Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

เริมที่ปาก เกิคจากอะไร กี่วันหาย รวมสาเหตุ อาการ วิธีรักษาและป้องกัน

เริมที่ปาก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่หลายคนคุ้นเคย อาจเริ่มจากอาการแสบ คัน หรือระคายเคืองที่ริมฝีปาก ก่อนจะพัฒนาเป็นตุ่มใสเล็ก ๆ ที่สร้างความรำคาญและไม่มั่นใจในชีวิตประจำวัน แม้ว่าอาการของเริมจะหายได้เองในบางราย แต่การดูแลที่ถูกวิธีตั้งแต่ระยะแรกสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดโอกาสการแพร่เชื้อ และลดการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจโรคเริมที่ปากอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ การติดต่อ ระยะของโรค วิธีรักษาทั้งทางการแพทย์และทางเลือก รวมถึงคำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นซ้ำบ่อยหรือมีภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองหรือคนรอบข้างได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

เริมที่ปาก

เริมที่ปากคืออะไร?

เริมที่ปาก (Cold Sore หรือ Oral Herpes) คือ โรคติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 1 (Herpes Simplex Virus Type 1 หรือ HSV-1) ซึ่งทำให้เกิดตุ่มน้ำใสหรือตุ่มพองที่บริเวณริมฝีปาก รอยต่อระหว่างริมฝีปากกับผิวหนัง หรือในช่องปาก

โดยทั่วไป ตุ่มน้ำเริมเหล่านี้จะทำให้รู้สึกแสบ คัน หรือเจ็บ และสามารถเกิดซ้ำได้หลายครั้งในชีวิต เนื่องจากเชื้อไวรัสยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย แม้ว่าแผลจะหายไปแล้วก็ตาม

โรคเริมที่ปากพบบ่อยในคนทุกวัย

โรคเริมที่ปากสามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบบ่อยในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีประวัติสัมผัสเชื้อ มีโอกาสเกิดอาการเริมกำเริบได้มากขึ้น

เริมที่ปากและการสับสนกับโรคอื่น

หลายคนอาจสับสนระหว่าง “เริมที่ปาก” กับ “ร้อนใน” หรือ “ปากนกกระจอก” ซึ่งเป็นโรคคนละชนิดและมีสาเหตุที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อเปรียบเทียบด้านล่าง)

ลักษณะของเริมที่ปาก

เริมที่ปากเกิดจากอะไร? สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

เริมที่ปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 1 หรือ Herpes Simplex Virus Type 1 (HSV-1) ซึ่งเป็นไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำเหลือง หรือของใช้ส่วนตัวที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส

การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเริม

ไวรัส HSV-1 สามารถแพร่กระจายได้หลายรูปแบบ เช่น

  • การจูบหรือสัมผัสกับริมฝีปากของผู้ที่ติดเชื้อ
  • การใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ลิปสติก ผ้าเช็ดหน้า
  • การทำ Oral Sex กับผู้ที่มีเชื้อไวรัส
  • การสัมผัสตุ่มน้ำหรือแผลของผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV-1 อาจไม่แสดงอาการใด ๆ เป็นเวลาหลายปี แต่เชื้อยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย และสามารถกำเริบขึ้นมาเมื่อร่างกายอ่อนแอ

ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดเริมที่ปาก

มีหลายปัจจัยที่ทำให้เริมที่ปากกำเริบได้ง่ายขึ้น ได้แก่:

  • ความเครียด พักผ่อนน้อย
  • ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัว
  • การเจ็บป่วยหรือมีไข้
  • การโดนแสงแดดจัดหรืออากาศเปลี่ยนแปลง
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงมีประจำเดือน

เริมที่ปากติดต่อได้อย่างไร?

เริมที่ปากเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus Type 1 (HSV-1) ซึ่งสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย แม้ว่าผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการก็ตาม

วิธีการแพร่เชื้อของเริมที่ปาก

เริมที่ปากสามารถติดต่อได้ผ่าน:

  • การสัมผัสโดยตรงกับแผลเริม หรือตุ่มน้ำใส
  • การจูบ หรือสัมผัสริมฝีปากของผู้ติดเชื้อ
  • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า ลิปสติก
  • การทำ Oral Sex โดยไม่มีการป้องกันกับผู้ที่มีเชื้อไวรัส

เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุ เช่น ริมฝีปาก ช่องปาก หรือแม้แต่ผิวหนังที่มีแผลเปิดเล็กน้อย ซึ่งบางครั้งผู้ที่ติดเชื้ออาจไม่รู้ตัว เพราะไม่มีอาการใด ๆ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้

ระยะเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้

ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อเริมที่ปากได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการ เช่น ความรู้สึกคันหรือแสบร้อนบริเวณริมฝีปาก จนถึงช่วงที่แผลแห้งและตกสะเก็ด โดยช่วงที่เสี่ยงแพร่เชื้อมากที่สุดคือขณะที่มีตุ่มน้ำใสหรือแผลเปิด

อาการของเริมที่ปากและระยะของโรคมีอะไรบ้าง?

เริมที่ปากมีอาการที่หลากหลายและแบ่งออกเป็นระยะต่าง ๆ อย่างชัดเจน โดยอาการจะขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยติดเชื้อครั้งแรกหรือเป็นการกำเริบของโรค

อาการเริมที่ปากในระยะต่าง ๆ

  • ระยะที่ 1: ระยะเตือน (Prodrome Phase) ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกคัน แสบ หรือเสียวบริเวณริมฝีปาก หรือมุมปาก อาจมีอาการตึง ๆ หรือรู้สึกระคายเคือง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังจะมีตุ่มเริมขึ้น
  • ระยะที่ 2: ระยะตุ่มน้ำ (Blister Phase) ปรากฏตุ่มน้ำใสขนาดเล็กหรือตุ่มพอง ที่อาจรวมตัวกันเป็นกลุ่ม บางรายอาจรู้สึกปวด แสบ หรือมีไข้ร่วมด้วย
  • ระยะที่ 3: ระยะแผลเปิด (Ulcer Phase) ตุ่มน้ำจะแตกออก กลายเป็นแผลเปิดและเริ่มมีน้ำเหลืองไหล อาจรู้สึกเจ็บปวดและแสบมากขึ้น ช่วงนี้เสี่ยงแพร่เชื้อมากที่สุด
  • ระยะที่ 4: ระยะตกสะเก็ด (Scabbing Phase) แผลเริ่มแห้งและตกสะเก็ด ผู้ป่วยอาจรู้สึกคัน ระคายเคืองหรือแสบเล็กน้อย
  • ระยะที่ 5: ระยะฟื้นตัว (Healing Phase) แผลเริ่มดีขึ้น สะเก็ดลอกออกโดยไม่ทิ้งแผลเป็น อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายไป

อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมด้วย

  • อาการไข้ต่ำ
  • ปวดเมื่อยตามตัว
  • ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณลำคอ
  • เหนื่อยล้า ไม่มีแรง

โดยปกติแล้ว เริมที่ปากจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน ในการหายจากอาการทั้งหมด

เริมที่ปากในเด็ก: อาการและวิธีดูแล

เริมที่ปากในเด็กเป็นภาวะที่พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus Type 1 (HSV-1) ได้ง่าย

แม้ว่าโรคเริมที่ปากในเด็กส่วนใหญ่จะไม่อันตรายร้ายแรง แต่ก็สามารถทำให้เด็กไม่สบายตัว เจ็บปวด และเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้

อาการของเริมที่ปากในเด็ก

  • มีไข้ต่ำหรือไข้สูงในช่วงแรก
  • เด็กอาจมีอาการงอแง ไม่สบายตัว
  • มีตุ่มน้ำใสหรือแผลที่ริมฝีปาก รอบปาก หรือในช่องปาก
  • ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณลำคอ
  • ไม่อยากรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพราะปวดแผล

ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น มีไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองโตมาก และมีอาการแผลในช่องปากหลายจุด

วิธีดูแลเด็กที่เป็นเริมที่ปาก

  • ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ
  • หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด เผ็ด หรือรสเปรี้ยว ซึ่งอาจทำให้แผลระคายเคือง
  • เช็ดทำความสะอาดแผลหรือกลั้วปากด้วยน้ำเกลือ
  • ใช้ยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ เช่น ยาต้านไวรัสหรือยาลดไข้
  • หลีกเลี่ยงการจูบหรือใช้ของร่วมกับเด็กจนกว่าแผลจะหาย

ในกรณีที่เด็กมีไข้สูง อ่อนเพลียมาก หรือไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

เริมที่ปากเกิดจากเครียดหรือภูมิแพ้ได้ไหม?

หลายคนสงสัยว่า “เริมที่ปาก” สามารถเกิดจากความเครียดหรือภูมิแพ้ได้หรือไม่ คำตอบคือ ความเครียดและภูมิคุ้มกันต่ำเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เริมกำเริบ แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของการติดเชื้อ

ความเครียดมีผลต่อเริมที่ปากอย่างไร

  • เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง
  • เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไวรัสเริม (HSV-1) ที่แฝงตัวอยู่ในร่างกายจะมีโอกาสกำเริบและก่อให้เกิดตุ่มเริมที่ปาก
  • อาการมักเกิดขึ้นซ้ำในช่วงที่มีความเครียด พักผ่อนไม่พอ หรือร่างกายอ่อนแอ

ภูมิแพ้เกี่ยวข้องกับเริมที่ปากหรือไม่

  • ภูมิแพ้โดยตรงไม่ได้ทำให้เกิดเริมที่ปาก
  • แต่ในบางราย อาการภูมิแพ้ที่รุนแรง เช่น ผิวหนังอักเสบ ผื่นแพ้ หรือปากแห้งแตกลอก อาจทำให้เกิดแผลหรือรอยถลอกที่ช่วยให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

ดังนั้น แม้ความเครียดและภูมิแพ้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของเริมที่ปาก แต่ก็ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงและดูแลตัวเองให้ดีเพื่อป้องกันไม่ให้เริมกำเริบ

เริมที่ปาก อันตรายไหม

เริมที่ปากอันตรายไหม? มีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?

โดยทั่วไป เริมที่ปากไม่ใช่โรคร้ายแรง และสามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากเริมที่ปาก

  • การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลเริมที่แตกออกอาจติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง หรือมีหนอง
  • การแพร่กระจายของเชื้อไปยังส่วนอื่นของร่างกาย หากสัมผัสตุ่มเริมแล้วไปจับตา อาจทำให้เกิดเริมที่ดวงตา (Herpes Simplex Keratitis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอดถ้าไม่ได้รับการรักษา
  • สมองอักเสบ (Herpes Encephalitis) พบได้น้อยมาก แต่เป็นภาวะที่อันตรายสูง เชื้อเริมสามารถลุกลามเข้าสู่สมอง ทำให้มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก หรือหมดสติ
  • ภาวะเริมเรื้อรังในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยมะเร็ง อาจทำให้แผลเริมเป็นเรื้อรัง หายช้า และลุกลามกว่าปกติ

อาการแทรกซ้อนของเริมที่ปาก

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน

  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ผู้ที่กำลังรับยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิ
  • ผู้ป่วย HIV/AIDS
  • เด็กเล็กหรือทารก

หากมีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง อาการปวดศีรษะมาก ชัก หรือแผลไม่ดีขึ้นภายใน 10 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที

เป็นเริมที่ปากแต่ไม่มีตุ่ม ใช่เริมไหม?

แม้ว่าอาการที่พบบ่อยของเริมที่ปากคือการเกิด ตุ่มน้ำใสหรือแผลพุพอง แต่ในบางกรณีผู้ติดเชื้ออาจ ไม่มีตุ่ม หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยที่สังเกตได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ติดเชื้อ หรือในการกำเริบที่ไม่รุนแรง

เริมที่ไม่มีตุ่มเกิดขึ้นได้อย่างไร

  • ร่างกายบางคนสามารถควบคุมเชื้อไวรัสได้ดี ทำให้อาการไม่ชัดเจน
  • การกำเริบของเริมอาจมีเพียงอาการคัน แสบ หรือรู้สึกเสียวบริเวณปาก โดยไม่มีตุ่มน้ำหรือแผลให้เห็น
  • เชื้อเริมอาจแฝงตัวอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการเลยเป็นเวลาหลายปี (ภาวะแฝงเชื้อ)

สัญญาณที่ควรสงสัย แม้ไม่มีตุ่ม

  • มีอาการคันหรือเสียวบริเวณริมฝีปากเป็นประจำ
  • เคยมีตุ่มเริมในอดีต หรือเคยใกล้ชิดผู้ที่เป็นเริม
  • มีอาการปวดแสบเป็นระยะ แม้ไม่มีแผล
  • กำเริบทุกครั้งเมื่อเครียด พักผ่อนน้อย หรือมีประจำเดือน

หากสงสัยว่าอาจติดเชื้อเริมแต่ไม่มีตุ่ม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือดหาแอนติบอดี HSV หรือการวินิจฉัยจากอาการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

วิธีรักษาโรคเริมที่ปาก

วิธีรักษาเริมที่ปาก: รักษายังไง? ใช้ยาอะไร?

เริมที่ปากสามารถหายเองได้ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง แต่การรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วขึ้น ลดการแพร่เชื้อ และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

แนวทางการรักษาเริมที่ปาก

  • การรักษาด้วยตัวเองที่บ้าน
    • พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ
    • ประคบเย็นบริเวณที่มีอาการ เพื่อลดบวมและความเจ็บปวด
    • หลีกเลี่ยงอาหารร้อน เผ็ด เค็ม หรือรสเปรี้ยว
    • กลั้วปากด้วยน้ำเกลือ หากมีแผลในช่องปาก
  • การใช้ยาต้านไวรัส แนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัสเมื่อเริ่มมีอาการแรกเริ่ม เช่น คัน แสบ หรือรู้สึกเสียวตรงริมฝีปาก
    ยาที่ใช้บ่อย ได้แก่
    • อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)
    • วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)
    • แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir)
  • ยาเหล่านี้มีทั้งรูปแบบยากินและยาทา ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

กรณีที่ควรปรึกษาแพทย์

  • อาการรุนแรง เช่น แผลลุกลาม มีไข้สูง
  • เป็นเริมบ่อยครั้ง (เกิน 6 ครั้งต่อปี)
  • มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น HIV
  • เด็กเล็กหรือผู้สูงอายุที่มีอาการผิดปกติ

สมุนไพรรักษาเริมที่ปาก: ใช้อะไรได้บ้าง? อันตรายไหม?

แม้การรักษาหลักของเริมที่ปากจะเป็นการใช้ยาต้านไวรัส แต่บางคนก็เลือกใช้ สมุนไพรไทย เพื่อช่วยบรรเทาอาการร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม

สมุนไพรที่นิยมใช้รักษาเริมที่ปาก

  • พญายอ (เสลดพังพอนตัวเมีย) มีสรรพคุณลดอักเสบ บรรเทาอาการแสบร้อน และช่วยให้ตุ่มน้ำแห้งเร็วขึ้น มีจำหน่ายในรูปแบบครีมหรือเจลสำหรับทาภายนอกบริเวณที่เป็นแผล
  • ว่านหางจระเข้ เจลจากว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ให้ความชุ่มชื้น และลดความระคายเคืองที่ริมฝีปาก
  • ใบพลู/ฟ้าทะลายโจร มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบในบางกรณี แต่ควรระมัดระวังในการใช้บริเวณปาก

คำแนะนำในการใช้สมุนไพร

  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)
  • ทาเฉพาะภายนอกบริเวณริมฝีปากเท่านั้น
  • หยุดใช้ทันทีหากมีอาการแพ้ หรือระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับสารอื่น ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

สมุนไพรสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ระดับหนึ่ง แต่ ไม่ควรใช้แทนการรักษาหลักด้วยยาต้านไวรัส หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 5–7 วัน ควรปรึกษาแพทย์

เริมที่ปากกี่วันหาย? ดูแลตัวเองยังไงให้หายไว?

โดยทั่วไปเริมที่ปากจะหายได้เองภายใน 7–14 วัน แต่ระยะเวลาที่แผลจะหายสนิทอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกัน สุขภาพโดยรวม และการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี

ระยะเวลาการหายของแผลเริมที่ปาก

  • ระยะที่ 1–2 (วันแรกถึงวันที่ 2): เริ่มมีอาการคัน แสบ หรือเสียวที่ริมฝีปาก
  • ระยะที่ 3–5: เกิดตุ่มน้ำใสและเริ่มแตกกลายเป็นแผล
  • ระยะที่ 6–10: แผลเริ่มแห้งและตกสะเก็ด
  • ระยะที่ 11–14: สะเก็ดหลุด แผลหาย โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น

บางรายที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจใช้เวลานานกว่าแผลจะหายสนิท

วิธีดูแลตัวเองให้หายไวขึ้น

  • ทายาหรือรับประทานยาต้านไวรัสทันที ที่เริ่มมีอาการนำ เช่น คันหรือแสบ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้แผลลุกลาม เช่น แกะ เกา หรือจับแผลบ่อย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อาหารที่มีไลซีนสูง (ปลา ไข่ ถั่ว)
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและของหมักดอง ที่อาจกระตุ้นให้เชื้อเริมกำเริบ

การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดโอกาสในการกลับมาเป็นซ้ำในอนาคต

เป็นเริมที่ปากมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม? เสี่ยงอะไรบ้าง?

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ หากกำลังเป็นเริมที่ปากอยู่ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
คำตอบคือ สามารถมีได้ แต่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะหากไม่ได้ป้องกันหรือยังมีอาการอยู่

เริมที่ปากสามารถติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?

  • เชื้อเริมที่ปากเกิดจาก Herpes Simplex Virus type 1 (HSV-1) ซึ่งสามารถ แพร่ผ่านการสัมผัสทางปากกับอวัยวะเพศ หรือทางการจูบได้
  • การทำ Oral sex ขณะมีตุ่มเริม หรือแม้ในช่วงที่ไม่มีอาการชัดเจน ก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้
  • เชื้อ HSV-1 สามารถแพร่ไปยังอวัยวะเพศของคู่นอนได้ ทำให้เกิด “เริมที่อวัยวะเพศจากปาก”

ควรระมัดระวังอะไรหากต้องการมีเพศสัมพันธ์

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือ oral sex ขณะมีตุ่มเริมหรืออาการคันแสบ
  • ใช้ ถุงยางอนามัย หรือ แผ่นยางอนามัย (dental dam) ทุกครั้งในการทำ oral sex
  • แจ้งคู่นอนให้ทราบหากมีประวัติเคยเป็นเริม เพื่อประเมินความเสี่ยงร่วมกัน
  • หากมีความเสี่ยงสูง เช่น คู่นอนมีแผลเปิด ควรปรึกษาแพทย์เรื่อง การใช้ยา PEP หรือ PrEP เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ร่วมด้วย

แม้จะไม่มีตุ่มหรือแผลให้เห็น แต่ผู้ที่เคยเป็นเริมมาแล้ว ยังมีโอกาสแพร่เชื้อได้ในช่วงที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic shedding)

เริมที่ปากติดต่อได้อย่างไร? ต้องแยกตัวไหม?

เริมที่ปากเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่มีแผลหรือมีตุ่มน้ำใส การป้องกันการแพร่เชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะหากอยู่ในบ้านหรือทำงานใกล้ชิดกับผู้อื่น

เริมที่ปากติดต่อได้อย่างไร?

  • การสัมผัสโดยตรงกับแผลเริมหรือตุ่มน้ำใส เช่น การจูบ หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
  • การใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า ลิปสติก หรือยาสีฟัน
  • การแพร่เชื้อโดยไม่มีอาการ (Asymptomatic shedding): แม้จะไม่มีแผลหรืออาการชัดเจน ก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้

ต้องแยกตัวหรือไม่?

โดยทั่วไป ผู้ป่วยเริมที่ปาก ไม่จำเป็นต้องแยกตัวแบบโรคติดต่อรุนแรง แต่ควรระมัดระวังเรื่องการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะช่วงที่มีตุ่มหรือแผล

ข้อแนะนำในการป้องกันการแพร่เชื้อ

  • หลีกเลี่ยงการจูบ การสัมผัสใบหน้า หรือการใช้ของร่วมกับผู้อื่น
  • งดการทำ oral sex หรือกิจกรรมที่มีการสัมผัสปาก
  • หมั่นล้างมือและหลีกเลี่ยงการจับแผลเริม
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสทารก เด็กเล็ก หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

หากต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้อื่น หรือดูแลเด็กเล็ก ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลก่อนกลับไปทำกิจกรรมตามปกติ

เริมที่ปากกับเริมที่อวัยวะเพศต่างกันยังไง?

หลายคนอาจสงสัยว่า “เริมที่ปาก” กับ “เริมที่อวัยวะเพศ” เป็นโรคเดียวกันหรือไม่? คำตอบคือ ทั้งสองโรคเกิดจากไวรัสตระกูลเดียวกัน (Herpes Simplex Virus – HSV) แต่ต่างกันที่ชนิดของไวรัส พื้นที่การติดเชื้อ และพฤติกรรมเสี่ยง

เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดเริม

  • เริมที่ปาก มักเกิดจาก HSV-1
  • เริมที่อวัยวะเพศ มักเกิดจาก HSV-2
    • แพร่เชื้อผ่านเพศสัมพันธ์โดยตรง

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสายพันธุ์สามารถ สลับพื้นที่การติดเชื้อได้ เช่น HSV-1 ทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ หากติดจากการทำ oral sex

ความแตกต่างระหว่างเริมที่ปากและอวัยวะเพศ

ประเด็นเปรียบเทียบ

เริมที่ปาก (HSV-1)

เริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2)

พื้นที่เกิดโรค

ริมฝีปาก ช่องปาก ใบหน้า

อวัยวะเพศ ก้น ทวารหนัก

ลักษณะอาการ

ตุ่มน้ำใส แสบ คัน เจ็บ

แผลพุพอง เจ็บ บวม บางรายมีไข้

วิธีแพร่เชื้อ

จูบ ใช้ของร่วม oral sex

เพศสัมพันธ์แบบสอดใส่หรือ oral

การกำเริบบ่อยไหม

มักกำเริบหากร่างกายอ่อนแอ

มักกำเริบบ่อยกว่า HSV-1

ความรุนแรงในระยะยาว

โดยทั่วไปไม่อันตรายร้ายแรง

ในบางรายอาจมีผลต่อการตั้งครรภ์

จำเป็นต้องตรวจแยกชนิดไวรัสไหม?

หากเคยเป็นเริมมาก่อน และสงสัยว่ามีการติดเชื้อซ้ำหรือในตำแหน่งใหม่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจเลือด หรือ PCR ตรวจชนิดไวรัส เพื่อวางแผนการรักษาและการป้องกันการแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ถูกต้อง

เริมที่ปากเกี่ยวข้องกับ HIV หรือไม่? เสี่ยงแค่ไหน?

แม้ว่าเริมที่ปากและ HIV จะเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสต่างชนิดกัน แต่มี ความสัมพันธ์ทางอ้อม กัน โดยเฉพาะในเรื่องของความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV หากมีแผลจากเริมบริเวณปาก

เริมที่ปากเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ได้อย่างไร?

  • เริมทำให้เกิด แผลเปิด ที่ริมฝีปาก ซึ่งเป็น ช่องทางให้เชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
  • หากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (Oral Sex) ขณะเป็นแผลเริม โดยเฉพาะกับผู้ที่มีเชื้อ HIV ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า
  • ผู้ที่เป็นเริมบ่อย มักมี ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งอาจเป็นผลจากโรคหรือการติดเชื้อร่วมอื่น

ควรทำอย่างไรถ้ากังวลเรื่องการติดเชื้อ HIV?

  • หากเพิ่งสัมผัสความเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันขณะเป็นแผล ควรรับประทาน ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดความเสี่ยง
  • สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเป็นประจำ เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยาง ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เพื่อป้องกัน HIV ล่วงหน้า

การตรวจ HIV และให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ และสามารถทำได้ที่คลินิกเฉพาะทาง เช่น Safe Clinic

เริมที่ปากบ่อยมากกว่า 6 ครั้งต่อปี: สัญญาณอะไร? รักษายังไง?

หากคุณเป็นเริมที่ปากบ่อยเกิน 6 ครั้งต่อปี อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย เพราะอาจเป็น สัญญาณว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีปัจจัยเรื้อรังบางอย่างที่ต้องใส่ใจ

เริมที่ปากบ่อยผิดปกติ สื่อถึงอะไรได้บ้าง?

  • ภูมิคุ้มกันต่ำ: อาจเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดสะสม หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง
  • ร่างกายอ่อนแอจากโรคเรื้อรัง: เช่น โรคเบาหวาน ภาวะขาดสารอาหาร หรือโรค HIV
  • ใช้ยากดภูมิหรือคอร์ติโคสเตียรอยด์ เป็นระยะเวลานาน

หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย แผลหายช้า ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม

วิธีการรักษาเริมที่ปากแบบเรื้อรัง

  • การรักษาแบบ Supressive Therapy: คือ การรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อลดความถี่ของการเกิดโรค
    • ยาที่ใช้ เช่น Acyclovir, Valacyclovir หรือ Famciclovir
  • เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย: พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ลดความเครียด และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ติดตามสุขภาพกับแพทย์เฉพาะทาง: โดยเฉพาะหากสงสัยว่ามีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องร่วมด้วย

หากเป็นเริมซ้ำบ่อย แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุ และวางแผนการรักษาระยะยาวอย่างเหมาะสม

เป็นเริมที่ปากควรเจาะตุ่มไหม?

หลายคนเมื่อเห็นตุ่มน้ำใสจากเริมที่ปาก มักเกิดความรู้สึกอยาก “เจาะ” หรือ “แกะ” ตุ่มเพื่อให้หายไวขึ้น แต่ในทางการแพทย์ ไม่แนะนำให้เจาะตุ่มเริม ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและการป้องกันการแพร่เชื้อ

ทำไมไม่ควรเจาะตุ่มเริม?

  • เสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อน: การเจาะตุ่มอาจทำให้เชื้อโรคภายนอกเข้าสู่แผล เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น: น้ำใสในตุ่มเริมมีปริมาณไวรัสสูง การสัมผัสน้ำจากตุ่มโดยตรง อาจทำให้เชื้อแพร่ไปยังส่วนอื่นของร่างกาย หรือคนรอบข้าง
  • แผลหายช้ากว่าเดิม: แทนที่แผลจะหายเร็วขึ้น การเจาะหรือแคะอาจทำให้แผลลึก และใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าเดิม

วิธีดูแลแผลเริมอย่างถูกต้อง

  • อย่าแกะหรือเจาะตุ่มเอง แม้จะคันหรือรู้สึกรำคาญ
  • ใช้ ยาทาเฉพาะที่หรือยาต้านไวรัส ตามคำแนะนำแพทย์
  • ทำความสะอาดบริเวณแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำต้มสุก และใช้ผ้าสะอาดซับเบา ๆ
  • หมั่นล้างมือ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยไม่จำเป็น

หากแผลมีหนอง เจ็บมากผิดปกติ หรือมีไข้ร่วม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาเพิ่มเติม

เริมที่ปากในเด็กและทารก อันตรายไหม? ดูแลยังไง?

เริมที่ปากในผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มักหายได้เอง แต่อาการใน เด็กเล็กหรือทารก อาจ รุนแรงกว่าผู้ใหญ่ และจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังไม่พัฒนาเต็มที่

ทำไมเริมในเด็กจึงอันตรายกว่าผู้ใหญ่?

  • เชื้อ HSV-1 ในเด็กเล็กอาจลุกลามเข้าสู่ สมองหรือเยื่อหุ้มสมอง เกิดภาวะสมองอักเสบ ซึ่งมีอัตราเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
  • เด็กอาจมี ไข้สูง อาเจียน ชัก ซึม ไม่กินนมหรืออาหาร
  • ในทารกแรกเกิด อาจเกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงทั่วร่างกาย (disseminated herpes)

อาการของเริมที่ปากในเด็กและทารก

  • มี ตุ่มใสหรือตุ่มพองรอบปาก ปากบวมแดง เจ็บปาก
  • น้ำลายไหลมาก ไม่ดูดนมหรือรับประทานอาหาร
  • ร้องงอแงผิดปกติ มีไข้ ซึม หรือมีตุ่มเริมลามตามใบหน้าและลำตัว

ควรดูแลเด็กอย่างไรเมื่อเป็นเริมที่ปาก?

  • พาไปพบกุมารแพทย์ทันที โดยเฉพาะหากเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน หรือมีไข้สูง
  • ไม่ควรเจาะตุ่ม หรือใช้ยาทาใดๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • หากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นเริมจริง อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสชนิดกินหรือฉีด
  • หมั่นเช็ดทำความสะอาดรอบปากด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น และให้ดื่มน้ำเพียงพอ

การป้องกันสำคัญไม่แพ้กัน ผู้ใหญ่ที่เป็นเริมที่ปากไม่ควรจูบหรืออยู่ใกล้ชิดกับเด็กในช่วงที่มีอาการ

การป้องกันไม่ให้เกิดเริมที่ปาก

บทสรุป

แม้ว่าเริมที่ปากจะดูเหมือนโรคทั่วไปที่ไม่รุนแรง แต่หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น ก็อาจส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหรือการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ

การรู้ทันอาการ สาเหตุ และวิธีดูแลที่ถูกต้อง ไม่เพียงช่วยให้อาการหายเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำในอนาคต และเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน หากคุณมีอาการซ้ำบ่อยหรือไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

icon email