แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจไม่คุ้นหูคนทั่วไป แต่กลับมีอาการที่สร้างความเจ็บปวดและรบกวนชีวิตประจำวันได้ไม่น้อย ผู้ที่ติดเชื้อมักมีแผลที่อวัยวะเพศ ซึ่งมีลักษณะเจ็บมาก ขอบแผลไม่เรียบ และมักพบหลายแผลพร้อมกัน โดยโรคนี้ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง และสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายหากไม่ป้องกันอย่างเหมาะสม
บทความนี้จะพาคุณรู้จักแผลริมอ่อนในทุกมิติ ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีสังเกต การตรวจวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกันที่ใช้ได้จริง พร้อมคำแนะนำเฉพาะสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ และคำตอบคำถามที่พบบ่อย เพื่อให้คุณดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดได้อย่างมั่นใจ
แผลริมอ่อน (Chancroid) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ลักษณะเด่นของโรคนี้คือแผลที่อวัยวะเพศซึ่งมีความเจ็บปวดมาก โดยมักมีลักษณะนิ่ม ขอบแผลไม่เรียบ และมักพบหลายแผลพร้อมกันในบริเวณเดียวกัน แตกต่างจากโรคทางเพศอื่นที่แผลอาจไม่เจ็บหรือมีลักษณะเดี่ยว
แผลริมอ่อนไม่ใช่โรคที่พบบ่อยในทุกประเทศ แต่สามารถระบาดได้ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โรคนี้สามารถติดต่อได้ง่ายหากมีการสัมผัสแผลโดยตรงระหว่างมีเพศสัมพันธ์
เนื่องจากอาการของแผลริมอ่อนอาจคล้ายกับโรคอื่น เช่น ซิฟิลิสหรือเริม การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ร่วมกับการตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจน ผู้ป่วยไม่ควรสรุปว่าเป็นโรคใดจากลักษณะแผลเพียงอย่างเดียว
การทำความเข้าใจว่าแผลริมอ่อนคืออะไร เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ รวมถึงช่วยให้สามารถสังเกตอาการและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
แผลริมอ่อนมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Haemophilus ducreyi ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบในกลุ่ม facultative anaerobe พบได้ในสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น หนองจากแผลหรือสารตกขาว เชื้อชนิดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรอยถลอกหรือบาดแผลเล็ก ๆ บนผิวหนังหรือเยื่อบุ ทำให้เกิดแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ
หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะมีการผลิตสารพิษชนิดหนึ่งที่เรียกว่า cytolethal distending toxin (HdCDT) ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อผิวและกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ส่งผลให้เกิดแผลเปิดที่มีลักษณะลึก ขอบไม่เรียบ และมีอาการเจ็บปวดอย่างมาก
เชื้อ Haemophilus ducreyi มักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ในทุกรูปแบบที่มีการสัมผัสโดยตรงกับแผล เช่น ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก หากผิวหนังหรือเยื่อบุบริเวณที่สัมผัสมีรอยถลอกแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถติดเชื้อได้ง่าย
โรคนี้มีการรายงานว่าแพร่ระบาดได้รวดเร็วในพื้นที่ที่ขาดสุขอนามัย ระบบสาธารณสุขไม่ทั่วถึง หรือมีพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือการไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์
ระยะฟักตัวของแผลริมอ่อน (Incubation Period) คือช่วงเวลาตั้งแต่เชื้อ Haemophilus ducreyi เข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งเริ่มแสดงอาการ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 4–7 วัน แต่ในบางรายอาจพบตั้งแต่ 3–10 วัน ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคลและปริมาณเชื้อที่ได้รับ
ในช่วงระยะฟักตัว ผู้ติดเชื้ออาจยังไม่มีอาการใด ๆ แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือสัมผัสแผลที่เริ่มฟักตัวโดยตรง การติดต่อของแผลริมอ่อนสามารถเกิดได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
นอกจากนี้ เชื้อยังสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลเล็ก ๆ บนผิวหนังที่สัมผัสกับของเหลวจากแผลของผู้ติดเชื้อ เช่น หนองหรือตกขาว หากเชื้อนี้สัมผัสกับเยื่อบุตา อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาได้เช่นกัน (ocular chancroid)
แม้ว่าแผลริมอ่อนจะไม่ใช่โรคที่แพร่กระจายได้ง่ายเหมือนบางโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น เอดส์หรือหนองในแท้ แต่การมีแผลเปิดร่วมกับพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัยจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้ออย่างมีนัยสำคัญ
แผลที่อวัยวะเพศอาจเกิดได้จากหลายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยเฉพาะ “แผลริมอ่อน”, “ซิฟิลิส” และ “เริม” ซึ่งมักทำให้คนไข้สับสนและวินิจฉัยผิดพลาดได้ง่าย การแยกความแตกต่างของแต่ละโรคจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
ตารางด้านล่างสรุปจุดแตกต่างสำคัญของแต่ละโรคอย่างชัดเจน:
ลักษณะ |
แผลริมอ่อน (Chancroid) |
||
---|---|---|---|
เชื้อที่ก่อโรค |
Haemophilus ducreyi |
Treponema pallidum |
Herpes Simplex Virus (HSV‑1 / HSV‑2) |
ลักษณะแผล |
เจ็บมาก, ขอบแผลไม่เรียบ, มีหนอง, หลายแผล |
ไม่เจ็บ, ขอบเรียบ, แผลเดียว, แห้งไว |
กลุ่มตุ่มน้ำใส, คันหรือแสบ, แตกเป็นแผลตื้น |
ระยะฟักตัว |
3–10 วัน |
10–90 วัน |
2–14 วัน |
การวินิจฉัย |
ตรวจหนอง, PCR, Gram stain |
ตรวจเลือด VDRL, RPR |
ตรวจ PCR หรือเชื้อจากตุ่ม |
ลักษณะอาการอื่นร่วม |
ต่อมน้ำเหลืองบวม เจ็บมาก |
ไม่มีอาการในระยะแรก หรือผื่นในระยะสอง |
ปวดแสบ, คัน, มีไข้ในบางราย |
การรักษาหลัก |
ยาปฏิชีวนะ |
ยาปฏิชีวนะ (Penicillin) |
ยาต้านไวรัส (Acyclovir, Valacyclovir) |
มีโอกาสหายเองโดยไม่รักษา? |
บางกรณีหายแต่เสี่ยงภาวะแทรกซ้อน |
อาจเงียบแต่พัฒนาเป็นซิฟิลิสระยะสอง/สาม |
มักเป็นซ้ำ ไม่มีทางหายขาด |
การวินิจฉัยโรคทางเพศสัมพันธ์ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่ควรอาศัยเพียงลักษณะแผลภายนอกเพราะแต่ละโรคมีความซับซ้อนและอาจแฝงโรคร่วมอื่น ๆ ได้เสมอ
อาการของแผลริมอ่อนในผู้ชายและผู้หญิงอาจแตกต่างกันทั้งในด้านจำนวน ตำแหน่งของแผล และความรุนแรงของอาการ โดยปัจจัยทางกายวิภาคมีผลต่อการแสดงอาการของโรคอย่างชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลต่อความยากในการวินิจฉัยโดยเฉพาะในผู้หญิงที่มักไม่มีอาการชัดเจน
ตารางเปรียบเทียบอาการแผลริมอ่อนในผู้ชาย vs ผู้หญิง
ลักษณะอาการ |
ผู้ชาย |
ผู้หญิง |
---|---|---|
ตำแหน่งแผล |
หนังหุ้มปลายองคชาต, ลำองคชาต, ถุงอัณฑะ, ขาหนีบ |
แคมเล็ก, แคมใหญ่, ปากมดลูก, รูทวาร, ต้นขาด้านใน |
ลักษณะแผล |
ตุ่มแดง → แผลเปิดลึก, ขอบไม่เรียบ, หนอง, เจ็บมาก |
ตุ่มหลายตำแหน่ง, เปื่อยบางส่วน, เจ็บเล็กน้อยหรือไม่เจ็บ |
จำนวนแผล |
มักมีแผล 1–2 จุดชัดเจน |
อาจมีแผลหลายจุดแบบกระจายหรือซ่อนอยู่ภายใน |
อาการร่วม |
ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บที่ขาหนีบ, ปัสสาวะแสบขัด |
อาจมีตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นแรง, ปวดแสบเวลาปัสสาวะ/อุจจาระ |
โอกาสแสดงอาการ |
มักแสดงอาการชัดเจนในระยะฟักตัวสั้น |
หลายรายไม่แสดงอาการภายนอก → เสี่ยงแพร่เชื้อแบบไม่รู้ตัว |
ข้อควรระวัง: ผู้หญิงที่ติดเชื้อแผลริมอ่อนอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค เนื่องจากตำแหน่งของแผลอยู่ในอวัยวะเพศภายใน และมักไม่มีอาการเจ็บหรือเห็นแผลภายนอกชัดเจน จึงควรได้รับการตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะทางหากสงสัยว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
แผลริมอ่อนสามารถเกิดได้กับทุกเพศสภาพ และไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ชายหรือผู้หญิงตามเพศกำเนิดเท่านั้น สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ หรือผู้ที่มีเพศวิถีหลากหลาย เช่น กลุ่มชายรักชาย (MSM), หญิงรักหญิง, ผู้มีเพศสัมพันธ์ผ่านทวารหนัก หรือผู้มีอวัยวะเพศไม่ตรงกับเพศสภาพ (transgender) ล้วนมีโอกาสแสดงอาการของแผลริมอ่อนในลักษณะเฉพาะที่ควรได้รับความเข้าใจเฉพาะกลุ่ม
ตัวอย่างลักษณะอาการและจุดสังเกตในแต่ละกลุ่ม
ข้อควรรู้: กลุ่มเพศทางเลือกบางกลุ่มอาจรู้สึกไม่สะดวกใจในการตรวจอวัยวะเพศหรือให้ข้อมูลที่ละเอียดในเบื้องต้น จึงควรได้รับบริการที่ปลอดภัยและเป็นมิตรจากคลินิกหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเข้าใจในสุขภาพทางเพศของกลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะ
แผลริมอ่อนอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ในหลายแง่มุม โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม เชื้อ Haemophilus ducreyi ไม่ได้เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงเหมือนโรคซิฟิลิส แต่สามารถสร้างภาวะเสี่ยงทางอ้อมต่อแม่และทารกได้ดังนี้:
แม้ว่าแผลริมอ่อน (Chancroid) จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่โดยทั่วไปมีอาการเด่นคือแผลเจ็บบริเวณอวัยวะเพศ แต่ก็มีกรณีจำนวนหนึ่งที่ผู้ติดเชื้อ “ไม่มีอาการ” หรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อยจนสังเกตไม่เห็น ทำให้ผู้ป่วยบางรายกลายเป็น “พาหะเงียบ” (asymptomatic carrier) โดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้จะไม่มีแผลภายนอกที่เห็นชัด การมีเชื้อ Haemophilus ducreyi อยู่ในสารคัดหลั่ง เช่น ตกขาว หนอง หรือของเหลวในช่องคลอดหรือทวารหนัก ยังสามารถแพร่ไปยังคู่นอนได้ง่ายเมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน
แผลริมอ่อนอาจไม่ใช่โรคเงียบในเชิงอาการโดยตรงเหมือนซิฟิลิสหรือ HIV แต่สามารถ “เงียบชั่วคราว” และส่งผลได้อย่างคาดไม่ถึง หากละเลยการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง
การวินิจฉัยโรคแผลริมอ่อนจำเป็นต้องอาศัยทั้งการตรวจร่างกายโดยแพทย์และการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ เนื่องจากลักษณะแผลอาจคล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น เช่น ซิฟิลิสหรือเริม การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงต้องแยกโรคออกอย่างชัดเจน
แพทย์จะสอบถามถึงอาการ ลักษณะของแผล ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมเสี่ยง จากนั้นจะทำการตรวจบริเวณที่สงสัย โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ทวารหนัก และขาหนีบ เพื่อประเมินลักษณะแผลและการบวมของต่อมน้ำเหลือง
ใช้ไม้ป้ายหรือสไลด์เก็บของเหลวจากแผล หนอง หรือสารคัดหลั่ง แล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
วิธีนี้จะย้อมเชื้อบนสไลด์และดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อระบุว่าเป็นแบคทีเรียชนิด Haemophilus ducreyi หรือไม่ โดยจะเห็นเป็นแบคทีเรียแกรมลบขนาดเล็กเรียงกันเป็นกลุ่ม
นำตัวอย่างจากแผลไปเลี้ยงเชื้อในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเฉพาะ วิธีนี้ต้องอาศัยห้องปฏิบัติการที่มีความชำนาญและอุปกรณ์ครบถ้วน แต่ช่วยยืนยันชนิดของเชื้อได้ชัดเจน
เทคนิค PCR เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยตรง มีความแม่นยำสูง และสามารถแยกแยะโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ ที่มีลักษณะแผลใกล้เคียงได้ในคราวเดียว เช่น ซิฟิลิส เริม หรือหนองในแท้
แนวทางการรักษาแผลริมอ่อนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ตำแหน่งของแผล และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปแพทย์จะเริ่มต้นด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่หากมีภาวะฝีจากต่อมน้ำเหลืองหรือลุกลาม อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดร่วมด้วย
เป็นแนวทางหลักที่ใช้รักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันการแพร่กระจายของโรค
ยาที่ใช้บ่อย (ตามแนวทาง CDC):
ข้อดีของการใช้ยา:
ข้อจำกัด:
ใช้ในกรณีที่มีฝีหนองจากต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตผิดปกติและไม่สามารถยุบเองได้
แนวทางผ่าตัดที่ใช้บ่อย:
ข้อดี:
ข้อควรพิจารณา:
อาการผู้ป่วย |
ทางเลือกที่เหมาะสม |
---|---|
แผลขนาดเล็ก เจ็บเฉพาะที่ ไม่มีฝี |
ยาปฏิชีวนะอย่างเดียว |
ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบบวม/มีฝี |
ยาปฏิชีวนะ + ดูดหนองหรือผ่าตัด |
ไม่ตอบสนองต่อยาภายใน 7 วัน |
ปรับสูตรยา + ตรวจซ้ำ |
การรักษาแผลริมอ่อนด้วยยาปฏิชีวนะ (antibiotics) เป็นแนวทางหลักที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) โดยยาแต่ละชนิดมีข้อดี-ข้อจำกัดต่างกัน ผู้ป่วยควรได้รับการพิจารณาจากแพทย์เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมที่สุด
ยา |
วิธีใช้ |
จุดเด่น |
ข้อควรระวัง |
---|---|---|---|
Azithromycin |
รับประทาน 1 กรัม ครั้งเดียว |
ใช้ง่าย สะดวก เหมาะกับผู้ไม่อยากฉีดยา |
อาจคลื่นไส้ ท้องเสียเล็กน้อย |
Ceftriaxone |
ฉีดเข้ากล้าม 250 มก. ครั้งเดียว |
ออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลไว |
ต้องฉีดโดยบุคลากรทางการแพทย์ |
Ciprofloxacin |
รับประทาน 500 มก. วันละ 2 ครั้ง × 3 วัน |
มีผลต่อแบคทีเรียกลุ่มอื่นด้วย |
ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือคนมีปัญหาเอ็น |
Erythromycin |
รับประทาน 500 มก. วันละ 4 ครั้ง × 7 วัน |
ใช้ได้แม้แพ้ยาตัวอื่น |
ต้องกินหลายมื้อ มีผลข้างเคียงทางทางเดินอาหาร |
แม้ว่าการรักษาแผลริมอ่อนด้วยยาปฏิชีวนะหรือการผ่าตัดจะช่วยควบคุมเชื้อได้ดี แต่การดูแลหลังการรักษาอย่างถูกวิธีก็มีบทบาทสำคัญต่อการหายของแผล การลดอาการเจ็บ และการป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อซ้ำ
แม้ว่าแผลริมอ่อนจะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ หากวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิต
หากแบคทีเรียแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้เกิดฝีขนาดใหญ่บริเวณขาหนีบ ซึ่งหากไม่ทำการผ่าตัดหรือระบายหนอง อาจเกิดการแตกออกใต้ผิวหนัง ส่งผลให้หายช้าและเสี่ยงแผลเป็น
แผลลึกหรือมีการอักเสบเรื้อรังอาจทำให้เกิดพังผืดหรือรอยดึงรั้ง ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของหนังหุ้มปลาย หรือทำให้เกิดการตีบตัน (phimosis) ซึ่งอาจต้องผ่าตัดในภายหลัง
ในกรณีที่แผลเกิดบริเวณใกล้ท่อปัสสาวะ การอักเสบอาจทำให้ท่อเกิดรูทะลุ หรือเชื่อมติดกับผิวหนังด้านนอก ส่งผลให้ปัสสาวะผิดทาง หรือไหลตลอดเวลา
แผลเปิดจากแผลริมอ่อนเป็นช่องทางให้เชื้อ HIV หรือเชื้ออื่น ๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะหากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ในกรณีรุนแรงที่แผลลุกลาม หรือเกิดเนื้อตายเฉพาะที่ (localized necrosis) อาจทำให้อวัยวะเพศบางส่วน “แหว่งหาย” หรือผิดรูปถาวร ซึ่งพบได้น้อยแต่รุนแรง
แม้ว่าแผลริมอ่อนจะไม่ใช่โรคที่พบบ่อยในประเทศไทย แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อ และผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
การป้องกันแผลริมอ่อนไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเรารู้จัก “ใส่ใจสุขภาพทางเพศ” ด้วยการใช้ถุงยาง ตรวจโรคสม่ำเสมอ และไม่ละเลยอาการผิดปกติเล็กน้อย การรู้ไว รักษาไว ป้องกันได้เสมอ
แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มี “แผลเปิด” และ “การติดเชื้อแบคทีเรีย” เป็นจุดสำคัญ การปล่อยให้หายเองโดยไม่รักษานั้น “มีโอกาส” แต่ไม่แนะนำ เพราะเสี่ยงต่อการลุกลาม การแพร่เชื้อ และการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรง
ในบางกรณีแผลริมอ่อนอาจเริ่มแห้งและสมานตัวได้เองภายใน 2–3 สัปดาห์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันดี แผลไม่ลึก และไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่การหายเองมีข้อจำกัด เช่น:
แนวทางการรักษา |
ระยะเวลาฟื้นตัวโดยประมาณ |
---|---|
ไม่รักษาใด ๆ |
14–21 วัน หรือมากกว่า |
ใช้ยาปฏิชีวนะ |
3–7 วัน สำหรับแผลขนาดเล็ก |
ผ่าตัดร่วมด้วย |
7–14 วัน (ขึ้นกับการสมานของแผล) |
ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาแผลริมอ่อน (Chancroid) จะแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย เช่น ขนาดของแผล ความรุนแรงของอาการ การได้รับยาที่เหมาะสม และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยทั่วไปแล้ว หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี แผลสามารถหายได้ภายใน 3–14 วัน
ขนาดแผลและวิธีรักษา |
ระยะเวลาหายโดยเฉลี่ย |
---|---|
แผลขนาดเล็ก + ยาปฏิชีวนะ |
3–5 วัน |
แผลปานกลาง + ยาปฏิชีวนะ |
5–7 วัน |
แผลลึกหรือมีฝีร่วมด้วย |
10–14 วัน |
ไม่ได้รับการรักษา |
อาจนานกว่า 2–3 สัปดาห์ |
หากรักษาเร็ว ดูแลแผลสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด แผลริมอ่อนมักจะหายได้โดยไม่ทิ้งแผลเป็นหรือภาวะแทรกซ้อน
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า “แผลริมอ่อน” และ “แผลซิฟิลิสระยะแรก” คือโรคเดียวกัน เนื่องจากมีลักษณะเป็นแผลเปิดบริเวณอวัยวะเพศคล้ายกัน แต่ในความจริงแล้ว ทั้งสองโรคมีต้นเหตุ อาการ และการรักษาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
จุดเปรียบเทียบ |
แผลริมอ่อน (Chancroid) |
ซิฟิลิส (Syphilis ระยะแรก) |
---|---|---|
เชื้อที่ก่อโรค |
Haemophilus ducreyi (แบคทีเรีย) |
Treponema pallidum (แบคทีเรีย) |
ระยะฟักตัว |
3–7 วัน |
10–90 วัน (เฉลี่ย 3 สัปดาห์) |
ลักษณะแผล |
เจ็บมาก ขอบแผลไม่เรียบ มีหนอง |
ไม่เจ็บ ขอบเรียบ แผลตื้น ไม่มีหนอง |
จำนวนแผล |
หลายแผล |
ส่วนใหญ่เป็นแผลเดียว |
ตำแหน่งแผล |
อวัยวะเพศ ขาหนีบ ทวารหนัก |
อวัยวะเพศ ช่องปาก ทวารหนัก |
ต่อมน้ำเหลือง |
มักบวมโตและปวด บางครั้งแตกเป็นหนอง |
บวมโตแต่ไม่เจ็บ |
การแพร่เชื้อ |
ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลโดยตรง |
ติดต่อผ่านเลือด เพศสัมพันธ์ |
การรักษา |
ยาปฏิชีวนะเฉพาะ เช่น azithromycin |
ยาฉีด penicillin G |
ผลกระทบหากไม่รักษา |
ฝี แผลเป็น แผลเน่า |
หากมีแผลที่อวัยวะเพศไม่ทราบสาเหตุ ไม่ควรวินิจฉัยเองจากอาการเบื้องต้น ควรเข้ารับการตรวจ PCR หรือ VDRL เพื่อแยกโรคอย่างถูกต้อง และได้รับยาที่ตรงกับเชื้อ เพื่อป้องกันการลุกลามหรือแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
A: แผลริมอ่อนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลเป็น พังผืด หรือฝีที่ขาหนีบ หากไม่รักษาอย่างถูกต้อง แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรักษาตั้งแต่ระยะแรกจะปลอดภัยที่สุด
A: ในบางรายอาจหายเองได้ภายใน 2–3 สัปดาห์ แต่ระหว่างนั้นยังสามารถแพร่เชื้อได้ และเสี่ยงต่อการลุกลาม การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะช่วยให้หายเร็วและปลอดภัยกว่า
A: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์หรือสัมผัสของเหลวจากแผลที่ติดเชื้อ
A: มักเป็นแผลนุ่ม ขอบแผลไม่เรียบ เจ็บมาก มีหนอง และสามารถเกิดได้หลายตำแหน่งบริเวณอวัยวะเพศ
A: แผลริมอ่อนเจ็บมาก มีหนอง ขอบไม่เรียบ ส่วนแผลซิฟิลิสระยะแรกมักไม่เจ็บ ขอบเรียบ ไม่มีหนอง ต้องตรวจทางห้องแล็บเพื่อแยกโรคให้ชัด
A: ตรวจได้ทั้งในโรงพยาบาล คลินิกเวชกรรม คลินิกเฉพาะทางด้านโรคติดต่อทางเพศ หรือ Safe Clinic ที่ให้บริการแบบไม่ต้องเปิดเผยชื่อ
A: หากได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม แผลมักจะดีขึ้นใน 3–7 วัน แต่แผลลึกหรือมีฝีอาจใช้เวลานานกว่านั้น
A: กลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะผู้มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือมีคู่นอนหลายคนมีความเสี่ยงสูงขึ้น การใช้ถุงยางและตรวจสุขภาพสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงได้
แผลริมอ่อน แม้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแลหรือรักษาอย่างถูกวิธี อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่กระทบต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ การสังเกตอาการเบื้องต้นและรีบพบแพทย์เมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคลุกลามและการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือกำลังเผชิญกับแผลผิดปกติที่อวัยวะเพศ อย่าลังเลที่จะเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการดูแลสุขภาพทางเพศไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่คือความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้