โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยหนึ่งในสัญญาณแรกที่สำคัญที่สุดของโรคนี้คือ “แผลริมแข็ง” ซึ่งมักจะไม่เจ็บและสามารถหายไปได้เอง ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ การทำความเข้าใจแผลริมแข็งอย่างละเอียด ทั้งในแง่ของลักษณะ อาการ วิธีการตรวจวินิจฉัย และการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับแผลริมแข็ง ตั้งแต่สาเหตุที่มา อาการแสดง การวินิจฉัยทางการแพทย์ วิธีการรักษา รวมถึงแนวทางในการป้องกันและการดูแลหลังการรักษา โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
แผลริมแข็ง คืออะไร?
แผลริมแข็ง (Chancre) คือแผลลักษณะไม่เจ็บที่เกิดขึ้นในระยะแรกของโรคซิฟิลิส (Primary Syphilis) โดยจะปรากฏขึ้นหลังจากติดเชื้อประมาณ 2–4 สัปดาห์ จุดสังเกตที่สำคัญคือ แผลจะมีขอบแข็ง ผิวเรียบ ไม่มีหนอง และไม่เจ็บ
ตำแหน่งที่พบบ่อย
- อวัยวะเพศ (ทั้งเพศชายและเพศหญิง)
- ริมฝีปากหรือภายในช่องปาก
- รอบทวารหนัก
ลักษณะทางคลินิก
- ขนาดแผลประมาณ 1–2 เซนติเมตร
- ไม่มีหนอง ไม่มีกลิ่น และไม่เลือดออก
- แผลสามารถหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา
หมายเหตุ: แม้ว่าแผลจะหายไปเอง แต่เชื้อซิฟิลิสยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถลุกลามเข้าสู่ระยะถัดไปได้โดยไม่มีอาการใด ๆ
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นแผลริมแข็ง?
พฤติกรรมหรือกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง
- ผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศโดยไม่ใช้ถุงยาง
- มีคู่นอนหลายคน หรือติดต่อคู่นอนใหม่บ่อยครั้ง
- ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม หนองใน
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
- ผู้มักมี เพศสัมพันธ์โดยไม่รับการตรวจสุขภาพล่วงหน้า
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
- มีประวัติผู้ติดเชื้อในเครือข่ายสังคมหรือชุมชน
- ผู้ที่มีลักษณะทางสังคม เช่น การใช้บริการทางเพศ หรือท่องราตรี
- พื้นที่หรือสถานที่ที่พบการระบาดของซิฟิลิสสูง
หมายเหตุ: การเป็นคนในกลุ่มเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าสนามเสี่ยงจะติดเชื้อ แต่ควรได้รับการตรวจและติดตามสุขภาพอย่างเหมาะสม
แผลริมแข็งเกิดที่ไหนได้บ้าง?
ตำแหน่งที่แผลริมแข็งมักปรากฏ
แผลริมแข็งสามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่มีการสัมผัสกับเชื้อซิฟิลิสโดยตรง โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวหนังหรือเยื่อบุชั้นนอกสัมผัสกันระหว่างกิจกรรมทางเพศ
- อวัยวะเพศชาย: ที่หนังหุ้มปลาย อวัยวะเพศ หรือลำตัวขององคชาติ
- อวัยวะเพศหญิง: ที่ปากช่องคลอด แคมเล็ก หรือปากมดลูก
- ริมฝีปากและช่องปาก: จากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (oral sex)
- รอบทวารหนักหรือในทวาร: จากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- นิ้วมือหรือส่วนอื่น: ในกรณีสัมผัสแผลโดยตรง
หมายเหตุ: แผลริมแข็งมักเกิดเพียง 1 ตำแหน่ง แต่อาจพบได้มากกว่า 1 จุดในบางราย โดยเฉพาะในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ลักษณะสำคัญของแผลริมแข็งเป็นอย่างไร?
ลักษณะทางกายภาพของแผลริมแข็ง
แผลริมแข็งมีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง ซึ่งช่วยให้แยกออกจากแผลชนิดอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น หากสังเกตโดยผู้เชี่ยวชาญ
- ขอบแผลหนาและแข็งเมื่อคลำ
- ผิวแผลเรียบ แห้ง สีแดงคล้ำหรือสีเทาอ่อน
- ไม่มีหนองหรือของเหลว
- ไม่เจ็บหรือระคายเคือง
- อาจมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโต ร่วมด้วย (ไม่เจ็บ)
ขนาดและจำนวนแผล
- โดยทั่วไปมีเพียงแผลเดียว
- ขนาดประมาณ 1–2 เซนติเมตร แต่บางรายอาจใหญ่กว่า
- รูปร่างวงรีหรือกลม
หมายเหตุ: ลักษณะดังกล่าวไม่สามารถใช้วินิจฉัยด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียว ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์
แผลริมแข็ง vs แผลเริม ต่างกันยังไง?
แผลริมแข็งและแผลจากเริม (Herpes) มักทำให้หลายคนสับสน เนื่องจากมักปรากฏในบริเวณใกล้เคียงกันและเกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม แผลทั้งสองมีความแตกต่างที่ชัดเจนทั้งในด้านอาการ ลักษณะ และการดำเนินโรค
ตารางเปรียบเทียบแผลริมแข็ง vs แผลเริม
ลักษณะ
|
แผลริมแข็ง
|
แผลเริม (Herpes)
|
---|
ลักษณะผิวแผล
|
แผลเดียว ขอบแข็ง ผิวเรียบ
|
หลายตุ่มใส กลายเป็นแผลตื้น
|
ความรู้สึกขณะเป็นแผล
|
ไม่เจ็บ
|
แสบ คัน หรือปวด
|
ของเหลวในแผล
|
ไม่มีหนอง ไม่มีน้ำ
|
มีตุ่มใสแตกออกเป็นน้ำใส
|
จำนวนแผล
|
มักเป็นแผลเดี่ยว
|
มักเกิดหลายจุด
|
ระยะเวลาการหาย
|
3–6 สัปดาห์
|
1–2 สัปดาห์
|
สาเหตุ
|
เชื้อ Treponema pallidum (ซิฟิลิส)
|
เชื้อไวรัส Herpes simplex (HSV-1,2)
|
หมายเหตุ: การวินิจฉัยที่แม่นยำควรอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่ควรอิงเพียงจากลักษณะของแผล
แผลริมแข็งหายเองได้ไหม?
การหายของแผลริมแข็งโดยไม่รักษา
แผลริมแข็งสามารถหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า “โรคหายแล้ว” แต่ในความเป็นจริง เชื้อซิฟิลิสยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถเข้าสู่ระยะต่อไปได้โดยไม่มีอาการใด ๆ
ความเข้าใจผิดที่ควรระวัง
- แผลหาย ≠ โรคหาย
- ซิฟิลิสยังคงแพร่เชื้อได้แม้แผลจะหาย
- หากไม่รักษา เชื้อสามารถลุกลามไปยังระบบประสาท หัวใจ หรืออวัยวะอื่น
- ระยะที่สองของซิฟิลิสอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่รุนแรงกว่าเดิม
หมายเหตุ: หากพบแผลลักษณะคล้ายแผลริมแข็ง ควรรีบพบแพทย์และตรวจเลือด ไม่ควรรอให้แผลหายเอง
แผลริมแข็ง ติดต่อได้ทางไหน? ต้องแจ้งคู่นอนหรือไม่?
แผลริมแข็งสามารถแพร่เชื้อซิฟิลิสไปยังผู้อื่นได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแผลในขณะมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
- สัมผัสแผลโดยตรงในขณะมีเพศสัมพันธ์ (penetrative หรือ oral sex)
- การใช้ของร่วมกันที่ปนเปื้อนเชื้อ (เช่น ของเล่นทางเพศ)
- แผลริมแข็งที่ปากสามารถแพร่เชื้อผ่านการจูบได้ หากมีแผลเปิด
หมายเหตุ: ซิฟิลิสไม่แพร่ผ่านการใช้ช้อนส้อม ห้องน้ำ หรือการจับมือ
จำเป็นต้องแจ้งคู่นอนหรือไม่?
- ควรแจ้งคู่นอนที่มีความเสี่ยงร่วม (ภายใน 90 วันก่อนแผลปรากฏ)
- เพื่อให้คู่นอนสามารถเข้ารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อกลับ (reinfection)
- การไม่แจ้งอาจนำไปสู่การแพร่เชื้อต่อโดยไม่รู้ตัว
กรณีติดซ้ำ แผลริมแข็งเป็นอีกได้ไหม?
การติดเชื้อซิฟิลิสซ้ำหลังจากเคยรักษา
การติดเชื้อซิฟิลิสสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ แม้เคยรักษาและแผลจะหายแล้วก็ตาม เนื่องจากร่างกายไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อ Treponema pallidum ผู้ที่เคยเป็นมาแล้วจึงสามารถติดเชื้อใหม่ได้ หากมีพฤติกรรมเสี่ยง
ปัจจัยที่ทำให้ติดซ้ำบ่อย
- มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ได้รับการรักษา
- ไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ไม่มาตรวจติดตามซ้ำตามแพทย์นัด
- ไม่มีอาการในระยะติดซ้ำ ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดแล้ว
หมายเหตุ: ผู้ที่เคยเป็นซิฟิลิสควรตรวจเลือดซ้ำเป็นระยะ โดยเฉพาะหากมีพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อให้สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
วิธีตรวจวินิจฉัยแผลริมแข็ง
ทำไมต้องตรวจ แม้แผลจะหายเองได้
แม้ว่าแผลริมแข็งจะสามารถหายได้เองในบางกรณี แต่การไม่เข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องอาจทำให้โรคดำเนินต่อไปโดยไม่รู้ตัว และอาจลุกลามเข้าสู่ระยะที่รุนแรงกว่าเดิม
วิธีตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใช้จริง
- ตรวจเชื้อจากแผลโดยตรง (Dark-field microscopy): ใช้กล้องจุลทรรศน์ดูเชื้อ Treponema pallidum จากของเหลวในแผล
- การตรวจเลือด (Serologic tests):
- Non-treponemal test: เช่น RPR, VDRL ใช้ประเมินระดับเชื้อ
- Treponemal test: เช่น TPHA, FTA-ABS ยืนยันการติดเชื้อ
- ตรวจน้ำไขสันหลัง (เฉพาะกรณี): ใช้ในรายที่สงสัยว่าซิฟิลิสลุกลามเข้าระบบประสาท
ข้อควรรู้ก่อนตรวจ
- แนะนำให้ตรวจทั้งคู่ตนเองและคู่นอน
- การตรวจเลือดควรทำซ้ำตามระยะที่แพทย์แนะนำ
- บางการตรวจอาจให้ผลลบหลอก หากทำเร็วเกินไปหลังรับเชื้อ
วิธีรักษาแผลริมแข็งเร็วและได้ผลที่สุดคืออะไร?
แนวทางการรักษาที่ได้ผล
แผลริมแข็งสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับยาที่เหมาะสมและเร็วพอ การรักษาในระยะนี้ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อและการลุกลามของโรค
- ยาหลัก:
- Benzathine Penicillin G ฉีดเข้ากล้ามเนื้อขนาด 2.4 ล้านยูนิต เพียงครั้งเดียว (สำหรับซิฟิลิสระยะแรก)
- ทางเลือกอื่นกรณีแพ้ยาเพนิซิลลิน:
- Doxycycline 100 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 14 วัน
- Tetracycline หรือ Azithromycin (ตามดุลยพินิจแพทย์)
ข้อควรปฏิบัติขณะรักษา
- งดมีเพศสัมพันธ์ระหว่างรักษา และอย่างน้อย 7 วันหลังการรักษา
- แจ้งคู่นอนให้มาตรวจและรับการรักษา
- ตรวจเลือดติดตามผลตามนัดแพทย์
หมายเหตุ: ห้ามซื้อยารักษาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจใช้ยาไม่ถูกต้องหรือไม่ครบขนาด
คนแพ้เพนิซิลลินต้องรักษาอย่างไร?
แนวทางรักษาซิฟิลิสในผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน
สำหรับผู้ป่วยที่แพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin allergy) การรักษายังสามารถทำได้โดยใช้ยาทางเลือกอื่นภายใต้การดูแลของแพทย์ ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกัน หากใช้ถูกต้องและครบคอร์ส
- Doxycycline 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน
- Tetracycline 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน
- Azithromycin 2 กรัม รับประทานครั้งเดียว (ใช้เฉพาะกรณีจำเป็น และแพทย์เห็นสมควรเท่านั้น)
กรณีแพ้ยาแบบรุนแรงหรือรักษายาก
- อาจต้องทำ Desensitization (การให้ยาเพนิซิลลินในขนาดน้อย ๆ เพื่อสร้างความทน) ในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบ
- จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดจากแพทย์
หมายเหตุ: ห้ามเลือกยารักษาเอง เนื่องจากอาจไม่เหมาะสมกับระยะของโรค หรือมีผลข้างเคียงอื่นที่ต้องควบคุม
ระยะของโรคซิฟิลิส: เริ่มจากแผลริมแข็งจนถึงภาวะแทรกซ้อน
การดำเนินโรคของซิฟิลิส แบ่งเป็น 4 ระยะหลัก
- ระยะแรก (Primary Syphilis):
- เริ่มจากแผลริมแข็ง (chancre)
- ปรากฏประมาณ 2–4 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ
- แผลมักหายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์
- ระยะที่สอง (Secondary Syphilis):
- เกิดขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังแผลหาย
- อาการ: ผื่นที่ฝ่ามือ/ฝ่าเท้า, ไข้ต่ำ, ต่อมน้ำเหลืองโต, ผมร่วงเป็นหย่อม
- ยังสามารถแพร่เชื้อได้
- ระยะแฝง (Latent Syphilis):
- ไม่มีอาการทางร่างกาย
- อาจอยู่ได้นานหลายปี
- ตรวจพบได้จากผลเลือดเท่านั้น
- ระยะสุดท้าย (Tertiary Syphilis):
- เกิดหลังไม่ได้รับการรักษาหลายปี
- ส่งผลต่อระบบประสาท, หัวใจ, หลอดเลือด หรือกระดูก
- มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และเสียชีวิต
หมายเหตุ: การรักษาในระยะต้นสามารถป้องกันการเข้าสู่ระยะลุกลามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลังรักษาแล้ว ต้องดูแลหรือเฝ้าระวังอะไรบ้าง?
การดูแลหลังรักษาแผลริมแข็งและซิฟิลิส
แม้จะได้รับการรักษาแล้ว การติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อถูกกำจัดหมด และไม่มีการติดเชื้อซ้ำ
- เข้ารับการตรวจเลือดซ้ำตามกำหนด (เช่น 3, 6 และ 12 เดือน)
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อใหม่
- แจ้งคู่นอนทุกคนให้เข้ารับการตรวจพร้อมกัน
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ผื่น ต่อมน้ำเหลืองโต หรืออาการทางระบบประสาท
- ตรวจสุขภาพประจำปีหากมีเพศสัมพันธ์ไม่แน่นอน
สิ่งที่ไม่ควรละเลย
- ห้ามหยุดยาเองก่อนครบกำหนด (หากใช้ยารับประทาน)
- หากผลเลือดยังบวกหลังครบกำหนด ต้องเข้ารับการประเมินซ้ำ
- ในบางกรณีอาจต้องตรวจน้ำไขสันหลังเพิ่มเติม หากสงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน
วิธีป้องกันการกลับมาติดเชื้อแผลริมแข็งหรือซิฟิลิส
วิธีลดความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำ
หลังจากรักษาซิฟิลิสหรือแผลริมแข็งแล้ว การป้องกันไม่ให้กลับมาติดเชื้อใหม่ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะร่างกายไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อนี้
- ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ยังไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา
- ตรวจเลือดหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทุกครั้งที่เปลี่ยนคู่นอน
- หลีกเลี่ยงการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกัน หรือทำความสะอาดก่อนใช้
- พูดคุยเปิดใจกับคู่นอนเรื่องสุขภาพทางเพศและการตรวจโรค
การป้องกันในระดับสังคม
- เข้ารับการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างต่อเนื่อง
- สนับสนุนการตรวจ STI แบบสมัครใจในสถานพยาบาลหรือชุมชน
- ลดอคติต่อผู้ที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อเปิดโอกาสในการเข้ารับการรักษา
FAQ & คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับแผลริมแข็ง
Q: แผลริมแข็งเจ็บไหม?
A: โดยทั่วไปแผลริมแข็งไม่เจ็บ และไม่รู้สึกระคายเคือง ต่างจากแผลเริมที่มักเจ็บหรือแสบ
Q: ถ้าแผลหายเองได้ จำเป็นต้องรักษาหรือไม่?
A: จำเป็นต้องรักษา เพราะแม้แผลจะหายแต่เชื้อซิฟิลิสยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถลุกลามได้
Q: ฉีดยาครั้งเดียวเพียงพอหรือไม่?
A: สำหรับซิฟิลิสระยะแรก ฉีด Benzathine Penicillin G เพียงเข็มเดียวก็เพียงพอ แต่ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อน
Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าหายขาดแล้ว?
A: ต้องตรวจเลือดติดตามตามที่แพทย์นัด หากผลเลือดลดลงตามเกณฑ์แสดงว่าอาการดีขึ้น
Q: เคยเป็นแล้วจะเป็นอีกได้ไหม?
A: ได้ เพราะร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อ Treponema pallidum
Q: ต้องแจ้งคู่นอนเก่าทั้งหมดหรือไม่?
A: ควรแจ้งคู่นอนในช่วง 90 วันที่ผ่านมาเพื่อให้เข้ารับการตรวจและรักษาร่วมกัน
บทสรุป
แผลริมแข็งเป็นสัญญาณสำคัญของโรคซิฟิลิสระยะแรก ซึ่งหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ระยะที่รุนแรงมากขึ้น แม้ว่าแผลจะสามารถหายได้เอง แต่การละเลยไม่เข้ารับการรักษาย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว การตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เพียงแต่ช่วยให้หายขาด แต่ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นอีกด้วย
การดูแลตัวเองหลังการรักษา การติดตามผลเลือด รวมถึงการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการรับมือกับโรคนี้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้