แบคทีเรียล วาไจโนซิส (Bacterial Vaginosis – BV) คือภาวะที่ผู้หญิงจำนวนมากอาจกำลังเผชิญอยู่โดยไม่รู้ตัว เพราะอาการมักไม่รุนแรงหรือคล้ายตกขาวทั่วไป แต่หากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า BV คืออะไร สาเหตุเกิดจากอะไร อาการสังเกตได้อย่างไร และมีความเสี่ยงหรืออันตรายมากน้อยแค่ไหน โดยอธิบายจากแนวทางเวชปฏิบัติจริง เพื่อให้คุณรู้ทันและดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง
แบคทีเรียล วาไจโนซิส (Bacterial Vaginosis: BV) คือภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอด โดยปกติช่องคลอดจะมีแบคทีเรียที่ดี (เช่น แลคโตบาซิลลัส) คอยรักษาสภาพกรด-ด่าง (pH) ให้เหมาะสมและป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อที่ก่อโรค แต่ในกรณีที่จุลินทรีย์กลุ่มนี้ลดลงและเชื้อแบคทีเรียที่ไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นมากเกินไป จะทำให้เกิดภาวะ BV ขึ้น
แม้ว่า BV จะไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) โดยตรง แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด BV ได้
ภาวะนี้สามารถพบได้ในผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ และมักเกิดซ้ำได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี
แบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) เกิดจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ภายในช่องคลอด ซึ่งปกติแล้วช่องคลอดจะมีแบคทีเรียกลุ่มแลคโตบาซิลลัสเป็นกลุ่มหลัก ช่วยรักษาความเป็นกรดอ่อน ๆ (pH ประมาณ 3.8–4.5) และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียชนิดไม่ดีที่อาจก่อโรค แต่เมื่อปัจจัยบางอย่างทำให้แบคทีเรียชนิดดีลดลงและแบคทีเรียชนิดไม่ดีเพิ่มขึ้น จึงเกิดภาวะ BV
ปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิด BV ได้แก่
ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียว แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศของแบคทีเรียภายในช่องคลอดที่ซับซ้อน
ผู้หญิงที่มีภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการรุนแรง แต่จะมีสัญญาณบางอย่างที่สังเกตได้ โดยเฉพาะลักษณะของตกขาวและกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
ลักษณะของอาการ BV จะแตกต่างจากการติดเชื้อราในช่องคลอดที่มักจะมีอาการคันอย่างเด่นชัด และตกขาวเป็นลักษณะก้อนหนืดคล้ายนมบูด
การสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น หากสงสัยว่าอาจมีภาวะ BV ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อตรวจอย่างถูกต้อง
ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) โดยทั่วไปไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงในระยะสั้น แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาวได้ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจาก BV ได้แก่
การรู้เท่าทันอาการและรีบรับการรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่ม สามารถลดโอกาสของภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้
ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบางอย่างที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด BV ได้มากกว่าปกติ
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่
แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ แต่การเกิด BV ไม่ใช่ผลโดยตรงจากพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับสมดุลจุลินทรีย์ภายในร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงการตำหนิตัวเองหรือรู้สึกผิดเมื่อพบว่าตนเองมีอาการ
การตรวจหาแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) ควรทำโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แม่นยำ และสามารถแยกแยะระหว่าง BV กับโรคหรือภาวะอื่นที่มีอาการคล้ายกันได้ เช่น การติดเชื้อราในช่องคลอด หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด
ขั้นตอนที่แพทย์อาจใช้ในการวินิจฉัย BV มีดังนี้
การวินิจฉัย BV ไม่เจ็บ ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ-อาหาร และสามารถตรวจได้ในวันเดียวกับที่มีอาการ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน
การรักษาแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและอาการของแต่ละบุคคล โดยทั่วไป BV สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ดีหากได้รับการดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ
แนวทางการรักษา BV ที่นิยมใช้ ได้แก่
ไม่ควรซื้อยารับประทานหรือใช้ยาสอดเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจทำให้อาการไม่ดีขึ้น หรือรบกวนสมดุลในช่องคลอดเพิ่มขึ้นได้
ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) แม้จะไม่ใช่โรคที่รุนแรงในระยะสั้น แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจาก BV ที่ไม่ได้รับการรักษา ได้แก่
แม้ว่า BV จะไม่ใช่โรคติดต่อโดยตรง แต่การรักษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันผลกระทบเหล่านี้ในระยะยาว
แม้ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็มีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำได้ในบางราย โดยเฉพาะหากปัจจัยเสี่ยงเดิมยังคงอยู่ การปรับพฤติกรรมร่วมกับการดูแลจุดซ่อนเร้นอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ
คำแนะนำเพื่อป้องกัน BV กลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่
ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) อาจดูเป็นเรื่องเล็กในผู้หญิงทั่วไป แต่ในหญิงตั้งครรภ์ BV ถือเป็นภาวะที่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ได้
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก BV ระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่
แม้ BV จะสามารถรักษาได้อย่างปลอดภัยในช่วงตั้งครรภ์ด้วยยาที่ได้รับการรับรอง แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของสูตินรีแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อยามารับประทานหรือใช้เองโดยเด็ดขาด
Q: BV เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
A: ไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่พฤติกรรมทางเพศบางอย่าง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด BV
Q: BV หายเองได้ไหม?
A: ในบางกรณีอาจหายเอง แต่ส่วนใหญ่มักต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อให้หายขาดและป้องกันการเกิดซ้ำ
Q: สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ไหมถ้าเป็น BV?
A: ควรหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์ระหว่างที่มีอาการหรืออยู่ระหว่างการรักษา เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงหรือเกิดการติดเชื้อร่วมอื่นได้
Q: BV เกิดจากการล้างไม่สะอาดจริงหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่ เพราะ BV มักเกิดจากการรบกวนสมดุลแบคทีเรียตามธรรมชาติ การสวนล้างหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่แรงเกินไปต่างหากที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก
Q: ถ้าเคยเป็น BV แล้ว จะกลับมาเป็นอีกไหม?
A: มีโอกาสเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะถ้าปัจจัยเสี่ยงเดิมยังคงอยู่ เช่น การสวนล้างช่องคลอด การไม่ใช้ถุงยาง หรือไม่ได้ฟื้นฟูจุลินทรีย์ที่ดีในช่องคลอด
แม้ภาวะแบคทีเรียล วาไจโนซิส (BV) จะไม่ใช่โรคร้ายแรงในทันที แต่ก็ไม่ควรละเลย เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่กระทบทั้งสุขภาพร่างกายและคุณภาพชีวิตได้ การสังเกตอาการเบื้องต้น เข้ารับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการเกิดซ้ำหรือโรคที่อาจตามมา และที่สำคัญคือไม่ควรรู้สึกอายหรือกลัวที่จะเข้ารับการดูแลจากแพทย์ เพราะสุขภาพจุดซ่อนเร้นคือสุขภาพของคุณทั้งคน
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้