Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

แผลริมอ่อน คืออะไร สาเหตุ อาการ วิธีรักษาและป้องกัน เช็คก่อนลุกลาม

แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจไม่คุ้นหูคนทั่วไป แต่กลับมีอาการที่สร้างความเจ็บปวดและรบกวนชีวิตประจำวันได้ไม่น้อย ผู้ที่ติดเชื้อมักมีแผลที่อวัยวะเพศ ซึ่งมีลักษณะเจ็บมาก ขอบแผลไม่เรียบ และมักพบหลายแผลพร้อมกัน โดยโรคนี้ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง และสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายหากไม่ป้องกันอย่างเหมาะสม

บทความนี้จะพาคุณรู้จักแผลริมอ่อนในทุกมิติ ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีสังเกต การตรวจวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกันที่ใช้ได้จริง พร้อมคำแนะนำเฉพาะสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ และคำตอบคำถามที่พบบ่อย เพื่อให้คุณดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดได้อย่างมั่นใจ

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

แผลริมอ่อนคืออะไร?

แผลริมอ่อน (Chancroid) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ลักษณะเด่นของโรคนี้คือแผลที่อวัยวะเพศซึ่งมีความเจ็บปวดมาก โดยมักมีลักษณะนิ่ม ขอบแผลไม่เรียบ และมักพบหลายแผลพร้อมกันในบริเวณเดียวกัน แตกต่างจากโรคทางเพศอื่นที่แผลอาจไม่เจ็บหรือมีลักษณะเดี่ยว

แผลริมอ่อนไม่ใช่โรคที่พบบ่อยในทุกประเทศ แต่สามารถระบาดได้ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โรคนี้สามารถติดต่อได้ง่ายหากมีการสัมผัสแผลโดยตรงระหว่างมีเพศสัมพันธ์

เนื่องจากอาการของแผลริมอ่อนอาจคล้ายกับโรคอื่น เช่น ซิฟิลิสหรือเริม การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ร่วมกับการตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจน ผู้ป่วยไม่ควรสรุปว่าเป็นโรคใดจากลักษณะแผลเพียงอย่างเดียว

การทำความเข้าใจว่าแผลริมอ่อนคืออะไร เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ รวมถึงช่วยให้สามารถสังเกตอาการและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที

แผลริมอ่อนเกิดจากอะไร? เชื้อมาจากแบคทีเรียอะไร?

แผลริมอ่อนมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Haemophilus ducreyi ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบในกลุ่ม facultative anaerobe พบได้ในสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น หนองจากแผลหรือสารตกขาว เชื้อชนิดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรอยถลอกหรือบาดแผลเล็ก ๆ บนผิวหนังหรือเยื่อบุ ทำให้เกิดแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ

หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะมีการผลิตสารพิษชนิดหนึ่งที่เรียกว่า cytolethal distending toxin (HdCDT) ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อผิวและกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ส่งผลให้เกิดแผลเปิดที่มีลักษณะลึก ขอบไม่เรียบ และมีอาการเจ็บปวดอย่างมาก

เชื้อ Haemophilus ducreyi มักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ในทุกรูปแบบที่มีการสัมผัสโดยตรงกับแผล เช่น ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก หากผิวหนังหรือเยื่อบุบริเวณที่สัมผัสมีรอยถลอกแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถติดเชื้อได้ง่าย

โรคนี้มีการรายงานว่าแพร่ระบาดได้รวดเร็วในพื้นที่ที่ขาดสุขอนามัย ระบบสาธารณสุขไม่ทั่วถึง หรือมีพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือการไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์

แผลริมอ่อนระยะฟักตัวและการติดต่อเป็นอย่างไร?

ระยะฟักตัวของแผลริมอ่อน (Incubation Period) คือช่วงเวลาตั้งแต่เชื้อ Haemophilus ducreyi เข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งเริ่มแสดงอาการ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 4–7 วัน แต่ในบางรายอาจพบตั้งแต่ 3–10 วัน ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคลและปริมาณเชื้อที่ได้รับ

ในช่วงระยะฟักตัว ผู้ติดเชื้ออาจยังไม่มีอาการใด ๆ แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือสัมผัสแผลที่เริ่มฟักตัวโดยตรง การติดต่อของแผลริมอ่อนสามารถเกิดได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก

นอกจากนี้ เชื้อยังสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลเล็ก ๆ บนผิวหนังที่สัมผัสกับของเหลวจากแผลของผู้ติดเชื้อ เช่น หนองหรือตกขาว หากเชื้อนี้สัมผัสกับเยื่อบุตา อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาได้เช่นกัน (ocular chancroid)

แม้ว่าแผลริมอ่อนจะไม่ใช่โรคที่แพร่กระจายได้ง่ายเหมือนบางโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น เอดส์หรือหนองในแท้ แต่การมีแผลเปิดร่วมกับพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัยจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้ออย่างมีนัยสำคัญ

แผลริมอ่อน vs ซิฟิลิส vs เริม ต่างกันยังไง?

แผลที่อวัยวะเพศอาจเกิดได้จากหลายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยเฉพาะ “แผลริมอ่อน”, “ซิฟิลิส” และ “เริม” ซึ่งมักทำให้คนไข้สับสนและวินิจฉัยผิดพลาดได้ง่าย การแยกความแตกต่างของแต่ละโรคจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

ตารางด้านล่างสรุปจุดแตกต่างสำคัญของแต่ละโรคอย่างชัดเจน:

ลักษณะ

แผลริมอ่อน (Chancroid)

ซิฟิลิส (Syphilis)

เริม (Herpes)

เชื้อที่ก่อโรค

Haemophilus ducreyi

Treponema pallidum

Herpes Simplex Virus (HSV‑1 / HSV‑2)

ลักษณะแผล

เจ็บมาก, ขอบแผลไม่เรียบ, มีหนอง, หลายแผล

ไม่เจ็บ, ขอบเรียบ, แผลเดียว, แห้งไว

กลุ่มตุ่มน้ำใส, คันหรือแสบ, แตกเป็นแผลตื้น

ระยะฟักตัว

3–10 วัน

10–90 วัน

2–14 วัน

การวินิจฉัย

ตรวจหนอง, PCR, Gram stain

ตรวจเลือด VDRL, RPR

ตรวจ PCR หรือเชื้อจากตุ่ม

ลักษณะอาการอื่นร่วม

ต่อมน้ำเหลืองบวม เจ็บมาก

ไม่มีอาการในระยะแรก หรือผื่นในระยะสอง

ปวดแสบ, คัน, มีไข้ในบางราย

การรักษาหลัก

ยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะ (Penicillin)

ยาต้านไวรัส (Acyclovir, Valacyclovir)

มีโอกาสหายเองโดยไม่รักษา?

บางกรณีหายแต่เสี่ยงภาวะแทรกซ้อน

อาจเงียบแต่พัฒนาเป็นซิฟิลิสระยะสอง/สาม

มักเป็นซ้ำ ไม่มีทางหายขาด

การวินิจฉัยโรคทางเพศสัมพันธ์ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่ควรอาศัยเพียงลักษณะแผลภายนอกเพราะแต่ละโรคมีความซับซ้อนและอาจแฝงโรคร่วมอื่น ๆ ได้เสมอ

อาการของแผลริมอ่อนในผู้ชายและผู้หญิงต่างกันไหม?

อาการของแผลริมอ่อนในผู้ชายและผู้หญิงอาจแตกต่างกันทั้งในด้านจำนวน ตำแหน่งของแผล และความรุนแรงของอาการ โดยปัจจัยทางกายวิภาคมีผลต่อการแสดงอาการของโรคอย่างชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลต่อความยากในการวินิจฉัยโดยเฉพาะในผู้หญิงที่มักไม่มีอาการชัดเจน

ตารางเปรียบเทียบอาการแผลริมอ่อนในผู้ชาย vs ผู้หญิง

ลักษณะอาการ

ผู้ชาย

ผู้หญิง

ตำแหน่งแผล

หนังหุ้มปลายองคชาต, ลำองคชาต, ถุงอัณฑะ, ขาหนีบ

แคมเล็ก, แคมใหญ่, ปากมดลูก, รูทวาร, ต้นขาด้านใน

ลักษณะแผล

ตุ่มแดง → แผลเปิดลึก, ขอบไม่เรียบ, หนอง, เจ็บมาก

ตุ่มหลายตำแหน่ง, เปื่อยบางส่วน, เจ็บเล็กน้อยหรือไม่เจ็บ

จำนวนแผล

มักมีแผล 1–2 จุดชัดเจน

อาจมีแผลหลายจุดแบบกระจายหรือซ่อนอยู่ภายใน

อาการร่วม

ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บที่ขาหนีบ, ปัสสาวะแสบขัด

อาจมีตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นแรง, ปวดแสบเวลาปัสสาวะ/อุจจาระ

โอกาสแสดงอาการ

มักแสดงอาการชัดเจนในระยะฟักตัวสั้น

หลายรายไม่แสดงอาการภายนอก → เสี่ยงแพร่เชื้อแบบไม่รู้ตัว

ข้อควรระวัง: ผู้หญิงที่ติดเชื้อแผลริมอ่อนอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค เนื่องจากตำแหน่งของแผลอยู่ในอวัยวะเพศภายใน และมักไม่มีอาการเจ็บหรือเห็นแผลภายนอกชัดเจน จึงควรได้รับการตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะทางหากสงสัยว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง

แผลริมอ่อนในกลุ่ม LGBTQ+ หรือเพศทางเลือกมีอาการต่างกันไหม?

แผลริมอ่อนสามารถเกิดได้กับทุกเพศสภาพ และไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ชายหรือผู้หญิงตามเพศกำเนิดเท่านั้น สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ หรือผู้ที่มีเพศวิถีหลากหลาย เช่น กลุ่มชายรักชาย (MSM), หญิงรักหญิง, ผู้มีเพศสัมพันธ์ผ่านทวารหนัก หรือผู้มีอวัยวะเพศไม่ตรงกับเพศสภาพ (transgender) ล้วนมีโอกาสแสดงอาการของแผลริมอ่อนในลักษณะเฉพาะที่ควรได้รับความเข้าใจเฉพาะกลุ่ม

ตัวอย่างลักษณะอาการและจุดสังเกตในแต่ละกลุ่ม

  • ชายรักชาย (MSM): อาจพบแผลที่บริเวณรูทวารหรือลำไส้ตรง จากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก โดยอาจมีอาการเจ็บ ปวดแสบตอนขับถ่าย หรือมีเลือดปนหนอง
  • หญิงรักหญิง: แม้ความเสี่ยงโดยรวมจะต่ำกว่ากลุ่มอื่น แต่หากใช้ของเล่นทางเพศร่วมกันหรือมีการสัมผัสแผลโดยตรง ก็อาจติดเชื้อได้ โดยมักเกิดแผลบริเวณแคม หรือปากช่องคลอด
  • ผู้หญิงข้ามเพศ (Transwoman): อาจพบแผลได้ทั้งบริเวณอวัยวะเพศเดิม ทวารหนัก หรือผิวหนังใกล้บริเวณที่มีการสัมผัสระหว่างเพศสัมพันธ์ โดยต้องอาศัยการตรวจเฉพาะจุดที่อาจมองไม่เห็นภายนอก
  • ผู้ชายข้ามเพศ (Transman): อาการอาจคล้ายกับในกลุ่มหญิงหรือชายตามอวัยวะเพศที่ยังคงอยู่ โดยอาจมีแผลบริเวณปากช่องคลอด ด้านนอก หรือบริเวณที่ใช้สำหรับการมีเพศสัมพันธ์

ข้อควรรู้: กลุ่มเพศทางเลือกบางกลุ่มอาจรู้สึกไม่สะดวกใจในการตรวจอวัยวะเพศหรือให้ข้อมูลที่ละเอียดในเบื้องต้น จึงควรได้รับบริการที่ปลอดภัยและเป็นมิตรจากคลินิกหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเข้าใจในสุขภาพทางเพศของกลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะ

แผลริมอ่อนมีผลต่อการตั้งครรภ์ไหม และจะแพร่เชื้อไปทารกอย่างไร?

แผลริมอ่อนอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ในหลายแง่มุม โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม เชื้อ Haemophilus ducreyi ไม่ได้เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงเหมือนโรคซิฟิลิส แต่สามารถสร้างภาวะเสี่ยงทางอ้อมต่อแม่และทารกได้ดังนี้:

ผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์

  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำหรือการติดเชื้อร่วม เช่น HIV หรือซิฟิลิส หากมีแผลเปิดขณะตั้งครรภ์
  • แผลบริเวณอวัยวะเพศอาจทำให้การคลอดธรรมชาติมีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น มีเลือดออก, แผลฉีกขาด, การติดเชื้อเพิ่มเติมระหว่างคลอด
  • หากไม่รักษา เชื้ออาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบรุนแรง ส่งผลต่อสภาพจิตใจ ความเจ็บปวด และคุณภาพชีวิตระหว่างตั้งครรภ์

โอกาสแพร่เชื้อไปยังทารก

  • ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเชื้อ H. ducreyi แพร่จากแม่สู่ทารกทางรก (vertical transmission) ได้โดยตรง
  • อย่างไรก็ตาม หากแม่มีแผลริมอ่อนในช่วงคลอด โดยเฉพาะหากคลอดทางช่องคลอด ทารกอาจสัมผัสกับเชื้อที่อยู่บริเวณปากช่องคลอดและติดเชื้อบริเวณดวงตา ผิวหนัง หรือเยื่อบุ
  • ในกรณีที่ตรวจพบโรคก่อนคลอด แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมเชื้อ หรือวางแผนคลอดโดยวิธีผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยง

ข้อแนะนำทางการแพทย์

  • หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกชนิดระหว่างฝากครรภ์ โดยเฉพาะหากมีอาการผิดปกติ เช่น แผล ตกขาวผิดปกติ หรือเจ็บแสบขณะปัสสาวะ
  • หากสงสัยว่ามีแผลริมอ่อน ควรแจ้งแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว ไม่ควรปล่อยให้แผลหายเอง
  • ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าโรคจะรักษาหาย และหากมีคู่ครองควรตรวจและรักษาพร้อมกัน

ทำไมบางคนไม่แสดงอาการแต่แพร่เชื้อได้? แผลริมอ่อนเป็นโรคเงียบจริงหรือไม่?

แม้ว่าแผลริมอ่อน (Chancroid) จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่โดยทั่วไปมีอาการเด่นคือแผลเจ็บบริเวณอวัยวะเพศ แต่ก็มีกรณีจำนวนหนึ่งที่ผู้ติดเชื้อ “ไม่มีอาการ” หรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อยจนสังเกตไม่เห็น ทำให้ผู้ป่วยบางรายกลายเป็น “พาหะเงียบ” (asymptomatic carrier) โดยไม่รู้ตัว

เหตุใดจึงไม่มีอาการ?

  • ตำแหน่งของแผลอยู่ภายใน: โดยเฉพาะในผู้หญิงที่แผลอาจอยู่ภายในช่องคลอด ปากมดลูก หรือรูทวาร ซึ่งไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า
  • ภูมิคุ้มกันเฉพาะบุคคล: ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันดีอาจตอบสนองต่อเชื้อได้ในระดับหนึ่งจนแผลไม่พัฒนาเป็นลักษณะเด่น
  • ปริมาณเชื้อที่ได้รับน้อย: หากได้รับเชื้อในปริมาณต่ำ อาการที่เกิดขึ้นอาจไม่ชัดเจนหรือไม่มีเลย
  • ใช้ยาเองหรือยาปฏิชีวนะบางชนิดก่อนหน้านั้น: อาจกดอาการไว้ชั่วคราว แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย

ทำไมจึงยังสามารถแพร่เชื้อ?

ถึงแม้จะไม่มีแผลภายนอกที่เห็นชัด การมีเชื้อ Haemophilus ducreyi อยู่ในสารคัดหลั่ง เช่น ตกขาว หนอง หรือของเหลวในช่องคลอดหรือทวารหนัก ยังสามารถแพร่ไปยังคู่นอนได้ง่ายเมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

  • คิดว่าไม่มีอาการ = ไม่มีโรค → ผิด! ผู้ที่ไม่มีอาการก็สามารถเป็นพาหะและแพร่เชื้อได้
  • แผลหายแล้ว = หายขาด → ผิด! หากไม่ได้รับการรักษาโดยแพทย์ เชื้ออาจยังอยู่ในร่างกาย

แนวทางที่ถูกต้อง

  • ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (ตรวจ STD) เป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือเปลี่ยนคู่นอน
  • หากคู่ของคุณมีอาการผิดปกติ เช่น แผล หนอง หรือตกขาวผิดปกติ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์และไปตรวจพร้อมกัน

แผลริมอ่อนอาจไม่ใช่โรคเงียบในเชิงอาการโดยตรงเหมือนซิฟิลิสหรือ HIV แต่สามารถ “เงียบชั่วคราว” และส่งผลได้อย่างคาดไม่ถึง หากละเลยการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง

วิธีวินิจฉัยแผลริมอ่อนในคลินิกหรือโรงพยาบาลทำอย่างไร?

การวินิจฉัยโรคแผลริมอ่อนจำเป็นต้องอาศัยทั้งการตรวจร่างกายโดยแพทย์และการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ เนื่องจากลักษณะแผลอาจคล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น ซิฟิลิสหรือเริม การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงต้องแยกโรคออกอย่างชัดเจน

ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยที่พบได้ในคลินิกหรือโรงพยาบาล

1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย

แพทย์จะสอบถามถึงอาการ ลักษณะของแผล ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมเสี่ยง จากนั้นจะทำการตรวจบริเวณที่สงสัย โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ทวารหนัก และขาหนีบ เพื่อประเมินลักษณะแผลและการบวมของต่อมน้ำเหลือง

2. การเก็บตัวอย่างจากแผลหรือของเหลว

ใช้ไม้ป้ายหรือสไลด์เก็บของเหลวจากแผล หนอง หรือสารคัดหลั่ง แล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ

3. การย้อมสีดูเชื้อ (Gram stain)

วิธีนี้จะย้อมเชื้อบนสไลด์และดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อระบุว่าเป็นแบคทีเรียชนิด Haemophilus ducreyi หรือไม่ โดยจะเห็นเป็นแบคทีเรียแกรมลบขนาดเล็กเรียงกันเป็นกลุ่ม

4. การเพาะเชื้อ (Culture)

นำตัวอย่างจากแผลไปเลี้ยงเชื้อในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเฉพาะ วิธีนี้ต้องอาศัยห้องปฏิบัติการที่มีความชำนาญและอุปกรณ์ครบถ้วน แต่ช่วยยืนยันชนิดของเชื้อได้ชัดเจน

5. การตรวจด้วยวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction)

เทคนิค PCR เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยตรง มีความแม่นยำสูง และสามารถแยกแยะโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ ที่มีลักษณะแผลใกล้เคียงได้ในคราวเดียว เช่น ซิฟิลิส เริม หรือหนองในแท้

ข้อควรรู้เพิ่มเติม:

  • ในหลายกรณี แพทย์อาจเริ่มให้ยารักษาเบื้องต้นก่อนผลตรวจกลับมา หากมีลักษณะเข้าข่ายชัดเจน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  • ควรงดล้างแผลหรือใช้ยาก่อนเข้ารับการตรวจ เพราะอาจลดโอกาสตรวจพบเชื้อ

วิธีรักษาแผลริมอ่อน: ยาปฏิชีวนะหรือผ่าตัด แบบไหนดีในแต่ละกรณี?

แนวทางการรักษาแผลริมอ่อนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ตำแหน่งของแผล และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปแพทย์จะเริ่มต้นด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่หากมีภาวะฝีจากต่อมน้ำเหลืองหรือลุกลาม อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดร่วมด้วย

การใช้ยาปฏิชีวนะ (First-line Treatment)

เป็นแนวทางหลักที่ใช้รักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันการแพร่กระจายของโรค

ยาที่ใช้บ่อย (ตามแนวทาง CDC):

  • Azithromycin 1 กรัม รับประทานครั้งเดียว
  • Ceftriaxone 250 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว
  • Ciprofloxacin 500 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน
  • Erythromycin 500 มก. วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน

ข้อดีของการใช้ยา:

  • ไม่ต้องพักฟื้น
  • เห็นผลใน 3–7 วัน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน
  • เหมาะกับผู้ที่มีแผลขนาดเล็ก ไม่มีฝี

ข้อจำกัด:

  • อาจต้องตรวจซ้ำ หากอาการไม่ดีขึ้น
  • ผู้ที่มีภาวะดื้อยาหรือภูมิคุ้มกันต่ำ อาจไม่ตอบสนองดี

การผ่าตัด (Surgical Intervention)

ใช้ในกรณีที่มีฝีหนองจากต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตผิดปกติและไม่สามารถยุบเองได้

แนวทางผ่าตัดที่ใช้บ่อย:

  • ใช้เข็มดูดหนอง (aspiration) ลดแรงดันและอาการปวด
  • กรีดเปิดฝี (incision and drainage) ในกรณีฝีขนาดใหญ่หรือใกล้แตก

ข้อดี:

  • ลดอาการปวดได้เร็ว
  • ป้องกันการแตกของต่อมน้ำเหลืองใต้ผิวหนัง

ข้อควรพิจารณา:

  • อาจทิ้งรอยแผลเป็น
  • ต้องดูแลแผลหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด
  • ใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะเท่านั้น ไม่ใช่ทางเลือกแทนยา

สรุปแนวทางเลือก

อาการผู้ป่วย

ทางเลือกที่เหมาะสม

แผลขนาดเล็ก เจ็บเฉพาะที่ ไม่มีฝี

ยาปฏิชีวนะอย่างเดียว

ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบบวม/มีฝี

ยาปฏิชีวนะ + ดูดหนองหรือผ่าตัด

ไม่ตอบสนองต่อยาภายใน 7 วัน

ปรับสูตรยา + ตรวจซ้ำ

ยารักษาแผลริมอ่อนแบบไหนใช้ได้? Azithromycin, Ceftriaxone หรือ Ciprofloxacin?

การรักษาแผลริมอ่อนด้วยยาปฏิชีวนะ (antibiotics) เป็นแนวทางหลักที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) โดยยาแต่ละชนิดมีข้อดี-ข้อจำกัดต่างกัน ผู้ป่วยควรได้รับการพิจารณาจากแพทย์เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมที่สุด

เปรียบเทียบยารักษาแผลริมอ่อนแต่ละชนิด

ยา

วิธีใช้

จุดเด่น

ข้อควรระวัง

Azithromycin

รับประทาน 1 กรัม ครั้งเดียว

ใช้ง่าย สะดวก เหมาะกับผู้ไม่อยากฉีดยา

อาจคลื่นไส้ ท้องเสียเล็กน้อย

Ceftriaxone

ฉีดเข้ากล้าม 250 มก. ครั้งเดียว

ออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลไว

ต้องฉีดโดยบุคลากรทางการแพทย์

Ciprofloxacin

รับประทาน 500 มก. วันละ 2 ครั้ง × 3 วัน

มีผลต่อแบคทีเรียกลุ่มอื่นด้วย

ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือคนมีปัญหาเอ็น

Erythromycin

รับประทาน 500 มก. วันละ 4 ครั้ง × 7 วัน

ใช้ได้แม้แพ้ยาตัวอื่น

ต้องกินหลายมื้อ มีผลข้างเคียงทางทางเดินอาหาร

ข้อควรรู้เพิ่มเติม

  • ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดภาวะดื้อยา หรือใช้ยาผิดโรค
  • การใช้ยาควรรักษาคู่กับคู่นอน แม้ไม่มีอาการ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำ
  • หากผ่านการรักษาแล้วยังมีแผลอยู่เกิน 7 วัน ควรกลับมาตรวจซ้ำหรือเปลี่ยนแผนการรักษา

ขั้นตอนดูแลหลังรักษาแผลริมอ่อนให้หายเร็วและลดภาวะแทรกซ้อน

แม้ว่าการรักษาแผลริมอ่อนด้วยยาปฏิชีวนะหรือการผ่าตัดจะช่วยควบคุมเชื้อได้ดี แต่การดูแลหลังการรักษาอย่างถูกวิธีก็มีบทบาทสำคัญต่อการหายของแผล การลดอาการเจ็บ และการป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อซ้ำ

แนวทางการดูแลตัวเองหลังรักษาแผลริมอ่อน

1. ทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี

  • ใช้น้ำเกลือหรือน้ำสะอาดอุ่นล้างแผลวันละ 1–2 ครั้ง
  • เช็ดแผลให้แห้งทุกครั้งด้วยผ้าสะอาดหรือกระดาษเช็ดแผลที่ใช้ครั้งเดียว
  • หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ น้ำยาฆ่าเชื้อ หรือแอลกอฮอล์โดยตรง

2. งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท

  • ควรเว้นอย่างน้อย 7–14 วัน หรือจนกว่าแพทย์จะยืนยันว่าไม่สามารถแพร่เชื้อได้
  • เพศสัมพันธ์ระหว่างที่แผลยังไม่หายสมบูรณ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำ

3. หลีกเลี่ยงการเสียดสีหรือการอับชื้น

  • สวมกางเกงในที่ระบายอากาศได้ดี
  • หลีกเลี่ยงการเดินหรือออกแรงมากเกินไปจนแผลถูไถซ้ำ

4. งดแอลกอฮอล์และบุหรี่

  • แอลกอฮอล์และบุหรี่อาจชะลอการสมานแผลและทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้าลง

5. รับประทานยาครบตามที่แพทย์สั่ง

  • แม้อาการจะดีขึ้นภายในไม่กี่วัน แต่ควรกินยาครบทุกมื้อจนหมด
  • ห้ามหยุดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เชื้อกลับมาแรงขึ้นหรือดื้อยา

6. ติดตามอาการกับแพทย์ตามนัด

  • หากแผลไม่ดีขึ้นใน 7 วัน มีหนองมากขึ้น หรือมีไข้สูง ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • อาจต้องปรับยาหรือพิจารณาตรวจโรคอื่นร่วม

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

  • หากมีคู่นอน ควรชวนให้ตรวจและรักษาพร้อมกัน
  • ใช้ถุงยางอนามัยเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แม้หลังแผลหายดี

ภาวะแทรกซ้อนของแผลริมอ่อนที่ควรรู้ก่อนสาย

แม้ว่าแผลริมอ่อนจะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ หากวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิต

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหากไม่รักษาแผลริมอ่อน

1. ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบอักเสบและแตกเป็นฝี

หากแบคทีเรียแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้เกิดฝีขนาดใหญ่บริเวณขาหนีบ ซึ่งหากไม่ทำการผ่าตัดหรือระบายหนอง อาจเกิดการแตกออกใต้ผิวหนัง ส่งผลให้หายช้าและเสี่ยงแผลเป็น

2. การเกิดพังผืดหรือแผลเป็นบริเวณอวัยวะเพศ

แผลลึกหรือมีการอักเสบเรื้อรังอาจทำให้เกิดพังผืดหรือรอยดึงรั้ง ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของหนังหุ้มปลาย หรือทำให้เกิดการตีบตัน (phimosis) ซึ่งอาจต้องผ่าตัดในภายหลัง

3. ท่อปัสสาวะทะลุหรือเชื่อมติดผิดตำแหน่ง (Fistula)

ในกรณีที่แผลเกิดบริเวณใกล้ท่อปัสสาวะ การอักเสบอาจทำให้ท่อเกิดรูทะลุ หรือเชื่อมติดกับผิวหนังด้านนอก ส่งผลให้ปัสสาวะผิดทาง หรือไหลตลอดเวลา

4. เสี่ยงติดเชื้อ HIV และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วม

แผลเปิดจากแผลริมอ่อนเป็นช่องทางให้เชื้อ HIV หรือเชื้ออื่น ๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะหากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

5. ความผิดปกติของอวัยวะเพศถาวร

ในกรณีรุนแรงที่แผลลุกลาม หรือเกิดเนื้อตายเฉพาะที่ (localized necrosis) อาจทำให้อวัยวะเพศบางส่วน “แหว่งหาย” หรือผิดรูปถาวร ซึ่งพบได้น้อยแต่รุนแรง

ข้อแนะนำจากแพทย์

  • อย่ารอให้แผลลุกลามหรือมีหนองก่อนรักษา
  • หากมีอาการปวดแผลผิดปกติ บวม หรือขาหนีบโต ควรรีบพบแพทย์
  • แม้แผลจะดูเล็กหรือไม่รุนแรงก็ควรเข้ารับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ

ป้องกันแผลริมอ่อนได้อย่างไร? วิธีง่ายที่หมอแนะนำใช้ได้จริง

แม้ว่าแผลริมอ่อนจะไม่ใช่โรคที่พบบ่อยในประเทศไทย แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อ และผู้ที่มีคู่นอนหลายคน

วิธีป้องกันแผลริมอ่อนที่แพทย์แนะนำ

1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

  • แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การใช้ถุงยางช่วยลดโอกาสสัมผัสเชื้อจากแผลที่อวัยวะเพศโดยตรง
  • ใช้กับทุกช่องทาง: ช่องคลอด ทวารหนัก และทางปาก

2. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย

  • ยิ่งจำนวนคู่นอนมาก ความเสี่ยงต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ก็ยิ่งสูงขึ้น
  • การมีคู่นอนที่ตรวจสุขภาพร่วมกันเป็นประจำคือแนวทางที่ปลอดภัยที่สุด

3. ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ

  • ควรตรวจทุก 3–6 เดือน หากมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือมีคู่นอนใหม่
  • ตรวจเช็คทั้งโรคที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ เช่น ซิฟิลิส HIV หนองใน

4. สังเกตอาการแปลกที่อวัยวะเพศ

  • เช่น แผล ตุ่ม เจ็บ ขาหนีบบวม หรือตกขาวผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • ไม่ควรซื้อยามากินเองหรือรอให้หายเอง

5. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากยังมีแผลที่ไม่ทราบสาเหตุ

  • โดยเฉพาะแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือปาก หากยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ควรงดร่วมเพศก่อน

6. รักษาความสะอาดอวัยวะเพศทุกวัน

  • อาบน้ำหลังมีเพศสัมพันธ์
  • ใช้สบู่อ่อน ๆ ที่ไม่ระคายเคือง

หมอสรุป:

การป้องกันแผลริมอ่อนไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเรารู้จัก “ใส่ใจสุขภาพทางเพศ” ด้วยการใช้ถุงยาง ตรวจโรคสม่ำเสมอ และไม่ละเลยอาการผิดปกติเล็กน้อย การรู้ไว รักษาไว ป้องกันได้เสมอ

แผลริมอ่อนหายเองได้ไหม? ระยะเวลาแตกต่างตามกรณีอย่างไร?

แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มี “แผลเปิด” และ “การติดเชื้อแบคทีเรีย” เป็นจุดสำคัญ การปล่อยให้หายเองโดยไม่รักษานั้น “มีโอกาส” แต่ไม่แนะนำ เพราะเสี่ยงต่อการลุกลาม การแพร่เชื้อ และการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรง

แผลริมอ่อนหายเองได้หรือไม่?

ในบางกรณีแผลริมอ่อนอาจเริ่มแห้งและสมานตัวได้เองภายใน 2–3 สัปดาห์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันดี แผลไม่ลึก และไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่การหายเองมีข้อจำกัด เช่น:

  • ใช้เวลานานกว่าการรักษาด้วยยา
  • อาการปวดและบวมอาจรุนแรงกว่าตลอดช่วงนั้น
  • เชื้อยังสามารถแพร่ต่อให้ผู้อื่นได้ แม้แผลเริ่มแห้ง
  • มีโอกาสเกิดแผลเป็นหรือพังผืด

การรักษาทำให้หายเร็วขึ้นแค่ไหน?

แนวทางการรักษา

ระยะเวลาฟื้นตัวโดยประมาณ

ไม่รักษาใด ๆ

14–21 วัน หรือมากกว่า

ใช้ยาปฏิชีวนะ

3–7 วัน สำหรับแผลขนาดเล็ก

ผ่าตัดร่วมด้วย

7–14 วัน (ขึ้นกับการสมานของแผล)

หมอแนะนำ:

  • แม้บางรายแผลจะหายเองได้ การพบแพทย์ตั้งแต่แรกคือทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
  • หากปล่อยไว้จนลุกลามหรือมีฝี ต่อให้รักษาหายก็อาจทิ้งรอยแผลเป็นถาวร
  • ควรรักษาร่วมกับคู่นอนเสมอ เพื่อป้องกันการติดซ้ำ

แผลริมอ่อนใช้เวลารักษากี่วัน? ปัจจัยที่ส่งผลต่อการหายเร็วหรือช้า

ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาแผลริมอ่อน (Chancroid) จะแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น ขนาดของแผล ความรุนแรงของอาการ การได้รับยาที่เหมาะสม และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยทั่วไปแล้ว หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี แผลสามารถหายได้ภายใน 3–14 วัน

ระยะเวลารักษาโดยประมาณ

ขนาดแผลและวิธีรักษา

ระยะเวลาหายโดยเฉลี่ย

แผลขนาดเล็ก + ยาปฏิชีวนะ

3–5 วัน

แผลปานกลาง + ยาปฏิชีวนะ

5–7 วัน

แผลลึกหรือมีฝีร่วมด้วย

10–14 วัน

ไม่ได้รับการรักษา

อาจนานกว่า 2–3 สัปดาห์

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการหายของแผล

1. ขนาดและความลึกของแผล

  • แผลที่ลึกหรือขยายกว้างจะใช้เวลาสมานนานกว่า และอาจมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ง่าย

2. การใช้ยาถูกต้องและต่อเนื่อง

  • หากใช้ยาครบตามแพทย์สั่งและไม่ลืมกินยา ผลลัพธ์จะเร็วและลดโอกาสการดื้อยา

3. มีการดูแลแผลอย่างถูกวิธีหรือไม่

  • การล้างแผลไม่สะอาดหรือปล่อยให้แผลอับชื้นอาจทำให้หายช้าและเกิดแผลเป็น

4. ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือผู้ติดเชื้อ HIV อาจใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้น

5. ได้รับการรักษาพร้อมกับคู่นอนหรือไม่

  • หากไม่ได้รักษาคู่นอนร่วม อาจเกิดการติดเชื้อซ้ำ ทำให้แผลหายไม่สนิท

หมอแนะนำ:

หากรักษาเร็ว ดูแลแผลสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด แผลริมอ่อนมักจะหายได้โดยไม่ทิ้งแผลเป็นหรือภาวะแทรกซ้อน

แผลริมอ่อนกับซิฟิลิสต่างกันอย่างไร? ดูยังไงว่าเป็นโรคไหน

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า “แผลริมอ่อน” และ “แผลซิฟิลิสระยะแรก” คือโรคเดียวกัน เนื่องจากมีลักษณะเป็นแผลเปิดบริเวณอวัยวะเพศคล้ายกัน แต่ในความจริงแล้ว ทั้งสองโรคมีต้นเหตุ อาการ และการรักษาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เปรียบเทียบแผลริมอ่อน vs ซิฟิลิส (ระยะแรก)

จุดเปรียบเทียบ

แผลริมอ่อน (Chancroid)

ซิฟิลิส (Syphilis ระยะแรก)

เชื้อที่ก่อโรค

Haemophilus ducreyi (แบคทีเรีย)

Treponema pallidum (แบคทีเรีย)

ระยะฟักตัว

3–7 วัน

10–90 วัน (เฉลี่ย 3 สัปดาห์)

ลักษณะแผล

เจ็บมาก ขอบแผลไม่เรียบ มีหนอง

ไม่เจ็บ ขอบเรียบ แผลตื้น ไม่มีหนอง

จำนวนแผล

หลายแผล

ส่วนใหญ่เป็นแผลเดียว

ตำแหน่งแผล

อวัยวะเพศ ขาหนีบ ทวารหนัก

อวัยวะเพศ ช่องปาก ทวารหนัก

ต่อมน้ำเหลือง

มักบวมโตและปวด บางครั้งแตกเป็นหนอง

บวมโตแต่ไม่เจ็บ

การแพร่เชื้อ

ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลโดยตรง

ติดต่อผ่านเลือด เพศสัมพันธ์

การรักษา

ยาปฏิชีวนะเฉพาะ เช่น azithromycin

ยาฉีด penicillin G

ผลกระทบหากไม่รักษา

ฝี แผลเป็น แผลเน่า

เข้าสู่ระยะสองและสามของซิฟิลิส

วิธีแยกเบื้องต้นว่าคุณอาจเป็นโรคใด

  • หากแผล “เจ็บมาก มีหนอง ขอบแผลไม่เรียบ” มักเป็นแผลริมอ่อน
  • หากแผล “ไม่เจ็บ ขอบเรียบ ไม่มีหนอง” มักเข้าข่ายซิฟิลิสระยะแรก
  • อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโรคต้อง “ตรวจทางห้องปฏิบัติการ” เพื่อยืนยันเท่านั้น

หมอแนะนำ:

หากมีแผลที่อวัยวะเพศไม่ทราบสาเหตุ ไม่ควรวินิจฉัยเองจากอาการเบื้องต้น ควรเข้ารับการตรวจ PCR หรือ VDRL เพื่อแยกโรคอย่างถูกต้อง และได้รับยาที่ตรงกับเชื้อ เพื่อป้องกันการลุกลามหรือแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผลริมอ่อน (FAQ)

Q: แผลริมอ่อนอันตรายไหม?

A: แผลริมอ่อนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลเป็น พังผืด หรือฝีที่ขาหนีบ หากไม่รักษาอย่างถูกต้อง แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรักษาตั้งแต่ระยะแรกจะปลอดภัยที่สุด

Q: แผลริมอ่อนหายเองได้ไหม?

A: ในบางรายอาจหายเองได้ภายใน 2–3 สัปดาห์ แต่ระหว่างนั้นยังสามารถแพร่เชื้อได้ และเสี่ยงต่อการลุกลาม การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะช่วยให้หายเร็วและปลอดภัยกว่า

Q: แผลริมอ่อนเกิดจากอะไร?

A: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์หรือสัมผัสของเหลวจากแผลที่ติดเชื้อ

Q: แผลริมอ่อนหน้าตาเป็นอย่างไร?

A: มักเป็นแผลนุ่ม ขอบแผลไม่เรียบ เจ็บมาก มีหนอง และสามารถเกิดได้หลายตำแหน่งบริเวณอวัยวะเพศ

Q: แผลริมอ่อนกับซิฟิลิสต่างกันอย่างไร?

A: แผลริมอ่อนเจ็บมาก มีหนอง ขอบไม่เรียบ ส่วนแผลซิฟิลิสระยะแรกมักไม่เจ็บ ขอบเรียบ ไม่มีหนอง ต้องตรวจทางห้องแล็บเพื่อแยกโรคให้ชัด

Q: ตรวจแผลริมอ่อนที่ไหนดี?

A: ตรวจได้ทั้งในโรงพยาบาล คลินิกเวชกรรม คลินิกเฉพาะทางด้านโรคติดต่อทางเพศ หรือ Safe Clinic ที่ให้บริการแบบไม่ต้องเปิดเผยชื่อ

Q: แผลริมอ่อนใช้เวลารักษากี่วัน?

A: หากได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม แผลมักจะดีขึ้นใน 3–7 วัน แต่แผลลึกหรือมีฝีอาจใช้เวลานานกว่านั้น

Q: LGBTQ+ เสี่ยงแผลริมอ่อนมากกว่าคนทั่วไปไหม?

A: กลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะผู้มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือมีคู่นอนหลายคนมีความเสี่ยงสูงขึ้น การใช้ถุงยางและตรวจสุขภาพสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงได้

บทสรุป

แผลริมอ่อน แม้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแลหรือรักษาอย่างถูกวิธี อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่กระทบต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ การสังเกตอาการเบื้องต้นและรีบพบแพทย์เมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคลุกลามและการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือกำลังเผชิญกับแผลผิดปกติที่อวัยวะเพศ อย่าลังเลที่จะเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการดูแลสุขภาพทางเพศไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่คือความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย

ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม

icon email