ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส HAV ซึ่งมักพบในพื้นที่ที่สุขอนามัยไม่ดี แม้จะเป็นโรคที่ไม่พัฒนาเป็นเรื้อรัง แต่ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อสุขภาพได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคตับอยู่ก่อนแล้ว
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักไวรัสตับอักเสบเอ แบบครบทุกมิติ ตั้งแต่ลักษณะของเชื้อ การติดต่อ อาการ การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน ไปจนถึงคำถามพบบ่อย พร้อมข้อมูลที่อัปเดตล่าสุดเพื่อช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ
ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) คือการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด HAV (Hepatitis A Virus) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับในระยะสั้น ลักษณะของโรคนี้จัดอยู่ในประเภทเฉียบพลัน ไม่พัฒนาเป็นโรคตับเรื้อรังหรือมะเร็งตับเหมือนไวรัสตับอักเสบบีหรือไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบเอ พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบสุขาภิบาลไม่ดี เช่น ประเทศกำลังพัฒนา หรือชุมชนที่มีการปนเปื้อนของน้ำและอาหาร อัตราการติดเชื้อสูงในกลุ่มคนที่ไม่เคยได้รับวัคซีน หรือไม่มีภูมิคุ้มกันฟมาก่อน
แม้ว่าการติดเชื้อ HAV ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว อาการอาจรุนแรงจนต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด
โรคนี้สามารถป้องกันได้ง่ายผ่านการฉีดวัคซีน และการรักษาสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หรือหลีกเลี่ยงอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด
ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ติดต่อผ่านทางระบบทางเดินอาหาร โดยเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นเส้นทางที่เรียกว่า Fecal-Oral Route หรือ “ทางอุจจาระสู่ปาก” ตัวอย่างของการติดเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่:
เชื้อไวรัส HAV สามารถอยู่รอดในสิ่งแวดล้อมได้นาน และทนต่ออุณหภูมิทั่วไป จึงสามารถแพร่กระจายได้ง่ายโดยเฉพาะในพื้นที่แออัด หรือสถานที่ที่มีสุขอนามัยไม่เพียงพอ
ไวรัสชนิดนี้ ไม่ติดต่อผ่านเลือด การมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้เข็มร่วมกัน ต่างจากไวรัสตับอักเสบบี หรือ ไวรัสตับอักเสบซี
อาการของไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) โดยทั่วไปจะเริ่มแสดงหลังจากระยะฟักตัวประมาณ 2–6 สัปดาห์ โดยอาการมักค่อย ๆ แสดงออกทีละน้อย และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะระหว่างเด็กและผู้ใหญ่
ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กเล็ก แต่ในผู้ใหญ่ มักมีอาการดังนี้:
อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นพร้อมกันและคงอยู่ได้นาน 2–6 สัปดาห์ ในกรณีส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่ควรเฝ้าระวังอาการรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคตับเรื้อรัง
หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) เข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร เชื้อจะเริ่มแบ่งตัวและแพร่กระจายไปยังตับโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ในช่วงแรก ซึ่งเรียกว่า ระยะฟักตัว (Incubation Period)
ระยะฟักตัวของไวรัสตับอักเสบเอ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28 วัน แต่สามารถอยู่ในช่วงระหว่าง 15–50 วัน โดยที่ผู้ติดเชื้ออาจยังไม่รู้ตัวว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย
โรคนี้ไม่พัฒนาเป็นภาวะเรื้อรัง แต่ในบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังหายแล้ว
โดยทั่วไป ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ถือว่าเป็นโรคตับที่มีความรุนแรงน้อย และสามารถหายได้เองโดยไม่ทิ้งผลกระทบในระยะยาว แตกต่างจากไวรัสตับอักเสบ บีหรือซีที่อาจพัฒนาเป็นโรคตับเรื้อรังหรือมะเร็งตับ
ในคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว อาการมักไม่รุนแรง และฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ภายในไม่กี่สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของโรคอาจเพิ่มขึ้นในกลุ่มต่อไปนี้:
ในกรณีที่พบได้น้อยมาก HAV อาจทำให้เกิดภาวะ ตับวายเฉียบพลัน (Fulminant Hepatitis) ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนในโรงพยาบาล
ถึงแม้โรคนี้จะไม่รุนแรงในคนทั่วไป แต่การป้องกันไว้ก่อนด้วยวัคซีนและสุขอนามัยที่ดี จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก
การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีจำเพาะที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อไวรัส การตรวจที่ใช้บ่อยที่สุดคือ:
การตรวจนี้สามารถทำได้ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกเวชกรรมทั่วไป โดยไม่ต้องงดน้ำงดอาหารล่วงหน้า ผลการตรวจมักใช้เวลา 1–3 วันทำการ
ในกรณีที่มีอาการทางตับ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือค่าตับผิดปกติ แพทย์อาจสั่งตรวจเลือดอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ค่า ALT, AST และบิลิรูบิน เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะสำหรับไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการพักฟื้นของร่างกาย เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้เอง
แนวทางการดูแลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ ได้แก่:
ในรายที่อาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณานอนโรงพยาบาลเพื่อดูแลใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีโรคตับเรื้อรังร่วม
ไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้วยวัคซีนและการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล การป้องกันตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่กระจายของโรคในชุมชน
การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้เดินทางไปประเทศที่มีการระบาด หรือผู้ทำงานในร้านอาหาร โรงเรียน และสถานรับเลี้ยงเด็ก
วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (HAV Vaccine) เป็นหนึ่งในวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ใช้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันก่อนสัมผัสเชื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
การตรวจเลือดเพื่อดูภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีนก็เป็นอีกทางเลือก โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่อาจเคยได้รับเชื้อมาก่อนแล้วโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี จะล้วนเป็นโรคติดเชื้อที่มีผลต่อตับเหมือนกัน แต่แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทั้งในด้านการติดต่อ ความรุนแรง และผลกระทบในระยะยาว
ลักษณะ |
ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) |
ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) |
ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) |
---|---|---|---|
วิธีการติดต่อ |
ทางอาหาร-น้ำ (fecal-oral route) |
ทางเลือด, เพศสัมพันธ์, แม่สู่ลูก |
ทางเลือด (การใช้เข็ม, แม่สู่ลูก) |
การพัฒนาเป็นโรคเรื้อรัง |
ไม่ |
ได้ (ประมาณ 5–10%) |
ได้สูง (มากกว่า 50%) |
วัคซีนป้องกัน |
มี |
มี |
ไม่มี |
กลุ่มเสี่ยงหลัก |
นักท่องเที่ยว, คนทำอาหาร |
ผู้มีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย, ผู้รับเลือด |
ผู้ใช้เข็มฉีดยา, ผู้รับเลือด |
แนวทางการรักษา |
รักษาตามอาการ |
ยาต้านไวรัสในรายเรื้อรัง |
ยาต้านไวรัสแบบเฉพาะ (DAAs) |
ผลกระทบระยะยาว |
ไม่มี |
ตับแข็ง, มะเร็งตับ |
ตับแข็ง, มะเร็งตับ |
ไวรัสตับอักเสบเอ จึงถือว่ามีความรุนแรงน้อยที่สุดในสามประเภท และสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนและการดูแลสุขอนามัยที่ดี
โดยทั่วไป การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ขณะตั้งครรภ์ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์โดยตรง แต่อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
หากคุณตั้งครรภ์และสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองสารพิษ สร้างน้ำดี และควบคุมระดับพลังงานในร่างกาย เมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) จะทำให้เกิดการอักเสบในเซลล์ตับ ส่งผลต่อการทำงานของตับชั่วคราว
แม้การติดเชื้อ HAV จะไม่พัฒนาเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ แต่ก็ควรดูแลตับในช่วงฟื้นตัวด้วยการหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และอาหารที่ทำให้ตับทำงานหนัก
คำตอบคือ ไม่สามารถติดซ้ำได้อีก เพราะร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันถาวรหลังจากเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) หนึ่งครั้ง
การติดไวรัสตับอักเสบเอ จึงเกิดได้เพียงครั้งเดียวตลอดชีวิต และเป็นโรคที่ไม่มีการกลับมาเป็นซ้ำอีกในคนที่มีภูมิคุ้มกัน
โดยทั่วไปไม่อันตรายสำหรับคนสุขภาพดี อาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคตับร่วม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการดีขึ้นภายใน 2–6 สัปดาห์ และไม่กลายเป็นโรคเรื้อรัง
ไม่เป็นซ้ำ เพราะร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันถาวรหลังติดเชื้อหนึ่งครั้ง
โดยทั่วไปฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน เพื่อให้ภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานหลายปี หรืออาจตลอดชีวิต
ไวรัสตับอักเสบเอติดต่อผ่านอาหาร-น้ำ หายได้เอง ไม่เรื้อรัง ต่างจากบีและซีที่ติดต่อผ่านเลือดและอาจกลายเป็นเรื้อรังหรือมะเร็งตับ
ไวรัสตับอักเสบเอ แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงในคนทั่วไป แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพตับและการใช้ชีวิตได้ หากได้รับการดูแลไม่เหมาะสม ข่าวดีคือโรคนี้สามารถป้องกันได้ง่ายด้วยวัคซีนและการรักษาสุขอนามัยอย่างถูกวิธี
หากคุณกำลังวางแผนเดินทาง อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือไม่แน่ใจว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่ การตรวจเลือดหรือปรึกษาแพทย์จะช่วยให้คุณวางแผนดูแลตนเองได้ดียิ่งขึ้น
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้