แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ หรือ Granuloma Inguinale (Donovanosis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อยในประเทศไทย แต่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในหลายประเทศเขตร้อน โดยมีลักษณะเฉพาะคือแผลเรื้อรังบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศที่อาจลุกลามได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Klebsiella granulomatis และสามารถแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสกับแผลเปิดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น พังผืด แผลเป็นถาวร หรือติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจโรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบในทุกมิติ ทั้งอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน และความแตกต่างจากโรคอื่น เพื่อให้สามารถตัดสินใจเข้ารับการดูแลจากแพทย์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ คืออะไร? แผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ (Granuloma Inguinale หรือ Donovanosis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อย แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อาจก่อให้เกิดแผลเรื้อรังที่ขาหนีบและอวัยวะเพศ ซึ่งมีลักษณะเจ็บ แดง และอาจลุกลามทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบได้ สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Klebsiella granulomatis (เดิมชื่อ Calymmatobacterium granulomatis) ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลเปิด โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือขาหนีบ แม้โรคนี้จะพบได้ไม่บ่อยในประเทศไทย แต่มีรายงานผู้ป่วยในหลายประเทศเขตร้อน เช่น อินเดีย แอฟริกาใต้ และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…
HPV 18 หรือ Human Papillomavirus สายพันธุ์ที่ 18 คือหนึ่งในไวรัสที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “สายพันธุ์เสี่ยงสูง” (High-risk HPV) เนื่องจากมีศักยภาพในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จนพัฒนาไปสู่โรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะเร็งปากมดลูกชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarcinoma)” ซึ่งพบว่าเชื้อ HPV 18 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน แม้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ และร่างกายอาจสามารถกำจัดเชื้อได้เอง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รู้ตัว การติดเชื้อนี้อาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรงในอนาคตได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ HPV 18 อย่างถูกต้อง ตั้งแต่การติดต่อ อาการ วิธีตรวจ ไปจนถึงการป้องกันและวัคซีน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ข้อมูลด้านสุขภาพมีบทบาทต่อการดูแลชีวิตมากกว่าที่เคย HPV 18 คืออะไร? HPV 18 หรือ Human Papillomavirus Type 18 คือหนึ่งในไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์เสี่ยงสูง ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเกิดมะเร็งปากมดลูกชนิดต่อม (adenocarcinoma) ซึ่งเกิดในเซลล์ต่อมของปากมดลูกที่ตรวจเจอได้ยากกว่ามะเร็งชนิดเซลล์สความัสทั่วไป ลักษณะสำคัญของการติดเชื้อ HPV 18 คือการไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ และปล่อยให้ไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน ส่งผลให้เชื้อมีโอกาสพัฒนาเป็นเซลล์ผิดปกติหรือกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO)…
HPV 16 หรือเชื้อไวรัสเอชพีวี สายพันธุ์ 16 คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง ซึ่งคร่าชีวิตผู้หญิงไทยจำนวนมากในแต่ละปี แม้ว่าเชื้อนี้จะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ก็สามารถฝังตัวอยู่ในร่างกายและก่อให้เกิดความผิดปกติของเซลล์ได้โดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ HPV 16 อย่างละเอียด ตั้งแต่กลไกของเชื้อ การติดเชื้อ อาการ การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถปกป้องสุขภาพของตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ HPV 16 คืออะไร? HPV 16 คือหนึ่งในสายพันธุ์ของไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา (Human Papillomavirus: HPV) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “สายพันธุ์เสี่ยงสูง” ที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะเร็งปากมดลูก” ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากในผู้หญิงทั่วโลก จากการศึกษาทางระบาดวิทยา พบว่า HPV สายพันธุ์ 16 มีความเกี่ยวข้องกับกรณีของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 50–60% ทั่วโลก และหากรวมกับสายพันธุ์ HPV 18 จะครอบคลุมถึง 70% ของผู้ป่วยทั้งหมด (ข้อมูลจาก World Health Organization) เชื้อไวรัส HPV…
พยาธิในช่องคลอด เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย แต่หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญอยู่ เพราะอาการอาจไม่ชัดเจน หรือไม่มีอาการเลย โดยเฉพาะในผู้ชาย โรคนี้เกิดจากเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ง่าย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพระบบสืบพันธุ์หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับพยาธิในช่องคลอดอย่างครอบคลุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีตรวจ การรักษา ไปจนถึงวิธีป้องกัน พร้อมไขความเข้าใจผิดที่พบบ่อย เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย พยาธิในช่องคลอดคืออะไร? พยาธิในช่องคลอด คือการติดเชื้อจากปรสิตชนิดเซลล์เดียวที่มีชื่อว่า Trichomonas vaginalis ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มโปรโตซัว โดยเชื้อนี้สามารถติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ได้โดยตรง ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แม้ว่าผู้ชายหลายรายจะไม่แสดงอาการ ผู้หญิงที่ติดเชื้อมักมีตกขาวผิดปกติ คัน หรือแสบในช่องคลอด แต่ในบางรายอาจไม่มีอาการเลย ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ จึงอาจเป็นพาหะต่อเนื่องโดยไม่ตั้งใจ พยาธินี้จึงไม่ใช่ “หนอน” อย่างที่บางคนเข้าใจ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วที่สามารถก่อโรคในระบบสืบพันธุ์และต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม อ่านเพิ่มเติม: ตกขาวแบบไหนปกติ? ระวัง! 5 สัญญาณตกขาวเสี่ยงโรคเพศสัมพันธ์ โรคนี้พบบ่อยแค่ไหน? อัปเดตสถิติปี 2020–2024 จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าในปี 2020 มีผู้ติดเชื้อ Trichomonas vaginalis ทั่วโลกประมาณ 156…
ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคซิฟิลิสที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ถึงแม้ว่าซิฟิลิสจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาได้ แต่หากปล่อยให้ติดเชื้อเรื้อรังหรือรักษาไม่ครบ เชื้อ Treponema pallidum อาจแพร่เข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความผิดปกติที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสมองและร่างกาย อาการของซิฟิลิสขึ้นสมองมีความหลากหลาย ตั้งแต่ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ซึมเศร้า ความจำเสื่อม ไปจนถึงอัมพาตหรือสูญเสียการมองเห็นได้ในบางราย การตรวจคัดกรองและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงเหล่านี้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ซิฟิลิสขึ้นสมอง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา รวมถึงวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ ซิฟิลิสขึ้นสมอง (Neurosyphilis) คืออะไร? ซิฟิลิสขึ้นสมอง หรือ Neurosyphilis เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum เชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของโรคซิฟิลิส โดยเมื่อการติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เชื้อสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ สมอง และ ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจ Neurosyphilis สามารถเกิดได้ในทุกระยะของโรคซิฟิลิส โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ ไม่ได้รับการรักษา หรือ มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ภาวะนี้มีความรุนแรงและอาจส่งผลกระทบระยะยาวหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การแพร่กระจายของเชื้อไปยังระบบประสาท หลังการติดเชื้อซิฟิลิส เชื้อ Treponema…
เมื่อได้รับผลตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์ แล้วพบชื่อเชื้อ โรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา อยู่ในรายงาน หลายคนอาจรู้สึกสับสน และไม่แน่ใจว่าทั้งสองเชื้อนี้แตกต่างกันอย่างไร ต้องรีบรักษาหรือไม่ และมีผลต่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญคือชื่อของเชื้อทั้งสองมีความคล้ายกัน และมักถูกพูดถึงพร้อมกันในการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) แต่ในความเป็นจริง ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา เป็นเชื้อที่มีลักษณะต่างกัน ทั้งด้านความรุนแรง ผลกระทบต่อสุขภาพ และแนวทางการดูแลรักษา บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบความแตกต่างของเชื้อทั้งสองชนิดอย่างเข้าใจง่าย พร้อมตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อ การประเมินความเสี่ยง และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจรักษา เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างถูกต้องและมั่นใจยิ่งขึ้น โรคไมโคพลาสมา กับยูเรียพลาสมา ทำไมคนสับสน? ผู้ที่ตรวจพบเชื้อ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา มักเกิดคำถามว่าทั้งสองเชื้อเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ต้องรักษาเหมือนกันหรือเปล่า หรือมีอันตรายแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเป็นความสับสนที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ที่ได้รับผลตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือผู้ที่เข้ารับการตรวจภาวะมีบุตรยาก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คือชื่อของเชื้อทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน และจัดอยู่ในกลุ่มแบคทีเรียชนิดไม่มีผนังเซลล์เช่นเดียวกัน อีกทั้งผลการตรวจบางชุดอาจรายงานชื่อเชื้อเหล่านี้ในหมวดเดียวกัน ทำให้ผู้รับผลตรวจเข้าใจว่าเป็นโรคชนิดเดียวกัน นอกจากนี้ ยูเรียพลาสมา ยังเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ตามปกติในร่างกายของคนที่มีสุขภาพดี โดยไม่ก่อโรคเสมอไป แตกต่างจาก ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม ซึ่งหากตรวจพบถือว่าเป็นเชื้อก่อโรคที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ด้วยความซับซ้อนเหล่านี้…
เมื่อพูดถึงเชื้อ Ureaplasma ที่ไม่ระบุสายพันธ์ หลายคนอาจคุ้นเคยในฐานะเชื้อที่ตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพทางนรีเวชหรือระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ทราบหรือไม่ว่า Ureaplasma ที่พบในมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum ซึ่งแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันทั้งในด้านความชุก ความสามารถในการก่อโรค และผลกระทบต่อสุขภาพ บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่างเชื้อทั้งสองชนิดอย่างละเอียด โดยใช้ข้อมูลทางการแพทย์ล่าสุด เพื่อตอบคำถามสำคัญที่หลายคนกังวล ไม่ว่าคุณจะตรวจพบเชื้อโดยบังเอิญ ไม่มีอาการ กำลังวางแผนมีบุตร หรือรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจร่วมกับแพทย์ได้อย่างมั่นใจ Ureaplasma parvum และ urealyticum คืออะไรและต่างกันอย่างไร? Ureaplasma parvum และ Ureaplasma urealyticum เป็นแบคทีเรียขนาดเล็กที่ไม่มีผนังเซลล์ (cell wall-less bacteria) จัดอยู่ในจีนัส Ureaplasma และวงศ์ Mycoplasmataceae ทั้งสองชนิดเป็นสปีชีส์ที่พบในมนุษย์โดยเฉพาะ ถึงแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในเชิงชีววิทยาและพันธุกรรม ที่มาของชื่อ: ในอดีต Ureaplasma ถูกแบ่งตามซีโรวาร์ (serovar) Ureaplasma parvum:…
แบคทีเรียล วาไจโนซิส (Bacterial Vaginosis – BV) คือภาวะที่ผู้หญิงจำนวนมากอาจกำลังเผชิญอยู่โดยไม่รู้ตัว เพราะอาการมักไม่รุนแรงหรือคล้ายตกขาวทั่วไป แต่หากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า BV คืออะไร สาเหตุเกิดจากอะไร อาการสังเกตได้อย่างไร และมีความเสี่ยงหรืออันตรายมากน้อยแค่ไหน โดยอธิบายจากแนวทางเวชปฏิบัติจริง เพื่อให้คุณรู้ทันและดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง แบคทีเรียล วาไจโนซิส คืออะไร? แบคทีเรียล วาไจโนซิส (Bacterial Vaginosis: BV) คือภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอด โดยปกติช่องคลอดจะมีแบคทีเรียที่ดี (เช่น แลคโตบาซิลลัส) คอยรักษาสภาพกรด-ด่าง (pH) ให้เหมาะสมและป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อที่ก่อโรค แต่ในกรณีที่จุลินทรีย์กลุ่มนี้ลดลงและเชื้อแบคทีเรียที่ไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นมากเกินไป จะทำให้เกิดภาวะ BV ขึ้น แม้ว่า BV จะไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) โดยตรง แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด BV ได้ ภาวะนี้สามารถพบได้ในผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ และมักเกิดซ้ำได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี สาเหตุของ BV เกิดจากอะไร? แบคทีเรียล…
โรคยูเรียพลาสมา เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ แต่จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า 7 ใน 10 คนที่มีเชื้อนี้อาจไม่รู้ตัวว่าติดเชื้ออยู่ เพราะเป็นเชื้อที่ ไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก หรือไม่มีอาการเลยในบางราย อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้เชื้อสะสม หรือเกิดการติดเชื้อเรื้อรัง → อาจนำไปสู่ อาการผิดปกติทางระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ หรือแม้กระทั่ง ภาวะมีบุตรยาก ในทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้ Ureaplasma สามารถ แพร่เชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ หรือในบางกรณี ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกขณะคลอด ได้เช่นกัน การรู้จัก วิธีตรวจ การรักษา และการป้องกันที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยง และดูแลสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก Ureaplasma แบบครบทุกมุมมอง ตั้งแต่ การติดเชื้อเกิดขึ้นได้อย่างไร อาการเป็นแบบไหน มีผลต่อภาวะมีบุตรยากจริงหรือไม่ ต้องตรวจหรือไม่ รักษาอย่างไร และจะดูแลตัวเองอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ โรคยูเรียพลาสมา คืออะไร? Ureaplasma เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบได้ในระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ของมนุษย์ โดยเป็นเชื้อที่จัดอยู่ในกลุ่ม Mycoplasma ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีผนังเซลล์ (cell wall) จึงทำให้แตกต่างจากแบคทีเรียทั่วไป และมีความทนทานต่อยาปฏิชีวนะบางชนิด ตามปกติแล้ว…
โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium หรือ MG) อาจยังไม่เป็นชื่อที่คุ้นหูนักในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการพบเชื้อนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเพศชายและหญิง โดยเฉพาะในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และที่น่ากังวลคือ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใด ๆ เลย ทำให้ตรวจพบได้ยาก และเสี่ยงแพร่เชื้อต่อโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับ MG อย่างครบถ้วน ทั้งวิธีติดต่อ อาการ การตรวจ การรักษา และวิธีป้องกัน พร้อมอัปเดตข้อมูลล่าสุดที่คุณควรรู้ เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม คืออะไร? โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลี่ยม (Mycoplasma Genitalium) คือหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย โดยมีลักษณะพิเศษคือเชื้อนี้มีขนาดเล็กมากและไม่มีผนังเซลล์ จึงทนต่อยาปฏิชีวนะบางชนิด และอาจทำให้การรักษายากขึ้นหากไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก เชื้อนี้สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือการสัมผัสเยื่อเมือกบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง และอาจทำให้เกิดการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ เช่น ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก รวมถึงท่อนำไข่และลูกอัณฑะ จุดที่ทำให้โรคนี้มีความซับซ้อน คือผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีอาการใด ๆ จึงมักไม่รู้ตัวว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย และยังสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้โรคนี้เริ่มถูกจับตามองมากขึ้นในวงการแพทย์ทั่วโลก อาการของโรคไมโคพลาสมา…