หลังติดเชื้อ หรือฉีดวัคซีน เราอาจเคยสงสัยว่า… “ร่างกายเรามีภูมิแล้วหรือยัง?” การตรวจ Antibody Test คือคำตอบที่จะช่วยให้คุณรู้ว่าร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันแล้วหรือยัง และพร้อมต่อสู้กับโรคนั้นได้มากน้อยแค่ไหน บทความนี้จะอธิบายทุกเรื่องที่ควรรู้ตั้งแต่ตรวจอะไรได้บ้าง เหมาะกับใคร ขั้นตอนเป็นอย่างไร ไปจนถึงการแปลผล และสิ่งที่ควรทำต่อ เหมาะกับทุกคนที่อยากดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน โดยไม่ต้องรอให้ป่วยก่อน Antibody Test คืออะไร? Antibody Test หรือ “การตรวจแอนติบอดี” คือ การตรวจเลือดเพื่อดูว่าในร่างกายของเรามีภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อโรคบางชนิดหรือไม่ โดยตรวจจาก “ซีรัมในเลือด” หรือที่เรียกว่า serologic test ซึ่งใช้เทคนิคเฉพาะทางในการตรวจจับแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นหลังจากได้รับเชื้อหรือวัคซีน ใช้ตรวจหาอะไร? มักใช้ใน 2 กรณีหลักๆ หลังติดเชื้อ: เพื่อตรวจว่าเคยได้รับเชื้อและสร้างภูมิขึ้นหรือไม่ (เช่น หลังหายจาก COVID-19, ไวรัสตับอักเสบ B) หลังฉีดวัคซีน: เพื่อตรวจว่าร่างกายตอบสนองและสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนั้นได้หรือไม่ การตรวจนี้ไม่สามารถยืนยันว่า “กำลังติดเชื้ออยู่” ได้ แต่มีประโยชน์อย่างมากในการประเมินภูมิคุ้มกันในระดับประชากร หรือการติดตามสุขภาพระยะยาว ภูมิแบบไหนที่ตรวจได้? Antibody หรือ “แอนติบอดี”…
หากคุณกำลังมองหาวิธีตรวจสุขภาพทางเพศที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยากการตรวจ Rapid Test คือคำตอบที่เหมาะกับคุณ การตรวจด้วยวิธีนี้สามารถรู้ผลเบื้องต้นได้ทันทีภายใน 15–30 นาที โดยไม่ต้องรอผลแล็บข้ามวัน ช่วยลดความกังวล และทำให้คุณสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพของตนเองและคู่ได้อย่างมั่นใจ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Rapid Test อย่างละเอียด ตั้งแต่คืออะไร ตรวจอะไรได้บ้าง เชื่อถือได้แค่ไหน ไปจนถึงขั้นตอนการตรวจ ผลลัพธ์ และข้อควรรู้ที่คุณไม่ควรพลาด Rapid Test คืออะไร? Rapid Test หรือชุดตรวจแบบรู้ผลเร็ว คือวิธีการตรวจคัดกรองเชื้อโรคหรือภูมิคุ้มกันบางชนิดจากเลือดหรือสารคัดหลั่ง ที่สามารถทราบผลได้ภายใน 15–30 นาที โดยไม่ต้องรอผลจากห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ทำให้เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองเบื้องต้น โดยเฉพาะในกรณีของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ชุดตรวจแบบ Rapid Test ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก สะดวก รวดเร็ว: ไม่ต้องรอผลนาน ไม่ซับซ้อน: ใช้ตัวอย่างเลือดจากปลายนิ้วหรือปัสสาวะ เหมาะกับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องการตรวจเบื้องต้นโดยไม่เสียเวลา ใช้ตรวจอะไรได้บ้าง? Rapid Test สามารถใช้ตรวจโรคติดเชื้อได้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น:…
อาการผิดปกติทางตา เช่น ตาแดง ตามัว หรือแสบตา เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่โรคตาทั่วไปอย่างเยื่อบุตาอักเสบ ไปจนถึงโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท อย่าง “โรคซิฟิลิสที่ตา” ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนไม่เคยคาดคิด บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า โรคซิฟิลิสที่ตามีลักษณะอย่างไร และแตกต่างจากโรคตาอื่นอย่างไร เพื่อให้สามารถสังเกตและแยกแยะอาการได้อย่างถูกต้อง และตัดสินใจเข้าพบแพทย์ได้ทันท่วงที โรคซิฟิลิสที่ตาคืออะไร? โรคซิฟิลิสที่ตา (Ocular Syphilis) คือภาวะแทรกซ้อนจากโรคซิฟิลิส ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่แพร่กระจายเข้าสู่ระบบประสาทและดวงตา โดยสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระยะของโรค แต่พบได้บ่อยในระยะที่สองหรือระยะแฝง (latent stage) โรคนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในคนทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย โรคซิฟิลิสที่ตาสามารถส่งผลต่ออวัยวะหลายส่วนของตา เช่น จอตา ม่านตา เส้นประสาทตา หรือแม้แต่เยื่อบุตา และอาจทำให้การมองเห็นลดลงหรือตาบอดได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที แม้จะเป็นภาวะที่พบได้น้อยเมื่อเทียบกับซิฟิลิสทั่วไป แต่ความรุนแรงของผลกระทบต่อการมองเห็น ทำให้โรคซิฟิลิสที่ตาถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางจักษุแพทย์ที่ไม่ควรมองข้าม โรคซิฟิลิสที่ตาอันตรายแค่ไหน? โรคซิฟิลิสที่ตาเป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum สามารถทำลายโครงสร้างสำคัญของดวงตา เช่น…
“ตกขาว” อาจดูเหมือนเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกคน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตกขาวสามารถบอกสภาวะสุขภาพภายในของเราได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งในแง่ของฮอร์โมน ความสมดุลของจุลินทรีย์ หรือแม้กระทั่งเป็นสัญญาณของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตกขาวในมุมที่ “ไม่ธรรมดา” ว่าแบบไหนคือภาวะปกติ แบบไหนควรระวัง พร้อมเจาะลึก 5 สัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย ตกขาวคืออะไร? ตกขาว คือสารคัดหลั่งที่ไหลออกมาจากช่องคลอดของผู้หญิง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะวัยเจริญพันธุ์ ตกขาวมีหน้าที่สำคัญหลายอย่างในระบบสืบพันธุ์ เช่น: ช่วยหล่อลื่นและรักษาความชุ่มชื้นของช่องคลอด ขจัดเชื้อโรคหรือแบคทีเรียบางชนิดออกจากร่างกาย เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เช่น ไข่ตก หรือใกล้มีประจำเดือน โดยทั่วไป ตกขาวปกติ จะมีลักษณะดังนี้ สี: ขาวใส หรือขาวขุ่นเล็กน้อย กลิ่น: ไม่มีกลิ่น หรือกลิ่นอ่อน ๆ ที่ไม่เหม็น ลักษณะ: เป็นมูก ลื่น ไม่มีฟอง ไม่จับตัวเป็นก้อน ปริมาณ: เปลี่ยนตามช่วงรอบเดือน เช่น จะมากขึ้นช่วงไข่ตก ตกขาวผิดปกติเกิดจากอะไร? ตกขาวผิดปกติ คือภาวะที่ตกขาวมีลักษณะแตกต่างจากปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่น สี กลิ่น ปริมาณ…
“ผื่นไม่คัน ไม่เจ็บ แต่ขึ้นฝ่ามือ ฝ่าเท้า” อาจฟังดูไม่น่ากังวล แต่ในทางการแพทย์แล้วนี่อาจเป็นสัญญาณของ ซิฟิลิสระยะที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อกำลังแพร่กระจายทั่วร่างกายอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการรุนแรง หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ เพราะผื่นหายเองได้ แต่เชื้อยังคงอยู่และพร้อมลุกลามหากไม่รักษา บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ ลักษณะผื่นซิฟิลิส การแยกแยะจากผื่นอื่นๆ วิธีวินิจฉัย การรักษา และการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณรักษาได้ทันท่วงที ผื่นซิฟิลิสคืออะไร? ผื่นซิฟิลิส คืออาการทางผิวหนังที่มักพบในผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 2 (Secondary Syphilis) ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายเริ่มตอบสนองต่อเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ผื่นนี้มีลักษณะเฉพาะคือ ไม่คัน ไม่เจ็บ และสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ไม่ค่อยพบผื่นจากโรคทั่วไป เช่น ฝ่ามือและฝ่าเท้า อ้างอิง: NCBI StatPearls ผื่นซิฟิลิสเกิดขึ้นได้อย่างไร? หลังจากได้รับเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เชื้อจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 6–12 สัปดาห์ ก่อนเข้าสู่ระยะที่สอง ผื่นจะเกิดขึ้นเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดและถูกพาไปยังผิวหนังผ่านระบบไหลเวียน ลักษณะของผื่นมักเป็นจุดแดง น้ำตาลแดง หรือแดงจางๆ กระจายทั่วตัว มักไม่มีอาการคันและไม่เจ็บ บางรายอาจพบผื่นเป็นตุ่มนูน หรือมีลักษณะคล้ายรอยโรคผิวหนังอื่น ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น…
ฝีมะม่วง หรือที่รู้จักในทางการแพทย์ว่า Lymphogranuloma Venereum (LGV) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวหากไม่รักษาอย่างถูกต้อง อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ทำให้หลายคนมองข้ามและปล่อยให้ลุกลามจนเกิดภาวะบวม เจ็บ หรือหนองบริเวณขาหนีบ บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับโรคฝีมะม่วงอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการตรวจ การรักษา ไปจนถึงการดูแลตัวเอง และวิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างได้อย่างมั่นใจ ฝีมะม่วงคืออะไร? ฝีมะม่วง หรือ Lymphogranuloma Venereum (LGV) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ชนิดรุนแรง (serovar L1, L2 และ L3) ซึ่งเชื้อนี้แตกต่างจากสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหนองในเทียมทั่วไป ลักษณะเด่นของ LGV คือ การติดเชื้อที่ระบบน้ำเหลือง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบเกิดอาการบวม แดง ร้อน เจ็บ และมีลักษณะคล้าย “ผลมะม่วง” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ฝีมะม่วง” ในภาษาไทย โดยอาการบวมมักพบด้านใดด้านหนึ่งของขาหนีบ และสามารถพัฒนาไปเป็นฝีที่มีหนองแตกออกมาได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคนี้มักพบในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ โดยเฉพาะในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน…
หากคุณกำลังพบว่าอวัยวะเพศมีตุ่มใส เจ็บ แสบ หรือคัน โดยไม่เคยเป็นมาก่อน อาจรู้สึกกังวลและสงสัยว่าเกิดจากอะไร โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตว่า “นี่คือโรคเริมหรือเปล่า?” เพราะโรคเริมเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบบ่อย และมักแสดงอาการด้วยตุ่มใสขนาดเล็กที่บางครั้งอาจแตกเป็นแผลตื้นๆ ทำให้เกิดความไม่สบายตัวอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณเช็กอย่างละเอียดว่าตุ่มใสดังกล่าวเข้าข่ายโรคเริมหรือไม่ และควรปฏิบัติตัวอย่างไร ตุ่มใสที่อวัยวะเพศคืออะไร? ตุ่มใสที่อวัยวะเพศ คือ ลักษณะของผื่นหรือตุ่มนูนเล็กๆ ที่มีของเหลวใสอยู่ภายใน เกิดขึ้นได้บริเวณแคมนอก แคมใน ช่องคลอด องคชาต ถุงอัณฑะ หรือรอบทวารหนัก โดยตุ่มเหล่านี้อาจมีอาการร่วม เช่น คัน แสบ หรือเจ็บ โดยเฉพาะเมื่อตุ่มแตกหรือเสียดสีกับเสื้อผ้า สาเหตุของตุ่มใสมีได้หลากหลาย เช่น การติดเชื้อไวรัสเริม (HSV) การติดเชื้อรา เช่น Candida การแพ้หรือระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ เช่น ถุงยางอนามัย การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ฟอลลิคูลิติส อ้างอิง: American Academy of Dermatology Association, CDC Guidelines for STDs (2023) ลักษณะตุ่มใสที่พบบ่อยบริเวณอวัยวะเพศเป็นแบบไหน? ตุ่มใสที่อวัยวะเพศมักมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก…
หลายคนอาจเคยเจอสถานการณ์ไม่คาดคิดอย่าง “ถุงยางอนามัยแตก หรือ ถุงยางแตก” แล้วไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี บางคนตกใจ บางคนกลัวท้อง หรือกังวลเรื่องโรคติดต่อ ถุงยางแตกอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่จริง ๆ แล้วส่งผลได้หลายด้านทั้งร่างกายและจิตใจ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทุกแง่มุมของปัญหานี้ ตั้งแต่สาเหตุที่ถุงยางแตก เสี่ยงอะไรบ้าง วิธีรับมือทันทีที่เกิดเหตุ และวิธีป้องกันไม่ให้ถุงยางแตก ถุงยางอนามัยแตกคืออะไร? เวลาพูดถึง “ถุงยางแตก” หลายคนอาจจะนึกว่าแค่ขาดนิดเดียวไม่เป็นไร แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการที่ถุงยางขาดหรือแตกระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เชื้อโรคหรืออสุจิสามารถเล็ดลอดเข้าไปได้โดยตรง หลายคนสับสนว่า “ถุงยางแตก” กับ “ถุงยางรั่ว” ต่างกันยังไง? ถุงยาง แตก คือฉีกขาดแบบชัดเจน มักเกิดทันทีระหว่างมีเซ็กส์ เช่น แตกกลางชิ้น หรือหลุดออกมาเลย ถุงยาง รั่ว คือมีรูเล็ก ๆ หรือชำรุดตั้งแต่แรก อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สาเหตุที่ทำให้ถุงยางแตกบ่อยมีอะไรบ้าง? ใช้ถุงยางหมดอายุ ขนาดไม่พอดี (เล็กไปหรือหลวมเกิน) ใส่ผิดวิธี ไม่เว้นอากาศที่ปลายถุง ไม่มีการใช้เจลหล่อลื่น ทำให้เสียดสีมากเกินไป ใช้ถุงยางซ้ำ หรือเก็บไว้ผิดวิธี (เจอความร้อน/แดด)…
หากคุณเคยมีความรู้สึกกังวล ไม่แน่ใจ หรือลังเลที่จะตรวจเลือด HIV หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะกลัวเจ็บ กลัวผล ในปัจจุบันการตรวจเลือดไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้รู้ผลได้เร็ว แม่นยำ ปลอดภัย และเป็นส่วนตัว ที่สำคัญคือ… ยิ่งตรวจเร็ว ยิ่งรักษาได้ทัน ไม่เพียงเพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง แต่ยังเพื่อคนที่คุณรักด้วย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจคืออะไร, ตรวจที่ไหนดี, ใช้เวลาเท่าไหร่, เจ็บไหม, จนถึงต้องตรวจบ่อยแค่ไหน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูลครบถ้วนที่สุด ตรวจเลือด HIV และโรคติดต่อคืออะไร? การตรวจเลือดหาเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) คือการตรวจวิเคราะห์สารคัดหลั่งในเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อที่อาจแพร่จากคนหนึ่งสู่อีกคนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มร่วม หรือเลือดที่มีเชื้อ การตรวจนี้ถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมากในการเฝ้าระวังสุขภาพ เพราะโรคเหล่านี้หลายชนิดสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้นานโดยไม่มีอาการใดๆ สำหรับการตรวจ HIV แพทย์จะตรวจหาแอนติบอดีหรือสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV ที่อาจอยู่ในเลือด หากตรวจพบเร็วสามารถเข้าสู่กระบวนการดูแลและรักษาได้ทันที ลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อและโรคแทรกซ้อนในอนาคต โรคติดต่ออื่นๆ ที่สามารถตรวจพบจากเลือด ได้แก่ ซิฟิลิส (Syphilis) ไวรัสตับอักเสบบี/ไวรัสตับอักเสบซี หนองในแท้/เทียม (Gonorrhea / Chlamydia)* (บางกรณีอาจตรวจจากปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งร่วมด้วย) ปัจจุบัน การตรวจเลือดสามารถทำได้ง่าย…
คันจิมิ หรืออาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้น อาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติที่ไม่ควรมองข้าม ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเคยมีอาการคันแบบเฉียบพลัน คันเรื้อรัง หรือคันหลังมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่แน่ใจว่าควรปล่อยไว้หรือพบแพทย์ดี บทความนี้รวบรวมข้อมูลแบบครบถ้วนเกี่ยวกับอาการคันจุดซ่อนเร้น ตั้งแต่สาเหตุทั่วไป วิธีดูแลเบื้องต้น ไปจนถึง “5 สัญญาณเตือน” ที่บอกว่าคุณควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ เพื่อป้องกันการลุกลามหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น พร้อมคำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์และดูแลตัวเองให้ปลอดภัยในระยะยาว คันจิมิคืออะไร? คันจิมิ คือคำที่ผู้หญิงหลายคนใช้เรียกอาการ คันบริเวณอวัยวะเพศภายนอก หรือ จุดซ่อนเร้น ซึ่งในทางการแพทย์มักเรียกว่า “Vulvar Itching” หรือ “External Genital Itching” โดยอาการคันอาจเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณปากช่องคลอด แคมเล็ก แคมใหญ่ หรือผิวหนังโดยรอบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเส้นประสาทหนาแน่น จึงไวต่อการระคายเคืองเป็นพิเศษ อาการนี้สามารถเกิดได้กับผู้หญิงทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็ก วัยเจริญพันธุ์ ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน และไม่ได้หมายความว่าทุกกรณีจะ “ผิดปกติ” เสมอไป แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ อาการคันจิมิที่พบได้บ่อย รู้สึกแสบหรือยุบยิบบริเวณปากช่องคลอด อาจมีอาการร่วม เช่น ตกขาว กลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือผิวลอก มักเกิดซ้ำในบางช่วง เช่น ก่อนมีประจำเดือน…