Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 - 20:30

Ureaplasma: parvum และ urealyticum ต่างกันอย่างไร? ตัวไหนก่อโรคได้รุนแรงกว่ากัน?

เมื่อพูดถึงเชื้อ Ureaplasma ที่ไม่ระบุสายพันธ์ หลายคนอาจคุ้นเคยในฐานะเชื้อที่ตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพทางนรีเวชหรือระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ทราบหรือไม่ว่า Ureaplasma ที่พบในมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum ซึ่งแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันทั้งในด้านความชุก ความสามารถในการก่อโรค และผลกระทบต่อสุขภาพ

บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่างเชื้อทั้งสองชนิดอย่างละเอียด โดยใช้ข้อมูลทางการแพทย์ล่าสุด เพื่อตอบคำถามสำคัญที่หลายคนกังวล ไม่ว่าคุณจะตรวจพบเชื้อโดยบังเอิญ ไม่มีอาการ กำลังวางแผนมีบุตร หรือรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจร่วมกับแพทย์ได้อย่างมั่นใจ

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

Ureaplasma parvum และ urealyticum คืออะไรและต่างกันอย่างไร?

Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum เป็นแบคทีเรียขนาดเล็กที่ไม่มีผนังเซลล์ (cell wall-less bacteria) จัดอยู่ในจีนัส Ureaplasma และวงศ์ Mycoplasmataceae ทั้งสองชนิดเป็นสปีชีส์ที่พบในมนุษย์โดยเฉพาะ ถึงแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในเชิงชีววิทยาและพันธุกรรม

  • ที่มาของชื่อ: ในอดีต Ureaplasma ถูกแบ่งตามซีโรวาร์ (serovar)
    • Ureaplasma parvum: เดิมคือกลุ่ม Biovar 1 (serovar 1, 3, 6, 14)
    • Ureaplasma urealyticum: เดิมคือกลุ่ม Biovar 2 (serovar 2, 4, 5, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13)
  • ความแตกต่างทางพันธุกรรม:
    • ขนาดจีโนม (Genome Size): parvum มีจีโนมขนาดเล็กกว่า urealyticum เล็กน้อย ทำให้มีความยืดหยุ่นทางพันธุกรรมต่ำกว่า
    • ความหลากหลายของโปรตีนบนผิวเซลล์ (Surface Protein Variability): urealyticum มีความหลากหลายสูงกว่า ทำให้สามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีกว่า และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้มีแนวโน้มก่อโรคสูงกว่า
  • คุณสมบัติเด่น: ทั้งสองชนิดมีความสามารถในการย่อยยูเรีย (Urease Activity) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Ureaplasma แต่ระดับของกิจกรรมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ย่อย

แม้จะมาจากตระกูลเดียวกัน แต่ความแตกต่างทางพันธุกรรม โดยเฉพาะความหลากหลายของโปรตีนบนผิวเซลล์ ทำให้เชื้อทั้งสองชนิดมีพฤติกรรมการก่อโรคที่แตกต่างกัน

ตัวไหนพบได้บ่อยกว่ากัน: Parvum หรือ Urealyticum?

จากข้อมูลทางระบาดวิทยาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พบว่า Ureaplasma parvum เป็นสายพันธุ์ที่ตรวจพบได้บ่อยกว่า Ureaplasma urealyticum อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่มีอาการ

  • สถิติจากงานวิจัย: ในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์ อาจตรวจพบเชื้อ Ureaplasma spp. ได้ถึง 40-60%
    • ในจำนวนนี้ Ureaplasma parvum คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 65-85%
    • ขณะที่ Ureaplasma urealyticum พบเพียง 15-35%
  • ปัจจัยที่ทำให้ parvum พบบ่อยกว่า: อาจเป็นเพราะจีโนมที่เล็กและเสถียรกว่า ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในร่างกาย (colonize) ได้ง่ายโดยไม่กระตุ้นให้เกิดโรค

ข้อควรจำ: ความชุกที่สูงกว่าไม่ได้หมายความว่าอันตรายกว่า ในทางคลินิก แม้ urealyticum จะพบได้น้อยกว่า แต่กลับมีความสำคัญทางการแพทย์มากกว่าในแง่ของการก่อโรค

ตัวไหนก่อโรคได้รุนแรงกว่ากัน: Parvum หรือ Urealyticum?

นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด แม้ว่า Ureaplasma parvum จะพบได้บ่อยกว่า แต่ข้อมูลจากงานวิจัยเชิงระบบ (Systematic Reviews) และการวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analyses) หลายฉบับชี้ชัดว่า:

Ureaplasma urealyticum มีความสัมพันธ์กับการก่อโรคในระบบสืบพันธุ์ที่รุนแรงและชัดเจนกว่า Ureaplasma parvum

คุณสมบัติเปรียบเทียบ

Ureaplasma parvum

Ureaplasma urealyticum

พบได้บ่อย?

พบได้บ่อยกว่า

พบได้น้อยกว่า

แนวโน้มก่อโรค

ต่ำกว่า (มักเป็นเชื้อประจำถิ่น)

สูงกว่า (สัมพันธ์กับโรคชัดเจน)

โรคที่เกี่ยวข้อง

อาจก่อโรคเมื่อมีปริมาณสูง

ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID), ภาวะมีบุตรยาก, การคลอดก่อนกำหนด, ปอดอักเสบในทารกแรกเกิด

กลไกที่ทำให้รุนแรง

ความหลากหลายของโปรตีนผิวเซลล์สูง (หลบภูมิคุ้มกันเก่ง), เอนไซม์ยูรีเอสทำงานรุนแรงกว่า

แม้ urealyticum จะมีแนวโน้มก่อโรคสูงกว่า แต่ parvum ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบในปริมาณสูง (high bacterial load) หรือในผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก การประเมินจึงต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล

เชื้อตัวไหนเกี่ยวข้องกับ “ภาวะมีบุตรยาก” มากกว่ากัน?

เมื่อเจาะจงไปที่ภาวะมีบุตรยาก (Infertility) หลักฐานทางการแพทย์ค่อนข้างชัดเจนว่า Ureaplasma urealyticum มีความเชื่อมโยงที่หนักแน่นกว่า

  • ในผู้หญิง: U. urealyticum สัมพันธ์กับการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก (endometritis) และท่อนำไข่ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
  • ในผู้ชาย: U. urealyticum สัมพันธ์กับการลดคุณภาพของอสุจิ ทั้งในด้านการเคลื่อนไหวและรูปร่าง และอาจสร้างสารอนุมูลอิสระ (ROS) ที่ทำลาย DNA ของอสุจิ
  • บทบาทของ U. parvum: ข้อมูลยังไม่ชัดเจนเท่า urealyticum แม้จะพบได้บ่อยกว่า แต่จะถูกพิจารณาว่าอาจเป็นปัญหาเมื่อตรวจพบในปริมาณสูงมากในผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ

คำแนะนำ: สำหรับผู้ที่วางแผนทำเด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI) หลายคลินิกแนะนำให้ตรวจและรักษาเชื้อ Ureaplasma (ทั้งสองชนิด) ก่อนเริ่มกระบวนการเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ

การตรวจและการรักษาแตกต่างกันหรือไม่?

การตรวจ

  • วิธีเก็บตัวอย่าง: เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการป้าย (swab) จากช่องคลอด/ปากมดลูกในผู้หญิง หรือการป้ายจากท่อปัสสาวะ/เก็บปัสสาวะส่วนแรกในผู้ชาย
  • เทคนิคการตรวจ: แตกต่างกัน หากต้องการทราบว่าเป็น parvum หรือ urealyticum จะต้องใช้เทคนิค PCR ที่สามารถแยกสายพันธุ์ได้ (species-specific PCR) การตรวจ PCR แบบทั่วไปจะบอกได้แค่ว่า “มีเชื้อ Ureaplasma” แต่ไม่สามารถระบุชนิดได้

การรักษา

  • เหมือนกัน แนวทางการรักษาใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากเชื้อทั้งสองชนิดไม่มีผนังเซลล์ ทำให้ตอบสนองต่อยาที่ออกฤทธิ์ต่อการสังเคราะห์โปรตีนเหมือนกัน
  • ยาหลักที่ใช้:
    • Tetracyclines (เช่น Doxycycline)
    • Macrolides (เช่น Azithromycin) ซึ่งมักเป็นตัวเลือกแรกในหญิงตั้งครรภ์
  • ข้อสรุป: ไม่จำเป็นต้องแยกโปรโตคอลการรักษา แพทย์จะเลือกยาโดยพิจารณาจากสถานะของผู้ป่วย (เช่น การตั้งครรภ์) ประวัติการแพ้ยา และแนวโน้มการดื้อยาในพื้นที่

ถ้าตรวจพบ Ureaplasma parvum ต้องกังวลหรือไม่?

การตรวจพบ U. parvum ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้บ่อยมาก ไม่ได้หมายความว่าคุณป่วยหรือต้องรีบรักษาเสมอไป ควรพิจารณาตามบริบทดังนี้:

  1. ถ้าคุณไม่มีอาการเลย: และไม่ได้วางแผนมีบุตรในเร็วๆ นี้ โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องกังวลหรือรักษา เพราะเชื้อทำหน้าที่เป็นเพียงเชื้อประจำถิ่น (commensal)
  2. ถ้าคุณมีอาการ: เช่น ตกขาวผิดปกติ ปวดท้องน้อย หรือปัสสาวะแสบขัด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณารักษา
  3. ถ้าคุณกำลังวางแผนมีบุตร หรือทำ IVF: หลายแนวทางแนะนำให้รักษาเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จ
  4. ถ้าผลตรวจระบุว่ามีปริมาณเชื้อสูง (High Bacterial Load): แม้ไม่มีอาการ ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง

บทสรุป

Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum เป็นเชื้อในกลุ่มเดียวกันแต่มีความแตกต่างที่สำคัญทางคลินิก

  • Ureaplasma parvum: พบได้บ่อยกว่ามาก และส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อประจำถิ่นที่ไม่ก่อโรค
  • Ureaplasma urealyticum: พบได้น้อยกว่า แต่มีหลักฐานชัดเจนว่าสัมพันธ์กับการก่อโรคในระบบสืบพันธุ์และภาวะมีบุตรยากมากกว่า

การตัดสินใจรักษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการประเมินร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย โดยพิจารณาจากอาการ ปริมาณเชื้อ แผนการมีบุตร และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เป็นสำคัญ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. เชื้อนี้ติดต่อทางไหนเป็นหลัก?

เชื้อ Ureaplasma ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เชื้อนี้ยังสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอดได้ด้วย การตรวจพบเชื้อจึงไม่ได้หมายความว่าเป็นการติดเชื้อครั้งใหม่หรือเป็นข้อพิสูจน์เรื่องนอกใจเสมอไป เพราะเชื้อสามารถอยู่ในร่างกายได้นานหลายปีโดยไม่แสดงอาการ

2. ถ้าตรวจเจอเชื้อ จำเป็นต้องรักษาร่วมกับคู่นอนหรือไม่?

จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากมีอาการหรือกำลังรักษาภาวะมีบุตรยาก แพทย์มักจะแนะนำให้รักษาทั้งสองฝ่ายพร้อมกันเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อกลับไปกลับมา (Ping-pong effect) ซึ่งจะทำให้การรักษาไม่ได้ผลและเกิดการติดเชื้อซ้ำได้

3. ทำไมบางคนติดเชื้อแล้วไม่มีอาการเลย?

การที่เชื้อจะก่อโรคหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่าง 3 ปัจจัย คือ

  • ปริมาณเชื้อ (Bacterial Load): หากมีเชื้อในปริมาณน้อย ร่างกายมักจะควบคุมได้
  • สายพันธุ์ของเชื้อ: U. urealyticum มีแนวโน้มก่อโรคสูงกว่า U. parvum
  • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย: คนที่ภูมิคุ้มกันแข็งแรงมักจะควบคุมเชื้อได้ดีกว่า เปรียบได้กับเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่นบนผิวหนัง ที่ปกติจะไม่ก่อโรคจนกว่าเราจะมีแผลหรือร่างกายอ่อนแอลง

4. หลังรักษาหายแล้ว จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกไหม? ได้ครับ

การรักษาเป็นการกำจัดเชื้อที่มีอยู่ แต่ร่างกายไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อนี้ ดังนั้นคุณสามารถติดเชื้อซ้ำได้หากมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ยังไม่ได้รับการรักษา หรือจากคู่นอนคนใหม่ที่มีเชื้ออยู่

5. การตรวจซ้ำหลังรักษา (Test of Cure) จำเป็นแค่ไหน?

การตรวจซ้ำหลังรักษาเป็นการยืนยันว่าการรักษาได้ผลและไม่พบเชื้อแล้ว จำเป็นอย่างยิ่ง ในกรณีต่อไปนี้:

  • ผู้ที่ยังมีอาการอยู่หลังรักษา
  • ผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือทำ IVF/ICSI
  • หญิงตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อซ้ำ โดยทั่วไป แพทย์จะแนะนำให้ตรวจซ้ำหลังรับประทานยาปฏิชีวนะครบแล้วประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าผลตรวจไม่ได้มาจากซากเชื้อที่ตายแล้ว

6. เชื้อ Ureaplasma ดื้อยาได้หรือไม่? ได้ และเป็นปัญหาที่น่ากังวลมากขึ้น

การดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อกลุ่มนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้อง

  • ทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
  • ไม่ซื้อยาทานเอง หรือนำยาเก่ามาใช้โดยไม่มีคำสั่งแพทย์
  • แจ้งประวัติการแพ้ยาและยาที่เคยใช้กับแพทย์เสมอ

7. มีวิธีป้องกันเชื้อนี้หรือไม่?

การป้องกันการติดเชื้อ Ureaplasma โดยสมบูรณ์อาจเป็นเรื่องยากเพราะเป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไป แต่สามารถ ลดความเสี่ยง ได้โดย

  • ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยลดโอกาสการรับและแพร่เชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • จำกัดจำนวนคู่นอน
  • รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล
  • ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนคู่นอน
icon email