Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ไวรัสตับอักเสบเอ คืออะไร? อาการ อันตราย วิธีรักษา ป้องกัน 2025

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส HAV ซึ่งมักพบในพื้นที่ที่สุขอนามัยไม่ดี แม้จะเป็นโรคที่ไม่พัฒนาเป็นเรื้อรัง แต่ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อสุขภาพได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคตับอยู่ก่อนแล้ว

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักไวรัสตับอักเสบเอ แบบครบทุกมิติ ตั้งแต่ลักษณะของเชื้อ การติดต่อ อาการ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน ไปจนถึงคำถามพบบ่อย พร้อมข้อมูลที่อัปเดตล่าสุดเพื่อช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ไวรัสตับอักเสบเอ คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) คือการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด HAV (Hepatitis A Virus) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับในระยะสั้น ลักษณะของโรคนี้จัดอยู่ในประเภทเฉียบพลัน ไม่พัฒนาเป็นโรคตับเรื้อรังหรือมะเร็งตับเหมือนไวรัสตับอักเสบบีหรือไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบเอ พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี เช่น ประเทศกำลังพัฒนา หรือชุมชนที่มีการปนเปื้อนของน้ำและอาหาร อัตราการติดเชื้อสูงในกลุ่มคนที่ไม่เคยได้รับวัคซีน หรือไม่มีภูมิคุ้มกันฟมาก่อน

แม้ว่าการติดเชื้อ HAV ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว อาการอาจรุนแรงจนต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด

โรคนี้สามารถป้องกันได้ง่ายผ่านการฉีดวัคซีน และการรักษาสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หรือหลีกเลี่ยงอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด

ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อได้อย่างไร?

ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ติดต่อผ่านทางระบบทางเดินอาหาร โดยเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นเส้นทางที่เรียกว่า Fecal-Oral Route หรือ “ทางอุจจาระสู่ปาก” ตัวอย่างของการติดเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การบริโภคอาหารทะเลดิบหรือกึ่งสุกโดยเฉพาะจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน
  • การใช้น้ำแข็งที่ผลิตจากน้ำไม่สะอาด
  • การดื่มน้ำหรืออาหารจากแหล่งที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี
  • การสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เช่น ดูแลผู้ป่วย หรืออยู่ในบ้านเดียวกัน

เชื้อไวรัส HAV สามารถอยู่รอดในสิ่งแวดล้อมได้นาน และทนต่ออุณหภูมิทั่วไป จึงสามารถแพร่กระจายได้ง่ายโดยเฉพาะในพื้นที่แออัด หรือสถานที่ที่มีสุขอนามัยไม่เพียงพอ

ไวรัสชนิดนี้ ไม่ติดต่อผ่านเลือด การมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้เข็มร่วมกัน ต่างจากไวรัสตับอักเสบบี หรือ ไวรัสตับอักเสบซี

อาการของไวรัสตับอักเสบเอมีอะไรบ้าง?

อาการของไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) โดยทั่วไปจะเริ่มแสดงหลังจากระยะฟักตัวประมาณ 2–6 สัปดาห์ โดยอาการมักค่อย ๆ แสดงออกทีละน้อย และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะระหว่างเด็กและผู้ใหญ่

ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กเล็ก แต่ในผู้ใหญ่ มักมีอาการดังนี้:

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดเมื่อยตามตัว หรือปวดท้องบริเวณชายโครงขวา
  • ไข้ต่ำ ๆ
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง

อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นพร้อมกันและคงอยู่ได้นาน 2–6 สัปดาห์ ในกรณีส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่ควรเฝ้าระวังอาการรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคตับเรื้อรัง

ระยะฟักตัวและพัฒนาการของโรคไวรัสตับอักเสบเอ

หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) เข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร เชื้อจะเริ่มแบ่งตัวและแพร่กระจายไปยังตับโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ในช่วงแรก ซึ่งเรียกว่า ระยะฟักตัว (Incubation Period)

ระยะฟักตัวของไวรัสตับอักเสบเอ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28 วัน แต่สามารถอยู่ในช่วงระหว่าง 15–50 วัน โดยที่ผู้ติดเชื้ออาจยังไม่รู้ตัวว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย

การพัฒนาของโรคโดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ระยะ:

  1. ระยะก่อนมีอาการ (Pre-icteric phase): เริ่มมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น เหนื่อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดเมื่อย
  2. ระยะตัวเหลือง (Icteric phase): ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเข้ม ซึ่งมักเกิดตามหลังอาการทั่วไปประมาณ 1 สัปดาห์
  3. ระยะฟื้นตัว (Convalescent phase): อาการค่อย ๆ ดีขึ้น ร่างกายกลับมามีแรง ความเหลืองค่อย ๆ หายภายในไม่กี่สัปดาห์

โรคนี้ไม่พัฒนาเป็นภาวะเรื้อรัง แต่ในบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังหายแล้ว

ไวรัสตับอักเสบเอ อันตรายไหม?

โดยทั่วไป ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ถือว่าเป็นโรคตับที่มีความรุนแรงน้อย และสามารถหายได้เองโดยไม่ทิ้งผลกระทบในระยะยาว แตกต่างจากไวรัสตับอักเสบ บีหรือซีที่อาจพัฒนาเป็นโรคตับเรื้อรังหรือมะเร็งตับ

ในคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว อาการมักไม่รุนแรง และฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ภายในไม่กี่สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของโรคอาจเพิ่มขึ้นในกลุ่มต่อไปนี้:

  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่มีโรคตับเรื้อรังมาก่อน
  • ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

ในกรณีที่พบได้น้อยมาก HAV อาจทำให้เกิดภาวะ ตับวายเฉียบพลัน (Fulminant Hepatitis) ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนในโรงพยาบาล

ถึงแม้โรคนี้จะไม่รุนแรงในคนทั่วไป แต่การป้องกันไว้ก่อนด้วยวัคซีนและสุขอนามัยที่ดี จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก

วิธีวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบเอ

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีจำเพาะที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อไวรัส การตรวจที่ใช้บ่อยที่สุดคือ:

  • Anti-HAV IgM: ใช้ตรวจหาเชื้อในระยะเฉียบพลัน หากผลเป็นบวก แสดงว่ากำลังติดเชื้ออยู่
  • Anti-HAV IgG: แสดงว่ามีภูมิคุ้มกันจากการเคยติดเชื้อมาก่อนหรือเคยได้รับวัคซีน

การตรวจนี้สามารถทำได้ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกเวชกรรมทั่วไป โดยไม่ต้องงดน้ำงดอาหารล่วงหน้า ผลการตรวจมักใช้เวลา 1–3 วันทำการ

ในกรณีที่มีอาการทางตับ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือค่าตับผิดปกติ แพทย์อาจสั่งตรวจเลือดอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ค่า ALT, AST และบิลิรูบิน เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

การรักษาไวรัสตับอักเสบเอ

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะสำหรับไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการพักฟื้นของร่างกาย เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้เอง

แนวทางการดูแลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ ได้แก่:

  • พักผ่อนให้เพียงพอ: ร่างกายต้องใช้พลังงานในการฟื้นตัวจากการอักเสบของตับ
  • รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย: หลีกเลี่ยงของมันจัดหรืออาหารหนักตับ
  • ดื่มน้ำมาก ๆ: เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะหากมีไข้หรืออาเจียน
  • งดแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์เพิ่มภาระให้ตับที่กำลังอักเสบ
  • ติดตามอาการกับแพทย์: หากมีอาการมากขึ้น เช่น ตัวเหลืองชัด อ่อนเพลียผิดปกติ ควรพบแพทย์โดยเร็ว

ในรายที่อาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณานอนโรงพยาบาลเพื่อดูแลใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีโรคตับเรื้อรังร่วม

ป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ อย่างไร?

ไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้วยวัคซีนและการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล การป้องกันตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่กระจายของโรคในชุมชน

แนวทางการป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ:

  1. ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (HAV Vaccine): เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง วัคซีนมีทั้งแบบเดี่ยวและแบบรวมกับวัคซีนตับอักเสบบี (HAV-HBV)
    • ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน
    • ควรฉีดให้ผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน และกลุ่มเสี่ยง
  2. ล้างมือให้สะอาด: โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ใช้น้ำและสบู่ทุกครั้ง
  3. หลีกเลี่ยงอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด:
    • หลีกเลี่ยงน้ำแข็งจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือ
    • เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เท่านั้น
    • หลีกเลี่ยงหอยนางรมหรืออาหารทะเลดิบ
  4. รักษาความสะอาดในครัวเรือนและสถานที่ทำอาหาร: ป้องกันการปนเปื้อนจากผู้ปรุงอาหารหรือภาชนะ

การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้เดินทางไปประเทศที่มีการระบาด หรือผู้ทำงานในร้านอาหาร โรงเรียน และสถานรับเลี้ยงเด็ก

ใครควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ?

วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (HAV Vaccine) เป็นหนึ่งในวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ใช้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันก่อนสัมผัสเชื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

กลุ่มที่แนะนำให้ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ:

  1. นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปประเทศเสี่ยง: โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา ละตินอเมริกา ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี
  2. พนักงานร้านอาหาร และผู้ทำงานเกี่ยวกับอาหาร: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
  3. เด็กที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน: โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังไม่มีการรณรงค์วัคซีนอย่างทั่วถึง
  4. ผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง: เช่น ไวรัสตับอักเสบ บีหรือซี เนื่องจากหากติด HAV ร่วม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
  5. ผู้ที่อยู่ในศูนย์เลี้ยงเด็ก โรงเรียน หรือสถานที่แออัด: ที่อาจเกิดการแพร่ระบาดได้ง่าย
  6. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือผู้ดูแลผู้ป่วย: ที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อผ่านการดูแลผู้ป่วย

การตรวจเลือดเพื่อดูภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีนก็เป็นอีกทางเลือก โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่อาจเคยได้รับเชื้อมาก่อนแล้วโดยไม่รู้ตัว

ต่างจากไวรัสตับอักเสบ บี และซี อย่างไร?

แม้ว่าไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี จะล้วนเป็นโรคติดเชื้อที่มีผลต่อตับเหมือนกัน แต่แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทั้งในด้านการติดต่อ ความรุนแรง และผลกระทบในระยะยาว

ตารางเปรียบเทียบไวรัสตับอักเสบ A, B, และ C:

ลักษณะ

ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV)

ไวรัสตับอักเสบบี (HBV)

ไวรัสตับอักเสบซี  (HCV)

วิธีการติดต่อ

ทางอาหาร-น้ำ (fecal-oral route)

ทางเลือด, เพศสัมพันธ์, แม่สู่ลูก

ทางเลือด (การใช้เข็ม, แม่สู่ลูก)

การพัฒนาเป็นโรคเรื้อรัง

ไม่

ได้ (ประมาณ 5–10%)

ได้สูง (มากกว่า 50%)

วัคซีนป้องกัน

มี

มี

ไม่มี

กลุ่มเสี่ยงหลัก

นักท่องเที่ยว, คนทำอาหาร

ผู้มีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย, ผู้รับเลือด

ผู้ใช้เข็มฉีดยา, ผู้รับเลือด

แนวทางการรักษา

รักษาตามอาการ

ยาต้านไวรัสในรายเรื้อรัง

ยาต้านไวรัสแบบเฉพาะ (DAAs)

ผลกระทบระยะยาว

ไม่มี

ตับแข็ง, มะเร็งตับ

ตับแข็ง, มะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบเอ จึงถือว่ามีความรุนแรงน้อยที่สุดในสามประเภท และสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนและการดูแลสุขอนามัยที่ดี

หญิงตั้งครรภ์ติดไวรัสตับอักเสบเออันตรายหรือไม่?

โดยทั่วไป การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ขณะตั้งครรภ์ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์โดยตรง แต่อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในหญิงตั้งครรภ์:

  • อาการรุนแรงมากขึ้น: หญิงตั้งครรภ์บางรายอาจมีอาการมากกว่าคนทั่วไป เช่น อ่อนเพลียมาก ตัวเหลืองชัด หรือเบื่ออาหารจนร่างกายขาดสารอาหาร
  • เสี่ยงต่อภาวะตับวายเฉียบพลัน: แม้จะพบน้อยมาก แต่ในบางกรณี HAV อาจกระตุ้นให้เกิดตับอักเสบรุนแรงจนเกิดภาวะตับวายได้
  • การติดเชื้อในช่วงใกล้คลอด: อาจมีโอกาสถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกหลังคลอด ผ่านการสัมผัสหรือการดูแลที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

แนวทางป้องกันที่แนะนำ:

  • ควรฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์ หากยังไม่เคยรับมาก่อนและมีแผนจะเดินทางหรือทำงานในพื้นที่เสี่ยง
  • ปฏิบัติตามสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการล้างมือและหลีกเลี่ยงอาหารดิบ

หากคุณตั้งครรภ์และสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

ตับอักเสบเอมีผลต่อการทำงานของตับอย่างไร?

ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองสารพิษ สร้างน้ำดี และควบคุมระดับพลังงานในร่างกาย เมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) จะทำให้เกิดการอักเสบในเซลล์ตับ ส่งผลต่อการทำงานของตับชั่วคราว

ผลกระทบของ HAV ต่อการทำงานของตับ:

  1. เซลล์ตับถูกทำลายชั่วคราว: HAV เข้าไปในตับแล้วถูกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตี ทำให้เซลล์ตับอักเสบหรือถูกทำลายบางส่วน ส่งผลให้ค่าการทำงานของตับ เช่น ALT, AST เพิ่มสูงขึ้น
  2. ระบบการขับของเสียทำงานผิดปกติ: ส่งผลให้เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเข้ม และอุจจาระสีซีด เพราะตับขับสารบิลิรูบินได้ลดลง
  3. การสร้างโปรตีนลดลงชั่วคราว: ในบางรายอาจมีภาวะเลือดออกง่ายหรือบวมน้ำจากโปรตีนในเลือดลดลงชั่วคราว
  4. ฟื้นตัวได้เต็มที่: ตับสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดี หากไม่มีโรคตับเรื้อรังร่วม ภาวะต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังหายจากโรค

แม้การติดเชื้อ HAV จะไม่พัฒนาเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ แต่ก็ควรดูแลตับในช่วงฟื้นตัวด้วยการหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และอาหารที่ทำให้ตับทำงานหนัก

เคยติดไวรัสตับอักเสบเอ แล้วจะเป็นซ้ำได้ไหม?

คำตอบคือ ไม่สามารถติดซ้ำได้อีก เพราะร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันถาวรหลังจากเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) หนึ่งครั้ง

เหตุผลทางชีววิทยา:

  • เมื่อติดเชื้อ HAV ร่างกายจะสร้าง แอนติบอดีชนิด IgG ซึ่งทำหน้าที่จดจำและป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
  • ภูมิคุ้มกันนี้จะอยู่กับร่างกายอย่างถาวร และสามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือด

ข้อควรรู้:

  • ผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน
  • อย่างไรก็ตาม หากไม่แน่ใจว่าเคยติดหรือยัง อาจพิจารณาตรวจเลือดเพื่อดูภูมิคุ้มกันก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีน
  • ภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อธรรมชาติมีประสิทธิภาพเทียบเท่าการฉีดวัคซีน

การติดไวรัสตับอักเสบเอ จึงเกิดได้เพียงครั้งเดียวตลอดชีวิต และเป็นโรคที่ไม่มีการกลับมาเป็นซ้ำอีกในคนที่มีภูมิคุ้มกัน

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบเอ อันตรายไหม?

โดยทั่วไปไม่อันตรายสำหรับคนสุขภาพดี อาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคตับร่วม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ไวรัสตับอักเสบเอ รักษาหายไหม?

หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการดีขึ้นภายใน 2–6 สัปดาห์ และไม่กลายเป็นโรคเรื้อรัง

เคยติดไวรัสตับอักเสบเอ แล้วจะเป็นซ้ำได้ไหม?

ไม่เป็นซ้ำ เพราะร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันถาวรหลังติดเชื้อหนึ่งครั้ง

วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ ต้องฉีดกี่เข็ม?

โดยทั่วไปฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน เพื่อให้ภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานหลายปี หรืออาจตลอดชีวิต

ไวรัสตับอักเสบเอ ต่างจากบีและซีอย่างไร?

ไวรัสตับอักเสบเอติดต่อผ่านอาหาร-น้ำ หายได้เอง ไม่เรื้อรัง ต่างจากบีและซีที่ติดต่อผ่านเลือดและอาจกลายเป็นเรื้อรังหรือมะเร็งตับ

บทสรุป

ไวรัสตับอักเสบเอ แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงในคนทั่วไป แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพตับและการใช้ชีวิตได้ หากได้รับการดูแลไม่เหมาะสม ข่าวดีคือโรคนี้สามารถป้องกันได้ง่ายด้วยวัคซีนและการรักษาสุขอนามัยอย่างถูกวิธี

หากคุณกำลังวางแผนเดินทาง อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือไม่แน่ใจว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่ การตรวจเลือดหรือปรึกษาแพทย์จะช่วยให้คุณวางแผนดูแลตนเองได้ดียิ่งขึ้น

icon email