Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ยาต้านไวรัส HIV แบบป้องกันและฉุกเฉิน คืออะไร รับได้ที่ไหน

ยาต้านไวรัส-HIV-คืออะไร-รวมทุกเรื่องที่คุณต้องรู้

การรักษา HIV ในปัจจุบันก้าวหน้าไปมากกว่าสมัยก่อน ยาต้านไวรัสหรือ ARV (Antiretroviral drugs) คือแนวทางมาตรฐานที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถกดปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน และใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนทั่วไป บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาต้าน HIV ตั้งแต่พื้นฐาน วิธีการรักษา ไปจนถึงสิทธิ์การเข้าถึงในประเทศไทย

ยาต้าน HIV (ARV) คืออะไร?

ยาต้าน HIV หรือ ARV (Antiretroviral drugs) คือยาที่ใช้ควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกาย ยากลุ่มนี้ไม่ได้ทำให้เชื้อหายขาด แต่ช่วยลดปริมาณไวรัสจนเหลือต่ำมากจนตรวจไม่พบในการตรวจเลือดตามมาตรฐาน เมื่อไวรัสอยู่ในระดับนี้ ระบบภูมิคุ้มกันจะฟื้นตัว ผู้ติดเชื้อจึงมีสุขภาพแข็งแรงและใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ในทางการแพทย์ มักใช้คำว่า ART (Antiretroviral Therapy) หมายถึง “การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี” ซึ่งเป็นวิธีหลักและได้รับการยอมรับทั่วโลก ทุกประเทศรวมถึงประเทศไทยใช้วิธีนี้เป็นแนวทางมาตรฐานในการรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HIV

ยาต้าน HIV ทำงานอย่างไร?

ยาต้าน HIV หรือ ARV ทำงานโดยขัดขวางวงจรการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสในร่างกาย แต่ละกลุ่มยามีจุดออกฤทธิ์ที่ต่างกัน เช่น ยาบางชนิดป้องกันไม่ให้ไวรัสสร้างสารพันธุกรรมใหม่ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งยับยั้งไม่ให้ไวรัสแทรกตัวในเซลล์เม็ดเลือดขาว

เมื่อใช้ยาร่วมกันหลายชนิดในสูตรเดียว จะช่วยกดเชื้อได้มีประสิทธิภาพสูง ลดโอกาสที่เชื้อจะดื้อยา และทำให้ปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนถึงระดับที่ตรวจไม่พบ

สูตรยาต้าน HIV ที่ใช้ในไทย (อัปเดต 2025)

การรักษา HIV ในปัจจุบันมักใช้สูตรยาที่ผสมยาหลายชนิดรวมไว้ในเม็ดเดียว เรียกว่า Single Tablet Regimen เพื่อให้ผู้ป่วยรับประทานได้สะดวกขึ้น และลดโอกาสลืมยา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อดื้อยา

ในประเทศไทย ปี 2025 แนวทางหลักคือสูตร TLD (Tenofovir + Lamivudine + Dolutegravir) ซึ่งเป็นยามาตรฐานที่ใช้ในโครงการภาครัฐ เพราะมีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงน้อย และราคาเข้าถึงได้ง่าย ขณะที่ในภาคเอกชนยังมีสูตรอื่นที่ใช้กัน เช่น Biktarvy, Genvoya และ Symtuza ซึ่งมักถูกเลือกในกรณีที่ผู้ป่วยมีเงื่อนไขเฉพาะ เช่น ผลข้างเคียงจากยามาตรฐาน หรือปัญหาดื้อยา

ต้องกินยาต้าน HIV ตลอดชีวิตไหม?

ยาต้าน HIV เป็นการรักษาที่ต้องใช้ต่อเนื่องทุกวันตลอดชีวิต เหตุผลคือเชื้อไวรัสยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย แม้ปริมาณไวรัสในเลือดจะลดลงจนตรวจไม่พบ เชื้อบางส่วนยังคงซ่อนอยู่ในเซลล์ จึงไม่สามารถหยุดยาได้ หากหยุดยา ไวรัสจะกลับมาเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน

ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อ HIV ได้หมด แต่มีการพัฒนายาฉีดระยะยาวและงานวิจัยใหม่ ๆ ที่อาจทำให้การรักษาในอนาคตสะดวกขึ้น โดยไม่ต้องกินยาทุกวันเหมือนเดิม

เริ่มยาต้านเมื่อไหร่ดีที่สุด? (Same-Day ART)

แนวทางการรักษาปัจจุบันแนะนำให้ผู้ที่ตรวจพบเชื้อ HIV เริ่มยาต้านโดยเร็วที่สุด หลักฐานทางการแพทย์ชี้ว่าการเริ่มยาเร็วช่วยลดการทำลายภูมิคุ้มกัน เพิ่มโอกาสกดเชื้อได้ไว และป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น

ในประเทศไทยมีนโยบาย Same-Day ART หมายถึงการเริ่มยาต้านในวันเดียวกับที่ทราบผลตรวจยืนยัน ซึ่งช่วยลดช่วงเวลาที่เชื้อทำลายร่างกาย และเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว

ผลข้างเคียงของยาต้าน HIV

ยาต้าน HIV ส่วนใหญ่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการพัฒนาให้ผลข้างเคียงน้อยลงกว่าสมัยก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยาอาจพบอาการบางอย่างได้ โดยแบ่งเป็นระยะสั้นและระยะยาว

  • ผลข้างเคียงระยะสั้น เช่น คลื่นไส้ เวียนหัว อ่อนเพลีย มักเกิดในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก และมักดีขึ้นเองเมื่อร่างกายปรับตัวได้
  • ผลข้างเคียงระยะยาว อาจเกี่ยวกับระบบไต กระดูก หรือระดับไขมันในเลือด ขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ใช้

แพทย์มักเลือกสูตรยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย พร้อมติดตามอาการและตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อความปลอดภัย สถิติผลข้างเคียง

  • Diarrhea (ท้องเสีย) 21-25%
  • Dizziness (เวียนศรีษะ) 21-25%
  • Headache (ปวดศีรษะ) 21-25%
  • Insomnia (นอนไม่หลับ) 25-25%
  • Rash (ผื่น) 21-25%
  • Asthenia (อ่อนแอ) 26-20%
  • Nausea (คลื่นไส้) 16-20%
  • Rhinitis (โรคจมูกอักเสบ) 16-20%
  • Abdominal pain (ปวดท้อง) 11-15%
  • Paresthesia (อาการชาในระบบประสาท) 11-15%

และหากรับประทานยาต้านไวรัสเป็นเวลา 6 เดือน ขึ้นไปแพทย์แนะนำให้ตรวจค่าการทำงานของตับ และการทำงานของไตเนื่องจากยาต้านไวรัสส่งผลต่อการทำงานของตับและไต

การดื้อยาต้าน HIV และวิธีป้องกัน

การดื้อยาต้าน HIV เกิดขึ้นเมื่อเชื้อไวรัสปรับตัวจนยาที่ใช้อยู่ไม่สามารถกดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหานี้มักสัมพันธ์กับการกินยาไม่สม่ำเสมอ เช่น ลืมยา กินไม่ตรงเวลา หรือหยุดยาเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์

การป้องกันการดื้อยาที่ดีที่สุดคือ

  • กินยาทุกวันตรงเวลา
  • ตรวจเลือดติดตามค่า CD4 และ Viral Load ตามนัด
  • ปรึกษาแพทย์ทันทีหากมีผลข้างเคียงที่ทำให้กินยาไม่ต่อเนื่อง

หากตรวจพบการดื้อยา แพทย์จะพิจารณาเปลี่ยนสูตรยาใหม่เพื่อกดเชื้อให้ได้ผลต่อไป

U=U: กินยาต้านแล้วไม่แพร่เชื้อจริงไหม?

U=U มาจากคำว่า Undetectable = Untransmittable หมายถึง หากผู้ติดเชื้อ HIV กินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอจนปริมาณไวรัสในเลือดต่ำกว่าระดับที่ตรวจพบได้ ก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ หลักฐานนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยขนาดใหญ่หลายการศึกษาในต่างประเทศ

นโยบายด้านสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ใช้แนวคิด U=U เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการตีตราผู้ติดเชื้อ และช่วยให้ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อใช้ชีวิตคู่และมีความสัมพันธ์ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

ยาต้าน HIV ต่างจาก PrEP และ PEP อย่างไร

แม้ว่ายาทั้งสามกลุ่มจะเกี่ยวข้องกับเชื้อ HIV แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่ต่างกันอย่างชัดเจน

  • ยาต้าน HIV (ARV / ART): ใช้สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแล้ว เป้าหมายคือกดปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ เพื่อป้องกันการทำลายภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงแพร่เชื้อ
  • PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis): ยาที่ใช้ในคนที่ยังไม่ติดเชื้อ แต่มีความเสี่ยงสูง โดยกินก่อนมีพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • PEP (Post-Exposure Prophylaxis): ยาสำหรับคนที่เพิ่งมีเหตุการณ์เสี่ยง เช่น ถุงยางแตก หรือถูกเข็มตำ ต้องเริ่มภายใน 72 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ และกินต่อเนื่อง 28 วัน

การใช้ยาทั้งสามแบบไม่สามารถแทนกันได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล

เมื่อใช้ยาต้าน HIV

ผู้ที่ติดเชื้อ HIV และได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงกับคนทั่วไปได้ การกดไวรัสให้อยู่ในระดับตรวจไม่พบทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ

  • การทำงานและการเรียน: ผู้ติดเชื้อสามารถทำงาน เรียนหนังสือ และประกอบอาชีพได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป
  • ความสัมพันธ์และการมีลูก: หากปริมาณไวรัสในเลือดตรวจไม่พบ โอกาสแพร่เชื้อไปยังคู่ครองหรือบุตรจะต่ำมาก และสามารถวางแผนการมีบุตรร่วมกับแพทย์ได้อย่างปลอดภัย
  • การเดินทางต่างประเทศ: ส่วนใหญ่ไม่เป็นอุปสรรค ยกเว้นบางประเทศที่ยังมีข้อจำกัดเรื่องการขอวีซ่าระยะยาว

คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจึงเป็นผลโดยตรงจากการใช้ยาต้านอย่างสม่ำเสมอและการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

อนาคตการรักษา HIV

แม้ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อ HIV ได้หมด แต่การวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้การรักษาสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ยาฉีดระยะยาว (Long-acting ART): เช่น Cabotegravir หรือ Lenacapavir ที่ใช้เป็นเข็มฉีดทุก 1–6 เดือน แทนการกินยาทุกวัน
  • การบำบัดทางพันธุกรรม (Gene Therapy): แนวทางที่มุ่งแก้ไขยีนของเซลล์เพื่อกำจัดไวรัสในระดับรากฐาน ยังอยู่ในขั้นทดลอง
  • วัคซีนป้องกันหรือรักษา HIV: มีการทดสอบทางคลินิกในหลายประเทศ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อ

แม้แนวทางเหล่านี้ยังไม่สามารถใช้ได้ทั่วไป แต่ถือเป็นความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV ในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ต้องกินยาต้านวันละกี่เม็ด?
ปัจจุบันนิยมใช้สูตรยารวมเม็ดเดียว (Single Tablet Regimen) กินวันละ 1 เม็ด แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้มากกว่า 1 เม็ด ขึ้นกับสูตรที่แพทย์เลือก

กินยาต้านแล้วตรวจไม่พบเชื้อ แปลว่าหายขาดหรือไม่?
ไม่ใช่ การตรวจไม่พบเชื้อหมายถึงปริมาณไวรัสต่ำกว่าระดับที่เครื่องตรวจจับได้ แต่เชื้อยังคงแฝงอยู่ในร่างกาย จึงต้องกินยาต่อเนื่องตลอดชีวิต

โอกาสดื้อยาต้านมีไหม?
มี หากกินยาไม่สม่ำเสมอ หยุดยาเอง หรือไม่ได้กินตามเวลา การป้องกันคือกินยาทุกวันตรงเวลาและติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

ติด HIV แล้วมีลูกได้หรือไม่?
สามารถมีลูกได้ หากควบคุมปริมาณไวรัสจนตรวจไม่พบและวางแผนร่วมกับแพทย์เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อสู่ลูก

ติด HIV เดินทางต่างประเทศได้ไหม?
สามารถเดินทางได้ในเกือบทุกประเทศ แต่บางประเทศยังมีข้อจำกัดในกรณีขอวีซ่าทำงานหรือพำนักระยะยาว

บทสรุป

ยาต้าน HIV คือการรักษาที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ หากใช้ยาอย่างสม่ำเสมอจะสามารถกดเชื้อให้อยู่ในระดับตรวจไม่พบ (U=U) ลดโอกาสแพร่เชื้อ และช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความสัมพันธ์ การทำงาน หรือการวางแผนครอบครัว แม้ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ด้วยความก้าวหน้าของการแพทย์ อนาคตของการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV มีแนวโน้มที่ดียิ่งขึ้น

แหล่งอ้างอิง

  1. World Health Organization (WHO). HIV treatment and care.
  2. U.S. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Treatment Overview.
  3. Department of Disease Control, Ministry of Public Health Thailand. แนวทางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี (Guideline).
  4. IAS – International AIDS Society. Long-acting ART and HIV cure research.
icon email