พยาธิในช่องคลอด เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย แต่หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญอยู่ เพราะอาการอาจไม่ชัดเจน หรือไม่มีอาการเลย โดยเฉพาะในผู้ชาย
โรคนี้เกิดจากเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ง่าย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพระบบสืบพันธุ์หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับพยาธิในช่องคลอดอย่างครอบคลุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีตรวจ การรักษา ไปจนถึงวิธีป้องกัน พร้อมไขความเข้าใจผิดที่พบบ่อย เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
พยาธิในช่องคลอด คือการติดเชื้อจากปรสิตชนิดเซลล์เดียวที่มีชื่อว่า Trichomonas vaginalis ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มโปรโตซัว โดยเชื้อนี้สามารถติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ได้โดยตรง ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แม้ว่าผู้ชายหลายรายจะไม่แสดงอาการ
ผู้หญิงที่ติดเชื้อมักมีตกขาวผิดปกติ คัน หรือแสบในช่องคลอด แต่ในบางรายอาจไม่มีอาการเลย ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ จึงอาจเป็นพาหะต่อเนื่องโดยไม่ตั้งใจ พยาธินี้จึงไม่ใช่ “หนอน” อย่างที่บางคนเข้าใจ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วที่สามารถก่อโรคในระบบสืบพันธุ์และต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
อ่านเพิ่มเติม: ตกขาวแบบไหนปกติ? ระวัง! 5 สัญญาณตกขาวเสี่ยงโรคเพศสัมพันธ์
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าในปี 2020 มีผู้ติดเชื้อ Trichomonas vaginalis ทั่วโลกประมาณ 156 ล้านรายต่อปี โดยผู้หญิงมีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าผู้ชาย และมักไม่แสดงอาการ ทำให้การแพร่เชื้อเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ยังไม่มีตัวเลขรายงานอย่างเป็นทางการที่ชัดเจนในช่วงปี 2020–2024 แต่ข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาโดย CDC พบว่าทริโคโมแนสเป็น 1 ใน 4 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดในประเทศ
สิ่งที่น่ากังวลคือ การวินิจฉัยมักน้อยกว่าความเป็นจริง เนื่องจากหลายคนไม่มีอาการ และไม่เข้ารับการตรวจ จึงทำให้ตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่รายงาน
อ้างอิง: Sexually Transmitted Infections Surveillance
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอดหรือทริโคโมแนสสามารถเกิดขึ้นได้ แม้คู่นอนจะไม่มีอาการใดๆ เลยก็ตาม ผู้ชายที่ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้ไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นพาหะ และยังมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ ส่งผลให้เชื้อถูกส่งต่อโดยไม่ตั้งใจ
ลักษณะนี้เรียกว่า “การแพร่เชื้อแบบเงียบ” ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย และไม่ได้ตรวจสุขภาพก่อนมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนใหม่ แม้ฝ่ายหญิงจะดูแลสุขอนามัยดีเพียงใด แต่หากคู่นอนไม่เคยตรวจ STI ก็ยังมีความเสี่ยงในการรับเชื้อพยาธิชนิดนี้อยู่เสมอ
อาการของพยาธิในช่องคลอดมักชัดเจนกว่าหากเกิดในผู้หญิง โดยอาจมีตกขาวผิดปกติ กลิ่นไม่พึงประสงค์ คันหรือแสบบริเวณช่องคลอด หรือรู้สึกแสบขณะปัสสาวะ อาการเหล่านี้มักเกิดหลังได้รับเชื้อไม่กี่วัน หรือบางรายอาจนานเป็นสัปดาห์
ในทางกลับกัน ผู้ชายที่ติดเชื้อ Trichomonas vaginalis มักไม่มีอาการเลย หรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ระคายเคืองที่ปลายอวัยวะเพศ ขัดขณะปัสสาวะ หรือมีของเหลวใสเล็กน้อยจากท่อปัสสาวะ ซึ่งหลายคนมักมองข้ามหรือเข้าใจผิดว่าไม่ใช่โรคติดต่อ
ความแตกต่างนี้ทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มจะตรวจพบและรับการรักษาเร็วกว่า ขณะที่ผู้ชายอาจเป็นพาหะโดยไม่รู้ตัวและแพร่เชื้อต่อไปได้
ตกขาวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในผู้หญิง โดยปกติจะมีลักษณะใสหรือขาวนวล ไม่มีกลิ่นแรง ไม่ทำให้คันหรือแสบ และมักเพิ่มขึ้นตามช่วงรอบเดือนหรือภาวะฮอร์โมน แต่หากตกขาวมีลักษณะแปลกไปจากเดิม อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น พยาธิในช่องคลอด
การติดเชื้อ Trichomonas vaginalis มักทำให้ตกขาวเปลี่ยนสีเป็นเหลือง เขียว หรือเป็นฟอง มีกลิ่นเหม็นชัดเจน คล้ายคาวปลา และมักมาพร้อมอาการคันหรือแสบบริเวณช่องคลอด
ความเปลี่ยนแปลงของลักษณะตกขาว โดยเฉพาะเมื่อเกิดร่วมกับอาการอื่น ควรได้รับการตรวจโดยแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นการติดเชื้อหรือไม่ และแยกจากตกขาวปกติที่ไม่ต้องรักษา
การติดเชื้อ Trichomonas vaginalis ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้นานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ โดยเฉพาะในผู้หญิง
ในผู้หญิง การติดเชื้อเรื้อรังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease – PID) ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ เช่น ท่อนำไข่อุดตัน หรือภาวะมีบุตรยากในระยะยาว นอกจากนี้ยังพบว่าการติดเชื้อชนิดนี้อาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HIV หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ในผู้ชาย แม้ความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจะน้อยกว่า แต่หากมีการติดเชื้อซ้ำ ๆ โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดการอักเสบของต่อมลูกหมากหรือท่อปัสสาวะได้เช่นกัน
การตรวจหา Trichomonas vaginalis จำเป็นต้องใช้วิธีทางห้องปฏิบัติการ ไม่สามารถวินิจฉัยได้จากอาการเพียงอย่างเดียว โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างจากช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะเพื่อส่งตรวจ
วิธีพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไป คือการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Wet Mount) โดยนำสารคัดหลั่งไปดูว่ามีพยาธิเคลื่อนไหวหรือไม่ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีข้อจำกัดในเรื่องความไว โดยเฉพาะหากปริมาณเชื้อน้อย
อีกทางเลือกคือการตรวจด้วยวิธีทางโมเลกุล เช่น NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) ซึ่งมีความแม่นยำสูง และเป็นมาตรฐานในการตรวจ STI ในหลายประเทศ รวมถึงสามารถตรวจจากปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งได้โดยตรง การเลือกวิธีตรวจควรขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานพยาบาล และการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การรักษาพยาธิในช่องคลอดที่เกิดจาก Trichomonas vaginalis ส่วนใหญ่ใช้การรับประทานยาปฏิชีวนะกลุ่มเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) หรือทินิดาโซล (Tinidazole) ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อโปรโตซัวโดยตรง
แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าควรใช้ยาในรูปแบบรับประทานครั้งเดียวหรือแบบต่อเนื่องหลายวัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ประวัติติดเชื้อซ้ำ และความร่วมมือของผู้ป่วย
สิ่งสำคัญในการรักษาคือ คู่นอนต้องรับการรักษาไปพร้อมกัน แม้ไม่มีอาการ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ การงดมีเพศสัมพันธ์ระหว่างรักษาเป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่กับการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การป้องกันการติดเชื้อพยาธิในช่องคลอดซ้ำสามารถทำได้โดยเน้นความเข้าใจเรื่องการแพร่เชื้อที่ถูกต้อง ร่วมกับการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องพฤติกรรมทางเพศ
การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ถือเป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจ STI ทั้งผู้หญิงและคู่นอนเป็นประจำโดยเฉพาะก่อนมีคู่นอนใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญในการลดโอกาสการแพร่เชื้อแบบไม่รู้ตัว การรักษาคู่นอนทุกครั้งเมื่อมีการวินิจฉัยว่าฝ่ายหนึ่งติดเชื้อ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และช่วยลดอัตราการระบาดโดยรวม
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด เช่น การคิดว่าการล้างช่องคลอดบ่อย ๆ หรือใช้ยาสวนล้างจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะอาจทำให้เสียสมดุลของจุลินทรีย์และเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น
หลายคนเชื่อว่าพยาธิในช่องคลอดจะเกิดขึ้นได้เฉพาะกับคนที่มีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะแม้จะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หรือแม้แต่มีคู่คนเดียว ก็ยังสามารถติดเชื้อได้ หากคู่นอนเป็นพาหะโดยไม่รู้ตัว
อีกความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ การคิดว่าการล้างภายในด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อจะช่วยป้องกันโรคได้ แต่ในความเป็นจริง การล้างภายในบ่อยเกินไปอาจรบกวนสมดุลของแบคทีเรียดีในช่องคลอด และเพิ่มโอกาสการติดเชื้อได้มากกว่าเดิม
บางคนยังเชื่อว่าการไม่มีอาการแสดงออกเท่ากับไม่ติดเชื้อ ซึ่งในกรณีของทริโคโมแนสกลับตรงกันข้าม เพราะคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ชาย มักไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อได้ต่อเนื่องโดยไม่มีอาการเลย
หากคุณมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ การตรวจเช็กเบื้องต้นสามารถช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรพบแพทย์หรือไม่ โดยเฉพาะหากมีสัญญาณต่อไปนี้:
การมีอาการหนึ่งข้อหรือหลายข้อข้างต้นไม่ใช่การวินิจฉัยโรค แต่เป็นสัญญาณที่ควรพิจารณาปรึกษาแพทย์เพื่อความชัดเจนและปลอดภัย
หากคุณเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาวเปลี่ยนลักษณะ มีกลิ่น คัน หรือรู้สึกระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรือเป็นบ่อย ควรนัดพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนใหม่โดยไม่ใช้ถุงยาง หรือการไม่แน่ใจในประวัติสุขภาพของคู่นอน ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ควรเข้ารับการตรวจ STI แม้ไม่มีอาการชัดเจน
หากได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ Trichomonas vaginalis ควรแจ้งให้คู่นอนเข้ารับการรักษาพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดซ้ำ และควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะรักษาจนครบตามคำแนะนำของแพทย์ การพบแพทย์ตั้งแต่ระยะแรก ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และยังเป็นการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
พยาธิในช่องคลอดอาจเป็นโรคที่หลายคนมองข้าม เพราะอาการไม่ชัดเจนหรือไม่มีอาการเลย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจหรือรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ควรมองข้าม การทำความเข้าใจอาการ การวินิจฉัย และการรักษา รวมถึงการป้องกันและดูแลคู่นอนอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำ และดูแลสุขภาพทางเพศของตัวเองได้อย่างปลอดภัยในระยะยาว หากคุณสงสัยว่าตัวเองหรือคู่นอนอาจมีความเสี่ยง การพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการตรวจที่เหมาะสม คือทางเลือกที่ดีที่สุด
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้