Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

STD โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออะไร มีกี่โรค วิธีการรักษาและป้องกันอย่างไร

STD โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ชื่อทางการ “Sexually Transmitted Diseases” คือกลุ่มโรคที่สามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก แม้ในบางครั้งผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการ แต่ก็สามารถแพร่เชื้อต่อไปได้โดยไม่รู้ตัว

ในปัจจุบัน STD กลับมาเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ต้องจับตา โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีคู่นอนหลายคนโดยไม่ตรวจสุขภาพทางเพศ

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ STD ว่าคืออะไร มีกี่ชนิด โรคไหนบ้างที่พบบ่อย วิธีการป้องกัน รวมถึงเหตุผลว่าทำไม “การตรวจสุขภาพทางเพศ” ถึงไม่ควรเป็นเรื่องที่ถูกละเลยอีกต่อไป

STD โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

STD โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออะไร

STD หรือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออะไร?

STD โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดเชื้อซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านกิจกรรมทางเพศ ทั้งการสอดใส่ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม

นอกจากการมีเพศสัมพันธ์โดยตรงแล้ว STD บางชนิดยังสามารถติดต่อผ่านทางเลือด สารคัดหลั่ง หรือจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรได้อีกด้วย ผู้ที่ติดเชื้ออาจมีอาการหรือไม่มีอาการใดๆ เลย ซึ่งทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังแพร่เชื้อให้ผู้อื่นอยู่ กลุ่มโรคที่จัดอยู่ใน STD มีหลายประเภท ซึ่งบางโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่บางชนิดอาจฝังตัวในร่างกายตลอดชีวิต

STD มีกี่โรค? แบ่งตามเชื้อได้กี่กลุ่ม

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ไม่ได้มีเพียงไม่กี่ชนิดอย่างที่หลายคนเข้าใจ แท้จริงแล้วโรคเหล่านี้สามารถจำแนกได้ตามประเภทของเชื้อที่ก่อโรค ซึ่งหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  1. เชื้อแบคทีเรีย พบได้บ่อย และมักสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น
  2. เชื้อไวรัส บางชนิดรักษาได้ บางชนิดอยู่กับร่างกายไปตลอดชีวิต เช่น
  3. เชื้อปรสิต ติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์หรือการสัมผัสโดยตรง เช่น
    • โลน (Pthirus pubis)
    • พยาธิช่องคลอด (Trichomoniasis)
  4. เชื้อรา มักเกิดจากการเสียสมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอด เช่น
    • เชื้อราแคนดิดา (Candida albicans)

การเข้าใจประเภทของเชื้อเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละชนิดมีแนวทางการรักษาและการป้องกันที่แตกต่างกัน หากสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม

โรค STD ที่พบบ่อยในไทยมีอะไรบ้าง

แม้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) จะมีอยู่หลายชนิด แต่มีบางโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน และกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ดังนี้

  1. หนองในแท้ (Gonorrhea) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง อาการที่พบเช่น ปัสสาวะแสบ ขัด หรือมีหนองไหลจากอวัยวะเพศ
  2. หนองในเทียม (Chlamydia) มักไม่มีอาการในระยะแรก แต่สามารถลุกลามทำให้มีบุตรยากในเพศหญิงหากไม่ได้รับการรักษา
  3. ซิฟิลิส (Syphilis) ระยะแรกมักเกิดแผลไม่เจ็บบริเวณอวัยวะเพศ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจลุกลามสู่สมองและหัวใจ
  4. โรคเริม (Herpes Simplex Virus) มีตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแดงบริเวณอวัยวะเพศ เจ็บ แสบ เป็นซ้ำได้ตลอดชีวิต
  5. เชื้อ HPV และหูดหงอนไก่ ทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ และบางสายพันธุ์เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูก
  6. เอชไอวี (HIV) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน อาจไม่แสดงอาการในระยะต้น แต่หากไม่รักษาจะพัฒนาเป็นโรคเอดส์
  7. ไวรัสตับอักเสบบี/ซี ติดต่อผ่านเลือดและเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดโรคตับเรื้อรังและเสี่ยงต่อมะเร็งตับ

บางโรคมีอาการชัดเจน แต่หลายโรคไม่มีอาการเลย ดังนั้นการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ

STD โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดต่อได้อย่างไร

STD ติดต่อได้อย่างไร?

หลายคนเข้าใจว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) จะติดเฉพาะเมื่อมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว STD สามารถติดต่อได้หลากหลายช่องทางมากกว่าที่คิด

  1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และทางปาก หากไม่ได้สวมถุงยางอนามัยหรือใช้อย่างไม่ถูกวิธี
  2. การทำ Oral sex หรือสัมผัสอวัยวะเพศด้วยปาก หลายโรค เช่น เริม ซิฟิลิส และหนองใน สามารถติดต่อผ่านทางปากได้ แม้ไม่มีการสอดใส่
  3. การสัมผัสสารคัดหลั่ง เลือด หรือแผลของผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะหากมีบาดแผลเล็ก ๆ ที่ไม่เห็นด้วยตาเปล่า
  4. จากแม่สู่ลูก บางโรค เช่น HIV, ซิฟิลิส และเริม สามารถส่งผ่านจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร
  5. การใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา หรือเครื่องมือที่ปนเปื้อนเลือด

การรู้ว่า STD ติดต่อได้อย่างไรเป็นก้าวแรกของการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และช่วยลดโอกาสการแพร่กระจายโดยไม่รู้ตัว

STD โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ใครที่ต้องตรวจ

ใครที่ต้องตรวจ STD

ผู้ที่มีความเสี่ยง ที่ควรเข้ารับการตรวจ STD Test มีดังนี้

  • เมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • ไม่สวมถุงยางอนามัย และมีเพศสัมพันธ์บนความเสี่ยง
  • เพศสัมพันธ์ในขณะที่ยังมีอายุน้อย
  • เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ (มีคู่นอนมากกว่า 1คน ใน 3 เดือนที่ผ่านมา)
  • เคยมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายขายบริการทางเพศโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับเพศ หรือการสัมผัสทางเพศกับหลายๆคน 
  • ถุงยางอนามัยรั่ว ถุงยางอนามัยแตก หลุด ฉีกขาดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่กำลังวางแผนจะแต่งงาน หรือมีบุตร ก็ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่นกัน
    เพื่อป้องกันเชื้อแพร่สู่คู่รักและลูก

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ไม่ได้แสดงอาการชัดเจนเสมอไป โดยเฉพาะในระยะแรก หลายคนติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวและยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม อาการที่ควรสังเกตมีดังนี้:

อาการที่พบได้ในเพศชาย

  • ปัสสาวะแสบ ขัด หรือมีหนองออกจากปลายอวัยวะเพศ
  • มีแผล ตุ่ม หรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศ
  • เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์หรือหลั่ง
  • มีอาการบวมบริเวณถุงอัณฑะ

อาการที่พบได้ในเพศหญิง

  • ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น สีเหลืองหรือเขียว
  • ปวดท้องน้อยหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีแผล ตุ่ม ผื่นบริเวณอวัยวะเพศ
  • ปัสสาวะแสบหรือถี่ผิดปกติ

อาการทั่วไป (ทั้งสองเพศ)

  • มีแผลหรือผื่นบริเวณปาก ลำคอ หรือทวารหนัก
  • ตุ่มน้ำใส เจ็บ แสบคล้ายเริม
  • ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บบริเวณขาหนีบ
  • มีไข้ อ่อนเพลีย หรือผื่นขึ้นทั่วตัว (เช่นในซิฟิลิสระยะที่ 2)

ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่แสดงอาการเลย แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้ จึงควรตรวจคัดกรองเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อมีพฤติกรรมเสี่ยง

แต่ละโรค STD อันตรายแค่ไหน? (เทียบความรุนแรง)

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) มีตั้งแต่ชนิดที่สามารถรักษาให้หายได้ง่าย ไปจนถึงโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่ออวัยวะสำคัญในร่างกาย หรือแม้แต่นำไปสู่ภาวะมะเร็งหรือเสียชีวิต หากไม่รับการรักษาอย่างทันท่วงที

กลุ่มที่ “รักษาให้หายได้” ถ้าตรวจเร็ว

  • หนองในแท้ / หนองในเทียม: หากรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเร็วพอ จะไม่มีผลข้างเคียงระยะยาว
  • ซิฟิลิส: รักษาได้ด้วยยาฉีดเพนิซิลลิน โดยเฉพาะในระยะต้น

กลุ่มที่ “เรื้อรัง” หรือ “เป็นซ้ำได้”

  • เริม (Herpes): แม้จะไม่มีอาการถาวร แต่ไวรัสจะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต และอาจกลับมาเป็นซ้ำเมื่อร่างกายอ่อนแอ
  • HPV (หูดหงอนไก่/สายพันธุ์เสี่ยงสูง): อาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากทวารหนักในระยะยาว
  • ไวรัสตับอักเสบบี/ซี: มีโอกาสลุกลามเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ

กลุ่มที่ “ส่งผลต่อชีวิตหากไม่รักษา”

  • HIV: ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน หากไม่รักษาอาจนำไปสู่โรคเอดส์และเสียชีวิตได้
  • ซิฟิลิสระยะท้าย: อาจทำลายหัวใจ สมอง หรือกระดูก หากปล่อยทิ้งไว้นานหลายปี

การรู้เท่าทันความรุนแรงของแต่ละโรคช่วยให้เราไม่ประมาท และมองเห็นความสำคัญของการตรวจคัดกรองและป้องกันอย่างจริงจัง

ทำไมผู้หญิงถึงเสี่ยงติด STD โดยไม่รู้ตัวมากกว่าผู้ชาย?

แม้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) จะสามารถเกิดได้กับทุกเพศ แต่ในหลายกรณี ผู้หญิงกลับมีความเสี่ยงที่จะ “ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว” มากกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุผลหลายด้านทั้งทางร่างกายและพฤติกรรม

1. โครงสร้างทางกายวิภาค

อวัยวะเพศหญิงมีลักษณะเปิด และมีเยื่อบุภายในที่บอบบาง ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่าเพศชาย

2. อาการที่ไม่ชัดเจน

โรคบางชนิด เช่น หนองในเทียมหรือ HPV อาจไม่แสดงอาการชัดเจนในเพศหญิง แต่สามารถลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น มีบุตรยาก หรือมะเร็งปากมดลูก

3. ไม่สังเกตความผิดปกติ

ผู้หญิงจำนวนมากไม่รู้ว่าตกขาวผิดปกติหรือกลิ่นเปลี่ยนเป็นสัญญาณเตือนโรค อาการมักถูกมองข้ามว่าเป็น “เรื่องปกติของผู้หญิง”

4. ตรวจร่างกายน้อยกว่า

หลายคนอาจไม่กล้าไปพบแพทย์หรือไม่เคยตรวจสุขภาพทางเพศเลย ทำให้โรคไม่ถูกตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก เพราะเหตุนี้ แพทย์จึงแนะนำให้ผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ เข้ารับการตรวจคัดกรอง STD เป็นประจำ แม้จะไม่มีอาการผิดปกติก็ตาม

พฤติกรรมเข้าใจผิด ที่ทำให้ติด STD แบบไม่รู้ตัว

หลายคนอาจคิดว่า “ไม่ได้มั่ว ไม่เสี่ยง” หรือ “ดูสะอาด ไม่น่ามีโรค” แต่ในความเป็นจริง มีพฤติกรรมหลายอย่างที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) โดยไม่รู้ตัว ซึ่งมักเกิดจากความเข้าใจผิดหรือความเคยชินที่ดูเหมือนไม่อันตราย

เข้าใจผิด: มีแฟนคนเดียว = ไม่ต้องตรวจ

แต่ในความจริง เราไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีประวัติทางเพศมาก่อนหรือไม่ และบางคนอาจไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดเชื้ออยู่

คิดว่า Oral sex ปลอดภัย

โรคอย่างซิฟิลิส หนองใน เริม หรือ HPV สามารถติดต่อผ่านการใช้ปากได้ แม้จะไม่มีการสอดใส่

คิดว่าไม่มีอาการ = ไม่มีโรค

หลายโรค เช่น HPV, หนองในเทียม หรือ HIV สามารถติดได้โดยไม่มีอาการใด ๆ ในระยะต้น

ดื่มแอลกอฮอล์จนขาดสติ

การตัดสินใจหลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ลืมใส่ถุงยาง มีเพศสัมพันธ์กับคนไม่รู้จัก คืออีกหนึ่งช่องทางเสี่ยงสูง

การเข้าใจพฤติกรรมเสี่ยงและแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านี้ จะช่วยให้เราสามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ชีวิตทางเพศอย่างปลอดภัยมากขึ้น

วิธีป้องกันโรค STD อย่างได้ผล

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน และไม่ใช่แค่เรื่องของถุงยางอนามัยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการ “รู้จักป้องกันอย่างรอบด้าน” เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและคู่ของคุณ

1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก ถุงยางเป็นเครื่องมือป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดหากใช้อย่างถูกต้อง

2. ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ

โดยเฉพาะหากคุณมีคู่นอนหลายคน หรือเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ ควรตรวจ STD อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

3. รับวัคซีนป้องกัน

เช่น วัคซีน HPV สำหรับป้องกันหูดหงอนไก่และมะเร็งปากมดลูก และวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

4. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

ไม่ดื่มแอลกอฮอล์จนขาดสติ, ไม่ใช้ยาเสพติดที่ต้องใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น และไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย

เช็กตัวเองเบื้องต้นว่าเสี่ยงไหม? (Checklist)

แม้จะไม่มีอาการ แต่บางพฤติกรรมก็อาจทำให้คุณเสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ได้มากกว่าที่คิด ลองเช็กตัวเองจากคำถามต่อไปนี้ หากคุณ “ตอบใช่” ข้อใดข้อหนึ่ง ควรเข้ารับการตรวจ STD โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ

แบบประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น

  • เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรือใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่?
  • เคยมีคู่นอนมากกว่า 1 คนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาไหม?
  • เคยมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบประวัติทางเพศมาก่อนหรือไม่?
  • เคยมีอาการคัน ตุ่ม ผื่น แผล หรือตกขาวผิดปกติหรือไม่?
  • เคยมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทางทวารหนักโดยไม่ป้องกันหรือไม่?
  • เคยใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น หรือเคยสัก/เจาะโดยไม่ได้ใช้ของใหม่หรือไม่?
  • คู่ของคุณเคยมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือเคยติด STD มาก่อนหรือไม่?

หากคุณไม่แน่ใจในคำตอบของตัวเอง การเข้ารับการตรวจคือวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความมั่นใจ และดูแลสุขภาพทางเพศของคุณอย่างปลอดภัย

STD กับการตั้งครรภ์ – มีผลยังไง?

การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ระหว่างตั้งครรภ์ไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่เท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทารกในครรภ์ได้ด้วย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  • การแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนด: โรคอย่างซิฟิลิส หนองใน และแบคทีเรียบางชนิดอาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวก่อนกำหนด
  • การติดเชื้อขณะคลอด: เช่น การติดเชื้อเริมหรือหนองใน อาจทำให้ทารกติดเชื้อผ่านช่องคลอด
  • ความผิดปกติแต่กำเนิด: โดยเฉพาะในกรณีของซิฟิลิสหรือ HIV หากไม่ได้รับการรักษา
  • ทารกเสียชีวิตในครรภ์หรือหลังคลอด: เป็นผลร้ายแรงที่สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจและรักษาแต่เนิ่น ๆ

แนวทางป้องกัน

  • ตรวจ STD ก่อนตั้งครรภ์ และซ้ำอีกครั้งในไตรมาส 2 หรือ 3 หากมีปัจจัยเสี่ยง
  • ใช้ถุงยางอนามัยตลอดการตั้งครรภ์ หากคู่ยังไม่ตรวจ
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่แน่ใจสถานะสุขภาพ

การดูแลสุขภาพทางเพศในช่วงตั้งครรภ์คือการปกป้องชีวิตทั้งของคุณและลูกอย่างแท้จริง

ตรวจ STD ได้ที่ไหน? ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ไม่ได้ยุ่งยากหรือเจ็บอย่างที่หลายคนกังวล และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

ตรวจ STD ได้ที่ไหน?

  • โรงพยาบาลรัฐบาล: คลินิกเวชกรรม, คลินิกโรคติดต่อ
  • โรงพยาบาลเอกชน: มีบริการตรวจเฉพาะทาง พร้อมความเป็นส่วนตัวสูง
  • คลินิกเฉพาะทาง STD / เวชกรรม: Safe Clinic, สถานพยาบาลที่รับทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ต้องเตรียมตัวยังไงก่อนตรวจ?

  • งดมีเพศสัมพันธ์ 24–48 ชม. ก่อนเข้ารับการตรวจ
  • หากมีอาการ ให้แจ้งแพทย์อย่างชัดเจน
  • อาจต้องเก็บตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่ง ขึ้นอยู่กับประเภทการตรวจ
  • นำประวัติสุขภาพหรือผลตรวจเดิม (ถ้ามี) มาด้วย

ราคา ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคที่ตรวจและสถานพยาบาล โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 5,000 บาท หากตรวจหลายรายการพร้อมกัน

อ่านเพิ่มเติม: ตรวจ STD ที่ไหนดี ราคาเท่าไหร่ ต้องตรวจอะไรบ้าง เตรียมตัวยังไง

สรุปทำไมทุกคนควรรู้จัก STD และตรวจอย่างสม่ำเสมอ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ไม่ใช่เรื่องของ “บางคน” แต่เป็นเรื่องที่ “ทุกคน” ควรตระหนัก ไม่ว่าคุณจะมีคู่นอนคนเดียว หรือไม่ได้มีเพศสัมพันธ์บ่อยก็ตาม เพราะ STD หลายชนิดติดง่าย ไม่แสดงอาการ และสามารถส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว

รู้เท่าทันโรค STD

  • ป้องกันตัวเองได้อย่างถูกต้อง: ไม่ตกหลุมพรางความเข้าใจผิด เช่น “ไม่มีอาการ = ไม่เป็นโรค”
  • ดูแลความสัมพันธ์อย่างรับผิดชอบ: ไม่แพร่เชื้อให้คู่โดยไม่รู้ตัว
  • กล้าตรวจ กล้าดูแลสุขภาพ: การตรวจไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น
  • ป้องกันโรคร้ายในอนาคต: เช่น มะเร็งจาก HPV หรือภาวะมีบุตรยากจากการติดเชื้อเรื้อรัง

การเข้าใจเรื่อง STD และตรวจอย่างสม่ำเสมอคือพื้นฐานของ “สุขภาพเพศที่ปลอดภัย” ที่ทุกคนควรมี — เพราะชีวิตดี เริ่มจากการรู้ทัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD)

STD คือโรคเดียวกับกามโรคหรือไม่?

ตอบ: ใช่ โดยทั่วไป “กามโรค” คือชื่อที่เคยใช้เรียก STD ในอดีต ปัจจุบันใช้คำว่า “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” เพื่อความถูกต้องและครอบคลุมมากขึ้น

ถ้าไม่มีอาการ จำเป็นต้องตรวจ STD ไหม?

ตอบ: จำเป็นมาก เพราะหลายโรค เช่น หนองในเทียม, HPV หรือ HIV อาจไม่มีอาการเลยในระยะแรก แต่สามารถแพร่เชื้อและก่อผลร้ายต่อร่างกายได้

Oral sex ติดโรคได้ไหม?

ตอบ: ได้ โรคอย่างเริม ซิฟิลิส หนองใน หรือ HPV สามารถติดต่อผ่านทางปากและลำคอได้

STD รักษาหายไหม?

ตอบ: ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค โรคจากแบคทีเรียส่วนใหญ่รักษาหายได้ แต่โรคจากไวรัสบางชนิด เช่น เริม หรือ HIV อาจไม่หายขาดแต่ควบคุมได้

icon email