Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ตรวจเชื้อไวรัส HTLV & STD ปลอดภัย รู้ผลไว 2025

เชื้อไวรัส HTLV (Human T-cell Lymphotropic Virus) เป็นหนึ่งในเชื้อไวรัสที่พบไม่บ่อยนัก แต่มีความสำคัญทางการแพทย์ เพราะสามารถก่อให้เกิดโรคเรื้อรังที่รุนแรงได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Adult T-cell leukemia/lymphoma (ATL) หรือโรคระบบประสาท HAM/TSP แม้ในระยะเริ่มต้นผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ จึงทำให้การตรวจคัดกรองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่ต้องการวางแผนด้านสุขภาพระยะยาว การตรวจหาเชื้อ HTLV มักทำควบคู่กับการตรวจหาเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) อื่นๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการรักษาหรือป้องกันได้อย่างครบวงจร ที่ เซฟคลินิก เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือมาตรฐานสากล และระบบรักษาความลับที่เข้มงวด เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับทั้งความถูกต้อง รวดเร็ว และความมั่นใจสูงสุด

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

เชื้อไวรัส HTLV คืออะไร

เชื้อไวรัส HTLV หรือ Human T-cell Leukemia Virus เป็นไวรัสในตระกูล Retrovirus ซึ่งมีความสามารถในการแทรกสารพันธุกรรมของตนเองเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-lymphocyte ของมนุษย์ ปัจจุบันมีการจำแนก HTLV ออกเป็นหลายชนิด โดยที่พบมากที่สุดและเกี่ยวข้องกับโรคในคนคือ HTLV-1 และ HTLV-2 HTLV-1 เป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Adult T-cell leukemia/lymphoma (ATL) และโรคระบบประสาทเรื้อรัง HTLV-associated myelopathy/tropical spastic paraparesis (HAM/TSP) ส่วน HTLV-2 พบได้น้อยกว่าและมีความเกี่ยวข้องกับโรคทางระบบประสาทบางชนิด การติดต่อของ HTLV เกิดได้จาก

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • การสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร

HTLV มีการกระจายตัวทั่วโลก แต่พบอัตราการติดเชื้อสูงในบางพื้นที่ เช่น ญี่ปุ่นตอนใต้ บราซิล แคริบเบียน และบางภูมิภาคในแอฟริกา สำหรับประเทศไทยพบการติดเชื้อในอัตราต่ำ แต่ยังมีความสำคัญในกลุ่มเสี่ยงและผู้ที่ต้องได้รับการตรวจคัดกรองก่อนบริจาคเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ

ความแตกต่างระหว่าง HTLV และ HIV

แม้เชื้อไวรัส HTLV (Human T-cell Leukemia Virus) และ HIV (Human Immunodeficiency Virus) จะมีเส้นทางการติดต่อที่คล้ายกัน แต่ลักษณะของโรค ผลกระทบต่อสุขภาพ และวิธีการรักษามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ช่วยให้วางแผนการป้องกันและดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น

ตารางเปรียบเทียบ HTLV และ HIV

คุณสมบัติ HTLV HIV
ตระกูลไวรัส Retrovirus Retrovirus
ชนิดย่อยสำคัญ HTLV-1, HTLV-2 HIV-1, HIV-2
การติดต่อหลัก เพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน, สัมผัสเลือดโดยตรง, แม่สู่ลูก เพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน, สัมผัสเลือดโดยตรง, แม่สู่ลูก
โรคหลักที่เกี่ยวข้อง Adult T-cell leukemia/lymphoma (ATL), HTLV-associated myelopathy/tropical spastic paraparesis (HAM/TSP) ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS) และการติดเชื้อฉวยโอกาส
การดำเนินโรค อาจใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะมีอาการ อาจใช้เวลาหลายปี แต่หากไม่รักษาจะนำไปสู่ AIDS
การรักษา ยังไม่มียารักษาเฉพาะสำหรับกำจัดเชื้อ แต่มีการรักษาตามอาการและโรคที่เกิดขึ้น มียาต้านไวรัส (ART) ที่ช่วยควบคุมเชื้อและป้องกันการเข้าสู่ระยะ AIDS
การป้องกัน ถุงยางอนามัย, เลี่ยงการใช้เข็มร่วม, คัดกรองเลือดและอวัยวะ ถุงยางอนามัย, เลี่ยงการใช้เข็มร่วม, PrEP/PEP, คัดกรองเลือดและอวัยวะ

ความเสี่ยงและปัจจัยที่ควรมาตรวจ HTLV / STD

การตรวจหาเชื้อไวรัส HTLV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ควรทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งในกลุ่มเสี่ยง หรือเมื่อต้องการยืนยันความปลอดภัยหลังมีพฤติกรรมเสี่ยง การรู้สถานะสุขภาพของตนเองจะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

กลุ่มที่ควรพิจารณาตรวจ HTLV และ STD

  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีคู่นอนที่ไม่ทราบประวัติสุขภาพทางเพศ
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอดีต
  • ผู้ที่เคยรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ โดยเฉพาะจากพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง
  • ผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดและใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น
  • หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อสู่ทารก
  • คู่รักที่วางแผนแต่งงานหรือมีบุตร
  • ผู้ที่ทำงานด้านบริการทางเพศหรือมีความเสี่ยงจากอาชีพ

การตรวจในระยะเริ่มแรกมีความสำคัญ เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิด รวมถึง HTLV อาจไม่มีอาการในระยะแรก การตรวจจึงเป็นวิธีที่มั่นใจได้ว่าหากมีการติดเชื้อ จะสามารถรับการดูแลรักษาและป้องกันการแพร่เชื้อได้ทันท่วงที

ทำไมต้องตรวจ HTLV และ STD

การตรวจหาเชื้อไวรัส HTLV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทราบสถานะสุขภาพของตนเอง แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการป้องกันการแพร่เชื้อและลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรงในอนาคต โรคเหล่านี้บางชนิดอาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ทราบว่าตนเองสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

เหตุผลสำคัญที่ควรตรวจ HTLV และ STD

  • ป้องกันการแพร่เชื้อ การรู้สถานะสุขภาพช่วยให้สามารถปฏิบัติตามมาตรการป้องกันได้อย่างเหมาะสม ลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
  • รักษาและควบคุมโรคได้ทันท่วงที การตรวจพบในระยะเริ่มแรกช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและเพิ่มโอกาสควบคุมโรค
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง HTLV อาจนำไปสู่มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Adult T-cell leukemia/lymphoma (ATL) หรือโรคระบบประสาทเรื้อรัง ส่วน STD อื่นๆ อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือปัญหาสุขภาพเรื้อรัง
  • เสริมความมั่นใจในความสัมพันธ์ การตรวจและยืนยันผลสุขภาพช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างคู่รัก
  • การคัดกรองก่อนตั้งครรภ์หรือแต่งงาน ช่วยป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกและลดความเสี่ยงในครอบครัว

การตรวจสุขภาพทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพเชิงรุก (Preventive Healthcare) ที่ไม่ควรถูกมองข้าม โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถพบได้ในทุกเพศและทุกวัย

ขั้นตอนการตรวจ HTLV, HIV และ STD ที่คลินิก

การตรวจหาเชื้อ HTLV, HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ที่คลินิก เป็นกระบวนการที่ออกแบบมาให้ปลอดภัย รวดเร็ว และรักษาความลับของผู้เข้ารับบริการทุกขั้นตอน การรู้ลำดับขั้นตอนล่วงหน้าจะช่วยให้ผู้มาตรวจเตรียมตัวได้ถูกต้องและลดความกังวล

ขั้นตอนการตรวจ

  1. ลงทะเบียนและให้ข้อมูลสุขภาพเบื้องต้น เจ้าหน้าที่จะสอบถามประวัติสุขภาพ พฤติกรรมเสี่ยง และอาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินความเหมาะสมของการตรวจและเลือกชุดตรวจที่ตรงกับความต้องการ
  2. การให้คำปรึกษาก่อนตรวจ (Pre-test Counseling) แพทย์หรือผู้ให้คำปรึกษาจะอธิบายเกี่ยวกับการตรวจ วิธีการเก็บตัวอย่าง ระยะเวลารอผล และการตีความผลตรวจ เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการเข้าใจอย่างชัดเจน
  3. เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจ สำหรับ HTLV และ HIV จะเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือสารพันธุกรรมของไวรัส สำหรับ STD ชนิดอื่น อาจเก็บตัวอย่างปัสสาวะ สารคัดหลั่ง หรือทำการ swab บริเวณที่จำเป็นตามดุลยพินิจแพทย์
  4. ส่งตัวอย่างตรวจในห้องปฏิบัติการ ใช้ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเพื่อความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของผลตรวจ
  5. รอผลตรวจ ระยะเวลารอผลขึ้นอยู่กับประเภทการตรวจ โดยบางการตรวจสามารถทราบผลได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง ส่วนบางชนิด เช่น HTLV อาจใช้เวลา 1-3 วัน
  6. รับผลตรวจและคำปรึกษาหลังตรวจ (Post-test Counseling) แพทย์จะแจ้งผล ตรวจสอบความถูกต้อง ตอบคำถาม และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาหรือป้องกันต่อไป

สิ่งที่ควรทำ/งด ก่อนมาตรวจ

การเตรียมตัวก่อนตรวจ HTLV, HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) มีความสำคัญเพื่อให้ได้ผลตรวจที่แม่นยำที่สุด และลดความเสี่ยงของการเกิดความคลาดเคลื่อนในการวิเคราะห์ผล

สิ่งที่ควรทำ

  • เตรียมบัตรประชาชนหรือเอกสารยืนยันตัวตน เพื่อใช้ในการลงทะเบียนและจัดเก็บข้อมูลอย่างถูกต้อง
  • แจ้งประวัติสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงอย่างตรงไปตรงมา ให้แพทย์ทราบ เพื่อช่วยเลือกการตรวจที่เหมาะสม
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะสุขภาพร่างกายที่พร้อมจะช่วยให้ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างราบรื่น
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมาะกับการเจาะเลือดหรือเก็บปัสสาวะ

สิ่งที่ควรงด

  • งดมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงผลบวกลวงหรือการปนเปื้อนของตัวอย่าง
  • งดปัสสาวะอย่างน้อย 1–2 ชั่วโมงก่อนตรวจบางโรค เช่น หนองในแท้และหนองในเทียม เพื่อให้ปริมาณเชื้อในตัวอย่างเพียงพอต่อการตรวจ
  • งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนตรวจ เพราะอาจรบกวนการทำงานของร่างกายและค่าบางชนิดในเลือด
  • งดใช้ยาปฏิชีวนะก่อนตรวจบางโรค หากไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้เชื้อบางชนิดตรวจไม่พบ

ระยะเวลารอผล และการแจ้งผลอย่างปลอดภัย

การตรวจหาเชื้อ HTLV, HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ที่คลินิก มีขั้นตอนการวิเคราะห์และรายงานผลที่ออกแบบให้แม่นยำ รวดเร็ว และคงความเป็นส่วนตัวของผู้เข้ารับบริการ เพื่อให้ผู้มาตรวจได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด

ระยะเวลารอผล

  • การตรวจเบื้องต้น (Rapid Test) สำหรับโรคบางชนิด เช่น HIV หรือซิฟิลิส สามารถทราบผลได้ภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมง
  • การตรวจในห้องปฏิบัติการ (Lab Test) สำหรับการตรวจ HTLV และ STD บางชนิด เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม หรือการตรวจยืนยัน HIV อาจใช้เวลา 1–3 วัน ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจและการขนส่งตัวอย่าง
  • การตรวจแบบครบชุด (Comprehensive Panel) หากตรวจหลายโรคพร้อมกัน ผลอาจทยอยออกหรือรอรายงานพร้อมกันภายใน 3–5 วัน

การแจ้งผลอย่างปลอดภัย

  • แจ้งผลด้วยตนเองที่คลินิก โดยแพทย์อธิบายความหมายของผลตรวจ และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาหรือการป้องกัน
  • แจ้งผลผ่านช่องทางส่วนตัว เช่น โทรศัพท์, อีเมลเข้ารหัส, หรือระบบออนไลน์ของคลินิกที่ต้องใช้รหัสผ่าน
  • คงความลับของข้อมูลผู้ป่วย ตามมาตรฐาน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และมาตรฐานสากลด้านการแพทย์

การแจ้งผลแบบเป็นส่วนตัวไม่เพียงช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้มาตรวจ แต่ยังทำให้ผู้รับผลสามารถสอบถามและได้รับคำแนะนำจากแพทย์โดยตรงในทันที

ตรวจที่ เซฟคลินิก ดีกว่าที่อื่นอย่างไร

การเลือกสถานพยาบาลสำหรับตรวจ HTLV, HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของราคา แต่ควรพิจารณาความน่าเชื่อถือ ความแม่นยำ และการดูแลผู้ป่วยอย่างรอบด้าน เซฟคลินิก ได้ออกแบบบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้เข้ารับการตรวจทุกกลุ่มอย่างครอบคลุม

จุดเด่นของเซฟคลินิก

  • ทีมแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ดำเนินการตรวจและให้คำปรึกษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเวชศาสตร์ชุมชน
  • มาตรฐานการตรวจระดับสากล ใช้ชุดตรวจและวิธีการที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และผ่านการตรวจสอบคุณภาพห้องปฏิบัติการ
  • ความเป็นส่วนตัวสูงสุด มีระบบจัดเก็บและแจ้งผลที่ปลอดภัย ตามมาตรฐาน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
  • รู้ผลรวดเร็ว บริการตรวจบางชนิดสามารถทราบผลภายใน 30 นาที และตรวจแบบครบชุดใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน
  • บริการครบวงจรในที่เดียว ตรวจ คำปรึกษา วางแผนการรักษา และติดตามผลโดยไม่ต้องย้ายสถานพยาบาล

ค่าใช้จ่ายในการตรวจ HTLV และ STD (ข้อมูลอัปเดต 2025)

ที่ Safe Clinic กรุงเทพฯ มีบริการตรวจ HTLV, HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) หลายรายการ โดยราคาประมาณดังนี้:

  • ปรึกษาแพทย์: 600 บาท
  • ตรวจ HIV rapid test (4th gen): 850 บาท
  • ตรวจ HIV ด้วยวิธี PCR (NAT): 3,500 บาท
  • ตรวจซิฟิลิส (Treponemal + RPR): 700 บาท
  • RPR อย่างเดียว: 400 บาท
  • ตรวจ Gonorrhoea/Chlamydia ด้วย Urine PCR: 3,200 บาท
  • ตรวจ 7 ชนิด STD ด้วย Urine PCR: 3,500 บาท
  • ตรวจ 15 ชนิด STD ด้วย Urine PCR: 4,900 บาท

นอกจากนี้ ยังมีแพ็กเกจตรวจรวดเร็วหรือครบวงจร เช่น

  • แพ็ก HIV + ซิฟิลิส: ประมาณ 1,550 บาท
  • ชุดตรวจ STD ครบวงจร (รวม HIV, ซิฟิลิส, หนองใน, เริม ฯลฯ): ราคาประมาณ 3,150 – 10,050 บาท

การรักษาและการดูแลเมื่อพบเชื้อ

การพบว่ามีการติดเชื้อ HTLV หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ไม่ได้หมายความว่าทุกกรณีจะต้องมีอาการรุนแรงทันที แต่ควรได้รับการติดตามดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการลุกลามของโรคและลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

การรักษา HTLV

  • ปัจจุบันยังไม่มียารักษาที่สามารถกำจัดเชื้อ HTLV ได้โดยตรง การดูแลจึงมุ่งเน้นไปที่การรักษาโรคหรือภาวะที่เกิดจากเชื้อ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Adult T-cell leukemia/lymphoma (ATL) หรือโรคระบบประสาท HTLV-associated myelopathy/tropical spastic paraparesis (HAM/TSP)
  • แนวทางการรักษาโรคที่เกี่ยวข้อง
    • ATL: ใช้การรักษามะเร็งเม็ดเลือด เช่น เคมีบำบัด ยาเฉพาะทาง หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก
    • HAM/TSP: ใช้การรักษาเพื่อควบคุมอาการ เช่น ยาลดการอักเสบ การทำกายภาพบำบัด

การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

  • โรคที่เกิดจากแบคทีเรีย เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส สามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์
  • โรคที่เกิดจากไวรัส เช่น HIV หรือเริม อาจไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ แต่มีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเพื่อลดปริมาณเชื้อและควบคุมโรค
  • การติดตามผลหลังการรักษา ผู้ป่วยบางรายต้องตรวจซ้ำตามระยะที่แพทย์กำหนด เพื่อประเมินผลการรักษาและป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำ

การดูแลตนเองและการป้องกันการแพร่เชื้อ

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • งดการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่สัมผัสเลือดร่วมกับผู้อื่น
  • แจ้งคู่ครองหรือคู่นอนให้มาตรวจและรับการรักษาพร้อมกัน
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และมาตรวจติดตามตามนัด

การป้องกันการติดเชื้อ HTLV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การป้องกันการติดเชื้อ HTLV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) เป็นแนวทางสำคัญในการดูแลสุขภาพทั้งของตนเองและผู้อื่น เนื่องจากโรคเหล่านี้สามารถติดต่อได้แม้ไม่มีอาการในระยะแรก การปฏิบัติตามวิธีป้องกันอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก

วิธีป้องกันที่แนะนำ

  • ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ลดโอกาสการแพร่เชื้อทั้ง HTLV, HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
  • จำกัดจำนวนคู่นอน และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการมีคู่นอนหลายคน
  • งดการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่สัมผัสเลือดร่วมกับผู้อื่น รวมถึงเข็มฉีดยา อุปกรณ์สัก หรือการเจาะร่างกาย
  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่มีคู่นอนใหม่
  • คัดกรองหญิงตั้งครรภ์ เพื่อลดโอกาสถ่ายทอดเชื้อ HTLV และโรคอื่นสู่ทารก
  • ใช้มาตรการทางการแพทย์เมื่อมีความเสี่ยงสูง เช่น การใช้ยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP) หรือหลังสัมผัสเชื้อ (PEP) ในกรณีโรคที่มีแนวทางป้องกันด้วยวิธีนี้

รีวิวประสบการณ์ผู้ใช้บริการจริง

เสียงสะท้อนจากผู้ใช้บริการจริงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่กำลังตัดสินใจตรวจ HTLV, HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ที่ Safe Clinic เราได้รับคำชื่นชมอย่างต่อเนื่องในเรื่องการบริการที่เป็นมืออาชีพ ความรวดเร็ว และการรักษาความลับของข้อมูลผู้เข้ารับบริการ

ตัวอย่างรีวิวจากผู้ใช้บริการ

  • “ประทับใจมากค่ะ มาตรวจ HIV และ STD ที่นี่ พนักงานดูแลดีมาก ให้คำแนะนำละเอียด และรักษาความลับจริงๆ” — คุณเอ (ปกปิดชื่อ)
  • “คลินิกสะอาด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบเป็นกันเอง รู้สึกไม่กดดันเลย” — คุณบี (ปกปิดชื่อ)
  • “ผมมาตรวจแพ็กเกจ STD ครบชุด ได้ผลไวและมั่นใจว่าข้อมูลปลอดภัย” — คุณซี (ปกปิดชื่อ)

จุดเด่นที่ผู้ใช้บริการชื่นชม

  • ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความลับขั้นสูงสุด
  • แพทย์และเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำชัดเจน เป็นกันเอง
  • ขั้นตอนตรวจรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
  • สถานที่สะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน

ข้อควรรู้เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการเก็บข้อมูล

เซฟคลินิกให้ความสำคัญสูงสุดกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและความลับทางการแพทย์ของผู้ใช้บริการ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสุขภาพของคุณจะได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและไม่ถูกเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาต

มาตรการรักษาความเป็นส่วนตัว

  • ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ข้อมูลทุกประเภทจะถูกเก็บและใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ใช้บริการยินยอมเท่านั้น
  • การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) ใช้ระบบเข้ารหัสเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งในขั้นตอนเก็บและส่งข้อมูล
  • การจำกัดสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล มีเพียงบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้
  • การแจ้งผลอย่างปลอดภัย ส่งผลตรวจผ่านช่องทางที่ปลอดภัย เช่น ระบบออนไลน์ที่ต้องใช้รหัสผ่าน หรือการแจ้งผลโดยตรงกับแพทย์

สิทธิของผู้ใช้บริการ

  • ขอสำเนาข้อมูลผลตรวจของตนเองได้ทุกเมื่อ
  • ขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลเมื่อไม่ต้องการให้เก็บไว้
  • ขอแก้ไขข้อมูลหากพบข้อผิดพลาด

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจ HTLV และ STD

1. เชื้อ HTLV คืออะไร และต่างจาก HIV อย่างไร?

HTLV (Human T-cell Lymphotropic Virus) เป็นไวรัสที่ติดเชื้อในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell คล้าย HIV แต่แตกต่างกันในหลายด้าน เช่น HTLV ไม่ได้ทำลายภูมิคุ้มกันจนเกิดเอดส์ แต่สามารถก่อโรคอื่น เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ATL หรือโรคระบบประสาท HAM/TSP ขณะที่ HIV หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องและนำไปสู่เอดส์

2. การติดเชื้อ HTLV มีอาการอย่างไร?

ส่วนใหญ่ไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น อาจใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเกิดโรคที่เกี่ยวข้อง บางรายอาจไม่มีอาการตลอดชีวิต

3. การตรวจ HTLV ต้องงดน้ำงดอาหารก่อนหรือไม่?

โดยทั่วไปการตรวจ HTLV ไม่จำเป็นต้องงดน้ำงดอาหาร สามารถตรวจได้ทุกเวลา แต่ควรแจ้งประวัติการใช้ยาและพฤติกรรมเสี่ยงกับแพทย์ก่อนตรวจ

4. สามารถติดเชื้อ HTLV และ STD พร้อมกันได้หรือไม่?

ได้ เนื่องจากวิธีการแพร่เชื้อบางอย่างเหมือนกัน เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มร่วมกัน หรือการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

5. หากตรวจพบเชื้อ HTLV หรือ STD ควรทำอย่างไรต่อ?

ควรรับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง ตรวจเพิ่มเติมหากจำเป็น และเริ่มการรักษาหรือการดูแลเพื่อลดโอกาสแพร่เชื้อ

สรุปการตรวจ HTLV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD)

การตรวจหาเชื้อ HTLV, HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) เป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศและป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น แม้เชื้อ HTLV อาจไม่ก่ออาการทันที แต่สามารถทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ในระยะยาว การตรวจที่ เซฟคลินิก ดำเนินการโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้มาตรฐานการตรวจระดับสากล รู้ผลรวดเร็ว และรักษาความลับของข้อมูลอย่างเข้มงวด ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการป้องกัน เช่น ใช้ถุงยางอนามัย งดใช้เข็มร่วมกัน และแจ้งคู่ครองให้มาตรวจพร้อมกัน เพื่อสุขภาพและความมั่นใจในระยะยาว

icon email