Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

HIV vs AIDS ต่างกันยังไง? ใช่โรคเดียวกันไหม! สรุปง่ายๆ 3 นาที

แม้ในปัจจุบันหลายคนจะคุ้นเคยกับคำว่า “HIV” และ “AIDS” แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เช่น เข้าใจว่าเป็นโรคเดียวกัน หรือคิดว่าผู้ติดเชื้อ HIV ต้องกลายเป็นผู้ป่วยเอดส์ในที่สุด ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเช่นนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการดูแลรักษาตัวเองของผู้ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงทัศนคติในสังคมอีกด้วย

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า เอชไอวี และ เอดส์ ต่างกันยังไง ตั้งแต่นิยาม สาเหตุ อาการ การรักษา และการใช้ชีวิต พร้อมเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย เพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและลดการตีตราโดยไม่ตั้งใจ

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ทำไมคนถึงสับสนระหว่าง HIV กับ AIDS?

แม้ปัจจุบันเราจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับ HIV และโรคเอดส์ได้ง่ายขึ้น แต่คนจำนวนมากยังคงเข้าใจผิดว่า “HIV กับ AIDS คือโรคเดียวกัน” บางคนใช้คำว่า “ติดเอดส์” ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ติดเชื้อ HIV ยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะของโรคเอดส์แต่อย่างใด

ความสับสนนี้ส่วนหนึ่งมาจากการใช้คำในสื่อและบทสนทนาในชีวิตประจำวัน เช่น “เขาเป็นเอดส์แล้วนะ” หรือ “ติดเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์” ทั้งที่ควรพูดว่า “ติดเชื้อ HIV” มากกว่า โดยเฉพาะในช่วงยุค 90-2000s ที่คำว่า “เอดส์” มักถูกใช้แทนคำว่า HIV จนกลายเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเรื่อยมา

อีกเหตุผลหนึ่งคือ HIV และ AIDS มีความเกี่ยวข้องกันจริงในแง่พยาธิสภาพ เพราะ HIV คือไวรัสที่เป็นต้นเหตุ หากไม่รักษาอย่างต่อเนื่องก็จะนำไปสู่ภาวะของโรคเอดส์ในที่สุด จึงทำให้หลายคนเข้าใจว่ามันคือสิ่งเดียวกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของ “ตัวเชื้อ” กับ “อาการของโรค” ระยะเวลา และการรักษา

การทำความเข้าใจความต่างระหว่าง HIV และ AIDS อย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยลดการตีตราทางสังคมแล้ว ยังช่วยให้ผู้คนสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

HIV คืออะไร?

HIV หรือชื่อเต็มว่า Human Immunodeficiency Virus คือไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โดยจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 (T-helper cells) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค หากไม่ได้รับการรักษา HIV จะทำให้จำนวนเซลล์ CD4 ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้เหมือนปกติ

เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ผู้ติดเชื้อ HIV จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ เชื้อราในสมอง หรือมะเร็งบางชนิด ซึ่งเป็นลักษณะของโรคเอดส์ในระยะสุดท้าย

ปัจจุบัน HIV แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลัก คือ HIV-1 และ HIV-2 โดย HIV-1 เป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุดทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย

การติดเชื้อ HIV เกิดขึ้นได้อย่างไร?

HIV แพร่เชื้อผ่านของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อ ได้แก่

  • เลือด
  • น้ำอสุจิ
  • สารคัดหลั่งในช่องคลอดและทวารหนัก
  • น้ำนมแม่

โดยช่องทางการติดเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • การถ่ายเลือดหรือรับอวัยวะจากผู้ติดเชื้อ (ปัจจุบันมีมาตรการคัดกรองเข้มงวด)
  • จากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นม

ระยะของการติดเชื้อ HIV

การติดเชื้อ HIV แบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก:

  1. ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infection): เกิดขึ้นภายใน 2–4 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต
  2. ระยะเรื้อรัง (Chronic HIV): ระยะที่เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใด ๆ แต่ไวรัสยังคงทำลายภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง
  3. ระยะเอดส์ (AIDS): เป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันเสียหายรุนแรงจนเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคฉวยโอกาส

การใช้ยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่องสามารถควบคุมระดับไวรัสให้ต่ำจน “ตรวจไม่พบเชื้อ” และลดโอกาสแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

AIDS คืออะไร?

AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายลงจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อได้อีกต่อไป ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อโรคฉวยโอกาสและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากขึ้น

การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเข้าสู่ระยะเอดส์จะพิจารณาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่:

  1. ระดับเซลล์ CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
  2. มีอาการของโรคฉวยโอกาส เช่น ปอดบวมจากเชื้อ PCP, วัณโรค, เชื้อราในสมอง, มะเร็งคาโปซี่ซาร์โคมา ฯลฯ

AIDS ไม่ใช่ “เชื้อ” แต่เป็น “ภาวะ” ที่เกิดจากการติดเชื้อ HIV ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับการรักษาไม่สม่ำเสมอ จนระบบภูมิคุ้มกันล้มเหลวอย่างสมบูรณ์

ในอดีต ผู้ติดเชื้อ HIV จำนวนมากจะเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในระยะเอดส์ แต่ในปัจจุบัน ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ หากได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องและเฝ้าระวังสุขภาพอย่างใกล้ชิด

HIV กับ AIDS ต่างกันอย่างไร?

แม้ว่า HIV และ AIDS จะเกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่ทั้งสองคำนี้ไม่ได้มีความหมายเดียวกัน การเข้าใจความแตกต่างอย่างชัดเจนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยสามารถเปรียบเทียบได้ในหลายแง่มุม ดังนี้:

1. ต้นเหตุ vs ผลลัพธ์

  • HIV เป็น “เชื้อไวรัส” ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
  • AIDS เป็น “ภาวะ” หรือ “ระยะของโรค” ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายรุนแรงจาก HIV

2. การตรวจพบ vs การแสดงอาการ

  • HIV สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจเลือด แม้ผู้ติดเชื้อจะยังไม่มีอาการใด ๆ
  • AIDS จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายเริ่มแสดงอาการของโรคฉวยโอกาสและระดับ CD4 ต่ำ

3. การรักษาและการป้องกัน

  • HIV หากได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมไวรัสไม่ให้พัฒนาไปเป็น AIDS
  • AIDS ต้องรักษาทั้งเชื้อไวรัสและโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่า

4. ความหมายทางสังคม

  • คำว่า “ติดเอดส์” มักเป็นคำที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและตีตรา ทั้งที่ควรใช้คำว่า “ติดเชื้อ HIV” อย่างถูกต้อง

HIV ทุกคนต้องเป็น AIDS ไหม?

ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อ HIV จะต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์ หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถควบคุมเชื้อไวรัสไม่ให้ลุกลามจนเข้าสู่ระยะเอดส์ได้

ผู้ที่ติดเชื้อ HIV แล้วได้รับการรักษาอย่างมีวินัย จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานเหมือนคนทั่วไป โดยไม่เคยเข้าสู่ภาวะ AIDS เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งในปัจจุบันแนวทางการรักษาก้าวหน้าอย่างมาก ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ทานยาอย่างถูกต้องจะมีระดับไวรัสต่ำจน “ตรวจไม่พบเชื้อ” (Undetectable) และไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ทางเพศสัมพันธ์ (U=U: Undetectable = Untransmittable)

สรุปคือ HIV ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ AIDS เสมอไป หากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง

ตารางเปรียบเทียบ HIV vs AIDS แบบเข้าใจง่าย

หัวข้อ

HIV

AIDS

ความหมาย

เชื้อไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกัน (Human Immunodeficiency Virus)

ภาวะที่ภูมิคุ้มกันล้มเหลวจากการติดเชื้อ HIV ระยะสุดท้าย

สาเหตุ

ติดเชื้อไวรัส HIV

ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจาก HIV จนติดโรคฉวยโอกาส

ระยะเวลา

อาจใช้เวลา 2–20 ปีกว่าจะพัฒนาเป็น AIDS หากไม่รักษา

ระยะสุดท้ายของ HIV เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำมาก

อาการ

อาจไม่มีอาการ หรือแสดงอาการคล้ายไข้หวัด

ติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อราในสมอง ปอดบวม ฯลฯ

การวินิจฉัย

ตรวจเลือดหาเชื้อ HIV

ตรวจระดับ CD4 < 200 หรือมีอาการของโรคฉวยโอกาส

การรักษา

ยาต้านไวรัส (ART) เพื่อลดไวรัสในร่างกาย

ยาต้านไวรัส + การรักษาภาวะแทรกซ้อน

การแพร่เชื้อ

สามารถแพร่ได้หากไม่ได้รักษา

ยังสามารถแพร่ได้ หากยังมีเชื้อในร่างกาย

การกลับสู่ภาวะปกติ

หากรักษาเร็ว มีโอกาสใช้ชีวิตปกติได้

ต้องรักษาโรคฉวยโอกาสร่วมด้วย และควบคุมไวรัสต่อเนื่อง

ทำไมการรู้ความแตกต่างจึงสำคัญ?

การแยกความเข้าใจระหว่าง “HIV” และ “AIDS” ให้ชัดเจน ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของศัพท์ทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงทั้งต่อผู้ติดเชื้อ แพทย์ และสังคมโดยรวมในหลายด้าน เช่น:

1. เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในการรักษา

  • การรู้ว่า HIV ยังไม่ใช่เอดส์ ช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่ตื่นตระหนก และตัดสินใจรักษาตั้งแต่ระยะแรกได้ทัน
  • การเข้าใจว่า HIV ไม่จำเป็นต้องพัฒนาเป็นเอดส์ ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

2. ลดการตีตราและความเข้าใจผิดในสังคม

  • คำว่า “เอดส์” มักถูกใช้ผิดในเชิงดูถูกหรือแบ่งแยก ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่กล้าเปิดเผยตนเอง
  • การใช้คำว่า “ผู้ติดเชื้อ HIV” อย่างถูกต้องช่วยสร้างบรรยากาศของความเข้าใจ และลดการรังเกียจ

3. เพื่อส่งเสริมแนวทางป้องกันที่ตรงจุด

  • การรู้ว่า HIV ติดต่อผ่านทางเลือดและเพศสัมพันธ์ (ไม่ใช่ทางสัมผัสหรือของใช้ร่วม) จะช่วยลดความกลัวที่ไม่มีเหตุผล
  • การรู้ว่า HIV รักษาได้ ช่วยให้คนกล้าตรวจและดูแลตนเองมากขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) HIV กับ AIDS

1. ติดเชื้อ HIV หมายความว่าต้องเป็นเอดส์ไหม?

ไม่จำเป็น หากได้รับการรักษาเร็วและทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ผู้ที่มีเชื้อ HIV สามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่เข้าสู่ระยะเอดส์เลยตลอดชีวิต

2. หากตรวจเจอ HIV แปลว่ามีอาการเอดส์แล้วหรือไม่?

ไม่ใช่ การตรวจพบ HIV หมายถึงมีเชื้อไวรัสในร่างกาย แต่ยังไม่เข้าสู่ระยะเอดส์ ซึ่งเป็นระยะที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง

3. คนเป็นเอดส์สามารถกลับมาเป็นแค่ HIV ได้ไหม?

ไม่ได้ แต่สามารถควบคุมโรคให้อยู่ในระดับที่ไม่แสดงอาการเพิ่มเติม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วยการรักษาอย่างต่อเนื่อง

4. HIV กับ AIDS ติดต่อได้เหมือนกันหรือเปล่า?

ไม่ต่างกัน เพราะทั้งสองเกิดจากเชื้อไวรัส HIV ซึ่งติดต่อผ่านเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่ง และจากแม่สู่ลูก

5. HIV รักษาหายได้ไหม?

ยังไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมได้ด้วยยาต้านไวรัส หากทานยาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ระดับไวรัสต่ำจนตรวจไม่เจอ และไม่แพร่เชื้อต่อผู้อื่น (U=U)

สรุป

เมื่อเข้าใจว่า HIV เป็นเชื้อไวรัสที่หากได้รับการรักษาเร็วและต่อเนื่อง จะไม่พัฒนาไปเป็น AIDS เราก็จะสามารถเปลี่ยนมุมมองต่อโรคนี้ได้อย่างสิ้นเชิง จากความกลัวและการตีตรา เป็นความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพ

การรู้ความแตกต่างระหว่าง HIV กับ AIDS ไม่ได้มีประโยชน์แค่ทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวแรกของการลดอคติในสังคม เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิต การดูแลรักษาตัวเอง และการสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

icon email