ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus – HCV) เป็นหนึ่งในไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบของตับ โดยส่วนใหญ่ติดต่อผ่านทางเลือด ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจพัฒนาเป็นภาวะเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในระยะยาวได้
ข่าวดีคือ ปัจจุบันมี ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีแบบรับประทานที่ให้ผลหายขาดทางคลินิกสูงกว่า 95% ใช้ระยะเวลาสั้น และผลข้างเคียงน้อยกว่ายาในอดีตอย่างชัดเจน
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจทุกแง่มุมของไวรัสตับอักเสบซี ตั้งแต่ลักษณะของเชื้อ การติดต่อ อาการ วิธีตรวจวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกัน พร้อมข้อมูลอัปเดตตามแนวทางสมาคมโรคตับในไทยและต่างประเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างถูกต้อง
ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus หรือ HCV) คือไวรัสชนิด RNA สายเดี่ยวที่มีเปลือกหุ้ม (enveloped virus) ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ Flaviviridae เชื้อไวรัสนี้สามารถก่อให้เกิดการอักเสบของตับทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง และอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงในช่วงแรก ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อ
การติดเชื้อมักถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเลือดประจำปี หรือตรวจคัดกรองก่อนการผ่าตัดหรือบริจาคโลหิต
ไวรัสชนิดนี้แพร่เชื้อผ่านทางเลือดเป็นหลัก เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรอง หรือการทำหัตถการทางการแพทย์ที่ไม่สะอาด ไม่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การกอด การจูบ หรือการใช้ภาชนะร่วมกันในชีวิตประจำวัน
ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) มีทั้งหมด 6 สายพันธุ์หลัก หรือที่เรียกว่า Genotype 1 ถึง 6 โดยแต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างกันทั้งในด้านการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ และการตอบสนองต่อการรักษา
ปัจจุบัน แนวทางการรักษาด้วยยา DAA รุ่นใหม่ (pangenotypic agents) เช่น sofosbuvir/velpatasvir หรือ glecaprevir/pibrentasvir สามารถใช้รักษาได้เกือบทุก Genotype โดยไม่จำเป็นต้องตรวจชนิดของสายพันธุ์ก่อนในบางกรณี
อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่มีโรคประจำตัวร่วม เช่น โรคไตเรื้อรัง ตับแข็ง หรือได้รับการรักษาแล้วไม่ได้ผล การทราบ Genotype ยังคงมีความสำคัญในการปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม
ไวรัสตับอักเสบแบ่งออกเป็นหลายชนิด ได้แก่ ชนิดเอ (HAV), บี (HBV), ซี (HCV), ดี (HDV), และอี (HEV) ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะการติดต่อ อาการ และการรักษาที่แตกต่างกัน
แตกต่างที่สำคัญคือ HCV ไม่มีวัคซีนป้องกันในปัจจุบัน ต่างจาก HAV และ HBV ที่มีวัคซีนใช้แพร่หลาย อีกทั้ง HCV มีโอกาสกลายเป็นเรื้อรังสูงกว่า และเป็นสาเหตุสำคัญของการปลูกถ่ายตับในหลายประเทศ
ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ติดต่อผ่านเลือดเป็นหลัก โดยการรับเชื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเลือดของผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดของผู้อื่น ช่องทางการติดเชื้อที่พบได้บ่อย ได้แก่
การติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดขึ้นได้ แต่มีโอกาสน้อยกว่าการติดต่อทางเลือดโดยตรง และจะพบได้บ่อยขึ้นในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แบบมีบาดแผล หรือผู้ติดเชื้อ HIV ร่วมด้วย
ไม่พบการติดเชื้อผ่านน้ำลาย น้ำตา เหงื่อ อาหาร หรือการกอดจูบโดยทั่วไป ดังนั้นการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น การทานอาหารร่วมกัน หรืออยู่บ้านเดียวกัน จึงไม่มีความเสี่ยงหากไม่มีการสัมผัสเลือดโดยตรง
แม้ไวรัสตับอักเสบซีจะติดต่อผ่านเลือดเป็นหลัก แต่ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ได้แก่
พฤติกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น การกอด การใช้ช้อนส้อมร่วม หรือการอยู่บ้านเดียวกัน ไม่จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่มักไม่มีอาการในระยะแรก ทำให้ไม่รู้ตัวว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย โดยลักษณะอาการสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ
เกิดขึ้นภายใน 6 เดือนหลังได้รับเชื้อ ผู้ป่วยประมาณ 20–30% อาจมีอาการ เช่น:
แต่อีกกว่า 70% จะไม่มีอาการใด ๆ หรือมีอาการเล็กน้อยจนไม่สังเกตเห็น
ผู้ที่ติดเชื้อเกิน 6 เดือนโดยไม่หายเองจะเข้าสู่ระยะเรื้อรัง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีกว่าจะเริ่มมีอาการ เช่น:
ผู้ติดเชื้อเรื้อรังบางรายอาจไม่เคยแสดงอาการใดเลยจนกระทั่งตับเสียหายมากแล้ว
หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในระยะเรื้อรังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อระบบตับและร่างกาย ได้แก่:
เป็นภาวะที่เนื้อตับถูกทำลายสะสมเรื้อรัง จนเกิดพังผืดแทนที่ ทำให้ตับไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ อาการที่อาจพบได้ เช่น:
ไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่มีตับแข็งร่วมด้วย ผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา มีโอกาสเกิดมะเร็งตับในอัตราที่สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
นอกจากผลต่อเนื้อตับแล้ว HCV ยังอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่น เช่น:
เนื่องจากไวรัสตับอักเสบซีมักไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญในการค้นหาผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว แนวทางปัจจุบันจากองค์การอนามัยโลก (WHO), ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) และสมาคมแพทย์โรคตับหลายแห่ง แนะนำให้บุคคลกลุ่มต่อไปนี้เข้ารับการตรวจ:
การตรวจหา HCV เป็นขั้นตอนที่ง่ายและสามารถทำได้ด้วยการเจาะเลือดเพียงครั้งเดียว หากพบว่ามีเชื้อจะมีการตรวจยืนยันและพิจารณาแนวทางการรักษาต่อไป
การวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 2 ขั้นตอน คือ การตรวจคัดกรองเบื้องต้น และ การตรวจยืนยันการติดเชื้อ
เป็นการตรวจหาแอนติบอดี (antibody) ต่อไวรัสตับอักเสบซีในเลือด หากผลเป็นบวก แสดงว่าผู้ป่วยเคยได้รับเชื้อ แต่ไม่ได้ยืนยันว่ากำลังติดเชื้ออยู่ในขณะนั้น
หาก Anti-HCV ให้ผลบวก จะต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย HCV RNA หรือ HCV PCR เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง หากพบ HCV RNA แสดงว่ามีการติดเชื้อแบบ “active” หรือยังมีไวรัสในร่างกายอยู่
ชนิดการตรวจ |
ตรวจหาอะไร |
ความหมายเมื่อผลเป็นบวก |
Anti-HCV |
แอนติบอดีต่อ HCV |
เคยได้รับเชื้อ (ปัจจุบันหรืออดีต) |
HCV RNA / PCR |
สารพันธุกรรมไวรัส |
มีการติดเชื้ออยู่ในร่างกาย |
หากตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ จะมีการประเมินเพิ่มเติม เช่น ค่าตับ (ALT, AST), การทำ FibroScan และพิจารณาการรักษาต่อไป
การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เช่น Anti-HCV หรือ HCV RNA (PCR) ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนการตรวจ เนื่องจากเป็นการตรวจเลือดทั่วไปที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการรับประทานอาหาร
อย่างไรก็ตาม หากแพทย์สั่งตรวจเลือดรายการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำตาล (FBS), ไขมันในเลือด (Cholesterol, Triglyceride) หรือการตรวจตับชุดเต็ม อาจมีข้อกำหนดให้ งดน้ำ งดอาหาร อย่างน้อย 8–12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด
คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ สอบถามเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ล่วงหน้า หากได้รับใบสั่งตรวจจากโรงพยาบาลหรือคลินิก
FibroScan หรือชื่อทางการว่า Transient Elastography เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่ต่ำในการประเมินความแข็งของเนื้อตับ เพื่อดูว่ามีภาวะพังผืดหรือตับแข็งมากน้อยเพียงใด โดยไม่ต้องใช้เข็มเจาะตับเหมือนในอดีต
เครื่องจะส่งคลื่นเสียงเข้าไปที่ผิวหนังบริเวณชายโครงขวา แล้ววัดความเร็วของคลื่นที่สะท้อนกลับมา หากเนื้อตับมีพังผืดมาก (ตับแข็ง) คลื่นจะสะท้อนกลับเร็วขึ้น ค่าที่ได้จะถูกแสดงผลเป็นหน่วย kPa
ในอดีต การรักษาไวรัสตับอักเสบซีใช้ยาฉีดกลุ่ม Interferon ร่วมกับยาเม็ด Ribavirin ซึ่งให้ผลลัพธ์จำกัด มีผลข้างเคียงมาก และใช้ระยะเวลานาน (6–12 เดือน)
แต่ในปัจจุบัน แนวทางการรักษาเปลี่ยนมาใช้ยากลุ่ม Direct-Acting Antivirals (DAAs) ซึ่งเป็นยารับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อไวรัส และให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างชัดเจน
ปัจจัยเปรียบเทียบ |
Interferon/Ribavirin |
DAA รุ่นใหม่ |
รูปแบบยา |
ฉีด + รับประทาน |
รับประทานอย่างเดียว |
ระยะเวลาในการรักษา |
24–48 สัปดาห์ |
8–12 สัปดาห์ (บางรายน้อยกว่า) |
อัตราการหาย (SVR) |
50–70% |
มากกว่า 95% |
ผลข้างเคียง |
ไข้ หนาวสั่น ซึมเศร้า ฯลฯ |
น้อยมาก (เช่น อ่อนเพลียเล็กน้อย) |
ความเหมาะสม |
ผู้ป่วยที่แข็งแรงมาก |
ใช้ได้กับผู้ป่วยเกือบทุกกลุ่ม |
DAA เป็นมาตรฐานการรักษาหลักในปัจจุบัน โดยเฉพาะสูตรที่เป็น pangenotypic (ครอบคลุมทุก Genotype) เช่น sofosbuvir/velpatasvir หรือ glecaprevir/pibrentasvir ซึ่งใช้สะดวกและได้ผลดีในคนส่วนใหญ่
ยาในกลุ่ม Direct-Acting Antivirals (DAAs) เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อไวรัสตับอักเสบซี โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์หรือโปรตีนที่จำเป็นต่อการเพิ่มจำนวนของไวรัส ทำให้ไวรัสไม่สามารถจำลองตัวเองได้
สูตรเหล่านี้ใช้ได้กับผู้ป่วยเกือบทุกสายพันธุ์ (Genotype 1–6) และมีอัตราการหายสูงกว่า 95%
ระยะเวลาในการรักษาไวรัสตับอักเสบซีด้วยยา Direct-Acting Antivirals (DAAs) โดยทั่วไปอยู่ที่ 8–12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:
กลุ่มผู้ป่วย |
ระยะเวลารักษา (สัปดาห์) |
ไม่มีตับแข็ง, ไม่เคยรักษามาก่อน |
8 สัปดาห์ |
มีตับแข็ง (compensated) |
12 สัปดาห์ |
เคยได้รับยา Interferon แล้วล้มเหลว |
12 สัปดาห์ขึ้นไป (ขึ้นกับสูตรยา) |
บางกรณี เช่น ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ หรือผู้ที่มีการติดเชื้อร่วม อาจต้องปรับสูตรและระยะเวลาเพิ่มเติม แพทย์จะเป็นผู้ประเมินตามแนวทางของสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย (ThaiLiver), AASLD หรือ EASL
SVR ย่อมาจาก Sustained Virologic Response คือเป้าหมายสำคัญของการรักษาไวรัสตับอักเสบซี โดยหมายถึง ผลเลือดที่ไม่พบไวรัส HCV RNA หลังจากสิ้นสุดการรักษาแล้วอย่างน้อย 12 สัปดาห์ ถือเป็นข้อบ่งชี้ว่าผู้ป่วย “หายขาดทางคลินิก” และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำน้อยมาก
ปัจจุบัน ยากลุ่ม DAA รุ่นใหม่สามารถทำให้ผู้ป่วยถึง 95–99% บรรลุ SVR โดยมีผลข้างเคียงน้อยและไม่ต้องฉีดยา
แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาจนหาย (บรรลุค่า SVR) แล้ว การ ติดตามผลหลังการรักษา ยังคงมีความสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการกลับมาเป็นซ้ำในบางกรณี
ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบซีควรเข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร หรือตับ (Gastroenterologist / Hepatologist) รวมถึงสถานพยาบาลที่มีระบบห้องแล็บและการติดตามผลที่ได้มาตรฐาน
ค่ารักษาไวรัสตับอักเสบซี จะแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล ประเภทของยา และสิทธิการรักษาที่ผู้ป่วยมี โดยทั่วไปประกอบด้วยค่าใช้จ่ายหลัก 3 ส่วน ได้แก่:
แม้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซีโดยเฉพาะ แต่เราสามารถ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ได้ด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงและรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด
ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบซี ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับมนุษย์ แม้ว่าจะมีความพยายามในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีวัคซีนตัวใดที่แสดงประสิทธิภาพสูงพอในระยะทดลอง
แม้จะยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบซี แต่ แนะนำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี
เนื่องจากการติดเชื้อร่วมสามารถทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับวายเฉียบพลัน
หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีควรได้รับการดูแลร่วมระหว่างแพทย์ผู้ดูแลครรภ์ (สูติแพทย์) และแพทย์โรคตับ แม้โดยทั่วไป HCV จะไม่ส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์โดยตรง แต่ยังมีโอกาส ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกประมาณ 5–6%
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเด็กและวัยรุ่นพบได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ แต่สามารถเกิดได้ทั้งจากการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก หรือการได้รับเลือดปนเปื้อนในอดีต แนวทางการดูแลรักษาโดยรวมคล้ายกับผู้ใหญ่ แต่มีความแตกต่างบางประการ โดยเฉพาะในด้านการเลือกใช้ยาและการติดตาม
แม้การรักษาด้วยยา Direct-Acting Antivirals (DAAs) จะสามารถทำให้ผู้ป่วย “หายขาดทางคลินิก” หรือบรรลุค่า SVR ได้ แต่การหายจากไวรัสตับอักเสบซี ไม่ได้ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันถาวร เหมือนกับโรคบางชนิด ดังนั้น ผู้ที่เคยติดเชื้อและหายแล้ว ยังมีโอกาสติดเชื้อซ้ำ (Reinfection) ได้หากได้รับเชื้อใหม่อีกครั้ง
ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) เป็นโรคที่มักไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยหลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรัง และเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ และตับวาย
A: ไม่ได้ เชื้อ HCV ไม่ติดต่อผ่านน้ำลาย หรือการใช้ช้อนส้อมร่วมกัน การติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสเลือดที่ปนเปื้อนเท่านั้น
A: ไม่ได้ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ผู้ที่เคยติดเชื้อ HCV ไม่ควรบริจาคเลือดหรืออวัยวะ
A: ตรวจ HCV RNA อีกครั้งหลังครบ 12 สัปดาห์ เพื่อยืนยันผล SVR หากมีภาวะตับแข็ง ควรตรวจอัลตราซาวด์และ AFP ทุก 6 เดือน
A: ความเสี่ยงต่ำมาก ถ้าไม่มีการสัมผัสเลือดโดยตรง แต่แนะนำไม่ใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น กรรไกรตัดเล็บ มีดโกน
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้