Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

แผลริมแข็ง คืออะไร? หายเองได้ไหม? รักษาแบบไหนเร็วสุด!

โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยหนึ่งในสัญญาณแรกที่สำคัญที่สุดของโรคนี้คือ “แผลริมแข็ง” ซึ่งมักจะไม่เจ็บและสามารถหายไปได้เอง ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ การทำความเข้าใจแผลริมแข็งอย่างละเอียด ทั้งในแง่ของลักษณะ อาการ วิธีการตรวจวินิจฉัย และการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับแผลริมแข็ง ตั้งแต่สาเหตุที่มา อาการแสดง การวินิจฉัยทางการแพทย์ วิธีการรักษา รวมถึงแนวทางในการป้องกันและการดูแลหลังการรักษา โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

แผลริมแข็ง คืออะไร?

แผลริมแข็ง (Chancre) คือแผลลักษณะไม่เจ็บที่เกิดขึ้นในระยะแรกของโรคซิฟิลิส (Primary Syphilis) โดยจะปรากฏขึ้นหลังจากติดเชื้อประมาณ 2–4 สัปดาห์ จุดสังเกตที่สำคัญคือ แผลจะมีขอบแข็ง ผิวเรียบ ไม่มีหนอง และไม่เจ็บ

ตำแหน่งที่พบบ่อย

  • อวัยวะเพศ (ทั้งเพศชายและเพศหญิง)
  • ริมฝีปากหรือภายในช่องปาก
  • รอบทวารหนัก

ลักษณะทางคลินิก

  • ขนาดแผลประมาณ 1–2 เซนติเมตร
  • ไม่มีหนอง ไม่มีกลิ่น และไม่เลือดออก
  • แผลสามารถหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา

หมายเหตุ: แม้ว่าแผลจะหายไปเอง แต่เชื้อซิฟิลิสยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถลุกลามเข้าสู่ระยะถัดไปได้โดยไม่มีอาการใด ๆ

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นแผลริมแข็ง?

พฤติกรรมหรือกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง

  • ผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศโดยไม่ใช้ถุงยาง
  • มีคู่นอนหลายคน หรือติดต่อคู่นอนใหม่บ่อยครั้ง
  • ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม หนองใน
  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
  • ผู้มักมี เพศสัมพันธ์โดยไม่รับการตรวจสุขภาพล่วงหน้า

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ

  • มีประวัติผู้ติดเชื้อในเครือข่ายสังคมหรือชุมชน
  • ผู้ที่มีลักษณะทางสังคม เช่น การใช้บริการทางเพศ หรือท่องราตรี
  • พื้นที่หรือสถานที่ที่พบการระบาดของซิฟิลิสสูง

หมายเหตุ: การเป็นคนในกลุ่มเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าสนามเสี่ยงจะติดเชื้อ แต่ควรได้รับการตรวจและติดตามสุขภาพอย่างเหมาะสม

แผลริมแข็งเกิดที่ไหนได้บ้าง?

ตำแหน่งที่แผลริมแข็งมักปรากฏ

แผลริมแข็งสามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่มีการสัมผัสกับเชื้อซิฟิลิสโดยตรง โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวหนังหรือเยื่อบุชั้นนอกสัมผัสกันระหว่างกิจกรรมทางเพศ

  • อวัยวะเพศชาย: ที่หนังหุ้มปลาย อวัยวะเพศ หรือลำตัวขององคชาติ
  • อวัยวะเพศหญิง: ที่ปากช่องคลอด แคมเล็ก หรือปากมดลูก
  • ริมฝีปากและช่องปาก: จากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (oral sex)
  • รอบทวารหนักหรือในทวาร: จากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • นิ้วมือหรือส่วนอื่น: ในกรณีสัมผัสแผลโดยตรง

หมายเหตุ: แผลริมแข็งมักเกิดเพียง 1 ตำแหน่ง แต่อาจพบได้มากกว่า 1 จุดในบางราย โดยเฉพาะในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ลักษณะสำคัญของแผลริมแข็งเป็นอย่างไร?

ลักษณะทางกายภาพของแผลริมแข็ง

แผลริมแข็งมีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง ซึ่งช่วยให้แยกออกจากแผลชนิดอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น หากสังเกตโดยผู้เชี่ยวชาญ

  • ขอบแผลหนาและแข็งเมื่อคลำ
  • ผิวแผลเรียบ แห้ง สีแดงคล้ำหรือสีเทาอ่อน
  • ไม่มีหนองหรือของเหลว
  • ไม่เจ็บหรือระคายเคือง
  • อาจมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโต ร่วมด้วย (ไม่เจ็บ)

ขนาดและจำนวนแผล

  • โดยทั่วไปมีเพียงแผลเดียว
  • ขนาดประมาณ 1–2 เซนติเมตร แต่บางรายอาจใหญ่กว่า
  • รูปร่างวงรีหรือกลม

หมายเหตุ: ลักษณะดังกล่าวไม่สามารถใช้วินิจฉัยด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียว ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์

แผลริมแข็ง vs แผลเริม ต่างกันยังไง?

แผลริมแข็งและแผลจากเริม (Herpes) มักทำให้หลายคนสับสน เนื่องจากมักปรากฏในบริเวณใกล้เคียงกันและเกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม แผลทั้งสองมีความแตกต่างที่ชัดเจนทั้งในด้านอาการ ลักษณะ และการดำเนินโรค

ตารางเปรียบเทียบแผลริมแข็ง vs แผลเริม

ลักษณะ

แผลริมแข็ง

แผลเริม (Herpes)

ลักษณะผิวแผล

แผลเดียว ขอบแข็ง ผิวเรียบ

หลายตุ่มใส กลายเป็นแผลตื้น

ความรู้สึกขณะเป็นแผล

ไม่เจ็บ

แสบ คัน หรือปวด

ของเหลวในแผล

ไม่มีหนอง ไม่มีน้ำ

มีตุ่มใสแตกออกเป็นน้ำใส

จำนวนแผล

มักเป็นแผลเดี่ยว

มักเกิดหลายจุด

ระยะเวลาการหาย

3–6 สัปดาห์

1–2 สัปดาห์

สาเหตุ

เชื้อ Treponema pallidum (ซิฟิลิส)

เชื้อไวรัส Herpes simplex (HSV-1,2)

หมายเหตุ: การวินิจฉัยที่แม่นยำควรอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่ควรอิงเพียงจากลักษณะของแผล

แผลริมแข็งหายเองได้ไหม?

การหายของแผลริมแข็งโดยไม่รักษา

แผลริมแข็งสามารถหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า “โรคหายแล้ว” แต่ในความเป็นจริง เชื้อซิฟิลิสยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถเข้าสู่ระยะต่อไปได้โดยไม่มีอาการใด ๆ

ความเข้าใจผิดที่ควรระวัง

  • แผลหาย ≠ โรคหาย
  • ซิฟิลิสยังคงแพร่เชื้อได้แม้แผลจะหาย
  • หากไม่รักษา เชื้อสามารถลุกลามไปยังระบบประสาท หัวใจ หรืออวัยวะอื่น
  • ระยะที่สองของซิฟิลิสอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่รุนแรงกว่าเดิม

หมายเหตุ: หากพบแผลลักษณะคล้ายแผลริมแข็ง ควรรีบพบแพทย์และตรวจเลือด ไม่ควรรอให้แผลหายเอง

แผลริมแข็ง ติดต่อได้ทางไหน? ต้องแจ้งคู่นอนหรือไม่?

แผลริมแข็งสามารถแพร่เชื้อซิฟิลิสไปยังผู้อื่นได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแผลในขณะมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก

  • สัมผัสแผลโดยตรงในขณะมีเพศสัมพันธ์ (penetrative หรือ oral sex)
  • การใช้ของร่วมกันที่ปนเปื้อนเชื้อ (เช่น ของเล่นทางเพศ)
  • แผลริมแข็งที่ปากสามารถแพร่เชื้อผ่านการจูบได้ หากมีแผลเปิด

หมายเหตุ: ซิฟิลิสไม่แพร่ผ่านการใช้ช้อนส้อม ห้องน้ำ หรือการจับมือ

จำเป็นต้องแจ้งคู่นอนหรือไม่?

  • ควรแจ้งคู่นอนที่มีความเสี่ยงร่วม (ภายใน 90 วันก่อนแผลปรากฏ)
  • เพื่อให้คู่นอนสามารถเข้ารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
  • ช่วยป้องกันการติดเชื้อกลับ (reinfection)
  • การไม่แจ้งอาจนำไปสู่การแพร่เชื้อต่อโดยไม่รู้ตัว

กรณีติดซ้ำ แผลริมแข็งเป็นอีกได้ไหม?

การติดเชื้อซิฟิลิสซ้ำหลังจากเคยรักษา

การติดเชื้อซิฟิลิสสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ แม้เคยรักษาและแผลจะหายแล้วก็ตาม เนื่องจากร่างกายไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อ Treponema pallidum ผู้ที่เคยเป็นมาแล้วจึงสามารถติดเชื้อใหม่ได้ หากมีพฤติกรรมเสี่ยง

ปัจจัยที่ทำให้ติดซ้ำบ่อย

  • มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ได้รับการรักษา
  • ไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • ไม่มาตรวจติดตามซ้ำตามแพทย์นัด
  • ไม่มีอาการในระยะติดซ้ำ ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดแล้ว

หมายเหตุ: ผู้ที่เคยเป็นซิฟิลิสควรตรวจเลือดซ้ำเป็นระยะ โดยเฉพาะหากมีพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อให้สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

วิธีตรวจวินิจฉัยแผลริมแข็ง

ทำไมต้องตรวจ แม้แผลจะหายเองได้

แม้ว่าแผลริมแข็งจะสามารถหายได้เองในบางกรณี แต่การไม่เข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องอาจทำให้โรคดำเนินต่อไปโดยไม่รู้ตัว และอาจลุกลามเข้าสู่ระยะที่รุนแรงกว่าเดิม

วิธีตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใช้จริง

  • ตรวจเชื้อจากแผลโดยตรง (Dark-field microscopy): ใช้กล้องจุลทรรศน์ดูเชื้อ Treponema pallidum จากของเหลวในแผล
  • การตรวจเลือด (Serologic tests):
    • Non-treponemal test: เช่น RPR, VDRL ใช้ประเมินระดับเชื้อ
    • Treponemal test: เช่น TPHA, FTA-ABS ยืนยันการติดเชื้อ
  • ตรวจน้ำไขสันหลัง (เฉพาะกรณี): ใช้ในรายที่สงสัยว่าซิฟิลิสลุกลามเข้าระบบประสาท

ข้อควรรู้ก่อนตรวจ

  • แนะนำให้ตรวจทั้งคู่ตนเองและคู่นอน
  • การตรวจเลือดควรทำซ้ำตามระยะที่แพทย์แนะนำ
  • บางการตรวจอาจให้ผลลบหลอก หากทำเร็วเกินไปหลังรับเชื้อ

วิธีรักษาแผลริมแข็งเร็วและได้ผลที่สุดคืออะไร?

แนวทางการรักษาที่ได้ผล

แผลริมแข็งสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับยาที่เหมาะสมและเร็วพอ การรักษาในระยะนี้ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อและการลุกลามของโรค

  • ยาหลัก:
    • Benzathine Penicillin G ฉีดเข้ากล้ามเนื้อขนาด 2.4 ล้านยูนิต เพียงครั้งเดียว (สำหรับซิฟิลิสระยะแรก)
  • ทางเลือกอื่นกรณีแพ้ยาเพนิซิลลิน:
    • Doxycycline 100 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 14 วัน
    • Tetracycline หรือ Azithromycin (ตามดุลยพินิจแพทย์)

ข้อควรปฏิบัติขณะรักษา

  • งดมีเพศสัมพันธ์ระหว่างรักษา และอย่างน้อย 7 วันหลังการรักษา
  • แจ้งคู่นอนให้มาตรวจและรับการรักษา
  • ตรวจเลือดติดตามผลตามนัดแพทย์

หมายเหตุ: ห้ามซื้อยารักษาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจใช้ยาไม่ถูกต้องหรือไม่ครบขนาด

คนแพ้เพนิซิลลินต้องรักษาอย่างไร?

แนวทางรักษาซิฟิลิสในผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน

สำหรับผู้ป่วยที่แพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin allergy) การรักษายังสามารถทำได้โดยใช้ยาทางเลือกอื่นภายใต้การดูแลของแพทย์ ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกัน หากใช้ถูกต้องและครบคอร์ส

  • Doxycycline 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน
  • Tetracycline 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน
  • Azithromycin 2 กรัม รับประทานครั้งเดียว (ใช้เฉพาะกรณีจำเป็น และแพทย์เห็นสมควรเท่านั้น)

กรณีแพ้ยาแบบรุนแรงหรือรักษายาก

  • อาจต้องทำ Desensitization (การให้ยาเพนิซิลลินในขนาดน้อย ๆ เพื่อสร้างความทน) ในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบ
  • จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดจากแพทย์

หมายเหตุ: ห้ามเลือกยารักษาเอง เนื่องจากอาจไม่เหมาะสมกับระยะของโรค หรือมีผลข้างเคียงอื่นที่ต้องควบคุม

ระยะของโรคซิฟิลิส: เริ่มจากแผลริมแข็งจนถึงภาวะแทรกซ้อน

การดำเนินโรคของซิฟิลิส แบ่งเป็น 4 ระยะหลัก

  1. ระยะแรก (Primary Syphilis):
    • เริ่มจากแผลริมแข็ง (chancre)
    • ปรากฏประมาณ 2–4 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ
    • แผลมักหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์
  2. ระยะที่สอง (Secondary Syphilis):
    • เกิดขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังแผลหาย
    • อาการ: ผื่นที่ฝ่ามือ/ฝ่าเท้า, ไข้ต่ำ, ต่อมน้ำเหลืองโต, ผมร่วงเป็นหย่อม
    • ยังสามารถแพร่เชื้อได้
  3. ระยะแฝง (Latent Syphilis):
    • ไม่มีอาการทางร่างกาย
    • อาจอยู่ได้นานหลายปี
    • ตรวจพบได้จากผลเลือดเท่านั้น
  4. ระยะสุดท้าย (Tertiary Syphilis):
    • เกิดหลังไม่ได้รับการรักษาหลายปี
    • ส่งผลต่อระบบประสาท, หัวใจ, หลอดเลือด หรือกระดูก
    • มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และเสียชีวิต

หมายเหตุ: การรักษาในระยะต้นสามารถป้องกันการเข้าสู่ระยะลุกลามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลังรักษาแล้ว ต้องดูแลหรือเฝ้าระวังอะไรบ้าง?

การดูแลหลังรักษาแผลริมแข็งและซิฟิลิส

แม้จะได้รับการรักษาแล้ว การติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อถูกกำจัดหมด และไม่มีการติดเชื้อซ้ำ

  • เข้ารับการตรวจเลือดซ้ำตามกำหนด (เช่น 3, 6 และ 12 เดือน)
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อใหม่
  • แจ้งคู่นอนทุกคนให้เข้ารับการตรวจพร้อมกัน
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ผื่น ต่อมน้ำเหลืองโต หรืออาการทางระบบประสาท
  • ตรวจสุขภาพประจำปีหากมีเพศสัมพันธ์ไม่แน่นอน

สิ่งที่ไม่ควรละเลย

  • ห้ามหยุดยาเองก่อนครบกำหนด (หากใช้ยารับประทาน)
  • หากผลเลือดยังบวกหลังครบกำหนด ต้องเข้ารับการประเมินซ้ำ
  • ในบางกรณีอาจต้องตรวจน้ำไขสันหลังเพิ่มเติม หากสงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน

วิธีป้องกันการกลับมาติดเชื้อแผลริมแข็งหรือซิฟิลิส

วิธีลดความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำ

หลังจากรักษาซิฟิลิสหรือแผลริมแข็งแล้ว การป้องกันไม่ให้กลับมาติดเชื้อใหม่ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะร่างกายไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ยังไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา
  • ตรวจเลือดหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทุกครั้งที่เปลี่ยนคู่นอน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกัน หรือทำความสะอาดก่อนใช้
  • พูดคุยเปิดใจกับคู่นอนเรื่องสุขภาพทางเพศและการตรวจโรค

การป้องกันในระดับสังคม

  • เข้ารับการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  • สนับสนุนการตรวจ STI แบบสมัครใจในสถานพยาบาลหรือชุมชน
  • ลดอคติต่อผู้ที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อเปิดโอกาสในการเข้ารับการรักษา

FAQ & คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับแผลริมแข็ง

Q: แผลริมแข็งเจ็บไหม?
A: โดยทั่วไปแผลริมแข็งไม่เจ็บ และไม่รู้สึกระคายเคือง ต่างจากแผลเริมที่มักเจ็บหรือแสบ

Q: ถ้าแผลหายเองได้ จำเป็นต้องรักษาหรือไม่?
A: จำเป็นต้องรักษา เพราะแม้แผลจะหายแต่เชื้อซิฟิลิสยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถลุกลามได้

Q: ฉีดยาครั้งเดียวเพียงพอหรือไม่?
A: สำหรับซิฟิลิสระยะแรก ฉีด Benzathine Penicillin G เพียงเข็มเดียวก็เพียงพอ แต่ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อน

Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าหายขาดแล้ว?
A: ต้องตรวจเลือดติดตามตามที่แพทย์นัด หากผลเลือดลดลงตามเกณฑ์แสดงว่าอาการดีขึ้น

Q: เคยเป็นแล้วจะเป็นอีกได้ไหม?
A: ได้ เพราะร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อ Treponema pallidum

Q: ต้องแจ้งคู่นอนเก่าทั้งหมดหรือไม่?
A: ควรแจ้งคู่นอนในช่วง 90 วันที่ผ่านมาเพื่อให้เข้ารับการตรวจและรักษาร่วมกัน

บทสรุป

แผลริมแข็งเป็นสัญญาณสำคัญของโรคซิฟิลิสระยะแรก ซึ่งหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ระยะที่รุนแรงมากขึ้น แม้ว่าแผลจะสามารถหายได้เอง แต่การละเลยไม่เข้ารับการรักษาย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว การตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เพียงแต่ช่วยให้หายขาด แต่ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นอีกด้วย

การดูแลตัวเองหลังการรักษา การติดตามผลเลือด รวมถึงการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการรับมือกับโรคนี้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

icon email