
โรคเริมคืออะไร?
โรคเริม (Herpes) คือโรคติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในคนทั่วไป เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่
- HSV-1 (Herpes Simplex Virus Type 1) มักทำให้เกิดเริมที่บริเวณปาก (Cold sores, ปากแตก, ตุ่มน้ำใสริมฝีปาก)
- HSV-2 (Herpes Simplex Virus Type 2) มักทำให้เกิดเริมที่บริเวณอวัยวะเพศ (Genital herpes)
ไวรัสเริมเป็นไวรัสชนิดเรื้อรัง หมายความว่าหลังจากการติดเชื้อครั้งแรก เชื้อไวรัสจะยังคงแฝงตัวอยู่ในปมประสาทของร่างกาย และสามารถกลับมาแสดงอาการซ้ำได้เมื่อร่างกายอ่อนแอหรือมีสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือเจ็บป่วย
หมายเหตุ: โรคเริมไม่ใช่โรคที่เกิดจากพฤติกรรมทางเพศเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเกิดได้จากการสัมผัสน้ำเหลืองหรือน้ำลายของผู้ติดเชื้อโดยตรง
ทำไมถึงติดได้ง่าย?
โรคเริม เป็นโรคที่มีโอกาส ติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) สามารถแพร่กระจายผ่าน การสัมผัสโดยตรง กับตุ่มน้ำใส น้ำเหลือง หรือเยื่อเมือกของผู้ติดเชื้อโดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์เสมอไป
ช่องทางการติดต่อที่พบบ่อย:
- สัมผัสโดยตรงกับแผลหรือตุ่มน้ำของผู้ติดเชื้อ
- การจูบ หรือ ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ, ลิปสติก, ช้อนส้อม
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- การใช้สุขภัณฑ์หรือห้องน้ำสาธารณะร่วมกันในบางกรณี
ไวรัสเริมยังสามารถแพร่เชื้อได้ในช่วงที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic shedding) ทำให้ผู้ที่ดูเหมือนแข็งแรงปกติสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว
หมายเหตุ: การสัมผัสเชื้อเพียงครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าจะติดเชื้อเสมอไป ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน
HSV‑1 กับ HSV‑2 ต่างกันอย่างไร?
1. ตำแหน่งการติดเชื้อ (Anatomical location)
- HSV‑1 มักทำให้เกิด เริมที่ปาก (cold sores) บริเวณริมฝีปาก ใบหน้า หรือในช่องปาก
- HSV‑2 มักก่อให้เกิด เริมที่อวัยวะเพศ (genital herpes) บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก
2. การแพร่ระบาดและอุบัติการณ์ (Prevalence & Epidemiology)
- ผู้ติดเชื้อ HSV‑1 มีจำนวนมากกว่า รองลงมาเป็น HSV‑2
- ข้อมูลจาก WHO: ประชากรโลก < 50 ปี ราว 64% ติดเชื้อ HSV‑1 และ 13% ติดเชื้อ HSV‑2
3. ความถี่ของการกำเริบและการปลดปล่อยไวรัสโดยไม่มีอาการ (Recurrence & Asymptomatic Shedding)
- HSV‑2 มักมีการปลดปล่อยไวรัส (viral shedding) และกำเริบบ่อยกว่า โดยเฉพาะบริเวณก้น/genitals
- HSV‑1 ในช่องปาก มีช่วงเวลาการปลดปล่อยไวรัสน้อยกว่ามาก และเริมที่อวัยวะเพศจาก HSV‑1 กำเริบน้อยกว่า HSV‑2
4. การแพร่เชื้อเมื่อไม่มีอาการ (Asymptomatic Transmission)
- ทั้งสองชนิดสามารถแพร่เชื้อได้แม้ไม่มีตุ่มหรืออาการ (asymptomatic shedding)
- HSV‑2 มีแนวโน้มการปลดปล่อยไวรัสในช่วงไม่มีอาการสูงกว่ามาก (ประมาณ 10–30% ของเวลาในปีแรกหลังติดเชื้อ)
5. การรักษาและแนวทางป้องกัน (Treatment & Prevention)
- การใช้ยาต้านไวรัส เช่น acyclovir, valacyclovir, famciclovir สามารถลดอาการและความถี่ของการกำเริบได้ทั้งสองชนิด
- ผู้ติดเชื้อ HSV‑2 มักแนะนำให้ใช้ ยากดเชื้อประจำวันติดต่อกัน (suppressive therapy) ในกรณีมีอาการกำเริบหลายครั้งต่อปี

สาเหตุของโรคเริม
การติดเชื้อ โรคเริม (Herpes) สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มี ปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง ที่เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อครั้งแรก หรือทำให้เชื้อเริมที่แฝงอยู่ในร่างกายกลับมาแสดงอาการอีกครั้ง (กำเริบ)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่:
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ (Weakened immune system): เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ, เครียด, ป่วย, อยู่ระหว่างการรักษาโรคเรื้อรัง
- การสัมผัสเชื้อไวรัสโดยตรง (Direct exposure to the virus): เช่น การสัมผัสน้ำเหลืองหรือตุ่มน้ำของผู้ติดเชื้อ, การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- พฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยง (High-risk sexual behavior): มีคู่นอนหลายคน, ไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- การใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น (Sharing personal items): เช่น แก้วน้ำ, ผ้าเช็ดตัว, ลิปสติก
- การสัมผัสสิ่งของในที่สาธารณะ (Public exposure): เช่น ห้องน้ำสาธารณะ, ฟิตเนส
สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อเริมแล้ว ปัจจัยเหล่านี้อาจกระตุ้นให้เกิด การกำเริบของโรค ได้เช่นกัน
โรคเริมติดต่ออย่างไร?
โรคเริม (Herpes) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อได้ง่ายผ่านหลายช่องทาง ทั้งการสัมผัสโดยตรงและทางเพศสัมพันธ์
ช่องทางการติดต่อของโรคเริม (Transmission Routes)
- การสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือตุ่มน้ำ (Direct skin-to-skin contact): เป็นวิธีที่พบได้บ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสกับตุ่มน้ำที่ริมฝีปาก (เริมที่ปาก) หรือที่อวัยวะเพศ (เริมที่อวัยวะเพศ)
- การจูบ หรือใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน (Kissing or sharing personal items): เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ผ้าเช็ดหน้า หรืออุปกรณ์แต่งหน้า
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย (Unprotected sexual contact): รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ทั้งช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
- การคลอดบุตร (Perinatal transmission): ในบางกรณีคุณแม่ที่ติดเชื้อเริมสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกขณะคลอดได้ (Neonatal herpes)
ช่วงที่สามารถแพร่เชื้อได้
- ช่วงมีตุ่มหรือแผล (Active sores): เป็นช่วงที่มีโอกาสแพร่เชื้อสูงที่สุด
- ช่วงไม่มีอาการ (Asymptomatic shedding): เชื้อไวรัสสามารถหลั่งออกจากผิวหนังและแพร่กระจายได้ แม้จะไม่มีตุ่มหรืออาการใดๆ
วิธีตรวจโรคเริม
1. การตรวจโดยแพทย์ (Clinical Diagnosis)
- แพทย์จะซักประวัติและตรวจดูลักษณะแผลหรือตุ่มน้ำ หากพบอาการชัดเจน ก็สามารถวินิจฉัยอย่างเป็นเบื้องต้นได้ทันที
2. การเก็บตัวอย่างจากตุ่ม (Viral Swab)
- ใช้ไม้ป้ายเก็บสารจากน้ำในตุ่มหรือแผล ทำการทดสอบโดย:
- NAAT/PCR (Nucleic Acid Amplification Test/PCR): แม่นยำสูงมาก (ความไว ~90–100%) ใช้สำหรับตรวจหาเชื้อจากแผล Genital หรือ Oral และใช้ตรวจ CSF (น้ำไขสันหลัง) ในกรณีสมองอักเสบ
- การเพาะเชื้อไวรัส (Viral Culture): เคยเป็นวิธีมาตรฐาน แต่ความไวต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะเมื่อแผลเริ่มหายแล้ว
3. ตรวจเลือดหาแอนติบอดี (Serologic / Antibody Test)
- ตรวจหา HSV‑1/HSV‑2 antibody (IgG) เพื่อยืนยันว่ามีการติดเชื้อที่ผ่านมาแล้ว
- ใช้การทดสอบจำเพาะชนิด (glycoprotein G1/G2) แยกชนิดได้ แต่หากเป็นการติดเชื้อใหม่ อาจต้องตรวจซ้ำหลัง 12 สัปดาห์เพื่อความแม่นยำ
4. การตรวจด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ (Advanced Methods)
- Point-of-care PCR และ rapid NAAT kits: สามารถรู้ผลทันทีในคลินิก เพิ่มความสะดวกและแม่นยำ
- สำหรับกรณี Neonatal HSV หรือ HSV ที่แพร่เข้าสมอง (เช่น encephalitis) แนะนำตรวจ PCR จาก CSF เพราะเป็นวิธีที่เชื่อถือได้ที่สุด
ปัจจัยที่มีผลต่อผลตรวจ
- ตัวอย่างต้องเก็บจาก ตุ่มใหม่หรือน้ำเหลืองสด, ไม่ใช่แผลเก่าหรือแผลแห้ง
- การตรวจเลือดในช่วงติดเชื้อใหม่ อาจ “ไม่เจอ” antibody ทันที ต้องตรวจซ้ำภายหลัง
- เลือกชุดตรวจที่สามารถแยก HSV‑1 และ HSV‑2 ได้ในกรณีที่ต้องการกำหนดชนิดเชื้อ

อาการของโรคเริมเป็นอย่างไร?
โรคเริม (Herpes) มีอาการที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อไวรัส (HSV‑1 หรือ HSV‑2) ตำแหน่งที่เกิดโรค และภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยทั่วไป อาการสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณีหลัก ได้แก่ การติดเชื้อครั้งแรก (Primary infection) และ การกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrent infection)
อาการของโรคเริมครั้งแรก (Primary Herpes Infection)
- มีไข้ต่ำ (Mild fever)
- ปวดเมื่อยตามตัว (Body aches)
- รู้สึกแสบร้อน คัน หรือเจ็บบริเวณที่จะเกิดตุ่มน้ำ (Burning, itching, or tingling sensation)
- เกิดตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก (Small clear blisters)
- ตุ่มน้ำจะแตกออกและกลายเป็นแผล (Ulcers or open sores)
- ปวดแสบปวดร้อนบริเวณแผล (Painful lesions)
อาการของโรคเริมที่กลับมาเป็นซ้ำ (Recurrent Herpes)
- มักมีอาการเบากว่าครั้งแรก
- อาการเริ่มจากรู้สึกคันหรือแสบร้อนก่อน จากนั้นจึงเกิดตุ่มน้ำ
- ใช้เวลาฟื้นตัวเร็วกว่า โดยทั่วไป 5–10 วัน
ตำแหน่งที่พบบ่อย
- เริมที่ปาก (Oral herpes): ริมฝีปาก มุมปาก ช่องปาก
- เริมที่อวัยวะเพศ (Genital herpes): อวัยวะเพศ ทวารหนัก ก้น ขาหนีบ
โรคเริมป้องกันได้อย่างไร?
แม้ว่า โรคเริม (Herpes) จะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถ ป้องกันการติดเชื้อครั้งแรก และ ลดโอกาสการกำเริบของโรค ได้ด้วยการดูแลสุขภาพและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

วิธีป้องกันการติดเชื้อโรคเริม (Prevention of Primary Infection)
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ: โดยเฉพาะช่วงที่มีตุ่มน้ำหรือแผล
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น: เช่น แก้วน้ำ ลิปสติก ผ้าเช็ดตัว
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์: แม้ว่าจะไม่มีอาการก็ตาม
- รักษาสุขอนามัยส่วนตัวและล้างมือบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงการจูบหรือมีเพศสัมพันธ์ขณะมีแผลเริม
วิธีลดความเสี่ยงการกำเริบของโรค (Prevention of Recurrence)
- พักผ่อนให้เพียงพอ (Adequate rest)
- ลดความเครียด (Stress management)
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เสริมวิตามินเพื่อภูมิคุ้มกัน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดแรงเกินไป (ในกรณีของเริมที่ปาก)
- ในบางราย แพทย์อาจแนะนำการใช้ยาต้านไวรัสแบบต่อเนื่อง (Suppressive therapy)

วิธีรักษาโรคเริม
โรคเริม (Herpes) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ลดระยะเวลาของการเป็นโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้
แนวทางการรักษาโรคเริม (Treatment Approaches)
- การใช้ยาต้านไวรัส (Antiviral medications): ได้แก่
- Acyclovir (อะไซโคลเวียร์)
- Valacyclovir (วาลาไซโคลเวียร์)
- Famciclovir (แฟมไซโคลเวียร์)
- ยาเหล่านี้ช่วยลดระยะเวลาของอาการ ลดความรุนแรง และลดการแพร่กระจายของเชื้อ
- การรักษาตามอาการ (Symptomatic treatment):
- ใช้ยาทาแก้ปวดหรือยาชาเฉพาะที่
- รับประทานยาลดไข้และยาแก้ปวดหากมีไข้หรือปวดแผล
- ดูแลแผลให้สะอาดและแห้ง
- การรักษาแบบกดไวรัสระยะยาว (Suppressive therapy):
- แนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการกำเริบบ่อย เช่น มากกว่า 6 ครั้งต่อปี
- ช่วยลดจำนวนครั้งและความรุนแรงของอาการกำเริบ
- ช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- เมื่อมีอาการครั้งแรกและไม่แน่ใจว่าเป็นเริมหรือไม่
- เมื่อมีอาการกำเริบบ่อยหรืออาการรุนแรง
- เมื่อสงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการที่ตา สมอง หรือระหว่างตั้งครรภ์
เป็นเริมดูแลตัวเองอย่างไร?
แม้ว่า โรคเริม (Herpes) จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
วิธีดูแลตัวเองระหว่างเป็นเริม (Self-care Tips During an Outbreak)
- พักผ่อนให้เพียงพอ (Get adequate rest): ร่างกายที่พักผ่อนเพียงพอช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงและฟื้นตัวเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงความเครียด (Stress management): ความเครียดเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นให้เริมกำเริบได้
- รักษาความสะอาดของแผล (Keep sores clean and dry): ใช้น้ำสบู่อ่อนล้างแผลเบาๆ จากนั้นเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
- ไม่แกะหรือเกาตุ่มแผล (Avoid picking or scratching sores): เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนและไม่ให้แผลลุกลาม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือจูบในช่วงมีแผล (Avoid kissing or skin contact during outbreaks)
- ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ (Stay hydrated and eat well)
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง (What to Avoid)
- ไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว, ลิปสติก, ช้อนส้อม
- งดเพศสัมพันธ์ในช่วงมีแผลหรือกำเริบ
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด (ในกรณีเริมที่ปาก)

โรคเริมเกิดที่ไหนได้บ้าง?
โรคเริม (Herpes) สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายบริเวณของร่างกาย ไม่จำกัดแค่ที่ปากหรืออวัยวะเพศเท่านั้น โดยตำแหน่งที่พบได้บ่อยและมีลักษณะอาการแตกต่างกันไป มีดังนี้:
ตำแหน่งที่พบบ่อยของโรคเริม
- เริมที่ปาก (Oral herpes): เกิดบริเวณริมฝีปาก ช่องปาก เหงือก หรือภายในกระพุ้งแก้ม โดยมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสที่แสบหรือคัน
- เริมที่อวัยวะเพศ (Genital herpes): เกิดบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ขาหนีบ หรือก้น โดยมีตุ่มน้ำเจ็บแสบ อาจมีอาการคันร่วมด้วย
- เริมที่จมูก (Nasal herpes): พบเป็นตุ่มน้ำบริเวณรอบรูจมูก มักมีอาการระคายเคืองและแสบ
- เริมที่ตา (Ocular herpes): อาการจะมีตุ่มน้ำที่เปลือกตา ตาแดง น้ำตาไหล หรือรู้สึกเจ็บตา ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์ทันทีเพราะอาจกระทบต่อการมองเห็น
- เริมที่นิ้วมือ (Herpetic whitlow): มักเกิดกับแพทย์ พยาบาล หรือคนที่สัมผัสน้ำลายหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดยตรง
- เริมที่ขา/ก้น/ลำตัว: เกิดเป็นตุ่มน้ำใสขนาดเล็กในบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเริมมีอะไรบ้าง?
โดยทั่วไป โรคเริม (Herpes) มักเป็นโรคที่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีโรคเริมอาจก่อให้เกิด ภาวะแทรกซ้อน (Complications) ที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน (Secondary bacterial infection): เกิดจากการแกะหรือเกาตุ่มแผล ทำให้แผลติดเชื้อและอักเสบลุกลาม
- เริมที่ตา (Ocular herpes): อาจทำให้กระจกตาอักเสบ ตาพร่ามัว และหากไม่ได้รับการรักษา อาจสูญเสียการมองเห็นถาวร
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเริม (Herpes meningitis): เกิดจากเชื้อเริมแพร่เข้าสู่ระบบประสาท ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาการได้แก่ ปวดศีรษะ คอแข็ง มีไข้สูง
- โรคเริมในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Disseminated herpes in immunocompromised patients): อาจเกิดการติดเชื้อเริมในหลายอวัยวะพร้อมกัน เช่น สมอง ปอด ตับ ซึ่งอาจรุนแรงถึงชีวิต
- เริมในหญิงตั้งครรภ์ (Neonatal herpes): คุณแม่ที่ติดเชื้อเริมโดยเฉพาะช่วงใกล้คลอด อาจถ่ายทอดเชื้อไปยังทารก ส่งผลให้ทารกติดเชื้ออย่างรุนแรง
โรคเริมเหมือนหรือต่างจากโรคอื่นอย่างไร?
อาการของ โรคเริม (Herpes) อาจคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังหรือโรคติดเชื้ออื่นๆ ซึ่งอาจทำให้หลายคนสับสนและวินิจฉัยผิดพลาดได้ การแยกความแตกต่างอย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญ
โรคที่มีอาการคล้ายกับโรคเริม
- ร้อนใน (Canker sores): มักเกิดในช่องปาก มีลักษณะเป็นแผลขาวหรือเหลือง ตื้น และไม่ใช่ตุ่มน้ำ ไม่มีเชื้อไวรัสเริมเกี่ยวข้อง
- โรคงูสวัด (Shingles): เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิด (Varicella-Zoster Virus) มีลักษณะตุ่มน้ำพองเรียงตัวตามแนวเส้นประสาท และมักมีอาการปวดแสบร้อนชัดเจน
- อีสุกอีใส (Chickenpox): มีตุ่มน้ำกระจายทั่วร่างกาย ร่วมกับไข้และอาการป่วยทั่วไป มักพบในเด็ก
- ปากนกกระจอก (Angular Cheilitis): เกิดแผลที่มุมปากจากการติดเชื้อรา ไม่ใช่ไวรัส ไม่มีตุ่มน้ำ
- หูดหงอนไก่ (Genital warts/HPV): มีลักษณะเป็นตุ่มเนื้อ ไม่ใช่ตุ่มน้ำ และไม่เจ็บหรือแสบร้อนเหมือนเริม
วิธีแยกโรคเริมออกจากโรคอื่น
- ลักษณะตุ่มน้ำ (Blister vs. Flat lesions)
- ตำแหน่งที่เกิด (Location of symptoms)
- อาการร่วม เช่น ปวดแสบ ปวดร้อน หรือไม่
FAQ คำถามยอดฮิตโรคเริม
เริมรักษาหายได้ไหม?
ตอบ: โรคเริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย แต่สามารถควบคุมและลดความถี่ของการกำเริบได้ด้วย ยาต้านไวรัส และการดูแลสุขภาพ
เป็นเริมสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม?
ตอบ: สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้แต่ต้องมีการป้องกันอย่างเหมาะสม เช่น การใช้ถุงยางอนามัย และ หลีกเลี่ยงช่วงที่มีแผลหรือตุ่มน้ำ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังคู่นอน
โรคเริมเสี่ยงเป็นเอดส์ไหม?
ตอบ: ผู้ที่ติดเชื้อเริม โดยเฉพาะเริมที่อวัยวะเพศ จะมี ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการติดเชื้อไวรัส HIV หากมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากแผลจากเริมทำให้ผิวหนังเปิดและง่ายต่อการรับเชื้ออื่น
เริมมีผลกับการตั้งครรภ์หรือไม่?
ตอบ: มีผลในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อเริมในช่วงใกล้คลอด เพราะอาจถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกได้ (Neonatal herpes) ซึ่งมีความรุนแรง จำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์
บทสรุป
โรคเริม เป็นโรคที่พบได้บ่อยและสามารถจัดการได้ หากได้รับความรู้ ความเข้าใจ และการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง แม้ว่าโรคเริมจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การใช้ ยาต้านไวรัส ร่วมกับการดูแลสุขภาพและการป้องกันที่เหมาะสม สามารถช่วยลดโอกาสการกำเริบ ลดความรุนแรงของอาการ และป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
ที่สำคัญ การดูแลและเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ