Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

แบคทีเรียล วาไจโนซิส คืออะไร? อันตรายไหม เสี่ยงโรคอะไรบ้าง

แบคทีเรียล วาไจโนซิส (Bacterial Vaginosis – BV) คือภาวะที่ผู้หญิงจำนวนมากอาจกำลังเผชิญอยู่โดยไม่รู้ตัว เพราะอาการมักไม่รุนแรงหรือคล้ายตกขาวทั่วไป แต่หากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า BV คืออะไร สาเหตุเกิดจากอะไร อาการสังเกตได้อย่างไร และมีความเสี่ยงหรืออันตรายมากน้อยแค่ไหน โดยอธิบายจากแนวทางเวชปฏิบัติจริง เพื่อให้คุณรู้ทันและดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง

แบคทีเรียล วาไจโนซิส คืออะไร?

แบคทีเรียล วาไจโนซิส (Bacterial Vaginosis: BV) คือภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอด โดยปกติช่องคลอดจะมีแบคทีเรียที่ดี (เช่น แลคโตบาซิลลัส) คอยรักษาสภาพกรด-ด่าง (pH) ให้เหมาะสมและป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อที่ก่อโรค แต่ในกรณีที่จุลินทรีย์กลุ่มนี้ลดลงและเชื้อแบคทีเรียที่ไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นมากเกินไป จะทำให้เกิดภาวะ BV ขึ้น

แม้ว่า BV จะไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) โดยตรง แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด BV ได้

ภาวะนี้สามารถพบได้ในผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ และมักเกิดซ้ำได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี

สาเหตุของ BV เกิดจากอะไร?

แบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) เกิดจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ภายในช่องคลอด ซึ่งปกติแล้วช่องคลอดจะมีแบคทีเรียกลุ่มแลคโตบาซิลลัสเป็นกลุ่มหลัก ช่วยรักษาความเป็นกรดอ่อน ๆ (pH ประมาณ 3.8–4.5) และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียชนิดไม่ดีที่อาจก่อโรค แต่เมื่อปัจจัยบางอย่างทำให้แบคทีเรียชนิดดีลดลงและแบคทีเรียชนิดไม่ดีเพิ่มขึ้น จึงเกิดภาวะ BV

ปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิด BV ได้แก่

  • การสวนล้างช่องคลอดเป็นประจำ ซึ่งอาจรบกวนสมดุลจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • การใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมกับจุดซ่อนเร้น
  • สูบบุหรี่
  • การใส่กางเกงชั้นในหรือเสื้อผ้าที่ระบายอากาศไม่ดี

ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียว แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศของแบคทีเรียภายในช่องคลอดที่ซับซ้อน

อาการแบบไหนควรสงสัยว่าเป็น BV

ผู้หญิงที่มีภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการรุนแรง แต่จะมีสัญญาณบางอย่างที่สังเกตได้ โดยเฉพาะลักษณะของตกขาวและกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ

อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ตกขาวลักษณะใสบ้าง ขุ่นบ้าง สีออกเทา–ขาว
  • มีกลิ่นคาวหรือเปรี้ยวคล้ายกลิ่นปลา โดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์
  • อาจมีอาการแสบเล็กน้อยเวลาปัสสาวะ หรือเจ็บแสบระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการคันหรือบวมแดงบริเวณช่องคลอด

ลักษณะของอาการ BV จะแตกต่างจากการติดเชื้อราในช่องคลอดที่มักจะมีอาการคันอย่างเด่นชัด และตกขาวเป็นลักษณะก้อนหนืดคล้ายนมบูด

การสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น หากสงสัยว่าอาจมีภาวะ BV ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อตรวจอย่างถูกต้อง

BV อันตรายหรือไม่?

ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) โดยทั่วไปไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงในระยะสั้น แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาวได้ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจาก BV ได้แก่

  • การติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease: PID): เกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายจากช่องคลอดขึ้นไปยังมดลูกและท่อนำไข่
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs): เช่น HIV, หนองใน, ซิฟิลิส หรือเชื้อไวรัส HPV
  • ภาวะแทรกซ้อนในหญิงตั้งครรภ์: มีงานวิจัยพบว่า BV อาจเพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักทารกแรกคลอดต่ำกว่ามาตรฐาน
  • ภาวะมีบุตรยากในบางราย: โดยเฉพาะผู้ที่เป็น BV ซ้ำเรื้อรังและมีการติดเชื้อแทรกซ้อนในระบบสืบพันธุ์

การรู้เท่าทันอาการและรีบรับการรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่ม สามารถลดโอกาสของภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเกิด BV

ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบางอย่างที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด BV ได้มากกว่าปกติ

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่

  • ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ผู้ที่สวนล้างช่องคลอดบ่อย หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีสารเคมีรุนแรง
  • ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
  • ผู้ที่เคยมีประวัติเป็น BV มาก่อน
  • ผู้ที่ใส่กางเกงในหรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น อับชื้น ไม่ระบายอากาศ

แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ แต่การเกิด BV ไม่ใช่ผลโดยตรงจากพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับสมดุลจุลินทรีย์ภายในร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงการตำหนิตัวเองหรือรู้สึกผิดเมื่อพบว่าตนเองมีอาการ

ตรวจหา BV

การตรวจหาแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) ควรทำโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แม่นยำ และสามารถแยกแยะระหว่าง BV กับโรคหรือภาวะอื่นที่มีอาการคล้ายกันได้ เช่น การติดเชื้อราในช่องคลอด หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด

ขั้นตอนที่แพทย์อาจใช้ในการวินิจฉัย BV มีดังนี้

  • การสอบถามประวัติอาการและพฤติกรรมเสี่ยง: เช่น ลักษณะตกขาว, กลิ่น, การมีเพศสัมพันธ์ หรือการสวนล้างช่องคลอด
  • การตรวจภายในโดยใช้เครื่องมือ (Speculum): เพื่อตรวจลักษณะของตกขาวและสภาพเยื่อบุภายในช่องคลอด
  • การเก็บตัวอย่างตกขาว (Vaginal Swab): นำไปตรวจค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) และส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์ที่เรียกว่า clue cells ซึ่งเป็นสัญญาณเฉพาะของ BV
  • การตรวจด้วยชุดทดสอบ (BV test kit): บางคลินิกอาจมีอุปกรณ์ rapid test ที่ให้ผลเบื้องต้นในไม่กี่นาที

การวินิจฉัย BV ไม่เจ็บ ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ-อาหาร และสามารถตรวจได้ในวันเดียวกับที่มีอาการ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน

วิธีรักษา BV ต้องทำยังไง?

การรักษาแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและอาการของแต่ละบุคคล โดยทั่วไป BV สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ดีหากได้รับการดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ

แนวทางการรักษา BV ที่นิยมใช้ ได้แก่

  • ยาปฏิชีวนะชนิดกิน: เช่น เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) หรือคลินดามัยซิน (Clindamycin) มักใช้ต่อเนื่อง 5–7 วัน
  • ยาสอดช่องคลอดหรือเจลรักษาเฉพาะที่: ใช้ในกรณีที่ต้องการลดผลข้างเคียงจากยากิน หรือใช้ควบคู่ในกรณีเป็นซ้ำบ่อย
  • การปรับพฤติกรรมร่วม: เช่น งดการสวนล้างช่องคลอด งดเพศสัมพันธ์ในช่วงรักษา ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  • การเสริมจุลินทรีย์ดี (Probiotic): อาจใช้ร่วมในการฟื้นฟูสมดุลจุลชีพ แต่ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อน

ไม่ควรซื้อยารับประทานหรือใช้ยาสอดเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจทำให้อาการไม่ดีขึ้น หรือรบกวนสมดุลในช่องคลอดเพิ่มขึ้นได้

ถ้าไม่รักษา BV อันตรายแค่ไหน?

ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) แม้จะไม่ใช่โรคที่รุนแรงในระยะสั้น แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจาก BV ที่ไม่ได้รับการรักษา ได้แก่

  • การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease – PID): เชื้อแบคทีเรียจากช่องคลอดอาจลุกลามเข้าสู่มดลูกและท่อนำไข่ ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง และเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก
  • เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs): เช่น HIV, หนองใน หรือซิฟิลิส เนื่องจากเยื่อบุช่องคลอดอักเสบง่ายขึ้น
  • ภาวะแทรกซ้อนในหญิงตั้งครรภ์: เช่น คลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักตัวทารกต่ำกว่ามาตรฐาน
  • ภาวะตกขาวผิดปกติเรื้อรัง: ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพชีวิต ความมั่นใจ และความสัมพันธ์ส่วนตัว

แม้ว่า BV จะไม่ใช่โรคติดต่อโดยตรง แต่การรักษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันผลกระทบเหล่านี้ในระยะยาว

วิธีป้องกัน BV ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

แม้ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็มีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำได้ในบางราย โดยเฉพาะหากปัจจัยเสี่ยงเดิมยังคงอยู่ การปรับพฤติกรรมร่วมกับการดูแลจุดซ่อนเร้นอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ

คำแนะนำเพื่อป้องกัน BV กลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด หรือใช้น้ำยา/สบู่ที่มีน้ำหอมกับบริเวณจุดซ่อนเร้น
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับธรรมชาติของช่องคลอด (ประมาณ 3.8–4.5)
  • สวมใส่กางเกงชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงผ้ารัดแน่นหรืออับชื้น
  • ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
  • หมั่นล้างมือก่อนสัมผัสบริเวณจุดซ่อนเร้น
  • รับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติก เช่น โยเกิร์ต หรือตามคำแนะนำของแพทย์
  • หากเคยมี BV บ่อยครั้ง ควรพบแพทย์เพื่อติดตามและประเมินแนวทางป้องกันในระยะยาว

BV กับการตั้งครรภ์ มีผลอย่างไร?

ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) อาจดูเป็นเรื่องเล็กในผู้หญิงทั่วไป แต่ในหญิงตั้งครรภ์ BV ถือเป็นภาวะที่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ได้

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก BV ระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่

  • คลอดก่อนกำหนด (Preterm birth): การติดเชื้อในช่องคลอดที่ไม่ได้รับการรักษา อาจเพิ่มความเสี่ยงให้มดลูกบีบตัวก่อนกำหนด
  • ภาวะน้ำคร่ำน้อยผิดปกติ: ซึ่งอาจมีผลต่อการพัฒนาของทารก
  • น้ำหนักทารกแรกคลอดต่ำกว่ามาตรฐาน: จากการที่ร่างกายมารดาอักเสบเรื้อรัง
  • การติดเชื้อหลังคลอด: มารดาที่มี BV ขณะคลอดมีโอกาสเกิดการติดเชื้อในมดลูกหรือโพรงมดลูกได้มากขึ้น

แม้ BV จะสามารถรักษาได้อย่างปลอดภัยในช่วงตั้งครรภ์ด้วยยาที่ได้รับการรับรอง แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของสูตินรีแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อยามารับประทานหรือใช้เองโดยเด็ดขาด

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV)

Q: BV เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
A: ไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่พฤติกรรมทางเพศบางอย่าง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด BV

Q: BV หายเองได้ไหม?
A: ในบางกรณีอาจหายเอง แต่ส่วนใหญ่มักต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อให้หายขาดและป้องกันการเกิดซ้ำ

Q: สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ไหมถ้าเป็น BV?
A: ควรหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์ระหว่างที่มีอาการหรืออยู่ระหว่างการรักษา เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงหรือเกิดการติดเชื้อร่วมอื่นได้

Q: BV เกิดจากการล้างไม่สะอาดจริงหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่ เพราะ BV มักเกิดจากการรบกวนสมดุลแบคทีเรียตามธรรมชาติ การสวนล้างหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่แรงเกินไปต่างหากที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก

Q: ถ้าเคยเป็น BV แล้ว จะกลับมาเป็นอีกไหม?
A: มีโอกาสเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะถ้าปัจจัยเสี่ยงเดิมยังคงอยู่ เช่น การสวนล้างช่องคลอด การไม่ใช้ถุงยาง หรือไม่ได้ฟื้นฟูจุลินทรีย์ที่ดีในช่องคลอด

บทสรุป

แม้ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) จะไม่ใช่โรคร้ายแรงในทันที แต่ก็ไม่ควรละเลย เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่กระทบทั้งสุขภาพร่างกายและคุณภาพชีวิตได้ การสังเกตอาการเบื้องต้น เข้ารับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการเกิดซ้ำหรือโรคที่อาจตามมา และที่สำคัญคือไม่ควรรู้สึกอายหรือกลัวที่จะเข้ารับการดูแลจากแพทย์ เพราะสุขภาพจุดซ่อนเร้นคือสุขภาพของคุณทั้งคน

icon email