การรักษา HIV ในปัจจุบันก้าวหน้าไปมากกว่าสมัยก่อน ยาต้านไวรัสหรือ ARV (Antiretroviral drugs) คือแนวทางมาตรฐานที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถกดปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน และใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนทั่วไป บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาต้าน HIV ตั้งแต่พื้นฐาน วิธีการรักษา ไปจนถึงสิทธิ์การเข้าถึงในประเทศไทย
ยาต้าน HIV หรือ ARV (Antiretroviral drugs) คือยาที่ใช้ควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกาย ยากลุ่มนี้ไม่ได้ทำให้เชื้อหายขาด แต่ช่วยลดปริมาณไวรัสจนเหลือต่ำมากจนตรวจไม่พบในการตรวจเลือดตามมาตรฐาน เมื่อไวรัสอยู่ในระดับนี้ ระบบภูมิคุ้มกันจะฟื้นตัว ผู้ติดเชื้อจึงมีสุขภาพแข็งแรงและใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ในทางการแพทย์ มักใช้คำว่า ART (Antiretroviral Therapy) หมายถึง “การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี” ซึ่งเป็นวิธีหลักและได้รับการยอมรับทั่วโลก ทุกประเทศรวมถึงประเทศไทยใช้วิธีนี้เป็นแนวทางมาตรฐานในการรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HIV
ยาต้าน HIV หรือ ARV ทำงานโดยขัดขวางวงจรการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสในร่างกาย แต่ละกลุ่มยามีจุดออกฤทธิ์ที่ต่างกัน เช่น ยาบางชนิดป้องกันไม่ให้ไวรัสสร้างสารพันธุกรรมใหม่ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งยับยั้งไม่ให้ไวรัสแทรกตัวในเซลล์เม็ดเลือดขาว
เมื่อใช้ยาร่วมกันหลายชนิดในสูตรเดียว จะช่วยกดเชื้อได้มีประสิทธิภาพสูง ลดโอกาสที่เชื้อจะดื้อยา และทำให้ปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนถึงระดับที่ตรวจไม่พบ
การรักษา HIV ในปัจจุบันมักใช้สูตรยาที่ผสมยาหลายชนิดรวมไว้ในเม็ดเดียว เรียกว่า Single Tablet Regimen เพื่อให้ผู้ป่วยรับประทานได้สะดวกขึ้น และลดโอกาสลืมยา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อดื้อยา
ในประเทศไทย ปี 2025 แนวทางหลักคือสูตร TLD (Tenofovir + Lamivudine + Dolutegravir) ซึ่งเป็นยามาตรฐานที่ใช้ในโครงการภาครัฐ เพราะมีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงน้อย และราคาเข้าถึงได้ง่าย ขณะที่ในภาคเอกชนยังมีสูตรอื่นที่ใช้กัน เช่น Biktarvy, Genvoya และ Symtuza ซึ่งมักถูกเลือกในกรณีที่ผู้ป่วยมีเงื่อนไขเฉพาะ เช่น ผลข้างเคียงจากยามาตรฐาน หรือปัญหาดื้อยา
ยาต้าน HIV เป็นการรักษาที่ต้องใช้ต่อเนื่องทุกวันตลอดชีวิต เหตุผลคือเชื้อไวรัสยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย แม้ปริมาณไวรัสในเลือดจะลดลงจนตรวจไม่พบ เชื้อบางส่วนยังคงซ่อนอยู่ในเซลล์ จึงไม่สามารถหยุดยาได้ หากหยุดยา ไวรัสจะกลับมาเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน
ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อ HIV ได้หมด แต่มีการพัฒนายาฉีดระยะยาวและงานวิจัยใหม่ ๆ ที่อาจทำให้การรักษาในอนาคตสะดวกขึ้น โดยไม่ต้องกินยาทุกวันเหมือนเดิม
แนวทางการรักษาปัจจุบันแนะนำให้ผู้ที่ตรวจพบเชื้อ HIV เริ่มยาต้านโดยเร็วที่สุด หลักฐานทางการแพทย์ชี้ว่าการเริ่มยาเร็วช่วยลดการทำลายภูมิคุ้มกัน เพิ่มโอกาสกดเชื้อได้ไว และป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
ในประเทศไทยมีนโยบาย Same-Day ART หมายถึงการเริ่มยาต้านในวันเดียวกับที่ทราบผลตรวจยืนยัน ซึ่งช่วยลดช่วงเวลาที่เชื้อทำลายร่างกาย และเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว
ยาต้าน HIV ส่วนใหญ่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการพัฒนาให้ผลข้างเคียงน้อยลงกว่าสมัยก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยาอาจพบอาการบางอย่างได้ โดยแบ่งเป็นระยะสั้นและระยะยาว
แพทย์มักเลือกสูตรยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย พร้อมติดตามอาการและตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อความปลอดภัย สถิติผลข้างเคียง
และหากรับประทานยาต้านไวรัสเป็นเวลา 6 เดือน ขึ้นไปแพทย์แนะนำให้ตรวจค่าการทำงานของตับ และการทำงานของไตเนื่องจากยาต้านไวรัสส่งผลต่อการทำงานของตับและไต
การดื้อยาต้าน HIV เกิดขึ้นเมื่อเชื้อไวรัสปรับตัวจนยาที่ใช้อยู่ไม่สามารถกดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหานี้มักสัมพันธ์กับการกินยาไม่สม่ำเสมอ เช่น ลืมยา กินไม่ตรงเวลา หรือหยุดยาเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
การป้องกันการดื้อยาที่ดีที่สุดคือ
หากตรวจพบการดื้อยา แพทย์จะพิจารณาเปลี่ยนสูตรยาใหม่เพื่อกดเชื้อให้ได้ผลต่อไป
U=U มาจากคำว่า Undetectable = Untransmittable หมายถึง หากผู้ติดเชื้อ HIV กินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอจนปริมาณไวรัสในเลือดต่ำกว่าระดับที่ตรวจพบได้ ก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ หลักฐานนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยขนาดใหญ่หลายการศึกษาในต่างประเทศ
นโยบายด้านสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ใช้แนวคิด U=U เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการตีตราผู้ติดเชื้อ และช่วยให้ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อใช้ชีวิตคู่และมีความสัมพันธ์ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
แม้ว่ายาทั้งสามกลุ่มจะเกี่ยวข้องกับเชื้อ HIV แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่ต่างกันอย่างชัดเจน
การใช้ยาทั้งสามแบบไม่สามารถแทนกันได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล
ผู้ที่ติดเชื้อ HIV และได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงกับคนทั่วไปได้ การกดไวรัสให้อยู่ในระดับตรวจไม่พบทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ
คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจึงเป็นผลโดยตรงจากการใช้ยาต้านอย่างสม่ำเสมอและการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
แม้ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อ HIV ได้หมด แต่การวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้การรักษาสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้แนวทางเหล่านี้ยังไม่สามารถใช้ได้ทั่วไป แต่ถือเป็นความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV ในอนาคต
ต้องกินยาต้านวันละกี่เม็ด?
ปัจจุบันนิยมใช้สูตรยารวมเม็ดเดียว (Single Tablet Regimen) กินวันละ 1 เม็ด แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้มากกว่า 1 เม็ด ขึ้นกับสูตรที่แพทย์เลือก
กินยาต้านแล้วตรวจไม่พบเชื้อ แปลว่าหายขาดหรือไม่?
ไม่ใช่ การตรวจไม่พบเชื้อหมายถึงปริมาณไวรัสต่ำกว่าระดับที่เครื่องตรวจจับได้ แต่เชื้อยังคงแฝงอยู่ในร่างกาย จึงต้องกินยาต่อเนื่องตลอดชีวิต
โอกาสดื้อยาต้านมีไหม?
มี หากกินยาไม่สม่ำเสมอ หยุดยาเอง หรือไม่ได้กินตามเวลา การป้องกันคือกินยาทุกวันตรงเวลาและติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
ติด HIV แล้วมีลูกได้หรือไม่?
สามารถมีลูกได้ หากควบคุมปริมาณไวรัสจนตรวจไม่พบและวางแผนร่วมกับแพทย์เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อสู่ลูก
ติด HIV เดินทางต่างประเทศได้ไหม?
สามารถเดินทางได้ในเกือบทุกประเทศ แต่บางประเทศยังมีข้อจำกัดในกรณีขอวีซ่าทำงานหรือพำนักระยะยาว
ยาต้าน HIV คือการรักษาที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ หากใช้ยาอย่างสม่ำเสมอจะสามารถกดเชื้อให้อยู่ในระดับตรวจไม่พบ (U=U) ลดโอกาสแพร่เชื้อ และช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความสัมพันธ์ การทำงาน หรือการวางแผนครอบครัว แม้ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ด้วยความก้าวหน้าของการแพทย์ อนาคตของการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV มีแนวโน้มที่ดียิ่งขึ้น
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้