โรคคลามายเดีย (หนองในเทียม) คืออะไร?
โรคคลามายเดีย หรือที่คนไทยบางส่วนเรียกว่า หนองในเทียม (ภาษาอังกฤษ: Chlamydia) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease หรือ STD) ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Chlamydia trachomatis
โรคนี้มีลักษณะสำคัญคือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีอาการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในระยะแรก แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว
โรคคลามายเดียจัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD)
โรคคลามายเดียเป็นหนึ่งในกลุ่ม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก และมีอัตราการติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย
องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่า ทุกวันมีผู้ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่าหนึ่งล้านคนทั่วโลก โดย Chlamydia เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยที่สุด
ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคคลามายเดีย
- เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
- ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เพราะไม่แสดงอาการในระยะแรก
- หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพในระยะยาว
- โรคนี้สามารถติดต่อได้ทุกเพศ ทุกวัย
สาเหตุของโรคคลามายเดียเกิดจากอะไร?
โรคคลามายเดีย (Chlamydia) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น เชื้อแบคทีเรียนี้จะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุผิวบางๆ เช่น อวัยวะเพศ ช่องปาก ทวารหนัก หรือเยื่อบุตา
การแพร่กระจายของเชื้อคลามายเดีย
เชื้อ Chlamydia trachomatis สามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ โดยวิธีการแพร่กระจายหลัก ได้แก่:
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางช่องปาก
- การสัมผัสกับน้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น หรือสารคัดหลั่งในช่องคลอดที่มีเชื้อ
- การใช้ของเล่นทางเพศ (Sex Toy) ร่วมกันโดยไม่มีการทำความสะอาดหรือใช้ถุงยางอนามัยหุ้ม
- การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกระหว่างการคลอดทางช่องคลอด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อคลามายเดียได้ง่ายขึ้น
- มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ไม่ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
- อยู่ในช่วงอายุ 15-24 ปี
- หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง
คลามายเดีย: โรคที่ติดได้แม้ไม่มีอาการ
สิ่งที่ทำให้โรคนี้แพร่กระจายได้ง่ายคือ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าตนเองมีเชื้อ เนื่องจากเชื้ออาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว
โรคคลามายเดียติดเชื้อบริเวณไหนได้บ้าง?
โรคคลามายเดีย (Chlamydia) เป็นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับ เซลล์เยื่อบุผิว ซึ่งเป็นเซลล์ที่บุอยู่ตามผิวด้านในของอวัยวะต่างๆ โดยสามารถติดเชื้อได้ในหลายตำแหน่งของร่างกาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะอวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น
บริเวณที่เชื้อคลามายเดียสามารถติดเชื้อได้
- อวัยวะเพศชาย เช่น องคชาติ ท่อปัสสาวะ
- อวัยวะเพศหญิง เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก
- ทวารหนัก (Rectum)
- ลำคอ (Throat)
- เยื่อบุตา (Conjunctiva): เชื้อสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาได้ โดยเฉพาะในทารกที่คลอดผ่านช่องคลอดของแม่ที่มีเชื้อ
คลามายเดีย: การติดเชื้อที่ไม่ได้มีแค่ “จุดเดียว”
เชื้อ Chlamydia trachomatis ไม่ได้จำกัดการติดเชื้อเฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น แต่สามารถลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น:
- จากช่องคลอด → ทวารหนัก
- จากทวารหนัก → ช่องคลอด
ในบางกรณี การใช้ของเล่นทางเพศร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาดก็สามารถทำให้เชื้อแพร่กระจายจากอวัยวะหนึ่งไปสู่อีกอวัยวะหนึ่งได้
โรคคลามายเดียในดวงตา (Chlamydial Conjunctivitis)
ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อคลามายเดีย มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ เยื่อบุตา ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะตาบอดได้
อาการของโรคคลามายเดียในผู้หญิงและผู้ชายต่างกันอย่างไร?
โรคคลามายเดีย (หนองในเทียม) เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ยังคงสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเชื้อเริ่มก่อให้เกิดอาการ อาการของโรคนี้จะมีความแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย
อาการของโรคคลามายเดียในผู้หญิง
- มีตกขาวผิดปกติ ลักษณะสีขุ่นหรือมีกลิ่น
- มีเลือดออกกระปริบกระปรอยระหว่างรอบเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์
- ปัสสาวะแสบขัด
- รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์
- ปวดท้องน้อย หรือปวดอุ้งเชิงกราน
- หากไม่ได้รับการรักษา อาจเสี่ยงต่อการเกิด อุ้งเชิงกรานอักเสบ และ ภาวะมีบุตรยาก
อาการของโรคคลามายเดียในผู้ชาย
- มีน้ำใสหรือขุ่นไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ
- ปัสสาวะแสบขัด
- เจ็บหรือบวมบริเวณอัณฑะ
- อาจมีอาการปวดท้องน้อยหรือปวดขาหนีบ
อาการที่อาจเกิดขึ้นในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
- อาการเจ็บหรือแสบที่ทวารหนัก
- มีมูกหรือเลือดออกจากทวารหนัก
- เจ็บคอ (ในกรณีติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก)
- อาการตาแดงหรือตาอักเสบ (หากเชื้อเข้าสู่เยื่อบุตา)
โรคคลามายเดียมีอันตรายหรือไม่?
แม้ว่าโรคคลามายเดีย (Chlamydia) จะสามารถรักษาให้หายได้หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รู้ตัวหรือไม่รักษาอย่างเหมาะสม โรคนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
อันตรายของโรคคลามายเดียในผู้หญิง
- เสี่ยงเกิด อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease – PID)
- มีความเสี่ยงสูงต่อ ภาวะมีบุตรยาก
- เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy)
- อาจทำให้เกิดการเจ็บปวดเรื้อรังในอุ้งเชิงกราน
อันตรายของโรคคลามายเดียในผู้ชาย
- การอักเสบของท่อนำอสุจิ (Epididymitis)
- ปวดอัณฑะ บวมแดง
- เสี่ยงภาวะมีบุตรยากจากการอุดตันของท่ออสุจิ
- อาจมีอาการอักเสบของข้อต่อ (Reactive Arthritis)
อันตรายร่วมที่อาจเกิดขึ้นในทุกเพศ
- อาการอักเสบของเยื่อบุตา (Chlamydial Conjunctivitis)
- การติดเชื้อที่ทวารหนักและลำคอ
- ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เพิ่มขึ้นหากมีเชื้อคลามายเดียร่วมด้วย
ความอันตรายที่มองไม่เห็น: ไม่มีอาการ ไม่ได้แปลว่าไม่อันตราย
- ผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีอาการ ทำให้ไม่ได้รับการรักษา
- เชื้อสามารถลุกลามจนก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวแม้ไม่รู้ตัว
วิธีวินิจฉัยโรคคลามายเดียทำอย่างไร? เจ็บไหม?
การวินิจฉัยโรคคลามายเดีย (Chlamydia) เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการแพร่กระจายของเชื้อ โดยปัจจุบันมีวิธีการตรวจที่รวดเร็ว แม่นยำ และไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด
วิธีการตรวจโรคคลามายเดียในปัจจุบัน
- การตรวจปัสสาวะ (Urine Test): การเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อหาสารพันธุกรรมของเชื้อ เหมาะสำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่ต้องการตรวจด้วยวิธีสว๊อบ
- การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง (Swab Test): แพทย์จะใช้ก้านสว๊อบเล็กๆ เก็บตัวอย่างจากปากมดลูก ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ หรือทวารหนัก ตามตำแหน่งที่สงสัยว่าติดเชื้อ
- การตรวจด้วย NAAT (Nucleic Acid Amplification Test): เป็นการตรวจระดับสารพันธุกรรมของเชื้อที่ให้ความแม่นยำสูง เป็นมาตรฐานที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และ CDC
วิธีการเลือกตรวจแบบไหนดี?
- ผู้หญิง: มัเลือกใช้การเก็บสารคัดหลั่งจากปากมดลูกหรือปัสสาวะ
- ผู้ชาย: มักใช้การตรวจปัสสาวะหรือเก็บสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ
- กรณีเสี่ยงติดที่ทวารหนักหรือลำคอ: ต้องสว๊อบเฉพาะจุด
การตรวจโรคคลามายเดียเจ็บไหม?
- การตรวจปัสสาวะ: ไม่เจ็บเลย
- การเก็บสารคัดหลั่ง: อาจรู้สึกไม่สบายบ้างแต่ไม่เจ็บมาก
- การตรวจสว๊อบ: รู้สึกระคายเคืองเพียงเล็กน้อย เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที
ส่วนใหญ่ผู้เข้ารับการตรวจจะรู้สึกสบายใจกว่าที่คิด และไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บ
ควรตรวจเมื่อไหร่?
- หากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- หากมีอาการผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย
- หากคู่นอนตรวจพบว่าติดเชื้อ
วิธีรักษาโรคคลามายเดีย รักษาหายไหม?
โรคคลามายเดีย (Chlamydia) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง โดยการรักษาหลักคือการใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้คำแนะนำของแพทย์
วิธีรักษาโรคคลามายเดีย
- การใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): ยาหลักที่ใช้รักษาโรคคลามายเดีย ได้แก่
- Azithromycin (อะซิโทรมัยซิน) กินครั้งเดียว
- Doxycycline (ด็อกซีไซคลิน) กินต่อเนื่อง 7 วัน
แพทย์จะพิจารณาเลือกยาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
- การรักษาคู่นอน: คู่นอนควรได้รับการตรวจและรักษาเช่นเดียวกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
- งดการมีเพศสัมพันธ์: ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7 วัน หลังได้รับการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดไปและลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ
โรคคลามายเดียรักษาหายไหม?
- โรคนี้ สามารถรักษาหายขาดได้ หากรับประทานยาครบตามแพทย์สั่ง
- ไม่ควรหยุดยาเองแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
- ในบางรายที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้นหรือมีการตรวจติดตามเพิ่มเติม
การดูแลหลังการรักษา
- ตรวจซ้ำประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อยืนยันว่าหายสนิท
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
- รักษาสุขอนามัยและพูดคุยกับคู่นอนอย่างเปิดเผย
หลังการรักษาคลามายเดียต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
แม้ว่าโรคคลามายเดีย (Chlamydia) จะสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่การดูแลตัวเองหลังการรักษาก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อซ้ำและการรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง
ข้อปฏิบัติหลังการรักษาคลามายเดีย
- รับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่ง: ห้ามหยุดยาเอง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
- งดการมีเพศสัมพันธ์: เว้นการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7 วัน หรือจนกว่าจะแน่ใจว่าการติดเชื้อหายขาด
- ตรวจซ้ำ (Test of Cure): ควรตรวจซ้ำภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจบการรักษาเพื่อยืนยันว่าปราศจากเชื้อ
- ให้คู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษา: เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
วิธีดูแลสุขภาพระยะยาวหลังรักษา
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง
- รักษาสุขอนามัยของอวัยวะเพศและของใช้ส่วนตัว
คำแนะนำเพิ่มเติมจากแพทย์
- หากมีอาการผิดปกติซ้ำ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- อย่าละเลยการตรวจติดตาม แม้อาการจะดีขึ้น
- พูดคุยเปิดใจกับคู่นอนเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ
วิธีป้องกันโรคคลามายเดียทำอย่างไร?
แม้ว่าโรคคลามายเดีย (Chlamydia) จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อหรือกลับมาติดเชื้อซ้ำยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
วิธีป้องกันโรคคลามายเดียอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์: เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง
- จำกัดจำนวนคู่นอน: การมีคู่นอนเพียงคนเดียวที่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม ช่วยลดโอกาสติดเชื้อได้มาก
- หลีกเลี่ยงการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกัน: หรือควรใช้ถุงยางอนามัยหุ้มและทำความสะอาดทุกครั้ง
- พูดคุยเปิดใจกับคู่นอน: เกี่ยวกับการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และสุขภาพทางเพศ
การป้องกันในหญิงตั้งครรภ์
- หญิงตั้งครรภ์ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ Chlamydia ตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากการติดเชื้ออาจส่งผลกระทบต่อลูกน้อยได้
สรุปแนวทางป้องกันแบบง่ายๆ
- ป้องกันดีกว่ารักษา
- การตรวจหาเชื้อเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยง
- หากพบเชื้อ ควรรีบรักษาและงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายสนิท
ภาวะแทรกซ้อนของโรคคลามายเดียมีอะไรบ้าง?
หากโรคคลามายเดีย (Chlamydia) ไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงซึ่งส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ทั้งในผู้หญิง ผู้ชาย และทุกเพศทุกวัย
ภาวะแทรกซ้อนของโรคคลามายเดียในผู้หญิง
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease – PID): ภาวะการอักเสบของอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน อาจทำให้เกิดพังผืดหรือเนื้อเยื่อแผลเป็น
- ภาวะมีบุตรยาก: เกิดจากการอุดตันของท่อนำไข่หรือความเสียหายของอวัยวะสืบพันธุ์
- ตั้งครรภ์นอกมดลูก: เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่ตัวอ่อนไปฝังตัวนอกโพรงมดลูก ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต
- เจ็บปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง: ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิต
ภาวะแทรกซ้อนของโรคคลามายเดียในผู้ชาย
- การอักเสบของท่อนำอสุจิ (Epididymitis): ส่งผลต่อความเจ็บปวดและอาจมีผลต่อการเจริญพันธุ์
- ภาวะมีบุตรยาก: เกิดจากการอุดตันของท่อนำอสุจิ
- ข้ออักเสบ (Reactive Arthritis): เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดได้ในทุกเพศ
- เยื่อบุตาอักเสบ (Chlamydial Conjunctivitis): เกิดจากเชื้อเข้าสู่ดวงตา อาจพบในทารกแรกเกิด
- การติดเชื้อที่ทวารหนักและลำคอ: หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือเรื้อรัง
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) สูงขึ้น: การมีแผลหรือการอักเสบทำให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีมากขึ้น
โรคคลามายเดียเสี่ยงติดซ้ำได้ไหม?
แม้ว่าคลามายเดีย (Chlamydia) จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำได้เช่นเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ การติดเชื้อซ้ำอาจเกิดขึ้นได้แม้เคยได้รับการรักษาแล้วหากยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยง
ทำไมถึงเสี่ยงติดเชื้อคลามายเดียซ้ำ?
- การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ยังไม่ได้รับการรักษา: แม้ว่าคุณจะรักษาหายแล้ว หากคู่นอนไม่ได้รับการรักษา ก็สามารถติดเชื้อซ้ำได้ง่าย
- พฤติกรรมทางเพศที่ไม่มีการป้องกัน: เช่น ไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีคู่นอนหลายคน
- ไม่เข้ารับการตรวจติดตามหลังรักษา: ผู้ที่ไม่ได้ตรวจซ้ำอาจมีเชื้อหลงเหลืออยู่และกลับมาติดซ้ำโดยไม่รู้ตัว
ความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำ
- การติดเชื้อซ้ำหลายครั้งอาจเพิ่มโอกาสเกิด ภาวะแทรกซ้อน เช่น มีบุตรยาก หรือ อุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง
- การรักษาซ้ำบ่อยครั้งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต
วิธีลดความเสี่ยงการติดเชื้อซ้ำ
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ชวนคู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษา
- ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
- งดเว้นเพศสัมพันธ์จนกว่าผลตรวจจะยืนยันว่าหายขาด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคคลามายเดีย
เพื่อช่วยให้เข้าใจโรคคลามายเดีย (Chlamydia) ได้ง่ายขึ้น ต่อไปนี้คือคำถามที่พบบ่อยจากผู้ที่กังวลหรือสงสัยเกี่ยวกับโรคนี้ พร้อมคำตอบกระชับ ชัดเจน
โรคคลามายเดียคือโรคอะไร?
โรคคลามายเดีย หรือหนองในเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis สามารถติดได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก
โรคคลามายเดียมีอาการอย่างไร?
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ไม่มีอาการ แต่บางรายอาจมีตกขาวผิดปกติ เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือปัสสาวะแสบขัด
โรคคลามายเดียรักษาได้ไหม?
รักษาได้ด้วย ยาปฏิชีวนะ ภายใต้การดูแลของแพทย์ ผู้ป่วยควรรับประทานยาให้ครบตามคำสั่ง
คลามายเดียติดได้ทางไหนบ้าง?
- เพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ทุกช่องทาง)
- การสัมผัสสารคัดหลั่ง
- จากแม่สู่ลูกในขณะคลอด
โรคคลามายเดียตรวจอย่างไร?
- ตรวจปัสสาวะ
- เก็บสารคัดหลั่ง (Swab Test)
- การตรวจสารพันธุกรรม (NAAT)
ติดเชื้อคลามายเดียแล้วจะมีลูกได้ไหม?
ถ้ารักษาอย่างทันท่วงทีและถูกต้อง ส่วนใหญ่ไม่กระทบต่อการมีบุตร แต่หากปล่อยไว้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ ภาวะมีบุตรยาก
ติดเชื้อแล้วจำเป็นต้องบอกคู่นอนไหม?
จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้คู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษา ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำ
โรคคลามายเดียป้องกันอย่างไร?
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
- งดพฤติกรรมเสี่ยง
บทสรุป
โรคคลามายเดีย (หนองในเทียม) เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที แต่หากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้
การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ และการรักษาความสัมพันธ์อย่างซื่อสัตย์ถือเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันโรคนี้
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าติดเชื้อ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและรับคำปรึกษาอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพที่ดีและปลอดภัยของทุกคน