เริมที่ปาก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่หลายคนคุ้นเคย อาจเริ่มจากอาการแสบ คัน หรือระคายเคืองที่ริมฝีปาก ก่อนจะพัฒนาเป็นตุ่มใสเล็ก ๆ ที่สร้างความรำคาญและไม่มั่นใจในชีวิตประจำวัน แม้ว่าอาการของเริมจะหายได้เองในบางราย แต่การดูแลที่ถูกวิธีตั้งแต่ระยะแรกสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดโอกาสการแพร่เชื้อ และลดการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจโรคเริมที่ปากอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ การติดต่อ ระยะของโรค วิธีรักษาทั้งทางการแพทย์และทางเลือก รวมถึงคำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นซ้ำบ่อยหรือมีภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองหรือคนรอบข้างได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
เริมที่ปากคืออะไร?
เริมที่ปาก (Cold Sore หรือ Oral Herpes) คือ โรคติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 1 (Herpes Simplex Virus Type 1 หรือ HSV-1) ซึ่งทำให้เกิดตุ่มน้ำใสหรือตุ่มพองที่บริเวณริมฝีปาก รอยต่อระหว่างริมฝีปากกับผิวหนัง หรือในช่องปาก
โดยทั่วไป ตุ่มน้ำเริมเหล่านี้จะทำให้รู้สึกแสบ คัน หรือเจ็บ และสามารถเกิดซ้ำได้หลายครั้งในชีวิต เนื่องจากเชื้อไวรัสยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย แม้ว่าแผลจะหายไปแล้วก็ตาม
โรคเริมที่ปากพบบ่อยในคนทุกวัย
โรคเริม ที่ปากสามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบบ่อยในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีประวัติสัมผัสเชื้อ มีโอกาสเกิดอาการเริมกำเริบได้มากขึ้น
เริมที่ปากและการสับสนกับโรคอื่น
หลายคนอาจสับสนระหว่าง “เริมที่ปาก” กับ “ร้อนใน” หรือ “ปากนกกระจอก” ซึ่งเป็นโรคคนละชนิดและมีสาเหตุที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อเปรียบเทียบด้านล่าง)
เริมที่ปากเกิดจากอะไร? สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
เริมที่ปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 1 หรือ Herpes Simplex Virus Type 1 (HSV-1) ซึ่งเป็นไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำเหลือง หรือของใช้ส่วนตัวที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส
การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเริม
ไวรัส HSV-1 สามารถแพร่กระจายได้หลายรูปแบบ เช่น
การจูบหรือสัมผัสกับริมฝีปากของผู้ที่ติดเชื้อ
การใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ลิปสติก ผ้าเช็ดหน้า
การทำ Oral Sex กับผู้ที่มีเชื้อไวรัส
การสัมผัสตุ่มน้ำหรือแผลของผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV-1 อาจไม่แสดงอาการใด ๆ เป็นเวลาหลายปี แต่เชื้อยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย และสามารถกำเริบขึ้นมาเมื่อร่างกายอ่อนแอ
ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดเริมที่ปาก
มีหลายปัจจัยที่ทำให้เริมที่ปากกำเริบได้ง่ายขึ้น ได้แก่:
ความเครียด พักผ่อนน้อย
ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัว
การเจ็บป่วยหรือมีไข้
การโดนแสงแดดจัดหรืออากาศเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงมีประจำเดือน
เริมที่ปากติดต่อได้อย่างไร?
เริมที่ปากเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus Type 1 (HSV-1) ซึ่งสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย แม้ว่าผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการก็ตาม
วิธีการแพร่เชื้อของเริมที่ปาก
เริมที่ปากสามารถติดต่อได้ผ่าน:
การสัมผัสโดยตรงกับแผลเริม หรือตุ่มน้ำใส
การจูบ หรือสัมผัสริมฝีปากของผู้ติดเชื้อ
การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า ลิปสติก
การทำ Oral Sex โดยไม่มีการป้องกันกับผู้ที่มีเชื้อไวรัส
เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุ เช่น ริมฝีปาก ช่องปาก หรือแม้แต่ผิวหนังที่มีแผลเปิดเล็กน้อย ซึ่งบางครั้งผู้ที่ติดเชื้ออาจไม่รู้ตัว เพราะไม่มีอาการใด ๆ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
ระยะเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้
ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อเริมที่ปากได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการ เช่น ความรู้สึกคันหรือแสบร้อนบริเวณริมฝีปาก จนถึงช่วงที่แผลแห้งและตกสะเก็ด โดยช่วงที่เสี่ยงแพร่เชื้อมากที่สุดคือขณะที่มีตุ่มน้ำใสหรือแผลเปิด
อาการของเริมที่ปากและระยะของโรคมีอะไรบ้าง?
เริมที่ปากมีอาการที่หลากหลายและแบ่งออกเป็นระยะต่าง ๆ อย่างชัดเจน โดยอาการจะขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยติดเชื้อครั้งแรกหรือเป็นการกำเริบของโรค
อาการเริมที่ปากในระยะต่าง ๆ
ระยะที่ 1: ระยะเตือน (Prodrome Phase) ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกคัน แสบ หรือเสียวบริเวณริมฝีปาก หรือมุมปาก อาจมีอาการตึง ๆ หรือรู้สึกระคายเคือง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังจะมีตุ่มเริมขึ้น
ระยะที่ 2: ระยะตุ่มน้ำ (Blister Phase) ปรากฏตุ่มน้ำใสขนาดเล็กหรือตุ่มพอง ที่อาจรวมตัวกันเป็นกลุ่ม บางรายอาจรู้สึกปวด แสบ หรือมีไข้ร่วมด้วย
ระยะที่ 3: ระยะแผลเปิด (Ulcer Phase) ตุ่มน้ำจะแตกออก กลายเป็นแผลเปิดและเริ่มมีน้ำเหลืองไหล อาจรู้สึกเจ็บปวดและแสบมากขึ้น ช่วงนี้เสี่ยงแพร่เชื้อมากที่สุด
ระยะที่ 4: ระยะตกสะเก็ด (Scabbing Phase) แผลเริ่มแห้งและตกสะเก็ด ผู้ป่วยอาจรู้สึกคัน ระคายเคืองหรือแสบเล็กน้อย
ระยะที่ 5: ระยะฟื้นตัว (Healing Phase) แผลเริ่มดีขึ้น สะเก็ดลอกออกโดยไม่ทิ้งแผลเป็น อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายไป
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมด้วย
อาการไข้ต่ำ
ปวดเมื่อยตามตัว
ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณลำคอ
เหนื่อยล้า ไม่มีแรง
โดยปกติแล้ว เริมที่ปากจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน ในการหายจากอาการทั้งหมด
เริมที่ปากในเด็ก: อาการและวิธีดูแล
เริมที่ปากในเด็กเป็นภาวะที่พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus Type 1 (HSV-1) ได้ง่าย
แม้ว่าโรคเริมที่ปากในเด็กส่วนใหญ่จะไม่อันตรายร้ายแรง แต่ก็สามารถทำให้เด็กไม่สบายตัว เจ็บปวด และเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้
อาการของเริมที่ปากในเด็ก
มีไข้ต่ำหรือไข้สูงในช่วงแรก
เด็กอาจมีอาการงอแง ไม่สบายตัว
มีตุ่มน้ำใสหรือแผลที่ริมฝีปาก รอบปาก หรือในช่องปาก
ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณลำคอ
ไม่อยากรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพราะปวดแผล
ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น มีไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองโตมาก และมีอาการแผลในช่องปากหลายจุด
วิธีดูแลเด็กที่เป็นเริมที่ปาก
ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ
หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด เผ็ด หรือรสเปรี้ยว ซึ่งอาจทำให้แผลระคายเคือง
เช็ดทำความสะอาดแผลหรือกลั้วปากด้วยน้ำเกลือ
ใช้ยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ เช่น ยาต้านไวรัสหรือยาลดไข้
หลีกเลี่ยงการจูบหรือใช้ของร่วมกับเด็กจนกว่าแผลจะหาย
ในกรณีที่เด็กมีไข้สูง อ่อนเพลียมาก หรือไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
เริมที่ปากเกิดจากเครียดหรือภูมิแพ้ได้ไหม?
หลายคนสงสัยว่า “เริมที่ปาก” สามารถเกิดจากความเครียดหรือภูมิแพ้ได้หรือไม่ คำตอบคือ ความเครียดและภูมิคุ้มกันต่ำเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เริมกำเริบ แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของการติดเชื้อ
ความเครียดมีผลต่อเริมที่ปากอย่างไร
เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง
เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไวรัสเริม (HSV-1) ที่แฝงตัวอยู่ในร่างกายจะมีโอกาสกำเริบและก่อให้เกิดตุ่มเริมที่ปาก
อาการมักเกิดขึ้นซ้ำในช่วงที่มีความเครียด พักผ่อนไม่พอ หรือร่างกายอ่อนแอ
ภูมิแพ้เกี่ยวข้องกับเริมที่ปากหรือไม่
ภูมิแพ้โดยตรงไม่ได้ทำให้เกิดเริมที่ปาก
แต่ในบางราย อาการภูมิแพ้ที่รุนแรง เช่น ผิวหนังอักเสบ ผื่นแพ้ หรือปากแห้งแตกลอก อาจทำให้เกิดแผลหรือรอยถลอกที่ช่วยให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น แม้ความเครียดและภูมิแพ้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของเริมที่ปาก แต่ก็ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงและดูแลตัวเองให้ดีเพื่อป้องกันไม่ให้เริมกำเริบ
เริมที่ปากอันตรายไหม? มีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?
โดยทั่วไป เริมที่ปากไม่ใช่โรคร้ายแรง และสามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากเริมที่ปาก
การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลเริมที่แตกออกอาจติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง หรือมีหนอง
การแพร่กระจายของเชื้อไปยังส่วนอื่นของร่างกาย หากสัมผัสตุ่มเริมแล้วไปจับตา อาจทำให้เกิดเริมที่ดวงตา (Herpes Simplex Keratitis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอดถ้าไม่ได้รับการรักษา
สมองอักเสบ (Herpes Encephalitis) พบได้น้อยมาก แต่เป็นภาวะที่อันตรายสูง เชื้อเริมสามารถลุกลามเข้าสู่สมอง ทำให้มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก หรือหมดสติ
ภาวะเริมเรื้อรังในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยมะเร็ง อาจทำให้แผลเริมเป็นเรื้อรัง หายช้า และลุกลามกว่าปกติ
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ผู้ที่กำลังรับยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิ
ผู้ป่วย HIV/AIDS
เด็กเล็กหรือทารก
หากมีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง อาการปวดศีรษะมาก ชัก หรือแผลไม่ดีขึ้นภายใน 10 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที
เป็นเริมที่ปากแต่ไม่มีตุ่ม ใช่เริมไหม?
แม้ว่าอาการที่พบบ่อยของเริมที่ปากคือการเกิด ตุ่มน้ำใสหรือแผลพุพอง แต่ในบางกรณีผู้ติดเชื้ออาจ ไม่มีตุ่ม หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยที่สังเกตได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ติดเชื้อ หรือในการกำเริบที่ไม่รุนแรง
เริมที่ไม่มีตุ่มเกิดขึ้นได้อย่างไร
ร่างกายบางคนสามารถควบคุมเชื้อไวรัสได้ดี ทำให้อาการไม่ชัดเจน
การกำเริบของเริมอาจมีเพียงอาการคัน แสบ หรือรู้สึกเสียวบริเวณปาก โดยไม่มีตุ่มน้ำหรือแผลให้เห็น
เชื้อเริมอาจแฝงตัวอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการเลยเป็นเวลาหลายปี (ภาวะแฝงเชื้อ)
สัญญาณที่ควรสงสัย แม้ไม่มีตุ่ม
มีอาการคันหรือเสียวบริเวณริมฝีปากเป็นประจำ
เคยมีตุ่มเริมในอดีต หรือเคยใกล้ชิดผู้ที่เป็นเริม
มีอาการปวดแสบเป็นระยะ แม้ไม่มีแผล
กำเริบทุกครั้งเมื่อเครียด พักผ่อนน้อย หรือมีประจำเดือน
หากสงสัยว่าอาจติดเชื้อเริมแต่ไม่มีตุ่ม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือดหาแอนติบอดี HSV หรือการวินิจฉัยจากอาการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
วิธีรักษาเริมที่ปาก: รักษายังไง? ใช้ยาอะไร?
เริมที่ปากสามารถหายเองได้ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง แต่การรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วขึ้น ลดการแพร่เชื้อ และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
แนวทางการรักษาเริมที่ปาก
การรักษาด้วยตัวเองที่บ้าน
พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ
ประคบเย็นบริเวณที่มีอาการ เพื่อลดบวมและความเจ็บปวด
หลีกเลี่ยงอาหารร้อน เผ็ด เค็ม หรือรสเปรี้ยว
กลั้วปากด้วยน้ำเกลือ หากมีแผลในช่องปาก
การใช้ยาต้านไวรัส แนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัสเมื่อเริ่มมีอาการแรกเริ่ม เช่น คัน แสบ หรือรู้สึกเสียวตรงริมฝีปาก ยาที่ใช้บ่อย ได้แก่
อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)
วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)
แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir)
ยาเหล่านี้มีทั้งรูปแบบยากินและยาทา ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
กรณีที่ควรปรึกษาแพทย์
อาการรุนแรง เช่น แผลลุกลาม มีไข้สูง
เป็นเริมบ่อยครั้ง (เกิน 6 ครั้งต่อปี)
มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น HIV
เด็กเล็กหรือผู้สูงอายุที่มีอาการผิดปกติ
สมุนไพรรักษาเริมที่ปาก: ใช้อะไรได้บ้าง? อันตรายไหม?
แม้การรักษาหลักของเริมที่ปากจะเป็นการใช้ยาต้านไวรัส แต่บางคนก็เลือกใช้ สมุนไพรไทย เพื่อช่วยบรรเทาอาการร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม
สมุนไพรที่นิยมใช้รักษาเริมที่ปาก
พญายอ (เสลดพังพอนตัวเมีย) มีสรรพคุณลดอักเสบ บรรเทาอาการแสบร้อน และช่วยให้ตุ่มน้ำแห้งเร็วขึ้น มีจำหน่ายในรูปแบบครีมหรือเจลสำหรับทาภายนอกบริเวณที่เป็นแผล
ว่านหางจระเข้ เจลจากว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ให้ความชุ่มชื้น และลดความระคายเคืองที่ริมฝีปาก
ใบพลู/ฟ้าทะลายโจร มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบในบางกรณี แต่ควรระมัดระวังในการใช้บริเวณปาก
คำแนะนำในการใช้สมุนไพร
เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)
ทาเฉพาะภายนอกบริเวณริมฝีปากเท่านั้น
หยุดใช้ทันทีหากมีอาการแพ้ หรือระคายเคือง
หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับสารอื่น ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
สมุนไพรสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ระดับหนึ่ง แต่ ไม่ควรใช้แทนการรักษาหลักด้วยยาต้านไวรัส หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 5–7 วัน ควรปรึกษาแพทย์
เริมที่ปากกี่วันหาย? ดูแลตัวเองยังไงให้หายไว?
โดยทั่วไปเริมที่ปากจะหายได้เองภายใน 7–14 วัน แต่ระยะเวลาที่แผลจะหายสนิทอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกัน สุขภาพโดยรวม และการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี
ระยะเวลาการหายของแผลเริมที่ปาก
ระยะที่ 1–2 (วันแรกถึงวันที่ 2): เริ่มมีอาการคัน แสบ หรือเสียวที่ริมฝีปาก
ระยะที่ 3–5: เกิดตุ่มน้ำใสและเริ่มแตกกลายเป็นแผล
ระยะที่ 6–10: แผลเริ่มแห้งและตกสะเก็ด
ระยะที่ 11–14: สะเก็ดหลุด แผลหาย โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
บางรายที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจใช้เวลานานกว่าแผลจะหายสนิท
วิธีดูแลตัวเองให้หายไวขึ้น
ทายาหรือรับประทานยาต้านไวรัสทันที ที่เริ่มมีอาการนำ เช่น คันหรือแสบ
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้แผลลุกลาม เช่น แกะ เกา หรือจับแผลบ่อย
พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อาหารที่มีไลซีนสูง (ปลา ไข่ ถั่ว)
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและของหมักดอง ที่อาจกระตุ้นให้เชื้อเริมกำเริบ
การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดโอกาสในการกลับมาเป็นซ้ำในอนาคต
เป็นเริมที่ปากมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม? เสี่ยงอะไรบ้าง?
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ หากกำลังเป็นเริมที่ปากอยู่ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่? คำตอบคือ สามารถมีได้ แต่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะหากไม่ได้ป้องกันหรือยังมีอาการอยู่
เริมที่ปากสามารถติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
เชื้อเริมที่ปากเกิดจาก Herpes Simplex Virus type 1 (HSV-1) ซึ่งสามารถ แพร่ผ่านการสัมผัสทางปากกับอวัยวะเพศ หรือทางการจูบได้
การทำ Oral sex ขณะมีตุ่มเริม หรือแม้ในช่วงที่ไม่มีอาการชัดเจน ก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้
เชื้อ HSV-1 สามารถแพร่ไปยังอวัยวะเพศของคู่นอนได้ ทำให้เกิด “เริมที่อวัยวะเพศจากปาก”
ควรระมัดระวังอะไรหากต้องการมีเพศสัมพันธ์
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือ oral sex ขณะมีตุ่มเริมหรืออาการคันแสบ
ใช้ ถุงยางอนามัย หรือ แผ่นยางอนามัย (dental dam) ทุกครั้งในการทำ oral sex
แจ้งคู่นอนให้ทราบหากมีประวัติเคยเป็นเริม เพื่อประเมินความเสี่ยงร่วมกัน
หากมีความเสี่ยงสูง เช่น คู่นอนมีแผลเปิด ควรปรึกษาแพทย์เรื่อง การใช้ยา PEP หรือ PrEP เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ร่วมด้วย
แม้จะไม่มีตุ่มหรือแผลให้เห็น แต่ผู้ที่เคยเป็นเริมมาแล้ว ยังมีโอกาสแพร่เชื้อได้ในช่วงที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic shedding)
เริมที่ปากติดต่อได้อย่างไร? ต้องแยกตัวไหม?
เริมที่ปากเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่มีแผลหรือมีตุ่มน้ำใส การป้องกันการแพร่เชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะหากอยู่ในบ้านหรือทำงานใกล้ชิดกับผู้อื่น
เริมที่ปากติดต่อได้อย่างไร?
การสัมผัสโดยตรงกับแผลเริมหรือตุ่มน้ำใส เช่น การจูบ หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
การใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า ลิปสติก หรือยาสีฟัน
การแพร่เชื้อโดยไม่มีอาการ (Asymptomatic shedding): แม้จะไม่มีแผลหรืออาการชัดเจน ก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้
ต้องแยกตัวหรือไม่?
โดยทั่วไป ผู้ป่วยเริมที่ปาก ไม่จำเป็นต้องแยกตัวแบบโรคติดต่อรุนแรง แต่ควรระมัดระวังเรื่องการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะช่วงที่มีตุ่มหรือแผล
ข้อแนะนำในการป้องกันการแพร่เชื้อ
หลีกเลี่ยงการจูบ การสัมผัสใบหน้า หรือการใช้ของร่วมกับผู้อื่น
งดการทำ oral sex หรือกิจกรรมที่มีการสัมผัสปาก
หมั่นล้างมือและหลีกเลี่ยงการจับแผลเริม
หลีกเลี่ยงการสัมผัสทารก เด็กเล็ก หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
หากต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้อื่น หรือดูแลเด็กเล็ก ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลก่อนกลับไปทำกิจกรรมตามปกติ
เริมที่ปากกับเริมที่อวัยวะเพศต่างกันยังไง?
หลายคนอาจสงสัยว่า “เริมที่ปาก” กับ “เริมที่อวัยวะเพศ” เป็นโรคเดียวกันหรือไม่? คำตอบคือ ทั้งสองโรคเกิดจากไวรัสตระกูลเดียวกัน (Herpes Simplex Virus – HSV) แต่ต่างกันที่ชนิดของไวรัส พื้นที่การติดเชื้อ และพฤติกรรมเสี่ยง
เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดเริม
เริมที่ปาก มักเกิดจาก HSV-1
เริมที่อวัยวะเพศ มักเกิดจาก HSV-2
แพร่เชื้อผ่านเพศสัมพันธ์โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสายพันธุ์สามารถ สลับพื้นที่การติดเชื้อได้ เช่น HSV-1 ทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ หากติดจากการทำ oral sex
ความแตกต่างระหว่างเริมที่ปากและอวัยวะเพศ
ประเด็นเปรียบเทียบ
เริมที่ปาก (HSV-1)
เริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2)
พื้นที่เกิดโรค
ริมฝีปาก ช่องปาก ใบหน้า
อวัยวะเพศ ก้น ทวารหนัก
ลักษณะอาการ
ตุ่มน้ำใส แสบ คัน เจ็บ
แผลพุพอง เจ็บ บวม บางรายมีไข้
วิธีแพร่เชื้อ
จูบ ใช้ของร่วม oral sex
เพศสัมพันธ์แบบสอดใส่หรือ oral
การกำเริบบ่อยไหม
มักกำเริบหากร่างกายอ่อนแอ
มักกำเริบบ่อยกว่า HSV-1
ความรุนแรงในระยะยาว
โดยทั่วไปไม่อันตรายร้ายแรง
ในบางรายอาจมีผลต่อการตั้งครรภ์
จำเป็นต้องตรวจแยกชนิดไวรัสไหม?
หากเคยเป็นเริมมาก่อน และสงสัยว่ามีการติดเชื้อซ้ำหรือในตำแหน่งใหม่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจเลือด หรือ PCR ตรวจชนิดไวรัส เพื่อวางแผนการรักษาและการป้องกันการแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ถูกต้อง
เริมที่ปากเกี่ยวข้องกับ HIV หรือไม่? เสี่ยงแค่ไหน?
แม้ว่าเริม ที่ปากและ HIV จะเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสต่างชนิดกัน แต่มี ความสัมพันธ์ทางอ้อม กัน โดยเฉพาะในเรื่องของความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV หากมีแผลจากเริมบริเวณปาก
เริมที่ปากเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ได้อย่างไร?
เริมทำให้เกิด แผลเปิด ที่ริมฝีปาก ซึ่งเป็น ช่องทางให้เชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
หากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (Oral Sex) ขณะเป็นแผลเริม โดยเฉพาะกับผู้ที่มีเชื้อ HIV ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ผู้ที่เป็นเริมบ่อย มักมี ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งอาจเป็นผลจากโรคหรือการติดเชื้อร่วมอื่น
ควรทำอย่างไรถ้ากังวลเรื่องการติดเชื้อ HIV?
การตรวจ HIV และให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ และสามารถทำได้ที่คลินิกเฉพาะทาง เช่น Safe Clinic
เริมที่ปากบ่อยมากกว่า 6 ครั้งต่อปี: สัญญาณอะไร? รักษายังไง?
หากคุณเป็นเริมที่ปากบ่อยเกิน 6 ครั้งต่อปี อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย เพราะอาจเป็น สัญญาณว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีปัจจัยเรื้อรังบางอย่างที่ต้องใส่ใจ
เริมที่ปากบ่อยผิดปกติ สื่อถึงอะไรได้บ้าง?
ภูมิคุ้มกันต่ำ: อาจเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดสะสม หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง
ร่างกายอ่อนแอจากโรคเรื้อรัง: เช่น โรคเบาหวาน ภาวะขาดสารอาหาร หรือโรค HIV
ใช้ยากดภูมิหรือคอร์ติโคสเตียรอยด์ เป็นระยะเวลานาน
หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย แผลหายช้า ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
วิธีการรักษาเริมที่ปากแบบเรื้อรัง
การรักษาแบบ Supressive Therapy: คือ การรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อลดความถี่ของการเกิดโรค
ยาที่ใช้ เช่น Acyclovir, Valacyclovir หรือ Famciclovir
เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย: พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ลดความเครียด และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ติดตามสุขภาพกับแพทย์เฉพาะทาง: โดยเฉพาะหากสงสัยว่ามีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องร่วมด้วย
หากเป็นเริมซ้ำบ่อย แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุ และวางแผนการรักษาระยะยาวอย่างเหมาะสม
เป็นเริมที่ปากควรเจาะตุ่มไหม?
หลายคนเมื่อเห็นตุ่มน้ำใสจากเริมที่ปาก มักเกิดความรู้สึกอยาก “เจาะ” หรือ “แกะ” ตุ่มเพื่อให้หายไวขึ้น แต่ในทางการแพทย์ ไม่แนะนำให้เจาะตุ่มเริม ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและการป้องกันการแพร่เชื้อ
ทำไมไม่ควรเจาะตุ่มเริม?
เสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อน: การเจาะตุ่มอาจทำให้เชื้อโรคภายนอกเข้าสู่แผล เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น: น้ำใสในตุ่มเริมมีปริมาณไวรัสสูง การสัมผัสน้ำจากตุ่มโดยตรง อาจทำให้เชื้อแพร่ไปยังส่วนอื่นของร่างกาย หรือคนรอบข้าง
แผลหายช้ากว่าเดิม: แทนที่แผลจะหายเร็วขึ้น การเจาะหรือแคะอาจทำให้แผลลึก และใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าเดิม
วิธีดูแลแผลเริมอย่างถูกต้อง
อย่าแกะหรือเจาะตุ่มเอง แม้จะคันหรือรู้สึกรำคาญ
ใช้ ยาทาเฉพาะที่หรือยาต้านไวรัส ตามคำแนะนำแพทย์
ทำความสะอาดบริเวณแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำต้มสุก และใช้ผ้าสะอาดซับเบา ๆ
หมั่นล้างมือ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยไม่จำเป็น
หากแผลมีหนอง เจ็บมากผิดปกติ หรือมีไข้ร่วม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาเพิ่มเติม
เริมที่ปากในเด็กและทารก อันตรายไหม? ดูแลยังไง?
เริมที่ปากในผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มักหายได้เอง แต่อาการใน เด็กเล็กหรือทารก อาจ รุนแรงกว่าผู้ใหญ่ และจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังไม่พัฒนาเต็มที่
ทำไมเริมในเด็กจึงอันตรายกว่าผู้ใหญ่?
เชื้อ HSV-1 ในเด็กเล็กอาจลุกลามเข้าสู่ สมองหรือเยื่อหุ้มสมอง เกิดภาวะสมองอักเสบ ซึ่งมีอัตราเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
เด็กอาจมี ไข้สูง อาเจียน ชัก ซึม ไม่กินนมหรืออาหาร
ในทารกแรกเกิด อาจเกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงทั่วร่างกาย (disseminated herpes)
อาการของเริมที่ปากในเด็กและทารก
มี ตุ่มใสหรือตุ่มพองรอบปาก ปากบวมแดง เจ็บปาก
น้ำลายไหลมาก ไม่ดูดนมหรือรับประทานอาหาร
ร้องงอแงผิดปกติ มีไข้ ซึม หรือมีตุ่มเริมลามตามใบหน้าและลำตัว
ควรดูแลเด็กอย่างไรเมื่อเป็นเริมที่ปาก?
พาไปพบกุมารแพทย์ทันที โดยเฉพาะหากเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน หรือมีไข้สูง
ไม่ควรเจาะตุ่ม หรือใช้ยาทาใดๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์
หากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นเริมจริง อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสชนิดกินหรือฉีด
หมั่นเช็ดทำความสะอาดรอบปากด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น และให้ดื่มน้ำเพียงพอ
การป้องกันสำคัญไม่แพ้กัน ผู้ใหญ่ที่เป็นเริมที่ปากไม่ควรจูบหรืออยู่ใกล้ชิดกับเด็กในช่วงที่มีอาการ
บทสรุป
แม้ว่าเริมที่ปากจะดูเหมือนโรคทั่วไปที่ไม่รุนแรง แต่หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น ก็อาจส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหรือการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ
การรู้ทันอาการ สาเหตุ และวิธีดูแลที่ถูกต้อง ไม่เพียงช่วยให้อาการหายเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำในอนาคต และเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน หากคุณมีอาการซ้ำบ่อยหรือไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล