ฝีมะม่วง หรือที่รู้จักในทางการแพทย์ว่า Lymphogranuloma Venereum (LGV) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวหากไม่รักษาอย่างถูกต้อง อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจน ทำให้หลายคนมองข้ามและปล่อยให้ลุกลามจนเกิดภาวะบวม เจ็บ หรือหนองบริเวณขาหนีบ
บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับโรคฝีมะม่วงอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการตรวจ การรักษา ไปจนถึงการดูแลตัวเอง และวิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างได้อย่างมั่นใจ
ฝีมะม่วง หรือ Lymphogranuloma Venereum (LGV) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ชนิดรุนแรง (serovar L1, L2 และ L3) ซึ่งเชื้อนี้แตกต่างจากสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหนองในเทียมทั่วไป
ลักษณะเด่นของ LGV คือ การติดเชื้อที่ระบบน้ำเหลือง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบเกิดอาการบวม แดง ร้อน เจ็บ และมีลักษณะคล้าย “ผลมะม่วง” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ฝีมะม่วง” ในภาษาไทย โดยอาการบวมมักพบด้านใดด้านหนึ่งของขาหนีบ และสามารถพัฒนาไปเป็นฝีที่มีหนองแตกออกมาได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
โรคนี้มักพบในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ โดยเฉพาะในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โรคสามารถแพร่จากการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
แม้ฝีมะม่วงจะพบได้ไม่บ่อยเท่าหนองในหรือซิฟิลิส แต่ถือเป็นโรคติดต่อที่มีความรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ฝีคัณฑสูตร การตีบตันของท่อน้ำเหลือง หรือแผลเรื้อรังที่อวัยวะเพศได้ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา
อาการของฝีมะม่วง หรือ Lymphogranuloma Venereum (LGV) จะแตกต่างกันไปตามระยะของโรค โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งแต่ละระยะมีอาการเฉพาะตัวที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน ดังนี้:
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัว เนื่องจากแผลจะมีขนาดเล็ก ไม่เจ็บ และมักหายได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ อาจพบได้ที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือบริเวณปากในกรณีมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
ช่วงนี้มักเกิดหลังจากติดเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะเริ่มบวม แดง ร้อน และเจ็บชัดเจน ในบางรายต่อมบวมอาจเชื่อมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “buboes” และอาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัวร่วมด้วย
หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการอักเสบอาจลุกลามจนเกิดพังผืด หรือท่อน้ำเหลืองตีบตัน ส่งผลให้เกิดบวมเรื้อรัง ฝีคัณฑสูตร หรือแผลเรื้อรังบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังหลายเดือนขึ้นไป
ในแต่ละระยะ อาการจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นตามลำดับ หากสังเกตว่ามีตุ่ม แผล หรือก้อนบวมผิดปกติที่ขาหนีบ หรือมีไข้ร่วมกับอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
ฝีมะม่วง หรือ LGV (Lymphogranuloma Venereum) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มโรคติดต่ออื่น ๆ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส และ HIV เนื่องจากมีเส้นทางการติดเชื้อเหมือนกัน และมักพบร่วมกันได้ในผู้ป่วยรายเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)
หลายครั้งฝีมะม่วงจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงก้อนบวมหรือฝีธรรมดา จึงไม่ได้รับการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างครบถ้วน ทั้งที่ในความเป็นจริง การติดเชื้อ LGV เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ควรตรวจโรคติดต่ออื่น ๆ ควบคู่กันไป
ตัวอย่างโรคติดต่อที่อาจพบร่วมกับ LGV ได้แก่
ดังนั้นเมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นฝีมะม่วง การตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาโรคติดต่ออื่นถือเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งในแง่ของการรักษาให้ครบถ้วน และการป้องกันการแพร่เชื้อสู่คู่นอนในอนาคต
แม้ฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) จะพบไม่บ่อยในประชากรทั่วไป แต่มีบางกลุ่มที่ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ซึ่งควรให้ความสำคัญกับการป้องกัน ตรวจคัดกรอง และหากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่
LGV พบได้บ่อยในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศหลายรูปแบบ เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
การเคยติดเชื้อซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม หรือ HIV มาก่อน จะเพิ่มโอกาสในการติด LGV ได้สูงขึ้น เนื่องจากสภาพเยื่อบุผิวที่อ่อนแออาจทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก หากไม่มีการป้องกันด้วยถุงยางอนามัย ความเสี่ยงในการติดเชื้อ LGV จะเพิ่มขึ้น
ผู้ป่วย HIV หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อรุนแรงหรือมีอาการแทรกซ้อนมากกว่าคนทั่วไป
ในบางช่วงเวลา LGV อาจมีการระบาดเฉพาะกลุ่มหรือในบางพื้นที่ เช่น ชุมชนเมืองใหญ่ หรือคลินิกเฉพาะทางที่พบเคสมากขึ้น
ก้อนบวมบริเวณขาหนีบหรืออวัยวะเพศสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ฝีมะม่วง (LGV) มีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่สามารถใช้แยกจากก้อนบวมชนิดอื่นได้ ซึ่งช่วยให้สังเกตเบื้องต้นก่อนเข้ารับการตรวจจากแพทย์
ลักษณะเปรียบเทียบ |
ฝีมะม่วง (LGV) |
ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไป |
ซีสต์ หรือไขมันใต้ผิวหนัง |
---|---|---|---|
การเริ่มต้น |
เริ่มจากแผลไม่เจ็บ → ต่อมบวมภายหลัง |
มักเริ่มจากอาการอักเสบเฉพาะที่ |
ก้อนนิ่มโตช้า ไม่เจ็บ |
ลักษณะการบวม |
บวมแดง ร้อน เจ็บ กดแล้วปวด |
มักนิ่ม ไม่แดง ไม่ร้อน |
คลำได้เป็นก้อนวงเรียบ เคลื่อนย้ายได้ |
ขนาดและทิศทาง |
โตขึ้นเรื่อย ๆ ด้านเดียว |
อาจโตสองข้าง ขนาดไม่แน่นอน |
ขนาดคงที่ หรือโตช้ามาก |
ภาวะแทรกซ้อน |
อาจแตกเป็นหนอง มีทางเชื่อมคล้ายฝีคัณฑสูตร |
หายได้เองในบางกรณี |
ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน |
เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์ |
✅ ใช่ |
❌ ไม่เกี่ยวข้อง |
❌ ไม่เกี่ยวข้อง |
สิ่งสำคัญคือ ก้อนบวมจาก LGV มักเกิดร่วมกับประวัติเสี่ยงทางเพศ และมีลักษณะอักเสบรุนแรงกว่าก้อนบวมชนิดอื่น การสังเกตด้วยตนเองมีข้อจำกัด จึงควรพบแพทย์เพื่อการตรวจที่แม่นยำ
การตรวจฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) จำเป็นต้องอาศัยการซักประวัติที่ละเอียดร่วมกับการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการเฉพาะ เพื่อยืนยันการติดเชื้อและแยกโรคจากสาเหตุอื่นที่มีอาการคล้ายกัน
ขั้นตอนการตรวจที่แพทย์มักใช้มีดังนี้
แพทย์จะสอบถามถึงประวัติการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะหากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หรือเป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) รวมถึงอาการที่เริ่มจากแผลเล็ก ๆ ตามด้วยก้อนบวมที่ขาหนีบ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ LGV
หากมีแผลที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก แพทย์จะเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากบริเวณนั้นเพื่อตรวจหาเชื้อ Chlamydia trachomatis ด้วยวิธี NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่แม่นยำสูง
ในบางราย อาจมีการตรวจเลือดเพิ่มเติม เช่น ตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ หรือคัดกรองโรคติดต่ออื่นร่วมด้วย เช่น HIV, ซิฟิลิส หรือหนองใน เพื่อวางแผนการรักษาให้ครบถ้วน
หากอยู่ในพื้นที่ที่มีเคส LGV ไม่บ่อย แพทย์อาจส่งตัวไปยังคลินิกเวชศาสตร์ทางเพศ หรือคลินิกเฉพาะทางโรคติดต่อ เพื่อยืนยันผลด้วยเทคนิคเฉพาะที่ใช้ตรวจสายพันธุ์ของเชื้อ
การตรวจอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากปล่อยให้โรคลุกลามไปถึงระยะที่มีภาวะแทรกซ้อน จะรักษายากขึ้นและอาจมีผลกระทบระยะยาว
การรักษาฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) คือกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ ลดการอักเสบของต่อมน้ำเหลือง และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
แนวทางมาตรฐานในการรักษา LGV คือการให้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานกลุ่ม tetracycline โดยเฉพาะ Doxycycline ขนาด 100 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 21 วัน ซึ่งเป็นสูตรที่ได้รับการแนะนำจาก CDC และองค์การอนามัยโลก
ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ Doxycycline ได้ อาจพิจารณาใช้ Azithromycin หรือ Erythromycin เป็นทางเลือก โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม
ในบางรายที่มีฝีหรือก้อนหนองขนาดใหญ่ แพทย์อาจต้องใช้วิธีดูดหนองหรือผ่าระบายหนองออก ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการลุกลามและบรรเทาอาการปวด
เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำและการแพร่กระจาย คู่นอนของผู้ป่วยที่มีเพศสัมพันธ์ภายใน 60 วันก่อนเริ่มมีอาการ ควรได้รับการตรวจและรักษาเช่นเดียวกัน แม้ไม่มีอาการก็ตาม
ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบจนกว่าการรักษาจะครบ และแพทย์ยืนยันว่าหายแล้ว เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กลับไป-กลับมาในคู่รัก
การรักษา LGV หากเริ่มต้นอย่างทันท่วงที มักให้ผลลัพธ์ที่ดีและหายได้โดยไม่ทิ้งภาวะแทรกซ้อน แต่หากปล่อยไว้นานจนเข้าสู่ระยะเรื้อรัง การรักษาจะซับซ้อนและต้องใช้เวลานานมากขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต้องการการพักผ่อนอย่างต่อเนื่องเพื่อทำงานร่วมกับยาปฏิชีวนะให้เต็มประสิทธิภาพ พยายามนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 7-9 ชั่วโมง
การใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณที่มีการบวมของต่อมน้ำเหลือง สามารถช่วยบรรเทาอาการปวด ลดอาการตึง และส่งเสริมการไหลเวียนเลือด โดยควรประคบครั้งละ 15–20 นาที วันละ 2–3 ครั้ง
หากมีแผลเปิดหรือหนองแตก ควรล้างด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดวันละ 1–2 ครั้ง แล้วซับให้แห้ง ไม่ควรใช้สบู่หรือยาฆ่าเชื้อที่แรงเกินไป
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบจนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าหายขาดแล้ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น รวมถึงลดโอกาสการระคายเคืองหรืออักเสบเพิ่มขึ้น
เลือกทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามิน C และสังกะสี เช่น ปลา ถั่ว ผลไม้รสเปรี้ยว เพื่อช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมเนื้อเยื่อและฟื้นตัวเร็วขึ้น หลีกเลี่ยงของหมักดอง แอลกอฮอล์ หรืออาหารเผ็ดจัดในช่วงอักเสบ
ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาฝีมะม่วง (LGV) จนหายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งช่วงเวลาที่เริ่มรักษา ความรุนแรงของอาการ และสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม หากได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรก โรคนี้สามารถหายได้ภายใน 3 สัปดาห์โดยทั่วไป
หากเริ่มยาปฏิชีวนะภายใน 1–2 สัปดาห์หลังเริ่มมีอาการ เช่น Doxycycline ตามแนวทางมาตรฐาน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายภายใน 21 วัน โดยไม่ทิ้งแผลเป็นหรือภาวะแทรกซ้อน
ในบางรายที่มีการบวมรุนแรง หรือมีฝีที่ต้องเจาะ/ผ่าระบาย อาการอาจใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้น อาจอยู่ที่ 3–5 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยาและการดูแลแผลร่วมด้วย
หากปล่อยอาการไว้หลายสัปดาห์หรือหลายเดือนโดยไม่ได้รับการรักษา อาจเข้าสู่ระยะเรื้อรังที่ทำให้การรักษาใช้เวลานานเป็นเดือน และมีโอกาสเกิดพังผืดหรือแผลเรื้อรังที่ต้องติดตามต่อเนื่อง
แม้บางรายที่มีอาการไม่ชัดเจนอาจรู้สึกว่าดีขึ้นเอง แต่เชื้อยังคงอยู่ในระบบน้ำเหลืองและสามารถก่อให้เกิดพังผืดหรือแพร่เชื้อได้ การไม่รักษาอย่างเหมาะสมอาจทำให้เกิดผลเสียในระยะยาว
ระยะเวลาฟื้นตัวที่สั้นที่สุดมักพบในผู้ที่มาพบแพทย์เร็ว ตอบสนองต่อยาดี และปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด
การหายจาก LGV ครั้งหนึ่งไม่ได้ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันถาวร ผู้ป่วยสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีกหากได้รับเชื้อใหม่ เช่น จากคู่นอนที่ไม่ได้รับการรักษา หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ที่มีเชื้อ
ผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้วมักจะมีความไวต่อการสังเกตอาการในครั้งถัดไป แต่อาจไม่ได้รับการตรวจซ้ำหากไม่มีอาการเด่นชัด ทั้งนี้ LGV รอบใหม่อาจมีอาการที่ต่างจากครั้งก่อน เช่น ปวดน้อยลง หรือไม่มีตุ่มแผลในระยะแรก ทำให้วินิจฉัยยากขึ้น
คุณสามารถเริ่มต้นได้จากคลินิกเวชกรรมทั่วไป คลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD Clinic) หรือ เซฟ คลินิก
ค่ารักษาฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) อาจแตกต่างกันไปตามประเภทของสถานพยาบาลที่เข้ารับบริการ ความรุนแรงของโรค และรูปแบบการรักษาที่ใช้
ราคาโดยประมาณ: 2,000 – 6,000 บาท ครอบคลุมตั้งแต่
หากมีการผ่าระบายฝีหรือดูดหนอง อาจมีค่าหัตถการเพิ่มเติมอีกประมาณ 1,000 – 3,000 บาท
หากต้องตรวจโรคอื่นควบคู่ เช่น HIV, ซิฟิลิส, หนองใน ราคาจะเพิ่มขึ้นตามชุดตรวจ
บางแผนประกันสุขภาพเอกชนสามารถเบิกค่าตรวจและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขของกรมธรรม์แต่ละฉบับอย่างละเอียด
ในผู้ใหญ่ LGV มักเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง อาการจะเริ่มจากแผลที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก จากนั้นต่อมน้ำเหลืองจะบวมโต โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักสามารถให้ประวัติเพศสัมพันธ์ได้ชัดเจน ช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาเป็นไปอย่างตรงจุด
การพบ LGV ในเด็กเป็นเรื่องที่พบได้น้อย และถือว่าเป็น red flag ด้านจริยธรรมแพทย์ เพราะอาจบ่งชี้ถึงการล่วงละเมิดทางเพศ จำเป็นต้องมีการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดและร่วมงานกับทีมสหวิชาชีพ เช่น กุมารแพทย์ สังคมสงเคราะห์ และจิตแพทย์เด็ก
ในเด็กอาจไม่สามารถอธิบายอาการได้ชัดเจน และอาจไม่สังเกตแผลที่เกิดขึ้น ทำให้โรคเข้าสู่ระยะต่อมน้ำเหลืองบวมก่อนที่จะถูกวินิจฉัยได้
ฝีมะม่วง (LGV) อาจไม่ใช่โรคที่พบบ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว การวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะหากปล่อยให้ลุกลาม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษาในระยะยาว
ไม่ว่าคุณจะมีอาการบวมที่ขาหนีบ เป็นกลุ่มเสี่ยงทางเพศ หรือแค่ต้องการตรวจเช็กสุขภาพ การพบแพทย์คือทางเลือกที่ดีที่สุด การรู้เท่าทัน LGV ไม่เพียงปกป้องสุขภาพตัวเอง แต่ยังลดการแพร่เชื้อในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้