื่นจากซิฟิลิสมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่น หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น เริม หูดหงอนไก่ หรือแม้แต่ผื่นแพ้ยาธรรมดา ดังนั้นการสังเกตความแตกต่างของผื่นจึงเป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ และช่วยให้ผู้ป่วย ไม่ละเลยอาการที่อาจบ่งชี้โรคร้ายแรง
ทารกแรกเกิดก็สามารถติดซิฟิลิสได้ตั้งแต่ในครรภ์ ซึ่งอาจแสดงอาการทางผิวหนังตั้งแต่แรกคลอดหรือภายในไม่กี่สัปดาห์หลังคลอด โดยเป็นภาวะที่เรียกว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis)
ทารกสามารถติดเชื้อซิฟิลิสได้จากมารดาที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ผ่านทางรกในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะหากแม่ไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือรักษา เชื้อ Treponema pallidum สามารถแพร่ผ่านรกได้ทุกระยะของการตั้งครรภ์ แต่ความรุนแรงของผลกระทบจะเพิ่มขึ้นหากติดเชื้อในช่วงไตรมาสแรกหรือสอง
หากไม่ได้รับการรักษา ทารกอาจมีความเสี่ยงต่อ
หากคุณมีผื่นที่ดูผิดปกติ เช่น ขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือเป็นผื่นแดงแบน ไม่คัน ไม่เจ็บ และสงสัยว่าอาจเป็น ผื่นซิฟิลิส สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรเข้ารับการตรวจอย่างถูกต้องโดยเร็ว เพราะซิฟิลิสในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้หากพบไว
แพทย์มักแนะนำให้ตรวจเลือด โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก:
บางสถานพยาบาลอาจใช้การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) ที่ให้ผลภายใน 15–20 นาที
การรักษามาตรฐานสำหรับซิฟิลิสทุกระยะ คือ “การฉีดยา Penicillin G Benzathine” เข้ากล้ามเนื้อ แพทย์จะประเมินระยะของโรคก่อนว่าอยู่ในช่วงใด:
การรักษาซิฟิลิส ไม่นาน ถ้าเริ่มต้นในระยะต้น
ต้องรักษาแน่นอน เพราะผื่นที่หายไปเองไม่ได้หมายความว่าเชื้อหายแล้ว
หากไม่รักษา เชื้อยังคงอยู่ และสามารถเข้าสู่ระยะแฝง (Latent Stage) และระยะเรื้อรัง (Tertiary Syphilis) ได้ ซึ่งอันตรายและยากต่อการรักษามากขึ้น
เมื่อพบว่าตนเองมี ผื่นซิฟิลิส สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายสู่ผู้อื่น และช่วยให้การรักษาได้ผลดีที่สุด
ห้ามมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาครบและผลเลือดปกติ เนื่องจากช่วงที่มีผื่นเป็นระยะที่เชื้อยังแพร่ได้ง่าย แม้ไม่มีแผลเปิดก็ตาม หากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ ควร:
โดยทั่วไป ผื่นซิฟิลิสไม่จำเป็นต้องทายาเฉพาะที่ เพราะต้นเหตุเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ไม่ใช่ปัญหาผิวเฉพาะจุด แต่ในกรณีที่ผื่นลอกหรือมีตุ่มหนองร่วม อาจใช้ยาภายนอกตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น
ห้ามแกะหรือเกาผื่น เพราะอาจทำให้ติดเชื้อซ้ำซ้อนและทิ้งรอย
หลายคนที่เคยมี ผื่นซิฟิลิส อาจสงสัยว่า หลังผื่นหายแล้ว จะมี รอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็น ทิ้งไว้หรือไม่ คำตอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะผื่น วิธีดูแลผิว และพฤติกรรมของผู้ป่วยในช่วงที่ผื่นกำลังเป็น
ผื่นซิฟิลิสที่ไม่ได้เกาหรือมีการอักเสบซ้ำซ้อน จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นถาวร ในบางรายโดยเฉพาะผู้ที่
หากคุณมีรอยจากผื่นซิฟิลิส สามารถฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูดีขึ้นได้โดย
แม้ผื่นซิฟิลิสจะไม่มีอาการรุนแรงในระยะแรก และอาจหายไปเองได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าโรคหายแล้ว การปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่ปัญหารุนแรงในระยะยาว เช่น ระบบประสาท ตา หัวใจ หรือแม้แต่เสียชีวิต
หากคุณเริ่มมีผื่นผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือหรือฝ่าเท้า และมีประวัติเสี่ยงทางเพศ ควร รีบเข้ารับการตรวจเลือดและพบแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพราะซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบเร็ว
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้