Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

จูบเสี่ยงติดโรคอะไร? ไวรัส-เริม-หนองใน หมอเตือนระวัง STIs!

จูบปากก็เสี่ยงติดโรคได้จริงหรือ? หลายคนอาจมองว่าการจูบเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อ แต่ในความเป็นจริง การจูบ โดยเฉพาะการจูบแบบแลกลิ้นหรือมีแผลในช่องปาก อาจเป็นช่องทางในการแพร่เชื้อโรคบางชนิดได้ เช่น เริม (HSV), ไวรัส EBV, หนองใน หรือแม้แต่ไวรัสตับอักเสบบางชนิด

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่า “จูบแบบไหนเสี่ยง?” “ติดโรคอะไรได้บ้าง?” พร้อมคำแนะนำจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ และการป้องกันที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณใช้ชีวิตใกล้ชิดได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

จูบสามารถแพร่โรคติดต่อได้อย่างไร?

การจูบเป็นพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะปลอดภัย แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นช่องทางในการแพร่เชื้อโรคได้ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อที่สามารถติดต่อผ่านน้ำลาย หรือการสัมผัสเยื่อเมือก (Mucous Membrane) ในช่องปากของกันและกัน

สิ่งที่ทำให้การจูบมีความเสี่ยงในการแพร่โรคคือ

  • การมีบาดแผลในปาก เช่น แผลร้อนใน หรือแผลจากการแปรงฟันแรงเกินไป
  • เลือดออกในช่องปาก จากเหงือกอักเสบ หรือฟันผุ
  • มีเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียอยู่แล้ว เช่น เริม, ไวรัส Epstein-Barr (EBV), เชื้อหนองใน ฯลฯ

แม้ว่าน้ำลายตามปกติจะมีเอนไซม์ที่ช่วยฆ่าเชื้อบางชนิด แต่ในกรณีที่มีแผลเปิด หรือภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ก็อาจทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

การจูบลึก (deep kissing) โดยเฉพาะการแลกลิ้น จะเพิ่มโอกาสสัมผัสสารคัดหลั่งมากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อบางชนิด โดยเฉพาะไวรัสหรือแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก

โรคเริม (Herpes) ติดต่อจากการจูบได้หรือไม่?

โรคเริม หรือ Herpes Simplex Virus type 1 (HSV-1) เป็นหนึ่งในโรคที่สามารถติดต่อได้ผ่านการจูบ โดยเฉพาะในช่วงที่มีแผลหรือตุ่มใสขึ้นบริเวณริมฝีปาก ซึ่งเป็นระยะที่เชื้อสามารถแพร่กระจายได้มากที่สุด

แม้ผู้ติดเชื้อบางรายจะไม่มีอาการแสดง แต่ก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้ ซึ่งเรียกว่า “การแพร่เชื้อในระยะไม่แสดงอาการ (Asymptomatic Shedding)

อาการของเริมที่ปาก (Oral Herpes)

  • ตุ่มใสเล็ก ๆ ที่ริมฝีปากหรือมุมปาก
  • เจ็บ แสบร้อน หรือคันก่อนตุ่มจะขึ้น
  • อาจมีไข้หรือรู้สึกไม่สบายร่วมด้วย

จุดสำคัญที่ควรรู้

  • การจูบในช่วงที่มีตุ่มเริมชัดเจน เสี่ยงแพร่เชื้อสูงมาก
  • เริมไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา
  • ผู้ติดเชื้อควรหลีกเลี่ยงการจูบหรือสัมผัสใกล้ชิดเมื่อมีอาการ

จูบสามารถแพร่เชื้อ HIV ได้หรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว การจูบไม่ใช่วิธีหลักในการแพร่เชื้อ HIV เนื่องจากน้ำลายมีเอนไซม์ที่สามารถยับยั้งเชื้อ HIV ได้ และความเข้มข้นของไวรัสในน้ำลายก็น้อยมากจนไม่เพียงพอสำหรับการแพร่เชื้อ อย่างไรก็ตาม… ความเสี่ยงอาจเพิ่มขึ้นในกรณี

  • มีแผลหรือเลือดออกในปากของทั้งสองฝ่าย
  • มีการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งอื่นร่วมด้วย

CDC ให้ข้อมูลว่า: โอกาสในการติดเชื้อ HIV จากการจูบเพียงอย่างเดียว “ต่ำมากจนแทบเป็นศูนย์” แต่ไม่ควรมองข้ามหากมีปัจจัยร่วม เช่น แผลเปิด หรือโรคเหงือกขั้นรุนแรง

โรคหนองในและซิฟิลิสสามารถติดจากการจูบได้หรือไม่?

แม้โรคหนองใน (Gonorrhea) และซิฟิลิส (Syphilis) จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ที่มักแพร่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แต่ในบางกรณีก็สามารถติดจาก การจูบ ได้ โดยเฉพาะเมื่อเชื้ออยู่ในบริเวณช่องปาก และมีการสัมผัสเยื่อเมือกโดยตรง

1. หนองในในลำคอ (Pharyngeal Gonorrhea)

  • เกิดจากการติดเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ที่บริเวณลำคอ
  • สามารถติดต่อผ่านการจูบลึก (deep kissing) ได้ แม้จะไม่มีอาการ
  • บางคนอาจมีอาการเจ็บคอ หรือไม่แสดงอาการเลย

2. ซิฟิลิสระยะแรก (Primary Syphilis)

  • อาจเกิดแผลริมฝีปากหรือในปาก (chancre) ที่มีเชื้อ Treponema pallidum อยู่
  • การจูบสัมผัสกับแผลโดยตรง อาจทำให้ติดเชื้อได้

ข้อควรระวัง

  • การตรวจ STIs ในช่องปากยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากในบางประเทศ
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือจูบลึก ควรเข้ารับการตรวจหากมีพฤติกรรมเสี่ยง

จูบแบบไหนเสี่ยงติดโรคมากที่สุด?

การจูบมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีระดับความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโรคที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะโรคที่ติดต่อผ่านน้ำลายหรือเยื่อเมือกในช่องปาก

1. จูบแลกลิ้น (Deep Kissing / French Kiss)

  • เสี่ยงมากที่สุดในบรรดาการจูบทุกรูปแบบ
  • เพราะมีการสัมผัสน้ำลายจำนวนมาก และเยื่อเมือกโดยตรง
  • หากมีแผลในปากหรือเหงือกอักเสบ จะเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ

2. จูบแบบริมฝีปาก (Closed-mouth Kiss)

  • ความเสี่ยงต่ำมาก เนื่องจากไม่มีการสัมผัสน้ำลายลึก
  • แต่ยังอาจแพร่โรคบางชนิดได้ หากมีแผลที่ริมฝีปาก

3. จูบที่มีการดูดริมฝีปากหรือกัดเบา ๆ

  • หากทำให้เกิดแผลหรือเลือดออก ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • โดยเฉพาะเมื่อมีโรคในช่องปาก เช่น เริม หรือหนองใน

ยิ่งมีการสัมผัสน้ำลายและเยื่อเมือกมากเท่าไร ความเสี่ยงในการติดเชื้อ STIs หรือเชื้อไวรัสในช่องปากก็จะยิ่งสูงขึ้น

อาการของโรคที่ติดจากการจูบมีอะไรบ้าง?

โรคบางชนิดที่สามารถติดจากการจูบ อาจมีอาการที่คล้ายกับโรคทั่วไป ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อแล้ว โดยเฉพาะโรคที่ติดต่อผ่านทางน้ำลายหรือเยื่อบุช่องปาก เช่น เริม, โมโนนิวคลิโอซิส, หนองในช่องปาก หรือซิฟิลิสระยะแรก

อาการที่พบได้บ่อยจากการติดโรคทางการจูบ

  • ไข้ต่ำถึงสูง โดยเฉพาะในช่วงเริ่มติดเชื้อ
  • เจ็บคอหรือระคายคอเรื้อรัง พบได้ในโรคโมโนนิวคลิโอซิสหรือหนองในลำคอ
  • ตุ่มใสหรือแผลที่ริมฝีปาก/ในปาก เช่น เริม หรือแผลซิฟิลิส
  • ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณคอ
  • อ่อนเพลียเรื้อรัง หรือรู้สึกไม่สบายโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน

บางรายอาจไม่มีอาการเลย (asymptomatic) แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้ จึงควรตรวจเช็กหากมีพฤติกรรมเสี่ยง

ปากเป็นแผลแล้วจูบ เสี่ยงติดโรคอะไรบ้าง?

การมีแผลในปาก ไม่ว่าจะเป็นแผลร้อนใน แผลจากการกัดลิ้น หรือแผลจากแปรงฟันแรงเกินไป ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคจากการจูบ เพราะเป็นช่องเปิดที่เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

โรคที่เสี่ยงติดจากการจูบขณะมีแผลในปาก ได้แก่

  • เริม (HSV-1): ติดต่อผ่านตุ่มน้ำหรือแผลโดยตรง
  • หนองในช่องปาก: หากอีกฝ่ายมีเชื้อในลำคอ และมีการแลกลิ้น
  • ซิฟิลิส: แผลซิฟิลิส (chancre) อาจอยู่ในปาก และแพร่เชื้อได้โดยตรง

ข้อควรระวัง

  • แผลเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่อันตราย อาจกลายเป็นทางเข้าของเชื้อที่รุนแรงได้
  • ควรงดการจูบขณะมีแผลในปาก ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน

หากอีกฝ่ายมีเลือดออกในปาก เราเสี่ยงติดเชื้อไหม?

หากอีกฝ่ายมีเลือดออกในปาก ไม่ว่าจะจากแผล เหงือกอักเสบ หรือฟันผุ และมีการจูบกันแบบแลกลิ้น (deep kiss) โอกาสในการรับเชื้อโรคก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเลือดสามารถเป็นพาหะของโรคติดเชื้อได้หลายชนิด

โรคที่อาจเสี่ยงติดหากสัมผัสเลือดในปาก ได้แก่:

  • HIV: แม้โอกาสต่ำมากในการติดจากน้ำลาย แต่หากมีเลือดร่วมด้วย ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น
  • ไวรัสตับอักเสบบี (HBV): สามารถติดต่อผ่านเลือดและสารคัดหลั่ง
  • ซิฟิลิส: แผลหรือเลือดที่มีเชื้อสามารถแพร่โรคได้โดยตรง
  • โรคเหงือกติดเชื้อเรื้อรัง: อาจเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่ก่อโรคในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย

คำแนะนำ: หากทราบหรือสงสัยว่าอีกฝ่ายมีเลือดออกในปาก ควรงดจูบหรือกิจกรรมที่มีการสัมผัสเยื่อเมือกโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว

จูบตอนมีแผลร้อนใน เสี่ยงติดโรคอะไรได้บ้าง?

แผลร้อนใน (Canker sore) มักดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นเองและหายได้ในไม่กี่วัน แต่หากมีการจูบในช่วงที่มีแผลร้อนใน โดยเฉพาะแบบแลกลิ้น ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคบางชนิดได้ เนื่องจากเยื่อเมือกบริเวณแผลมีความอ่อนไหวและเปิดโอกาสให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

โรคที่เสี่ยงติดจากการจูบขณะมีแผลร้อนใน

  • เริม (HSV-1): แผลร้อนในอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเริม หรืออาจเปิดทางให้ติดเชื้อเริมได้ง่ายขึ้นหากสัมผัสโดยตรง
  • แบคทีเรียก่อโรคในช่องปาก: เช่น เชื้อหนองใน หากอีกฝ่ายมีการติดเชื้ออยู่ก่อนแล้ว

แม้แผลร้อนในจะไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เมื่อมีแผลเปิด การป้องกันตนเองจากเชื้อโรคอื่น ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยควรงดการจูบหรือสัมผัสปากกับผู้อื่นจนกว่าแผลจะหายสนิท

ความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV จากน้ำลายจริงหรือไม่?

เป็นความเชื่อที่หลายคนยังสงสัยว่า น้ำลายสามารถแพร่เชื้อ HIV ได้หรือไม่ คำตอบทางการแพทย์ในปัจจุบันคือ น้ำลายมีโอกาสแพร่เชื้อ HIV “ต่ำมากจนแทบเป็นศูนย์”

  • ในน้ำลายมีเอนไซม์และโปรตีนหลายชนิดที่ช่วยทำลายเชื้อ HIV
  • ความเข้มข้นของเชื้อ HIV ในน้ำลายต่ำมาก ไม่เพียงพอต่อการติดเชื้อ
  • ยังไม่เคยมีรายงานยืนยันว่ามีคนติดเชื้อ HIV จากการจูบแบบไม่มีเลือดปน

แล้วถ้ามีแผลในปาก เสี่ยงติด HIV จากการจูบหรือไม่?

แต่ในกรณีที่ “มีเลือดร่วม” หรือมีแผลในปากของทั้งสองฝ่าย: ความเสี่ยงอาจเพิ่มขึ้น แม้จะยังถือว่าต่ำ โดยเฉพาะถ้ามีเลือดออกมากพอ หรือแผลลึกที่เปิดสัมผัสกันโดยตรง

  • จูบทั่วไปโดยไม่มีเลือด ไม่เสี่ยงติด HIV
  • แต่ควรระวังหากมีแผลเลือดออกในปาก หรือมีโรคเหงือกขั้นรุนแรง

ปัจจัยอะไรที่เพิ่มโอกาสติดโรคจากการจูบ?

แม้การจูบจะดูเป็นพฤติกรรมที่โรแมนติกและปลอดภัย แต่ในความเป็นจริง ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคจากการจูบได้ โดยเฉพาะโรคที่ติดต่อผ่านน้ำลายหรือเยื่อเมือก

ปัจจัยที่เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการติดโรคจากการจูบ:

  • มีแผลในปากหรือแผลเปิด: เช่น แผลร้อนใน แผลจากการกัดลิ้น หรือเหงือกอักเสบ
  • ภูมิคุ้มกันต่ำ: เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว ใช้ยากดภูมิ หรืออยู่ในช่วงพักฟื้น
  • มีเลือดออกในปาก: จากเหงือกหรือแผล ซึ่งเป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
  • พฤติกรรมการจูบที่มีความเสี่ยง: เช่น การแลกลิ้นหรือกัดริมฝีปาก
  • คู่จูบมีเชื้อโรคในช่องปากโดยไม่รู้ตัว: เช่น เริม หรือไวรัส EBV ซึ่งแพร่ได้แม้ไม่มีอาการ

วิธีป้องกันการติดโรคจากการจูบ

แม้การจูบจะเป็นพฤติกรรมที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวและปลอดภัย แต่ในทางการแพทย์ ยังมีข้อแนะนำในการ “จูบอย่างปลอดภัย” เพื่อหลีกเลี่ยงการรับหรือแพร่เชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว

แนวทางในการป้องกันการติดโรคจากการจูบ

  • หลีกเลี่ยงการจูบเมื่อมีแผลในปาก เช่น แผลร้อนใน แผลจากการจัดฟัน หรือแผลเหงือก ควรรอจนแผลหายสนิทก่อน
  • สังเกตอาการของคู่จูบ หากมีตุ่มใส แผล หรืออาการคล้ายเริม ควรงดการสัมผัสทางปากในช่วงนั้น
  • รักษาสุขอนามัยในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ การแปรงฟัน ฟลัช และตรวจสุขภาพช่องปากช่วยลดการสะสมเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการจูบลึกกับคนที่ไม่รู้สถานะสุขภาพ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ระยะสั้น หรือยังไม่มั่นใจว่าปลอดโรค
  • เข้ารับการตรวจสุขภาพหรือ STIs อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือมีคู่หลายคน

แม้จะไม่มีวิธีใดที่ป้องกันได้ 100% แต่การดูแลสุขภาพช่องปากและพฤติกรรมที่รับผิดชอบ ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อจากการจูบได้อย่างมาก

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: จูบแค่ครั้งเดียวสามารถติดโรคได้ไหม?
A: ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายมีเชื้อหรือไม่ และสภาพช่องปากของคุณมีแผลหรือปัจจัยเสี่ยงหรือไม่ แม้โอกาสจะไม่สูง แต่ก็ “มีความเป็นไปได้”

Q: เริมที่ปากติดได้แม้ไม่มีแผลหรือไม่?
A: ได้ เพราะเชื้อสามารถแพร่ในระยะที่ไม่มีอาการ หรือที่เรียกว่า “Asymptomatic Shedding”

Q: ใช้น้ำยาบ้วนปากก่อนจูบ ช่วยลดความเสี่ยงได้หรือไม่?
A: ช่วยลดแบคทีเรียบางชนิดได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถป้องกันไวรัส เช่น HSV หรือ EBV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Q: การจูบสามารถแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบ B ได้หรือไม่?
A: หากมีเลือดปนในน้ำลาย หรือมีแผลในช่องปาก ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น

Q: เริม กับ แผลร้อนใน ต่างกันอย่างไร?
A: เริมเกิดจากไวรัส HSV-1 มักเริ่มจากอาการคันหรือแสบร้อน และเกิดเป็นตุ่มน้ำที่ริมฝีปาก ส่วนแผลร้อนในเป็นแผลขาวในปาก ไม่ติดต่อ และมักเกิดจากความเครียดหรือภูมิคุ้มกันลด

Q: การจูบกับคนที่มีฟันผุหรือเหงือกอักเสบ เสี่ยงติดโรคไหม?
A: ฟันผุหรือเหงือกอักเสบอาจมีแบคทีเรียสะสมจำนวนมาก หากมีแผลร่วมด้วย อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเยื่อเมือกได้

Q: มีวัคซีนหรือวิธีป้องกันบางโรคจากการจูบหรือไม่?
A: มี เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี และวัคซีน HPV ที่สามารถลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อทางปากและเยื่อเมือกได้

Q: ต้องไปพบแพทย์เมื่อไร ถ้ากังวลว่าอาจติดโรคจากการจูบ?
A: หากมีไข้ แผลในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต หรือรู้สึกไม่สบายเรื้อรังหลังจูบ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อที่อาจเกี่ยวข้อง

บทสรุป

แม้การจูบจะเป็นเรื่องใกล้ตัวและดูเหมือนไม่อันตราย แต่ข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่าโรคบางชนิดสามารถแพร่ผ่านการจูบได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีแผลในปาก ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือสัมผัสกับเลือดโดยตรง

การรู้เท่าทันความเสี่ยง ดูแลสุขภาพช่องปาก และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง คือสิ่งที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ดีที่สุด อย่าลืมว่าความใกล้ชิดที่ดี เริ่มต้นจากความปลอดภัยทั้งต่อร่างกายและใจ

icon email