Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ผื่นซิฟิลิส อาการเป็นยังไง? เช็กสัญญาณเตือนระยะที่ 2

“ผื่นไม่คัน ไม่เจ็บ แต่ขึ้นฝ่ามือ ฝ่าเท้า” อาจฟังดูไม่น่ากังวล แต่ในทางการแพทย์แล้วนี่อาจเป็นสัญญาณของ ซิฟิลิสระยะที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อกำลังแพร่กระจายทั่วร่างกายอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการรุนแรง

หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ เพราะผื่นหายเองได้ แต่เชื้อยังคงอยู่และพร้อมลุกลามหากไม่รักษา บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ ลักษณะผื่นซิฟิลิส การแยกแยะจากผื่นอื่นๆ วิธีวินิจฉัย การรักษา และการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณรักษาได้ทันท่วงที

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ผื่นซิฟิลิสคืออะไร?

ผื่นซิฟิลิส คืออาการทางผิวหนังที่มักพบในผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 2 (Secondary Syphilis) ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายเริ่มตอบสนองต่อเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ผื่นนี้มีลักษณะเฉพาะคือ ไม่คัน ไม่เจ็บ และสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ไม่ค่อยพบผื่นจากโรคทั่วไป เช่น ฝ่ามือและฝ่าเท้า

อ้างอิง: NCBI StatPearls

ผื่นซิฟิลิสเกิดขึ้นได้อย่างไร?

หลังจากได้รับเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เชื้อจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 6–12 สัปดาห์ ก่อนเข้าสู่ระยะที่สอง ผื่นจะเกิดขึ้นเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดและถูกพาไปยังผิวหนังผ่านระบบไหลเวียน

ลักษณะของผื่นมักเป็นจุดแดง น้ำตาลแดง หรือแดงจางๆ กระจายทั่วตัว มักไม่มีอาการคันและไม่เจ็บ บางรายอาจพบผื่นเป็นตุ่มนูน หรือมีลักษณะคล้ายรอยโรคผิวหนังอื่น ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น ผื่นแพ้ ผื่นยา หรือผื่นจากการติดเชื้อทั่วไป

ผื่นซิฟิลิสระยะที่ 2 มีลักษณะอย่างไร?

ผื่นซิฟิลิสในระยะที่ 2 มีลักษณะที่ค่อนข้างจำเพาะ และเป็นอาการเด่นที่มักพบในผู้ที่ติดเชื้อแล้วเข้าสู่ระยะลุกลาม โดยส่วนใหญ่มักไม่ทำให้รู้สึกคันหรือเจ็บ จึงอาจถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิดว่าเป็นผื่นธรรมดา

ผื่นซิฟิลิสขึ้นที่ไหนบ้าง?

หนึ่งในลักษณะเฉพาะที่แพทย์ผิวหนังมักใช้วินิจฉัยคือ ผื่นที่ขึ้นบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งเป็นจุดที่ไม่ค่อยมีผื่นจากโรคอื่น ๆ เกิดขึ้น โดยผื่นอาจขึ้นเพียงบางจุดหรือกระจายไปทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณลำตัว หลัง คอ ท้องน้อย และอวัยวะเพศ

สีผื่นและลักษณะผื่นเป็นแบบไหน?

  • ลักษณะผื่นเป็นตุ่มนูน สีแดง น้ำตาลแดง หรือชมพูจาง
  • อาจเป็นจุดแบนหรือเป็นตุ่มเล็ก ๆ คล้ายผื่นแพ้
  • ส่วนใหญ่ไม่คัน ไม่เจ็บ
  • ในบางรายอาจมีผื่นลอกเป็นขุย หรือมีแผลร่วมด้วย

ผื่นซิฟิลิสต่างจากผื่นอื่นยังไง?

หลายคนอาจสงสัยว่า ผื่นซิฟิลิส แตกต่างจากผื่นแพ้ ผื่นยุงกัด หรือผื่นจากโรคผิวหนังอื่นอย่างไร เพราะผื่นเหล่านี้อาจดูคล้ายกันในช่วงแรก แต่อันที่จริงแล้ว ผื่นซิฟิลิสมีลักษณะเฉพาะบางอย่าง ที่สามารถใช้แยกแยะได้หากสังเกตอย่างละเอียด

ผื่นซิฟิลิส vs ผื่นแพ้ยา

 </p>

  • ผื่นแพ้ยามั

กมีอาการค

 

    ันมาก อาจเป็นผื่นลมพิษ หรือตุ่มแดงทั่วตัว
  • ผื่นซิฟิลิสไม่คัน ไม่เจ็บ และมักไม่หายด้วยยาทาแก้แพ้ทั่วไป
  • ผื่นแพ้ยามักเกิดหลังเริ่มใช้ยาภายใน 1–2 วัน

ผื่นซิฟิลิส vs เริม

  • &lt;a href=”https://www.bangkoksafeclinic.com/th/%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a1/”>เริมจะขึ้นเป็น ตุ่มน้ำใส บริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือก้น
  • เริมมีอาการแสบ เจ็บ และมักแตกเป็นแผล
  • ผื่นซิฟิลิสไม่มีตุ่มน้ำ และมักไม่มีอาการเจ็บ

ผื่นซิฟิลิส vs หูดหงอนไก่

 

  • หูดหงอนไก่มีลักษณะเป็นติ่งนูน สีชมพูหรือขาว อ่อนนุ่ม มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก
  • ผื่นซิฟิลิสแบน สีแดงจาง ไม่ไต และกระจายเป็นวงกว้าง

 

ผื่นซิฟิลิส vs ผื่นยุงกัด

 

  • ผื่นยุงกัดเป็นตุ่มแด

 

    งนูน มีอาการคันเฉพาะจุด
  • ผื่นซิฟิลิสไม่มีอาการคัน และอาจกระจายตัวได้ทั่วร่างกาย
  • หากเกามาก ผื่นยุงกัดอาจมีรอยแผล ซึ่งไม่พบบ่อยในผื่นซิฟิลิส

ผื่นซิฟิลิสติดต่อได้ไหม?

หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยคือ ผื่นซิฟิลิสสามารถแพร่เชื้อได้หรือไม่? เพราะแม้จะไม่มีแผลเปิดหรือของเหลว แต่ในความเป็นจริง ผื่นในระยะที่สองของโรคซิฟิลิสยังคงเป็นช่วงที่เชื้อสามารถแพร่กระจายได้ง่าย

ผื่นสามารถแพร่เชื้อได้หรือไม่?

คำตอบคือ “ได้” ผื่นซิฟิลิสเกิดจากการที่เชื้อ Treponema pallidum แพร่กระจายผ่านกระแสเลือดและออกมาสู่ผิวหนัง ซึ่งผิวหนังในจุดที่มีผื่นอยู่จะมีเชื้อปะปนอยู่ แม้จะดูเหมือนผื่นธรรมดา ไม่คัน ไม่เจ็บ แต่ยังสามารถ แพร่เชื้อได้ผ่านการสัมผัสโดยตรง

โดยเฉพาะหากสัมผัสผ่านกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • การสัมผัสผิวหนังบริเวณที่มีผื่นโดยตรง 
  • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน (แม้พบน้อย)

การสัมผัสโดยไม่ร่วมเพศ เสี่ยงไหม?

แม้ความเสี่ยงจะต่ำกว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่ การสัมผัสผื่นโดยตรงด้วยมือหรือผิวหนังที่มีบาดแผลหรือเยื่อเมือก ก็ยังมีโอกาสรับเชื้อได้ ผู้ที่ดูแลหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยจึงควร หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่มีผื่น และหมั่นล้างมือหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน

ผื่นซิฟิลิสเกิดขึ้นเมื่อไรหลังติดเชื้อ?

ระยะเวลาหลังรับเชื้อจนเกิดผื่น

หลังจากเชื้อ Treponema pallidum เข้าสู่ร่างกาย จะเริ่มมีการแบ่งระยะของโรคดังนี้

  1. ระยะที่ 1 (Primary Stage)
    • ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 3 สัปดาห์ (10–90 วัน)
    • จะเกิดแผลริมแข็งบริเวณที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย เช่น อวัยวะเพศ ช่องปาก หรือทวารหนัก
    • แผลจะหายไปได้เองแม้ไม่รักษา
  2. ระยะที่ 2 (Secondary Stage)
    • ผื่นซิฟิลิสจะเกิดขึ้นประมาณ 2–12 สัปดาห์ หลังแผลริมแข็งหาย
    • รวมแล้วผื่นมักเกิดภายใน 6–12 สัปดาห์หลังติดเชื้อ

ระยะเวลานี้อาจแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อร่วมอื่น ๆ และการตอบสนองของร่างกาย

ผื่นจะอยู่กี่วันก่อนหายเอง?

  • โดยเฉลี่ย ผื่นซิฟิลิสจะคงอยู่ประมาณ 2–6 สัปดาห์
  • บางรายผื่นอาจหายไปเองโดยไม่รู้ตัว
  • แต่ไม่ได้หมายความว่าโรคหายแล้ว!
  • เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถเข้าสู่ระยะเรื้อรังต่อไป

ดังนั้น แม้ผื่นจะหาย แต่หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อจะยังคงอยู่และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว เช่น ระบบประสาทหรือหัวใจ

ติดซิฟิลิส เสี่ยง HIV จริงไหม?

หลายคนที่ตรวจพบว่าติดเชื้อซิฟิลิสอาจรู้สึกกังวลใจว่า “จะมีโอกาสติด HIV ด้วยหรือเปล่า?” คำถามนี้ถือเป็นจุดสำคัญ เพราะความเกี่ยวข้องของโรคทั้งสองไม่ได้เป็นแค่เรื่อง “บังเอิญ” แต่มี ความเสี่ยงที่เกี่ยวโยงกันอย่างชัดเจน

ซิฟิลิสเพิ่มโอกาสติดเชื้อ HIV จริงไหม?

คำตอบคือ “จริง” การติดเชื้อซิฟิลิสจะเพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อ HIV มากขึ้นประมาณ 2–5 เท่า เมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน สาเหตุเพราะ:

  • แผลหรือผื่นจากซิฟิลิส ทำให้เยื่อบุผิวหนังบางลง
  • เชื้อ HIV สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านแผลหรือจุดอักเสบ
  • ภูมิคุ้มกันที่ลดลงระหว่างติดเชื้อซิฟิลิสอาจทำให้ HIV แพร่เชื้อได้รวดเร็วกว่า

ดังนั้น หากตรวจพบว่ามีซิฟิลิส แพทย์มักจะแนะนำให้ ตรวจหาเชื้อ HIVวบคู่กัน เพื่อประเมินความเสี่ยงโดยรวมและวางแผนการดูแลรักษาที่เหมาะสม

หากมี HIV อยู่แล้ว แล้วติดซิฟิลิสอีกจะเป็นอย่างไร?

ผู้ที่ติดเชื้อ HIV อยู่แล้ว หากได้รับเชื้อซิฟิลิสซ้ำจะมีโอกาสเกิด ผื่นหรืออาการที่รุนแรงกว่าปกติ รวมถึงความเสี่ยงที่เชื้อซิฟิลิสจะเข้าสู่ระบบประสาทเร็วกว่าคนทั่วไป จำเป็นต้องได้รับการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

ผื่นซิฟิลิสกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น สังเกตแยกอย่างไร?

ในทางคลินิก ผื่นจากซิฟิลิสมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่น หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น เริม หูดหงอนไก่ หรือแม้แต่ผื่นแพ้ยาธรรมดา ดังนั้นการสังเกตความแตกต่างของผื่นจึงเป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ และช่วยให้ผู้ป่วย ไม่ละเลยอาการที่อาจบ่งชี้โรคร้ายแรง

ลักษณะของผื่นซิฟิลิส

  • ผื่นแบน สีชมพูจางหรือแดงน้ำตาล
  • ไม่คัน ไม่เจ็บ
  • มักขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว
  • หายเองได้แต่เชื้อยังอยู่

ผื่นจากเริม (Herpes)

  • เป็น ตุ่มน้ำใส เรียงเป็นกลุ่ม
  • แสบ เจ็บ และแตกเป็นแผล
  • มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศหรือปาก
  • ติดต่อได้สูงเมื่อแผลเปิด

หูดหงอนไก่ (Genital Warts)

  • ลักษณะเป็น ติ่งนูน ผิวขรุขระ สีชมพูหรือเนื้อ
  • ไม่เจ็บ ไม่คัน แต่อาจรู้สึกระคาย
  • พบได้รอบอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือขาหนีบ
  • เกิดจากเชื้อ HPV ไม่เกี่ยวกับแบคทีเรีย

ผื่นแพ้ยา หรือผื่นลมพิษ

  • ขึ้นรวดเร็วหลังใช้ยาใหม่
  • คันมาก กระจายทั่วตัว
  • ผื่นอาจเปลี่ยนรูปร่าง หรือรวมกันเป็นปื้นใหญ่
  • หายได้เร็วเมื่อหยุดยา

ผื่นจาก HIV (Acute HIV rash)

  • ผื่นลมพิษหรือผื่นแดงกระจายหลังติดเชื้อใหม่
  • อาจมีไข้ร่วมด้วย
  • ไม่เฉพาะที่ฝ่ามือฝ่าเท้า
  • พบในช่วง 2–4 สัปดาห์หลังติดเชื้อ HIV

ผื่นซิฟิลิสในเด็กแรกเกิด / ทารกเกิดจากอะไร?

ทารกแรกเกิดก็สามารถติดซิฟิลิสได้ตั้งแต่ในครรภ์ ซึ่งอาจแสดงอาการทางผิวหนังตั้งแต่แรกคลอดหรือภายในไม่กี่สัปดาห์หลังคลอด โดยเป็นภาวะที่เรียกว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis)

ซิฟิลิสในทารกเกิดจากอะไร?

ทารกสามารถติดเชื้อซิฟิลิสได้จากมารดาที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ผ่านทางรกในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะหากแม่ไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือรักษา เชื้อ Treponema pallidum สามารถแพร่ผ่านรกได้ทุกระยะของการตั้งครรภ์ แต่ความรุนแรงของผลกระทบจะเพิ่มขึ้นหากติดเชื้อในช่วงไตรมาสแรกหรือสอง

ลักษณะผื่นซิฟิลิสแต่กำเนิดเป็นอย่างไร?

  • ผื่นแดง หรือน้ำตาลแดงทั่วร่างกาย
  • บางรายอาจเป็นตุ่มน้ำหรือมีลักษณะลอกเป็นแผ่น
  • มักเริ่มแสดงอาการในช่วง 2–10 สัปดาห์แรกหลังคลอด
  • บางรายมี “แผลฝ่ามือฝ่าเท้า” คล้ายผู้ใหญ่
  • อาจมีอาการอื่นร่วม เช่น จมูกยุบ (saddle nose), ตับม้ามโต, ภาวะโลหิตจาง

หากไม่ได้รับการรักษา ทารกอาจมีความเสี่ยงต่อ

  • พัฒนาการช้า
  • หูหนวก ตาบอด
  • สมองอักเสบ หรือเสียชีวิต

การป้องกันที่ดีที่สุดคืออะไร?

  • การ ตรวจเลือดซิฟิลิสระหว่างตั้งครรภ์ เป็นมาตรฐานในทุกไตรมาส
  • หากตรวจพบว่าติดเชื้อ ควรได้รับการรักษาด้วยยาฉีด Penicillin ทันที
  • เด็กที่เกิดจากแม่ที่รักษาไม่ครบหรือไม่ได้รักษา ควรเข้ารับการตรวจทันทีหลังคลอด

ถ้ามีผื่นคล้ายซิฟิลิส ควรตรวจอะไร?

หากคุณมีผื่นที่ดูผิดปกติ เช่น ขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือเป็นผื่นแดงแบน ไม่คัน ไม่เจ็บ และสงสัยว่าอาจเป็น ผื่นซิฟิลิส สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรเข้ารับการตรวจอย่างถูกต้องโดยเร็ว เพราะซิฟิลิสในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้หากพบไว

แนะนำการตรวจซิฟิลิส

แพทย์มักแนะนำให้ตรวจเลือด โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก:

  1. การตรวจคัดกรอง (Screening Test)
    • VDRL (Venereal Disease Research Laboratory)
    • RPR (Rapid Plasma Reagin) ผลตรวจที่เป็นบวกแสดงว่าอาจมีเชื้อซิฟิลิส แต่ยังต้องตรวจยืนยันอีกครั้ง
  2. การตรวจยืนยัน (Confirmatory Test)
    • TPHA (Treponema pallidum Hemagglutination Assay)
    • FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption) หากผลบวกแสดงว่าเคยติดเชื้อซิฟิลิสจริง

บางสถานพยาบาลอาจใช้การตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test) ที่ให้ผลภายใน 15–20 นาที

ตรวจที่ไหนได้บ้าง?

  • โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วไป
  • เซฟคลินิก 
  • ศูนย์บริการสาธารณสุข

ทำไมจึงควรตรวจโดยเร็ว?

  • พบเร็ว รักษาได้ง่าย
  • ป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
  • ลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน เช่น ระบบประสาท หัวใจ หรือสมอง

ผื่นซิฟิลิสรักษายังไง? ต้องใช้ยาฉีดหรือยากิน?

การรักษามาตรฐานสำหรับซิฟิลิสทุกระยะ คือ “การฉีดยา Penicillin G Benzathine” เข้ากล้ามเนื้อ แพทย์จะประเมินระยะของโรคก่อนว่าอยู่ในช่วงใด:

  • ซิฟิลิสระยะแรกและระยะที่สอง (มีผื่น) ฉีด Penicillin G เพียง 1 เข็ม ก็เพียงพอ
  • ซิฟิลิสระยะแฝง หรือติดเชื้อมานาน อาจต้องฉีด 3 เข็ม สัปดาห์ละเข็ม
  • แพ้เพนิซิลลิน: แพทย์อาจเลือกใช้ Doxycycline หรือ Ceftriaxone แทนภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด

ระยะเวลารักษานานไหม?

การรักษาซิฟิลิส ไม่นาน ถ้าเริ่มต้นในระยะต้น

  • เพียงแค่ 1 เข็มก็เพียงพอ สำหรับผู้ที่มาพบแพทย์เร็ว
  • แต่ต้องกลับมาตรวจติดตามผลเลือดซ้ำตามที่แพทย์นัด เช่น 3, 6 และ 12 เดือน

ผื่นหายแล้ว ยังต้องรักษาไหม?

ต้องรักษาแน่นอน เพราะผื่นที่หายไปเองไม่ได้หมายความว่าเชื้อหายแล้ว
หากไม่รักษา เชื้อยังคงอยู่ และสามารถเข้าสู่ระยะแฝง (Latent Stage) และระยะเรื้อรัง (Tertiary Syphilis) ได้ ซึ่งอันตรายและยากต่อการรักษามากขึ้น

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีผื่นซิฟิลิส?

เมื่อพบว่าตนเองมี ผื่นซิฟิลิส สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายสู่ผู้อื่น และช่วยให้การรักษาได้ผลดีที่สุด

ห้ามมีเพศสัมพันธ์ระหว่างรักษาหรือไม่?

ห้ามมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาครบและผลเลือดปกติ เนื่องจากช่วงที่มีผื่นเป็นระยะที่เชื้อยังแพร่ได้ง่าย แม้ไม่มีแผลเปิดก็ตาม หากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ ควร:

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการสัมผัสกับบริเวณที่มีผื่น
  • แจ้งคู่นอนให้ไปตรวจเชื้อร่วมด้วย

ผื่นควรทายาหรือไม่?

โดยทั่วไป ผื่นซิฟิลิสไม่จำเป็นต้องทายาเฉพาะที่ เพราะต้นเหตุเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ไม่ใช่ปัญหาผิวเฉพาะจุด แต่ในกรณีที่ผื่นลอกหรือมีตุ่มหนองร่วม อาจใช้ยาภายนอกตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น

  • ครีมฆ่าเชื้ออ่อน ๆ
  • ครีมลดการระคายเคือง

ห้ามแกะหรือเกาผื่น เพราะอาจทำให้ติดเชื้อซ้ำซ้อนและทิ้งรอย

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างมีผื่น

  • อย่าใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (ผ้าเช็ดตัว ใบมีดโกน ฯลฯ)
  • งดการแช่น้ำอุ่นหรือซาวน่าร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณผื่นโดยตรง
  • ล้างมือบ่อย โดยเฉพาะหลังสัมผัสผิวที่เป็นผื่น

ผื่นซิฟิลิสหายแล้วจะเป็นแผลเป็นไหม?

หลายคนที่เคยมี ผื่นซิฟิลิส อาจสงสัยว่า หลังผื่นหายแล้ว จะมี รอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็น ทิ้งไว้หรือไม่ คำตอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะผื่น วิธีดูแลผิว และพฤติกรรมของผู้ป่วยในช่วงที่ผื่นกำลังเป็น

โอกาสเกิดรอยดำหรือจุดด่าง

ผื่นซิฟิลิสที่ไม่ได้เกาหรือมีการอักเสบซ้ำซ้อน จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นถาวร ในบางรายโดยเฉพาะผู้ที่

  • ผิวคล้ำ
  • เกาผื่นแรง
  • มีภาวะผื่นลอกหรือเป็นตุ่มน้ำ อาจพบ รอยดำ รอยแดง หรือจุดด่างตามหลังผื่น ได้ชั่วคราว ซึ่งเรียกว่า Post-Inflammatory Hyperpigmentation (PIH)

วิธีลดรอยดำจากผื่นซิฟิลิส

หากคุณมีรอยจากผื่นซิฟิลิส สามารถฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูดีขึ้นได้โดย

  • ทาครีมลดรอยดำ เช่น Niacinamide หรือ Vitamin C
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง และใช้ครีมกันแดด SPF สูง
  • ไม่ขัดถูผิวบริเวณที่มีรอย
  • หากรอยเข้มชัด อาจปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาเฉพาะ หรือเลเซอร์รักษารอยดำ

บทสรุป

แม้ผื่นซิฟิลิสจะไม่มีอาการรุนแรงในระยะแรก และอาจหายไปเองได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าโรคหายแล้ว การปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่ปัญหารุนแรงในระยะยาว เช่น ระบบประสาท ตา หัวใจ หรือแม้แต่เสียชีวิต

หากคุณเริ่มมีผื่นผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือหรือฝ่าเท้า และมีประวัติเสี่ยงทางเพศ ควร รีบเข้ารับการตรวจเลือดและพบแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพราะซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบเร็ว

icon email