Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร ดูสาเหตุ อาการ วิธีรักษา และการป้องกัน

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus – HCV) เป็นหนึ่งในไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบของตับ โดยส่วนใหญ่ติดต่อผ่านทางเลือด ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจพัฒนาเป็นภาวะเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในระยะยาวได้

ข่าวดีคือ ปัจจุบันมี ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีแบบรับประทานที่ให้ผลหายขาดทางคลินิกสูงกว่า 95% ใช้ระยะเวลาสั้น และผลข้างเคียงน้อยกว่ายาในอดีตอย่างชัดเจน

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจทุกแง่มุมของไวรัสตับอักเสบซี ตั้งแต่ลักษณะของเชื้อ การติดต่อ อาการ วิธีตรวจวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกัน พร้อมข้อมูลอัปเดตตามแนวทางสมาคมโรคตับในไทยและต่างประเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างถูกต้อง

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ไวรัสตับอักเสบซีคืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus หรือ HCV) คือไวรัสชนิด RNA สายเดี่ยวที่มีเปลือกหุ้ม (enveloped virus) ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ Flaviviridae เชื้อไวรัสนี้สามารถก่อให้เกิดการอักเสบของตับทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง และอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงในช่วงแรก ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อ
การติดเชื้อมักถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเลือดประจำปี หรือตรวจคัดกรองก่อนการผ่าตัดหรือบริจาคโลหิต

ไวรัสชนิดนี้แพร่เชื้อผ่านทางเลือดเป็นหลัก เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรอง หรือการทำหัตถการทางการแพทย์ที่ไม่สะอาด ไม่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การกอด การจูบ หรือการใช้ภาชนะร่วมกันในชีวิตประจำวัน

เชื้อไวรัสตับอักเสบซีมีกี่สายพันธุ์ (Genotype 1–6) และชนิดไหนรักษายากที่สุด?

ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) มีทั้งหมด 6 สายพันธุ์หลัก หรือที่เรียกว่า Genotype 1 ถึง 6 โดยแต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างกันทั้งในด้านการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ และการตอบสนองต่อการรักษา

  • Genotype 1: พบมากที่สุดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย มักตอบสนองต่อยา DAA ได้ดี แต่อดีตเคยเป็น Genotype ที่รักษายากเมื่อใช้ interferon
  • Genotype 2 และ 3: พบได้ในบางพื้นที่ของเอเชีย และยุโรปตอนใต้ โดย Genotype 3 อาจสัมพันธ์กับการเกิดภาวะไขมันพอกตับมากกว่า
  • Genotype 4: พบมากในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง
  • Genotype 5 และ 6: พบได้น้อย โดยเฉพาะ Genotype 6 มักพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยตอนบน

ปัจจุบัน แนวทางการรักษาด้วยยา DAA รุ่นใหม่ (pangenotypic agents) เช่น sofosbuvir/velpatasvir หรือ glecaprevir/pibrentasvir สามารถใช้รักษาได้เกือบทุก Genotype โดยไม่จำเป็นต้องตรวจชนิดของสายพันธุ์ก่อนในบางกรณี

อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่มีโรคประจำตัวร่วม เช่น โรคไตเรื้อรัง ตับแข็ง หรือได้รับการรักษาแล้วไม่ได้ผล การทราบ Genotype ยังคงมีความสำคัญในการปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม

ไวรัสตับอักเสบซี ต่างจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นอย่างไร?

ไวรัสตับอักเสบแบ่งออกเป็นหลายชนิด ได้แก่ ชนิดเอ (HAV), บี (HBV), ซี (HCV), ดี (HDV), และอี (HEV) ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะการติดต่อ อาการ และการรักษาที่แตกต่างกัน

  • ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) และ ไวรัสตับอักเสบอี (HEV) ติดต่อผ่านการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน โดยมักทำให้เกิดอาการเฉียบพลันและหายได้เอง ไม่เรื้อรัง
  • ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และ ไวรัสตับอักเสบดี (HDV) ติดต่อผ่านเลือดและของเหลวในร่างกาย เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การคลอดบุตร หรือใช้เข็มร่วมกัน สามารถกลายเป็นเรื้อรังได้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับ
  • ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ติดต่อผ่านเลือดเป็นหลัก และมักกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังโดยไม่แสดงอาการในระยะแรก

แตกต่างที่สำคัญคือ HCV ไม่มีวัคซีนป้องกันในปัจจุบัน ต่างจาก HAV และ HBV ที่มีวัคซีนใช้แพร่หลาย อีกทั้ง HCV มีโอกาสกลายเป็นเรื้อรังสูงกว่า และเป็นสาเหตุสำคัญของการปลูกถ่ายตับในหลายประเทศ

ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อได้อย่างไร? ติดจากน้ำลายไหม?

ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ติดต่อผ่านเลือดเป็นหลัก โดยการรับเชื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเลือดของผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดของผู้อื่น ช่องทางการติดเชื้อที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกัน เช่น ในผู้ใช้สารเสพติด
  • การสัก เจาะร่างกาย หรือทำฟันโดยใช้อุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม
  • การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่ไม่ผ่านการคัดกรอง (แม้ปัจจุบันมีความปลอดภัยสูงมากแล้ว)
  • การสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น อุบัติเหตุ เข็มตำ หรือการดูแลผู้ป่วยโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน

การติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดขึ้นได้ แต่มีโอกาสน้อยกว่าการติดต่อทางเลือดโดยตรง และจะพบได้บ่อยขึ้นในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แบบมีบาดแผล หรือผู้ติดเชื้อ HIV ร่วมด้วย

ไม่พบการติดเชื้อผ่านน้ำลาย น้ำตา เหงื่อ อาหาร หรือการกอดจูบโดยทั่วไป ดังนั้นการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น การทานอาหารร่วมกัน หรืออยู่บ้านเดียวกัน จึงไม่มีความเสี่ยงหากไม่มีการสัมผัสเลือดโดยตรง

พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

แม้ไวรัสตับอักเสบซีจะติดต่อผ่านเลือดเป็นหลัก แต่ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ได้แก่

  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะในผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด
  • สัก เจาะร่างกาย หรือทำฟัน ในสถานที่ที่ไม่ได้รับมาตรฐานด้านการฆ่าเชื้อ
  • รับเลือดหรืออวัยวะปลูกถ่าย ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวด (แม้ปัจจุบันความเสี่ยงจะต่ำมาก)
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยเฉพาะเมื่อมีบาดแผล, มีเลือด, หรือในกลุ่มที่มีภาวะติดเชื้อ HIV ร่วม
  • สัมผัสเลือดโดยตรง ขณะทำแผล หรือดูแลผู้ป่วย โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
  • แม่สู่ลูก: การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในขณะคลอด (พบได้น้อยกว่ารูปแบบอื่น)

พฤติกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น การกอด การใช้ช้อนส้อมร่วม หรือการอยู่บ้านเดียวกัน ไม่จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ

ไวรัสตับอักเสบซีมีอาการอะไรบ้าง? (เฉียบพลัน vs เรื้อรัง)

ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่มักไม่มีอาการในระยะแรก ทำให้ไม่รู้ตัวว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย โดยลักษณะอาการสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ

อาการระยะเฉียบพลัน (Acute phase)

เกิดขึ้นภายใน 6 เดือนหลังได้รับเชื้อ ผู้ป่วยประมาณ 20–30% อาจมีอาการ เช่น:

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือแน่นท้อง
  • ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง (อาการดีซ่าน)

แต่อีกกว่า 70% จะไม่มีอาการใด ๆ หรือมีอาการเล็กน้อยจนไม่สังเกตเห็น

อาการระยะเรื้อรัง (Chronic phase)

ผู้ที่ติดเชื้อเกิน 6 เดือนโดยไม่หายเองจะเข้าสู่ระยะเรื้อรัง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีกว่าจะเริ่มมีอาการ เช่น:

  • เหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดตามข้อ
  • คันตามผิวหนังหรือมีผื่น
  • ความจำสั้นลง ซึมเศร้า
  • ภาวะตับแข็ง (cirrhosis) หรือมะเร็งตับในระยะท้าย

ผู้ติดเชื้อเรื้อรังบางรายอาจไม่เคยแสดงอาการใดเลยจนกระทั่งตับเสียหายมากแล้ว

ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบซี เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ

หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในระยะเรื้อรังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อระบบตับและร่างกาย ได้แก่:

1. ตับแข็ง (Cirrhosis)

เป็นภาวะที่เนื้อตับถูกทำลายสะสมเรื้อรัง จนเกิดพังผืดแทนที่ ทำให้ตับไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ อาการที่อาจพบได้ เช่น:

  • ท้องมาน ขาบวม
  • เส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร (esophageal varices)
  • เลือดออกง่าย เกล็ดเลือดต่ำ
  • สับสน งุนงง (hepatic encephalopathy)

2. มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma – HCC)

ไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่มีตับแข็งร่วมด้วย ผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา มีโอกาสเกิดมะเร็งตับในอัตราที่สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า

3. ภาวะนอกตับ (Extrahepatic manifestations)

นอกจากผลต่อเนื้อตับแล้ว HCV ยังอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่น เช่น:

  • โรคไตเรื้อรังบางชนิด
  • Vasculitis (หลอดเลือดอักเสบ)
  • ภาวะต้านอินซูลินหรือเบาหวานชนิดที่ 2

ใครบ้างที่ควรเข้ารับการตรวจไวรัสตับอักเสบซี?

เนื่องจากไวรัสตับอักเสบซีมักไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญในการค้นหาผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว แนวทางปัจจุบันจากองค์การอนามัยโลก (WHO), ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) และสมาคมแพทย์โรคตับหลายแห่ง แนะนำให้บุคคลกลุ่มต่อไปนี้เข้ารับการตรวจ:

กลุ่มที่ควรตรวจอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต

  • ผู้ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508–2523 (1965–1980)
  • ผู้ที่ไม่เคยได้รับการตรวจ HCV มาก่อน
  • ประชากรทั่วไปอายุ 18 ปีขึ้นไป (แนวทาง CDC ปี 2020)

กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจซ้ำหรือตรวจต่อเนื่อง

  • ผู้ที่ใช้ยาเสพติดแบบฉีด ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน
  • ผู้ที่ได้รับเลือดหรืออวัยวะปลูกถ่ายก่อนปี 2535
  • ผู้ป่วยโรคตับหรือมีค่าการทำงานของตับผิดปกติ
  • ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือ HBV ร่วม
  • ผู้ต้องขัง หรือผู้มีประวัติสัก/เจาะในสถานที่ไม่มีมาตรฐาน
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์ (บางแนวทางแนะนำตรวจ 1 ครั้ง)

การตรวจหา HCV เป็นขั้นตอนที่ง่ายและสามารถทำได้ด้วยการเจาะเลือดเพียงครั้งเดียว หากพบว่ามีเชื้อจะมีการตรวจยืนยันและพิจารณาแนวทางการรักษาต่อไป

วิธีการตรวจหาไวรัสตับอักเสบซี (Anti-HCV, HCV RNA, PCR)

การวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 2 ขั้นตอน คือ การตรวจคัดกรองเบื้องต้น และ การตรวจยืนยันการติดเชื้อ

1. การตรวจ Anti-HCV

เป็นการตรวจหาแอนติบอดี (antibody) ต่อไวรัสตับอักเสบซีในเลือด หากผลเป็นบวก แสดงว่าผู้ป่วยเคยได้รับเชื้อ แต่ไม่ได้ยืนยันว่ากำลังติดเชื้ออยู่ในขณะนั้น

2. การตรวจ HCV RNA หรือ PCR

หาก Anti-HCV ให้ผลบวก จะต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย HCV RNA หรือ HCV PCR เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง หากพบ HCV RNA แสดงว่ามีการติดเชื้อแบบ “active” หรือยังมีไวรัสในร่างกายอยู่

ตารางสรุปการตรวจ

ชนิดการตรวจ

ตรวจหาอะไร

ความหมายเมื่อผลเป็นบวก

Anti-HCV

แอนติบอดีต่อ HCV

เคยได้รับเชื้อ (ปัจจุบันหรืออดีต)

HCV RNA / PCR

สารพันธุกรรมไวรัส

มีการติดเชื้ออยู่ในร่างกาย

หากตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ จะมีการประเมินเพิ่มเติม เช่น ค่าตับ (ALT, AST), การทำ FibroScan และพิจารณาการรักษาต่อไป

ตรวจไวรัสตับอักเสบซีต้องงดน้ำงดอาหารไหม?

การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เช่น Anti-HCV หรือ HCV RNA (PCR) ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนการตรวจ เนื่องจากเป็นการตรวจเลือดทั่วไปที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการรับประทานอาหาร

อย่างไรก็ตาม หากแพทย์สั่งตรวจเลือดรายการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำตาล (FBS), ไขมันในเลือด (Cholesterol, Triglyceride) หรือการตรวจตับชุดเต็ม อาจมีข้อกำหนดให้ งดน้ำ งดอาหาร อย่างน้อย 8–12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด

คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ สอบถามเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ล่วงหน้า หากได้รับใบสั่งตรวจจากโรงพยาบาลหรือคลินิก

เทคโนโลยี FibroScan ตรวจภาวะตับแข็งคืออะไร?

FibroScan หรือชื่อทางการว่า Transient Elastography เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่ต่ำในการประเมินความแข็งของเนื้อตับ เพื่อดูว่ามีภาวะพังผืดหรือตับแข็งมากน้อยเพียงใด โดยไม่ต้องใช้เข็มเจาะตับเหมือนในอดีต

หลักการทำงาน

เครื่องจะส่งคลื่นเสียงเข้าไปที่ผิวหนังบริเวณชายโครงขวา แล้ววัดความเร็วของคลื่นที่สะท้อนกลับมา หากเนื้อตับมีพังผืดมาก (ตับแข็ง) คลื่นจะสะท้อนกลับเร็วขึ้น ค่าที่ได้จะถูกแสดงผลเป็นหน่วย kPa

ข้อดีของ FibroScan

  • ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องฉีดยาหรือพักฟื้น
  • ใช้เวลาตรวจไม่นาน (5–10 นาที)
  • เหมาะสำหรับติดตามผลระยะยาวในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง

ใช้ในกรณีใด?

  • ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง เพื่อประเมินความรุนแรงก่อนรักษา
  • ผู้ที่รักษาหายแล้ว เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น มะเร็งตับ
  • ผู้ที่มีโรคตับอื่น เช่น ตับอักเสบ บี, ไขมันพอกตับ

การรักษาไวรัสตับอักเสบซี: Interferon vs ยา DAA แบบใหม่

ในอดีต การรักษาไวรัสตับอักเสบซีใช้ยาฉีดกลุ่ม Interferon ร่วมกับยาเม็ด Ribavirin ซึ่งให้ผลลัพธ์จำกัด มีผลข้างเคียงมาก และใช้ระยะเวลานาน (6–12 เดือน)

แต่ในปัจจุบัน แนวทางการรักษาเปลี่ยนมาใช้ยากลุ่ม Direct-Acting Antivirals (DAAs) ซึ่งเป็นยารับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อไวรัส และให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างชัดเจน

เปรียบเทียบ Interferon vs DAA

ปัจจัยเปรียบเทียบ

Interferon/Ribavirin

DAA รุ่นใหม่

รูปแบบยา

ฉีด + รับประทาน

รับประทานอย่างเดียว

ระยะเวลาในการรักษา

24–48 สัปดาห์

8–12 สัปดาห์ (บางรายน้อยกว่า)

อัตราการหาย (SVR)

50–70%

มากกว่า 95%

ผลข้างเคียง

ไข้ หนาวสั่น ซึมเศร้า ฯลฯ

น้อยมาก (เช่น อ่อนเพลียเล็กน้อย)

ความเหมาะสม

ผู้ป่วยที่แข็งแรงมาก

ใช้ได้กับผู้ป่วยเกือบทุกกลุ่ม

DAA เป็นมาตรฐานการรักษาหลักในปัจจุบัน โดยเฉพาะสูตรที่เป็น pangenotypic (ครอบคลุมทุก Genotype) เช่น sofosbuvir/velpatasvir หรือ glecaprevir/pibrentasvir ซึ่งใช้สะดวกและได้ผลดีในคนส่วนใหญ่

ยา Direct-Acting Antivirals (DAAs) มีกี่แบบ? ทำงานอย่างไร

ยาในกลุ่ม Direct-Acting Antivirals (DAAs) เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อไวรัสตับอักเสบซี โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์หรือโปรตีนที่จำเป็นต่อการเพิ่มจำนวนของไวรัส ทำให้ไวรัสไม่สามารถจำลองตัวเองได้

กลไกการออกฤทธิ์ของ DAA แบ่งตามกลุ่มย่อย

  1. NS5A inhibitors: ยับยั้งการทำงานของโปรตีน NS5A ซึ่งจำเป็นต่อการจำลองไวรัส
    • ตัวอย่าง: ledipasvir, velpatasvir, pibrentasvir
  2. NS5B polymerase inhibitors: ยับยั้ง RNA polymerase ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างสารพันธุกรรมของไวรัส
    • ตัวอย่าง: sofosbuvir
  3. NS3/4A protease inhibitors: ยับยั้งเอนไซม์ที่ไวรัสใช้ในการตัดโปรตีนเพื่อประกอบเป็นไวรัสใหม่
    • ตัวอย่าง: glecaprevir, grazoprevir

สูตรยาที่ใช้จริงในปัจจุบัน (pangenotypic)

  • Sofosbuvir + Velpatasvir (ชื่อการค้า: Epclusa)
  • Glecaprevir + Pibrentasvir (ชื่อการค้า: Mavyret)

สูตรเหล่านี้ใช้ได้กับผู้ป่วยเกือบทุกสายพันธุ์ (Genotype 1–6) และมีอัตราการหายสูงกว่า 95%

ระยะเวลาการรักษาไวรัสตับอักเสบซี ใช้เวลากี่สัปดาห์?

ระยะเวลาในการรักษาไวรัสตับอักเสบซีด้วยยา Direct-Acting Antivirals (DAAs) โดยทั่วไปอยู่ที่ 8–12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:

  • สายพันธุ์ของไวรัส (HCV Genotype)
  • สภาพของตับ (มีตับแข็งหรือไม่)
  • เคยได้รับการรักษามาก่อนหรือไม่
  • สูตรยาที่ใช้

แนวทางโดยทั่วไป

กลุ่มผู้ป่วย

ระยะเวลารักษา (สัปดาห์)

ไม่มีตับแข็ง, ไม่เคยรักษามาก่อน

8 สัปดาห์

มีตับแข็ง (compensated)

12 สัปดาห์

เคยได้รับยา Interferon แล้วล้มเหลว

12 สัปดาห์ขึ้นไป (ขึ้นกับสูตรยา)

บางกรณี เช่น ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ หรือผู้ที่มีการติดเชื้อร่วม อาจต้องปรับสูตรและระยะเวลาเพิ่มเติม แพทย์จะเป็นผู้ประเมินตามแนวทางของสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย (ThaiLiver), AASLD หรือ EASL

อัตราการรักษาหาย (SVR) คืออะไร?

SVR ย่อมาจาก Sustained Virologic Response คือเป้าหมายสำคัญของการรักษาไวรัสตับอักเสบซี โดยหมายถึง ผลเลือดที่ไม่พบไวรัส HCV RNA หลังจากสิ้นสุดการรักษาแล้วอย่างน้อย 12 สัปดาห์ ถือเป็นข้อบ่งชี้ว่าผู้ป่วย “หายขาดทางคลินิก” และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำน้อยมาก

ทำไม SVR จึงสำคัญ?

  • ผู้ที่มีค่า SVR12 หรือ SVR24 มักไม่มีไวรัสตกค้าง และมีความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • ใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินประสิทธิภาพของสูตรยารักษาแต่ละชนิด
  • เมื่อได้ SVR แล้ว ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาซ้ำ เว้นแต่จะติดเชื้อใหม่ (reinfection)

ปัจจุบัน ยากลุ่ม DAA รุ่นใหม่สามารถทำให้ผู้ป่วยถึง 95–99% บรรลุ SVR โดยมีผลข้างเคียงน้อยและไม่ต้องฉีดยา

ผู้ป่วยต้องตรวจติดตามหลังรักษาอย่างไร?

แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาจนหาย (บรรลุค่า SVR) แล้ว การ ติดตามผลหลังการรักษา ยังคงมีความสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการกลับมาเป็นซ้ำในบางกรณี

แนวทางการติดตามหลังรักษา

  1. ตรวจเลือด HCV RNA อีกครั้งหลังครบ 12 สัปดาห์ (เพื่อยืนยันว่าได้ SVR แล้ว)
  2. ประเมินค่าตับ เช่น ALT, AST, Albumin, INR ทุก 6–12 เดือน หากมีภาวะตับแข็ง
  3. ตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง ร่วมกับ AFP (สารบ่งชี้มะเร็งตับ) ทุก 6 เดือน สำหรับผู้ที่เคยมีตับแข็ง
  4. ไม่มีตับแข็ง ไม่จำเป็นต้องติดตามซ้ำทุกปี ยกเว้นมีพฤติกรรมเสี่ยงใหม่ที่อาจทำให้ติดเชื้อซ้ำ

ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ

  • ผู้ที่มีตับแข็งระยะ compensated ต้องติดตามตลอดชีวิตเพื่อเฝ้าระวังมะเร็งตับ
  • ผู้ที่ติดเชื้อร่วม (HIV, HBV) ควรได้รับการดูแลร่วมกับแพทย์เฉพาะทาง

ไวรัสตับอักเสบซีรักษาที่ไหนดี? มีโรงพยาบาล/คลินิกแนะนำไหม?

ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบซีควรเข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร หรือตับ (Gastroenterologist / Hepatologist) รวมถึงสถานพยาบาลที่มีระบบห้องแล็บและการติดตามผลที่ได้มาตรฐาน

ประเภทของสถานพยาบาลที่ให้การรักษา HCV

  • โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (สามารถใช้สิทธิ์บัตรทอง/ประกันสังคมได้ในหลายกรณี)
  • โรงพยาบาลเอกชน ที่มีแผนกโรคตับหรือระบบทางเดินอาหาร
  • คลินิกเฉพาะทางตับ บางแห่งให้บริการตรวจคัดกรองและรักษาเบื้องต้น โดยอ้างอิงตามแนวทาง ThaiLiver

ควรเลือกสถานพยาบาลอย่างไร?

  • มีแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ด้านไวรัสตับอักเสบ
  • สามารถเข้าถึงยารักษา DAA รุ่นใหม่
  • มีระบบติดตามผลหลังรักษา และตรวจอัลตราซาวด์ตับได้ในที่เดียว
  • หากใช้สิทธิ์บัตรทอง/ประกันสังคม ควรตรวจสอบว่าโรงพยาบาลนั้นอยู่ในเครือข่ายหรือไม่

ค่ารักษาไวรัสตับอักเสบซีคร่าวๆ เป็นเท่าไหร่?

ค่ารักษาไวรัสตับอักเสบซี จะแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล ประเภทของยา และสิทธิการรักษาที่ผู้ป่วยมี โดยทั่วไปประกอบด้วยค่าใช้จ่ายหลัก 3 ส่วน ได้แก่:

1. ค่ายา (DAAs)

  • ยากลุ่ม DAA รุ่นใหม่ เช่น sofosbuvir/velpatasvir หรือ glecaprevir/pibrentasvir ราคาในระบบรัฐอาจ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หากเข้าเกณฑ์
  • ในระบบเอกชน ราคาค่ายาโดยประมาณอยู่ที่ 30,000–70,000 บาท/คอร์ส (8–12 สัปดาห์)

2. ค่าตรวจและติดตามผล

  • ค่าตรวจ HCV RNA, การประเมินตับ, FibroScan, ตรวจเลือดต่าง ๆ อยู่ในช่วง 3,000–10,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนรายการและสถานที่ตรวจ

3. ค่าบริการทางการแพทย์อื่น ๆ

  • ค่าพบแพทย์, ค่าลงทะเบียน, ค่าตรวจอัลตราซาวด์ ฯลฯ เฉลี่ยประมาณ 500–2,000 บาท/ครั้ง

หมายเหตุ:

  • ผู้มีสิทธิ์ บัตรทอง หรือประกันสังคม สามารถขอรับการรักษาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • ควรตรวจสอบกับโรงพยาบาลก่อนว่าอยู่ในโครงการหรือไม่ และต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง

ป้องกันไวรัสตับอักเสบซีได้อย่างไร?

แม้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซีโดยเฉพาะ แต่เราสามารถ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ได้ด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงและรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด

แนวทางป้องกันไวรัสตับอักเสบซี

  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • ใช้อุปกรณ์เจาะ/สัก/โกนหนวดส่วนตัว ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
  • เลือกสถานบริการที่มีมาตรฐานในการทำฟัน ทำเล็บ สัก เจาะ
  • ใช้ถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดหรือของมีคมที่ปนเปื้อน
  • หากเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ให้สวมอุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง

สำหรับผู้ติดเชื้อ:

  • หลีกเลี่ยงการบริจาคเลือดหรืออวัยวะ
  • แจ้งสถานพยาบาลก่อนทำหัตถการทุกครั้ง
  • ไม่ใช้ของมีคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น

ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบซีได้ไหม?

ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบซี ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับมนุษย์ แม้ว่าจะมีความพยายามในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีวัคซีนตัวใดที่แสดงประสิทธิภาพสูงพอในระยะทดลอง

เหตุผลที่พัฒนาวัคซีนได้ยาก

  • HCV มีสายพันธุ์ย่อยหลากหลาย (Genotype 1–6 และ subtypes)
  • ไวรัสมีการกลายพันธุ์สูง ทำให้ภูมิคุ้มกันที่พัฒนาขึ้นไม่ครอบคลุมทุกสายพันธุ์
  • การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อ HCV ยังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์

แล้วควรทำอย่างไร?

  • ป้องกันการติดเชื้อโดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง (เช่น ใช้เข็มร่วม, สัมผัสเลือด)
  • หากสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจเลือดทันที
  • หากตรวจพบเชื้อ ควรเข้ารับการรักษาโดยเร็ว เพราะปัจจุบันมียาที่ให้ผลหายขาดทางคลินิกได้

จำเป็นต้องฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ-บีร่วมไหม?

แม้จะยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบซี แต่ แนะนำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี
เนื่องจากการติดเชื้อร่วมสามารถทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับวายเฉียบพลัน

เหตุผลที่ควรฉีดวัคซีน A และ B:

  • ผู้ติดเชื้อ HCV มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะตับอักเสบหากได้รับเชื้อ HAV หรือ HBV เพิ่ม
  • HAV และ HBV เป็นไวรัสที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่ปลอดภัยและได้ผลดี
  • การป้องกันการติดเชื้อเพิ่มช่วยลดความเสี่ยงของโรครุนแรงในระยะยาว

แนวทาง:

  • หากไม่เคยฉีดมาก่อน ควรตรวจภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน
  • วัคซีนสามารถให้ในรูปแบบเดี่ยวหรือวัคซีนรวม (Twinrix)
  • ฉีดครบตามกำหนดจะมีภูมิคุ้มกันยาวนานหลายปี

ไวรัสตับอักเสบซีในหญิงตั้งครรภ์ ต้องดูแลอย่างไร?

หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีควรได้รับการดูแลร่วมระหว่างแพทย์ผู้ดูแลครรภ์ (สูติแพทย์) และแพทย์โรคตับ แม้โดยทั่วไป HCV จะไม่ส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์โดยตรง แต่ยังมีโอกาส ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกประมาณ 5–6%

แนวทางการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HCV

  • ตรวจ HCV RNA เพื่อประเมินว่ามีการติดเชื้อแบบ active หรือไม่
  • ยังไม่แนะนำให้รักษาด้วย DAA ระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยเพียงพอ
  • ให้ความรู้เรื่องการป้องกันการแพร่เชื้อ เช่น หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกัน
  • การผ่าคลอดไม่จำเป็นเว้นแต่มีข้อบ่งชี้ทางสูติศาสตร์
  • ทารกควรได้รับการตรวจ Anti-HCV เมื่ออายุ ≥ 18 เดือน
  • หากทารกพบว่าติดเชื้อ ควรติดตามและวางแผนการรักษาในอนาคต

ไวรัสตับอักเสบซีในเด็กและวัยรุ่น ดูแลต่างจากผู้ใหญ่ไหม?

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเด็กและวัยรุ่นพบได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ แต่สามารถเกิดได้ทั้งจากการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก หรือการได้รับเลือดปนเปื้อนในอดีต แนวทางการดูแลรักษาโดยรวมคล้ายกับผู้ใหญ่ แต่มีความแตกต่างบางประการ โดยเฉพาะในด้านการเลือกใช้ยาและการติดตาม

แนวทางปัจจุบันในการดูแล HCV ในเด็กและวัยรุ่น

  • แนะนำให้ตรวจ HCV RNA หลังอายุ 3 ปี หากสงสัยติดเชื้อแต่กำเนิด
  • หากติดเชื้อแบบเรื้อรัง ควรได้รับการประเมินตับและวางแผนการรักษา
  • ยา DAA ชนิดรับประทาน เช่น sofosbuvir/velpatasvir ได้รับอนุมัติในเด็กอายุ ≥ 3 ปี ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
  • เด็กควรได้รับการติดตามเรื่องพัฒนาการควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์

ข้อควรระวัง:

  • ห้ามใช้ยากลุ่ม Interferon หรือ Ribavirin โดยไม่ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
  • ต้องได้รับการประเมินโดยกุมารแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารหรือตับ

หายแล้วจะติดไวรัสตับอักเสบซีซ้ำได้ไหม?

แม้การรักษาด้วยยา Direct-Acting Antivirals (DAAs) จะสามารถทำให้ผู้ป่วย “หายขาดทางคลินิก” หรือบรรลุค่า SVR ได้ แต่การหายจากไวรัสตับอักเสบซี ไม่ได้ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันถาวร เหมือนกับโรคบางชนิด ดังนั้น ผู้ที่เคยติดเชื้อและหายแล้ว ยังมีโอกาสติดเชื้อซ้ำ (Reinfection) ได้หากได้รับเชื้อใหม่อีกครั้ง

การติดเชื้อซ้ำเกิดขึ้นได้เมื่อใด?

  • มีพฤติกรรมเสี่ยงเหมือนเดิม เช่น ใช้เข็มร่วมกัน, สัมผัสเลือด
  • มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันกับผู้ติดเชื้อ
  • ได้รับเลือดหรืออวัยวะจากผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่ได้รับการตรวจ

แนวทางป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง แม้จะเคยหายจากโรคแล้ว
  • ตรวจติดตามตามนัด โดยเฉพาะผู้ที่ยังมีพฤติกรรมเสี่ยง
  • หากสงสัยติดเชื้อซ้ำ ควรตรวจ HCV RNA โดยเร็ว

สรุป: ไวรัสตับอักเสบซีอันตรายแค่ไหน?

ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) เป็นโรคที่มักไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยหลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรัง และเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ และตับวาย

ความอันตรายของไวรัสตับอักเสบซี

  • ผู้ติดเชื้อเรื้อรังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด ภาวะตับแข็งในระยะยาว (20–30%)
  • ภาวะตับแข็งจาก HCV เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma)
  • โรคนี้สามารถติดต่อผ่านทางเลือด และยังไม่มีวัคซีนป้องกัน

อย่างไรก็ตาม…

  • ปัจจุบันมียารักษาที่ให้ผลลัพธ์ดีมาก (SVR > 95%)
  • หากตรวจพบเร็วและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โอกาสหายขาดมีสูง
  • การป้องกันและการตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยงช่วยลดการแพร่กระจายของโรคในระดับประชากร

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบซี (FAQ)

Q: ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อผ่านการจูบ หรือกินอาหารร่วมกันได้ไหม?

A: ไม่ได้ เชื้อ HCV ไม่ติดต่อผ่านน้ำลาย หรือการใช้ช้อนส้อมร่วมกัน การติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสเลือดที่ปนเปื้อนเท่านั้น

Q: ผู้ป่วย HCV มีสิทธิ์บริจาคเลือดหรืออวัยวะได้หรือไม่?

A: ไม่ได้ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ผู้ที่เคยติดเชื้อ HCV ไม่ควรบริจาคเลือดหรืออวัยวะ

Q: หลังรักษาหายแล้ว ต้องตรวจอะไรต่อ?

A: ตรวจ HCV RNA อีกครั้งหลังครบ 12 สัปดาห์ เพื่อยืนยันผล SVR หากมีภาวะตับแข็ง ควรตรวจอัลตราซาวด์และ AFP ทุก 6 เดือน

Q: คนในบ้านของผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงหรือไม่?

A: ความเสี่ยงต่ำมาก ถ้าไม่มีการสัมผัสเลือดโดยตรง แต่แนะนำไม่ใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น กรรไกรตัดเล็บ มีดโกน

icon email