Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

กามโรค 8 พฤติกรรมเสี่ยงที่คุณอาจทำโดยไม่รู้ตัว! เช็คด่วน

กามโรค เป็นโรคที่หลายคนได้ยินชื่อ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจว่าความเสี่ยงนั้นอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด พฤติกรรมบางอย่างที่ดูเหมือนไม่อันตราย อาจทำให้คุณกลายเป็นผู้ติดเชื้อหรือพาหะได้โดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณมารู้จักกับ 8 พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรระวัง พร้อมแนวทางในการตรวจ วินิจฉัย รักษา และป้องกันอย่างถูกต้อง ด้วยข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

กามโรคคืออะไร?

กามโรค (Sexually Transmitted Diseases: STDs) คือกลุ่มของโรคติดต่อที่สามารถถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านกิจกรรมทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก รวมถึงการสัมผัสสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศโดยตรง โรคในกลุ่มนี้เกิดได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต และเชื้อรา

หนึ่งในความสำคัญของกามโรคคือ “อาการอาจไม่แสดงชัดเจนในระยะแรก” ซึ่งทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นพาหะ และยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ

โรคที่จัดอยู่ในกลุ่มกามโรค เช่น

การแพร่เชื้อสามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่มีการสอดใส่โดยตรง เช่น การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันกับผู้ติดเชื้อที่มีบาดแผล การจูบลึกที่มีแผลในช่องปาก หรือการใช้ของเล่นทางเพศที่ไม่สะอาด

การรู้จักกามโรคตั้งแต่เบื้องต้นคือจุดเริ่มต้นของการป้องกันตนเองอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และไม่ตีตราผู้ป่วย เพราะกามโรคสามารถป้องกัน รักษา หรือควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสมโดยแพทย์

8 พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้คุณติดกามโรค

แม้หลายคนจะรู้ว่ากามโรคติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ แต่กลับไม่รู้ว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ ต่อไปนี้คือ 8 พฤติกรรมที่พบได้บ่อย ซึ่งเป็น “จุดเสี่ยง” ที่อาจทำให้คุณติดเชื้อกามโรคโดยไม่รู้ตัว

มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

1. มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ “การไม่ใช้ถุงยาง” คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด เพราะเชื้อกามโรคสามารถติดต่อได้จากสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ สารหล่อลื่นในช่องคลอด หรือเลือด แม้จะไม่มีการหลั่งก็ตาม

2. เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนหลายคน

ยิ่งมีคู่นอนมากเท่าไร ความเสี่ยงในการติดเชื้อจากผู้ที่อาจมีโรคอยู่แบบไม่แสดงอาการก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แม้แต่ผู้ที่ดู “สุขภาพดี” ภายนอก ก็อาจเป็นพาหะได้

3. มีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทางทวารหนักโดยไม่ป้องกัน

หลายคนมองว่าการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ทางช่องคลอดนั้นปลอดภัยกว่า ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เชื้อกามโรคจำนวนมาก เช่น ซิฟิลิส เริม HPV สามารถติดต่อผ่านทางเยื่อบุของช่องปากและทวารหนักได้โดยตรง

ใช้แอลกอฮอล์หรือยาเสพติดก่อนหรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์

4. ใช้แอลกอฮอล์หรือยาเสพติดก่อนหรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์

การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดส่งผลต่อการควบคุมพฤติกรรม เช่น การลืมใส่ถุงยาง การมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า หรือการเลือกวิธีป้องกันที่ไม่เหมาะสม

5. มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่รู้ประวัติสุขภาพ

การไม่พูดคุยหรือไม่สอบถามเกี่ยวกับการตรวจโรคของคู่นอนอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น เพราะแม้แต่ผู้ที่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้

6. เริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย

ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยมักขาดความรู้และความเข้าใจเรื่องการป้องกันโรค รวมถึงมักไม่เข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

7. ไม่ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจ STI เป็นประจำสามารถช่วยตรวจพบเชื้อได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ซึ่งเป็นวิธีป้องกันการแพร่เชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

8. เชื่อความเข้าใจผิด เช่น “มีเพศสัมพันธ์แค่ครั้งเดียวไม่เป็นไร”

หลายคนคิดว่าหากทำแค่ “ครั้งเดียว” หรือกับ “คนที่ไว้ใจได้” จะไม่เสี่ยง ซึ่งในความเป็นจริง เพียงครั้งเดียวก็สามารถติดเชื้อได้ หากอีกฝ่ายเป็นพาหะ

กามโรค สัญญาณเตือน: ฉันกำลังเป็นอยู่หรือเปล่า?

กามโรคหลายชนิดสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการในช่วงแรก ทำให้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น อย่างไรก็ตาม หากสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในร่างกายต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย:

อาการที่พบบ่อยในผู้หญิง:

  • มีตกขาวมากผิดปกติ มีกลิ่น หรือมีสีเปลี่ยนแปลง
  • แสบหรือคันช่องคลอด
  • ปัสสาวะแสบ ขัด หรือบ่อยกว่าปกติ
  • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ปวดท้องน้อย หรือเจ็บในอุ้งเชิงกราน

อาการที่พบบ่อยในผู้ชาย:

  • มีหนองหรือตกขาวจากปลายอวัยวะเพศ
  • ปัสสาวะแสบหรือมีเลือดปน
  • เจ็บหรือบวมบริเวณอัณฑะ
  • มีแผลหรือตุ่มบริเวณอวัยวะเพศ

อาการทั่วไปที่เกิดได้ในทุกเพศ:

  • แผล ตุ่ม หรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม (โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ)
  • มีไข้ อ่อนเพลีย หรือหนาวสั่น
  • เจ็บคอหรือมีอาการคล้ายไข้หวัด (กรณีติดเชื้อทางปาก)

สิ่งสำคัญคือ อาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคอื่นที่ไม่ใช่กามโรคก็ได้ จึงไม่ควรวินิจฉัยด้วยตนเอง การตรวจจากแพทย์เท่านั้นที่จะให้ผลที่แน่ชัด และสามารถนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม

วิธีตรวจกามโรค

การตรวจวินิจฉัยกามโรค (STD testing) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยระบุชนิดของเชื้อโรคอย่างแม่นยำ เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้ตรงจุด หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องรอให้มีอาการก่อนจึงจะตรวจได้ แท้จริงแล้ว “ผู้ไม่มีอาการก็สามารถติดเชื้อและแพร่เชื้อได้” จึงควรตรวจเป็นประจำหากมีพฤติกรรมเสี่ยง

รูปแบบการตรวจที่ใช้ในคลินิกและโรงพยาบาลทั่วไป

  1. ตรวจเลือด (Blood Test): ใช้ตรวจหาเชื้อไวรัสและแบคทีเรียบางชนิด เช่น ซิฟิลิส HIV และไวรัสตับอักเสบ B/C
  2. ตรวจปัสสาวะ (Urine Test): นิยมใช้สำหรับตรวจโรคหนองในแท้และหนองในเทียม โดยเฉพาะในผู้ชาย
  3. ตรวจสารคัดหลั่ง (Swab Test): ใช้เก็บตัวอย่างจากช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก หรือคอหอย ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมทางเพศ
  4. การตรวจแบบ NAT/PCR (Nucleic Acid Amplification Test): เป็นเทคนิคทางห้องปฏิบัติการที่มีความแม่นยำสูง ใช้ตรวจเชื้อในระดับ DNA/RNA เหมาะกับการวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้นหรือไม่มีอาการ

ต้องตรวจเมื่อไร?

  • หลังมีพฤติกรรมเสี่ยง (เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน) ภายใน 7-21 วัน
  • ทุก 3-6 เดือน หากมีคู่นอนหลายคน
  • เมื่อคู่นอนของคุณมีผลตรวจเป็นบวก
  • ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนใหม่

การตรวจแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงแค่ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ แต่ยังช่วยให้สามารถรักษาได้ทันก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

แนวทางการรักษากามโรค

การรักษากามโรคขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อที่ก่อโรค ซึ่งโดยทั่วไปสามารถรักษาให้หายขาดได้หากเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม หรือซิฟิลิส แต่หากเป็นโรคที่เกิดจากไวรัส เช่น เริม หรือ HPV อาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและลดการแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางการรักษาทั่วไป:

  • โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial STDs): เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม และซิฟิลิส มักรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือฉีด เช่น Azithromycin, Ceftriaxone หรือ Penicillin (ขึ้นกับชนิดและระยะของโรค)
  • โรคจากไวรัส (Viral STDs): เช่น เริม (Herpes), HPV, HIV ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมได้ด้วยยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir, Valacyclovir หรือยาต้าน HIV
  • โรคจากเชื้ออื่น เช่น ปรสิตหรือรา: เช่น พยาธิ Trichomonas หรือเชื้อรา Candida ต้องใช้ยาตามลักษณะเฉพาะของเชื้อ

ควรรักษาพร้อมกับคู่นอน

แม้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ แต่หากไม่ได้รักษาคู่นอนพร้อมกัน อาจติดซ้ำได้หลังรักษา ดังนั้นการรักษาพร้อมกันทั้งคู่ถือเป็นมาตรฐานสำคัญในการควบคุมโรค

รักษากามโรคที่ไหนดี?

Safe Clinic เป็นคลินิกเฉพาะทางที่ให้บริการตรวจและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แบบครบวงจร ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้บริการด้วยความเป็นส่วนตัว ปลอดภัย และไม่ตัดสินผู้ป่วย พร้อมบริการ:

  • ตรวจวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยี PCR และ NAT ที่แม่นยำ
  • ให้คำปรึกษาโดยแพทย์อย่างเป็นส่วนตัว
  • รักษาด้วยยาและแนวทางที่เป็นมาตรฐานระดับสากล
  • มีบริการตรวจและรักษาโดยไม่ต้องเปิดเผยชื่อ (Anonymous)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือจองคิวได้ที่ www.bangkoksafeclinic.com

หากไม่รักษา จะเกิดอะไรขึ้น?

แม้ว่ากามโรคบางชนิดอาจไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่การไม่รักษาหรือปล่อยไว้โดยคิดว่า “ไม่มีอะไร” อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว บางกรณีอาจถึงขั้นกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ หรือเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ในผู้หญิง

  • ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease: PID): เกิดจากการที่เชื้อแพร่จากช่องคลอดขึ้นไปยังมดลูกหรือท่อนำไข่ อาจทำให้มีบุตรยาก หรือท้องนอกมดลูก
  • ภาวะมีบุตรยาก (Infertility): ท่อนำไข่อุดตันจากการอักเสบเรื้อรัง
  • การแพร่เชื้อสู่ทารก: โดยเฉพาะขณะคลอด เช่น เชื้อหนองในทำให้ทารกตาบอด, เริมทำให้เกิดการติดเชื้อในสมอง

ในผู้ชาย

  • อัณฑะอักเสบ: โดยเฉพาะจากหนองในเทียม อาจทำให้ปวดบวมและเป็นหมันได้
  • ภาวะท่อปัสสาวะตีบ: จากการอักเสบเรื้อรังของท่อปัสสาวะ
  • เสี่ยงแพร่เชื้อสู่คู่นอน: แม้จะไม่มีอาการก็ตาม

ในทุกเพศ

  • เชื้อเข้าสู่กระแสเลือด (Disseminated Infection): เช่น ซิฟิลิสระยะท้ายหรือ HIV ที่ไม่ควบคุม อาจลุกลามไปยังสมอง หัวใจ และอวัยวะสำคัญ
  • เพิ่มโอกาสติดเชื้อ HIV: ผู้ที่เป็นกามโรคบางชนิดจะมีความเสี่ยงติดเชื้อ HIV มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า

วิธีป้องกันกามโรคอย่างได้ผล

แม้กามโรคจะมีความเสี่ยงสูงจากพฤติกรรมทางเพศ แต่ “การป้องกัน” ก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเรามีความรู้และวางแผนการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องลดทอนคุณภาพชีวิตหรือความสัมพันธ์แต่อย่างใด

  1. ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันกามโรค หากใช้อย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางช่องคลอด ปาก หรือทวารหนัก
  2. ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ การตรวจหาเชื้อแม้ไม่มีอาการ ช่วยให้รู้เร็วและรักษาได้ก่อนแพร่เชื้อ โดยเฉพาะในผู้ที่มีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคน
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว เพื่อป้องกันเชื้อจากแผลหรือสารคัดหลั่ง
  4. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้สารเสพติด เพราะจะส่งผลต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย
  5. รับวัคซีนป้องกันเชื้อบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกามโรค HPV Vaccine: ป้องกันหูดหงอนไก่และมะเร็งปากมดลูก และ Hepatitis B Vaccine: ลดความเสี่ยงตับอักเสบจากเพศสัมพันธ์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกามโรค

กามโรคสามารถติดจากการจูบได้ไหม?

อาจติดได้ในบางกรณี โดยเฉพาะหากมีแผลในปาก หรือมีโรคที่แพร่ผ่านน้ำลายหรือเยื่อบุ เช่น เริม (Herpes Simplex Virus) และซิฟิลิสระยะที่มีแผล

มีเพศสัมพันธ์ครั้งเดียว จะติดกามโรคได้หรือไม่?

ได้ หากคู่นอนมีเชื้อกามโรคอยู่แล้ว เพราะการสัมผัสเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอให้เกิดการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะหากไม่มีการป้องกัน

หากไม่มีอาการ จำเป็นต้องตรวจหรือไม่?

จำเป็น เพราะโรคหลายชนิด เช่น หนองในเทียม หรือ HPV มักไม่มีอาการในระยะแรก แต่สามารถแพร่เชื้อและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากไม่รักษา

ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว ยังสามารถติดกามโรคได้ไหม?

ถุงยางสามารถลดความเสี่ยงได้มาก แต่ไม่ 100% โดยเฉพาะโรคที่ติดต่อผ่านการสัมผัสผิวหนัง เช่น เริม หรือหูดหงอนไก่ ซึ่งอาจเกิดนอกบริเวณที่ถุงยางป้องกัน

กามโรคเป็นแล้วหายขาดไหม?

ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค โรคที่เกิดจากแบคทีเรียส่วนใหญ่หายขาดได้หากได้รับยาถูกต้อง แต่โรคจากไวรัส เช่น เริม หรือ HIV ต้องควบคุมด้วยยาและติดตามผลต่อเนื่อง

บทสรุป

การรู้เท่าทันกามโรคไม่ใช่แค่การป้องกันโรคติดต่อทางเพศเท่านั้น แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพของตัวคุณเองและคนที่คุณรักอย่างมีสติ พฤติกรรมบางอย่างที่เคยชินหรือเข้าใจผิด อาจกลายเป็นช่องทางของการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ และการเลือกสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ เช่น Safe Clinic ถือเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน รักษา และลดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว เพราะ “แค่รู้เร็ว รักษาเร็ว” ก็ช่วยชีวิตได้

icon email