กามโรค เป็นโรคที่หลายคนได้ยินชื่อ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจว่าความเสี่ยงนั้นอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด พฤติกรรมบางอย่างที่ดูเหมือนไม่อันตราย อาจทำให้คุณกลายเป็นผู้ติดเชื้อหรือพาหะได้โดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณมารู้จักกับ 8 พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรระวัง พร้อมแนวทางในการตรวจ วินิจฉัย รักษา และป้องกันอย่างถูกต้อง ด้วยข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย กามโรคคืออะไร? กามโรค (Sexually Transmitted Diseases: STDs) คือกลุ่มของโรคติดต่อที่สามารถถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านกิจกรรมทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก รวมถึงการสัมผัสสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศโดยตรง โรคในกลุ่มนี้เกิดได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต และเชื้อรา หนึ่งในความสำคัญของกามโรคคือ “อาการอาจไม่แสดงชัดเจนในระยะแรก” ซึ่งทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นพาหะ และยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ โรคที่จัดอยู่ในกลุ่มกามโรค เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) หนองในเทียม (Chlamydia) ซิฟิลิส (Syphilis) เริมอวัยวะเพศ (Genital Herpes) หูดหงอนไก่จาก HPV (Genital Warts) เชื้อ HIV ไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis B, Hepatitis C)…
ผลตรวจเลือดเป็นลบ เมื่อคุณตรวจเลือดแล้ว แต่ร่างกายกลับมีอาการแปลก ๆ คล้ายคนติดเชื้อ HIV? หลายคนอาจกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ชวนสับสนแบบนี้ และไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อดี บางรายอาจตรวจเร็วเกินไปจนยังไม่พ้นช่วง HIV Window Period ทำให้ผลตรวจยังไม่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าปลอดภัยจริง บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า “ผลลบ” อาจไม่ได้หมายถึง “ไม่ติดเชื้อ” เสมอไป พร้อมแนวทางวางแผนตรวจซ้ำอย่างถูกต้อง และสังเกตอาการที่ไม่ควรมองข้าม ผลตรวจเลือดเป็นลบ แม้จะได้รับผลตรวจเลือด HIV เป็นลบ แต่สำหรับหลายคน ความรู้สึก “ไม่มั่นใจ” หรือ “ยังกลัวว่าตัวเองอาจติดเชื้อ” ยังคงอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย และไม่ได้แปลว่าคุณคิดไปเองเสมอไป ผลตรวจเลือดเป็นลบ แปลว่าไม่ติดเชื้อ HIV แน่นอนหรือไม่? คำตอบคือ “ไม่เสมอไป” โดยเฉพาะหากคุณเข้ารับการตรวจในช่วงเวลาที่เรียกว่า HIV Window Period หรือช่วงที่ร่างกายยังไม่สร้างสารที่สามารถตรวจพบได้ Window Period คือช่วงเวลาตั้งแต่ วันที่เริ่มมีความเสี่ยง (เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน) จนถึงวันที่ตรวจเลือด ซึ่งอาจกินเวลาตั้งแต่ 10 วัน…
หลายคนอาจมองว่า Oral Sex หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก เป็นกิจกรรมทางเพศที่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มีการสอดใส่โดยตรง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ยังคงมีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Oral Sex ติด hiv ไหม หรือกการออรัลติดเอดส์ไหม เสี่ยงติดโรคอะไรบ้าง อาการเป็นอย่างไร และควรป้องกันอย่างไรเพื่อให้ความสัมพันธ์ทางเพศปลอดภัยและมั่นใจมากยิ่งขึ้น Oral Sex คืออะไร? Oral Sex หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า “การใช้ปากในการกระตุ้นอวัยวะเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก” เป็นหนึ่งในรูปแบบของกิจกรรมทางเพศที่ไม่ใช่การสอดใส่โดยตรง แต่ยังคงมีความเสี่ยงในการติดต่อโรคจากคู่ของคุณได้เช่นเดียวกัน โดยทั่วไป Oral Sex แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่: Fellatio: การใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศชาย Cunnilingus: การใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศหญิง Anilingus (Rimming): การใช้ปากสัมผัสกับทวารหนัก กิจกรรมเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในความสัมพันธ์ของชายหญิง หรือเพศเดียวกัน และมักถูกมองว่าเป็น “เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยกว่า” เพราะไม่มีการสอดใส่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Oral Sex ก็ยังมีโอกาสแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ได้…
หากคุณกำลังจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครใหม่หรือกำลังอยู่ในความเสี่ยง การดูแลสุขภาพทางเพศเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) คือหนึ่งในวิธีป้องกันที่ดีที่สุด ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง แต่ยังรวมถึงคนที่คุณรักด้วย บทความนี้จะพาคุณไปรู้ว่า ก่อนตรวจควรเตรียมตัวอย่างไร ตรวจโรคอะไรบ้าง ตรวจเมื่อไหร่ถึงแม่น และต้องทำอย่างไรต่อหลังจากรู้ผล ทำไมต้องตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์? การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ก่อนเริ่มความสัมพันธ์ทางเพศกับคนใหม่ ไม่ใช่แค่ “เพื่อความมั่นใจ” เท่านั้น แต่ยังเป็น การรับผิดชอบต่อสุขภาพของทั้งตัวเราเองและคู่ของเรา เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิดสามารถ ติดต่อได้แม้ไม่มีอาการใด ๆ เลย ในระยะแรก และคนจำนวนมากอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังแพร่เชื้ออยู่ 1. โรคติดต่อหลายชนิด “เงียบ” แต่แพร่เชื้อได้ ข้อมูลจาก Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ระบุว่าโรคอย่างเช่น Chlamydia และ Gonorrhea (หนองในแท้/เทียม) กว่า 70% ของผู้หญิงที่ติดเชื้อ ไม่มีอาการใด ๆ เลย แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เช่นเดียวกับไวรัส HPV หรือเริมอวัยวะเพศ ที่สามารถถ่ายทอดผ่านผิวสัมผัส…
เคยไหม…ที่เราตัดสินใจผิดพลาดแค่ “ครั้งเดียว” แล้วต้องมานั่งลุ้นอีกหลายสัปดาห์ว่าจะติดเชื้อ HIV หรือเปล่า? อยากบอกว่า ทุกวันนี้เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยงแบบนั้นอีกแล้ว เพราะเรามีตัวช่วยที่สามารถ “ป้องกันไว้ก่อน” หรือ “หยุดเชื้อไว้ทัน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ ยา PrEP และ ยา PEP หลายคนยังสับสนว่า ยา PrEP และ ยา PEP ต่างกันยังไง ต่างกันตรงไหน? ใช้เมื่อไหร่? แบบไหนเหมาะกับตัวเอง? บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เพื่อให้คุณวางแผนป้องกันตัวเองได้อย่างมั่นใจ ยา PrEP กับ ยา PEP คืออะไร? ยา PrEP และ ยา PEP คือยาต้านไวรัส (Antiretroviral Drugs) ที่มีจุดประสงค์หลักเหมือนกัน คือการป้องกันการติดเชื้อ HIV แต่ต่างกันที่ “ช่วงเวลาในการใช้” และ “สถานการณ์ที่เหมาะสม” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนตัดสินใจเลือกใช้ ยา PrEP คืออะไร?…
การป้องกันการติดเชื้อ HIV ถือเป็นเรื่องสำคัญต่อสุขภาพของคนรุ่นใหม่ นอกจากการใช้ถุงยางอนามัยและการใช้ยา PrEP แบบกินทุกวันแล้ว ปัจจุบันมีทางเลือกใหม่คือ PrEP แบบฉีด (CAB PrEP หรือ Apretude) ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผู้ที่ไม่สะดวกหรือมักลืมทานยาเป็นประจำ บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดที่ควรรู้เกี่ยวกับ PrEP แบบฉีด ตั้งแต่กลไกการทำงาน วิธีใช้ ข้อดีข้อจำกัด ราคา ไปจนถึงคำถามที่พบบ่อย เพื่อให้ผู้อ่านตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน PrEP แบบฉีด (CAB PrEP) คืออะไร? ต่างจาก PrEP แบบกินอย่างไร PrEP แบบฉีด หรือที่เรียกว่า CAB PrEP / CAB-LA (Cabotegravir Long-acting) เป็นยาต้านไวรัส HIV ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ล่วงหน้าก่อนมีความเสี่ยง ยานี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทยภายใต้ชื่อการค้า Apretude PrEP แบบกิน (Oral PrEP) เป็นยาต้าน HIV…
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ยังคงเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ผู้หญิงข้ามเพศ หรือผู้ที่มีคู่นอนหลายคน นอกจากการใช้ถุงยางอนามัยและการตรวจสุขภาพสม่ำเสมอแล้ว ปัจจุบันมีอีกหนึ่งทางเลือกที่เริ่มได้รับความสนใจคือ Doxy PEP (Doxycycline Post-Exposure Prophylaxis) Doxy PEP คือการใช้ยาปฏิชีวนะ ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) หลังจากมีเพศสัมพันธ์เสี่ยงภายใน 24–72 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดโอกาสการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น ซิฟิลิส คลามีเดีย และหนองใน หลายงานวิจัยระดับนานาชาติ รวมถึงแนวทางจาก CDC เริ่มสนับสนุนการใช้ในบางกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง บทความนี้จะอธิบาย Doxy PEP คืออะไร ใช้อย่างไร ป้องกันโรคอะไรได้บ้าง ใครควรใช้ ผลข้างเคียง ราคา และข้อถกเถียงในอนาคต เพื่อให้คุณเข้าใจและตัดสินใจได้อย่างรอบด้านภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Doxy PEP คืออะไร? Doxy PEP (Doxycycline Post-Exposure Prophylaxis) คือ การใช้ยาปฏิชีวนะชื่อ ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline)…
ยา PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HIV อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ PrEP ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าการป้องกัน HIV ไปทั่วโลก โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ตามคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) PrEP ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ได้สูงถึง 99% หากใช้อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง อ่านเพิ่มเติม : PrEP (เพร็พ) ยาป้องกันต้านเชื้อ hiv และ โรคเอดส์ คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ยา PrEP ทำงานอย่างไร? PrEP ทำงานโดยการยับยั้งกระบวนการเพิ่มจำนวนของเชื้อ HIV ในร่างกาย หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด ยาจะลดโอกาสที่เชื้อจะเกาะตัวและแพร่กระจายเข้าสู่เซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์สำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน การรับประทาน PrEP อย่างถูกต้องและต่อเนื่องสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ได้สูงถึง 99% ความสำคัญของยา PrEP ในการป้องกัน HIV องค์การอนามัยโลก (WHO)…
ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus – HCV) เป็นหนึ่งในไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบของตับ โดยส่วนใหญ่ติดต่อผ่านทางเลือด ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจพัฒนาเป็นภาวะเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในระยะยาวได้ ข่าวดีคือ ปัจจุบันมี ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีแบบรับประทานที่ให้ผลหายขาดทางคลินิกสูงกว่า 95% ใช้ระยะเวลาสั้น และผลข้างเคียงน้อยกว่ายาในอดีตอย่างชัดเจน บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจทุกแง่มุมของไวรัสตับอักเสบซี ตั้งแต่ลักษณะของเชื้อ การติดต่อ อาการ วิธีตรวจวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกัน พร้อมข้อมูลอัปเดตตามแนวทางสมาคมโรคตับในไทยและต่างประเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างถูกต้อง ไวรัสตับอักเสบซีคืออะไร? ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus หรือ HCV) คือไวรัสชนิด RNA สายเดี่ยวที่มีเปลือกหุ้ม (enveloped virus) ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ Flaviviridae เชื้อไวรัสนี้สามารถก่อให้เกิดการอักเสบของตับทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง และอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงในช่วงแรก ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อ การติดเชื้อมักถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเลือดประจำปี หรือตรวจคัดกรองก่อนการผ่าตัดหรือบริจาคโลหิต ไวรัสชนิดนี้แพร่เชื้อผ่านทางเลือดเป็นหลัก เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรอง หรือการทำหัตถการทางการแพทย์ที่ไม่สะอาด ไม่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น…
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus: HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อ “ตับ” โดยตรง และอาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรังที่รุนแรง เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง ประเทศไทยจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรังในระดับสูงโดยเฉพาะจากแม่สู่ลูก และผู้ที่ได้รับเชื้อตั้งแต่วัยเด็ก โดยที่หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นพาหะหรือมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เนื้อหาในบทความนี้รวบรวมข้อมูลสำคัญที่ครอบคลุมตั้งแต่ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ HBV สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน รวมถึงผลกระทบในระยะยาว เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างได้อย่างถูกต้อง ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร? ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus หรือ HBV) คือไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ สามารถติดต่อได้ผ่านเลือด (เข็มตำ การสักลายที่ใช้เข็มซ้ำ) เพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน และติดต่อจากมารดาที่ตั้งครรภ์สู่ทารก เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ผู้ติดเชื้อส่วนมากมักจะไม่มีอาการใด ๆ ในช่วงแรก แต่เชื้อไวรัสจะทำให้ตับอักเสบอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการวินิจเฝ้าระวังและรักษาอย่างทันท่วงที เซลล์ตับจะโดนทำลายจนเกิดภาวะตับแข็ง และทำ ลักษณะของไวรัส จัดอยู่ในตระกูล Hepadnaviridae มีพันธุกรรมแบบ DNA…