เมื่อพูดถึงเชื้อ Ureaplasma ที่ไม่ระบุสายพันธ์ หลายคนอาจคุ้นเคยในฐานะเชื้อที่ตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพทางนรีเวชหรือระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ทราบหรือไม่ว่า Ureaplasma ที่พบในมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum ซึ่งแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันทั้งในด้านความชุก ความสามารถในการก่อโรค และผลกระทบต่อสุขภาพ
บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่างเชื้อทั้งสองชนิดอย่างละเอียด โดยใช้ข้อมูลทางการแพทย์ล่าสุด เพื่อตอบคำถามสำคัญที่หลายคนกังวล ไม่ว่าคุณจะตรวจพบเชื้อโดยบังเอิญ ไม่มีอาการ กำลังวางแผนมีบุตร หรือรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจร่วมกับแพทย์ได้อย่างมั่นใจ
Ureaplasma parvum และ urealyticum คืออะไรและต่างกันอย่างไร?
Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum เป็นแบคทีเรียขนาดเล็กที่ไม่มีผนังเซลล์ (cell wall-less bacteria) จัดอยู่ในจีนัส Ureaplasma และวงศ์ Mycoplasmataceae ทั้งสองชนิดเป็นสปีชีส์ที่พบในมนุษย์โดยเฉพาะ ถึงแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในเชิงชีววิทยาและพันธุกรรม
- ที่มาของชื่อ: ในอดีต Ureaplasma ถูกแบ่งตามซีโรวาร์ (serovar)
- Ureaplasma parvum: เดิมคือกลุ่ม Biovar 1 (serovar 1, 3, 6, 14)
- Ureaplasma urealyticum: เดิมคือกลุ่ม Biovar 2 (serovar 2, 4, 5, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13)
- ความแตกต่างทางพันธุกรรม:
- ขนาดจีโนม (Genome Size): parvum มีจีโนมขนาดเล็กกว่า urealyticum เล็กน้อย ทำให้มีความยืดหยุ่นทางพันธุกรรมต่ำกว่า
- ความหลากหลายของโปรตีนบนผิวเซลล์ (Surface Protein Variability): urealyticum มีความหลากหลายสูงกว่า ทำให้สามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีกว่า และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้มีแนวโน้มก่อโรคสูงกว่า
- คุณสมบัติเด่น: ทั้งสองชนิดมีความสามารถในการย่อยยูเรีย (Urease Activity) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Ureaplasma แต่ระดับของกิจกรรมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ย่อย
แม้จะมาจากตระกูลเดียวกัน แต่ความแตกต่างทางพันธุกรรม โดยเฉพาะความหลากหลายของโปรตีนบนผิวเซลล์ ทำให้เชื้อทั้งสองชนิดมีพฤติกรรมการก่อโรคที่แตกต่างกัน
ตัวไหนพบได้บ่อยกว่ากัน: Parvum หรือ Urealyticum?
จากข้อมูลทางระบาดวิทยาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พบว่า Ureaplasma parvum เป็นสายพันธุ์ที่ตรวจพบได้บ่อยกว่า Ureaplasma urealyticum อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่มีอาการ
- สถิติจากงานวิจัย: ในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์ อาจตรวจพบเชื้อ Ureaplasma spp. ได้ถึง 40-60%
- ในจำนวนนี้ Ureaplasma parvum คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 65-85%
- ขณะที่ Ureaplasma urealyticum พบเพียง 15-35%
- ปัจจัยที่ทำให้ parvum พบบ่อยกว่า: อาจเป็นเพราะจีโนมที่เล็กและเสถียรกว่า ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในร่างกาย (colonize) ได้ง่ายโดยไม่กระตุ้นให้เกิดโรค
ข้อควรจำ: ความชุกที่สูงกว่าไม่ได้หมายความว่าอันตรายกว่า ในทางคลินิก แม้ urealyticum จะพบได้น้อยกว่า แต่กลับมีความสำคัญทางการแพทย์มากกว่าในแง่ของการก่อโรค
ตัวไหนก่อโรคได้รุนแรงกว่ากัน: Parvum หรือ Urealyticum?
นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด แม้ว่า Ureaplasma parvum จะพบได้บ่อยกว่า แต่ข้อมูลจากงานวิจัยเชิงระบบ (Systematic Reviews) และการวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analyses) หลายฉบับชี้ชัดว่า:
Ureaplasma urealyticum มีความสัมพันธ์กับการก่อโรคในระบบสืบพันธุ์ที่รุนแรงและชัดเจนกว่า Ureaplasma parvum
คุณสมบัติเปรียบเทียบ
|
Ureaplasma parvum
|
Ureaplasma urealyticum
|
---|
พบได้บ่อย?
|
พบได้บ่อยกว่า
|
พบได้น้อยกว่า
|
แนวโน้มก่อโรค
|
ต่ำกว่า (มักเป็นเชื้อประจำถิ่น)
|
สูงกว่า (สัมพันธ์กับโรคชัดเจน)
|
โรคที่เกี่ยวข้อง
|
อาจก่อโรคเมื่อมีปริมาณสูง
|
ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID), ภาวะมีบุตรยาก, การคลอดก่อนกำหนด, ปอดอักเสบในทารกแรกเกิด
|
กลไกที่ทำให้รุนแรง
|
–
|
ความหลากหลายของโปรตีนผิวเซลล์สูง (หลบภูมิคุ้มกันเก่ง), เอนไซม์ยูรีเอสทำงานรุนแรงกว่า
|
แม้ urealyticum จะมีแนวโน้มก่อโรคสูงกว่า แต่ parvum ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบในปริมาณสูง (high bacterial load) หรือในผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก การประเมินจึงต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล
เชื้อตัวไหนเกี่ยวข้องกับ “ภาวะมีบุตรยาก” มากกว่ากัน?
เมื่อเจาะจงไปที่ภาวะมีบุตรยาก (Infertility) หลักฐานทางการแพทย์ค่อนข้างชัดเจนว่า Ureaplasma urealyticum มีความเชื่อมโยงที่หนักแน่นกว่า
- ในผู้หญิง: U. urealyticum สัมพันธ์กับการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก (endometritis) และท่อนำไข่ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
- ในผู้ชาย: U. urealyticum สัมพันธ์กับการลดคุณภาพของอสุจิ ทั้งในด้านการเคลื่อนไหวและรูปร่าง และอาจสร้างสารอนุมูลอิสระ (ROS) ที่ทำลาย DNA ของอสุจิ
- บทบาทของ U. parvum: ข้อมูลยังไม่ชัดเจนเท่า urealyticum แม้จะพบได้บ่อยกว่า แต่จะถูกพิจารณาว่าอาจเป็นปัญหาเมื่อตรวจพบในปริมาณสูงมากในผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ
คำแนะนำ: สำหรับผู้ที่วางแผนทำเด็กหลอดแก้ว (IVF/ICSI) หลายคลินิกแนะนำให้ตรวจและรักษาเชื้อ Ureaplasma (ทั้งสองชนิด) ก่อนเริ่มกระบวนการเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ
การตรวจและการรักษาแตกต่างกันหรือไม่?
การตรวจ
- วิธีเก็บตัวอย่าง: เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการป้าย (swab) จากช่องคลอด/ปากมดลูกในผู้หญิง หรือการป้ายจากท่อปัสสาวะ/เก็บปัสสาวะส่วนแรกในผู้ชาย
- เทคนิคการตรวจ: แตกต่างกัน หากต้องการทราบว่าเป็น parvum หรือ urealyticum จะต้องใช้เทคนิค PCR ที่สามารถแยกสายพันธุ์ได้ (species-specific PCR) การตรวจ PCR แบบทั่วไปจะบอกได้แค่ว่า “มีเชื้อ Ureaplasma” แต่ไม่สามารถระบุชนิดได้
การรักษา
- เหมือนกัน แนวทางการรักษาใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากเชื้อทั้งสองชนิดไม่มีผนังเซลล์ ทำให้ตอบสนองต่อยาที่ออกฤทธิ์ต่อการสังเคราะห์โปรตีนเหมือนกัน
- ยาหลักที่ใช้:
- Tetracyclines (เช่น Doxycycline)
- Macrolides (เช่น Azithromycin) ซึ่งมักเป็นตัวเลือกแรกในหญิงตั้งครรภ์
- ข้อสรุป: ไม่จำเป็นต้องแยกโปรโตคอลการรักษา แพทย์จะเลือกยาโดยพิจารณาจากสถานะของผู้ป่วย (เช่น การตั้งครรภ์) ประวัติการแพ้ยา และแนวโน้มการดื้อยาในพื้นที่
ถ้าตรวจพบ Ureaplasma parvum ต้องกังวลหรือไม่?
การตรวจพบ U. parvum ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้บ่อยมาก ไม่ได้หมายความว่าคุณป่วยหรือต้องรีบรักษาเสมอไป ควรพิจารณาตามบริบทดังนี้:
- ถ้าคุณไม่มีอาการเลย: และไม่ได้วางแผนมีบุตรในเร็วๆ นี้ โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องกังวลหรือรักษา เพราะเชื้อทำหน้าที่เป็นเพียงเชื้อประจำถิ่น (commensal)
- ถ้าคุณมีอาการ: เช่น ตกขาวผิดปกติ ปวดท้องน้อย หรือปัสสาวะแสบขัด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณารักษา
- ถ้าคุณกำลังวางแผนมีบุตร หรือทำ IVF: หลายแนวทางแนะนำให้รักษาเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จ
- ถ้าผลตรวจระบุว่ามีปริมาณเชื้อสูง (High Bacterial Load): แม้ไม่มีอาการ ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง
บทสรุป
Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum เป็นเชื้อในกลุ่มเดียวกันแต่มีความแตกต่างที่สำคัญทางคลินิก
- Ureaplasma parvum: พบได้บ่อยกว่ามาก และส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อประจำถิ่นที่ไม่ก่อโรค
- Ureaplasma urealyticum: พบได้น้อยกว่า แต่มีหลักฐานชัดเจนว่าสัมพันธ์กับการก่อโรคในระบบสืบพันธุ์และภาวะมีบุตรยากมากกว่า
การตัดสินใจรักษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการประเมินร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย โดยพิจารณาจากอาการ ปริมาณเชื้อ แผนการมีบุตร และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เป็นสำคัญ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. เชื้อนี้ติดต่อทางไหนเป็นหลัก?
เชื้อ Ureaplasma ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เชื้อนี้ยังสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างการคลอดได้ด้วย การตรวจพบเชื้อจึงไม่ได้หมายความว่าเป็นการติดเชื้อครั้งใหม่หรือเป็นข้อพิสูจน์เรื่องนอกใจเสมอไป เพราะเชื้อสามารถอยู่ในร่างกายได้นานหลายปีโดยไม่แสดงอาการ
2. ถ้าตรวจเจอเชื้อ จำเป็นต้องรักษาร่วมกับคู่นอนหรือไม่?
จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากมีอาการหรือกำลังรักษาภาวะมีบุตรยาก แพทย์มักจะแนะนำให้รักษาทั้งสองฝ่ายพร้อมกันเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อกลับไปกลับมา (Ping-pong effect) ซึ่งจะทำให้การรักษาไม่ได้ผลและเกิดการติดเชื้อซ้ำได้
3. ทำไมบางคนติดเชื้อแล้วไม่มีอาการเลย?
การที่เชื้อจะก่อโรคหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่าง 3 ปัจจัย คือ
- ปริมาณเชื้อ (Bacterial Load): หากมีเชื้อในปริมาณน้อย ร่างกายมักจะควบคุมได้
- สายพันธุ์ของเชื้อ: U. urealyticum มีแนวโน้มก่อโรคสูงกว่า U. parvum
- ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย: คนที่ภูมิคุ้มกันแข็งแรงมักจะควบคุมเชื้อได้ดีกว่า เปรียบได้กับเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่นบนผิวหนัง ที่ปกติจะไม่ก่อโรคจนกว่าเราจะมีแผลหรือร่างกายอ่อนแอลง
4. หลังรักษาหายแล้ว จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกไหม? ได้ครับ
การรักษาเป็นการกำจัดเชื้อที่มีอยู่ แต่ร่างกายไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อนี้ ดังนั้นคุณสามารถติดเชื้อซ้ำได้หากมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ยังไม่ได้รับการรักษา หรือจากคู่นอนคนใหม่ที่มีเชื้ออยู่
5. การตรวจซ้ำหลังรักษา (Test of Cure) จำเป็นแค่ไหน?
การตรวจซ้ำหลังรักษาเป็นการยืนยันว่าการรักษาได้ผลและไม่พบเชื้อแล้ว จำเป็นอย่างยิ่ง ในกรณีต่อไปนี้:
- ผู้ที่ยังมีอาการอยู่หลังรักษา
- ผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือทำ IVF/ICSI
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อซ้ำ โดยทั่วไป แพทย์จะแนะนำให้ตรวจซ้ำหลังรับประทานยาปฏิชีวนะครบแล้วประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าผลตรวจไม่ได้มาจากซากเชื้อที่ตายแล้ว
6. เชื้อ Ureaplasma ดื้อยาได้หรือไม่? ได้ และเป็นปัญหาที่น่ากังวลมากขึ้น
การดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อกลุ่มนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้อง
- ทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
- ไม่ซื้อยาทานเอง หรือนำยาเก่ามาใช้โดยไม่มีคำสั่งแพทย์
- แจ้งประวัติการแพ้ยาและยาที่เคยใช้กับแพทย์เสมอ
7. มีวิธีป้องกันเชื้อนี้หรือไม่?
การป้องกันการติดเชื้อ Ureaplasma โดยสมบูรณ์อาจเป็นเรื่องยากเพราะเป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไป แต่สามารถ ลดความเสี่ยง ได้โดย
- ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยลดโอกาสการรับและแพร่เชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ
- จำกัดจำนวนคู่นอน
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล
- ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนคู่นอน
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้