Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 - 20:30

โรคไมโคพลาสมา เจนิทาเลียม vs ยูเรียพลาสมา ต่างกันยังไง? อันไหนต้องรีบรักษา

เมื่อได้รับผลตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์ แล้วพบชื่อเชื้อ โรคไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา อยู่ในรายงาน หลายคนอาจรู้สึกสับสน และไม่แน่ใจว่าทั้งสองเชื้อนี้แตกต่างกันอย่างไร ต้องรีบรักษาหรือไม่ และมีผลต่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน

ที่สำคัญคือชื่อของเชื้อทั้งสองมีความคล้ายกัน และมักถูกพูดถึงพร้อมกันในการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) แต่ในความเป็นจริง ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา เป็นเชื้อที่มีลักษณะต่างกัน ทั้งด้านความรุนแรง ผลกระทบต่อสุขภาพ และแนวทางการดูแลรักษา

บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบความแตกต่างของเชื้อทั้งสองชนิดอย่างเข้าใจง่าย พร้อมตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อ การประเมินความเสี่ยง และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจรักษา เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างถูกต้องและมั่นใจยิ่งขึ้น

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

โรคไมโคพลาสมา กับยูเรียพลาสมา ทำไมคนสับสน?

ผู้ที่ตรวจพบเชื้อ ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา มักเกิดคำถามว่าทั้งสองเชื้อเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ต้องรักษาเหมือนกันหรือเปล่า หรือมีอันตรายแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเป็นความสับสนที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ที่ได้รับผลตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือผู้ที่เข้ารับการตรวจภาวะมีบุตรยาก

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คือชื่อของเชื้อทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน และจัดอยู่ในกลุ่มแบคทีเรียชนิดไม่มีผนังเซลล์เช่นเดียวกัน อีกทั้งผลการตรวจบางชุดอาจรายงานชื่อเชื้อเหล่านี้ในหมวดเดียวกัน ทำให้ผู้รับผลตรวจเข้าใจว่าเป็นโรคชนิดเดียวกัน

นอกจากนี้ ยูเรียพลาสมา ยังเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ตามปกติในร่างกายของคนที่มีสุขภาพดี โดยไม่ก่อโรคเสมอไป แตกต่างจาก ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม ซึ่งหากตรวจพบถือว่าเป็นเชื้อก่อโรคที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

ด้วยความซับซ้อนเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้รับผลตรวจจะต้องเข้าใจข้อแตกต่างของเชื้อทั้งสอง เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง

เชื้อไหนเป็น “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” ที่ต้องรีบรักษา?

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยจากผู้ที่ตรวจพบเชื้อ ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา คือ เชื้อเหล่านี้จัดเป็น “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” (Sexually Transmitted Infection หรือ STIs) หรือไม่ และจำเป็นต้องรีบรักษาในทุกกรณีหรือเปล่า

ในทางการแพทย์ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม ถูกจัดเป็นเชื้อก่อโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง หากตรวจพบในร่างกายถือว่ามีความเสี่ยงต่อการก่อโรคและควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระบบสืบพันธุ์

ในขณะที่ ยูเรียพลาสมา แม้สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่ไม่ถือเป็นเชื้อที่ก่อโรคในทุกกรณี เนื่องจากสามารถพบในร่างกายของคนที่มีสุขภาพดีโดยไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติ สำหรับยูเรียพลาสมา การพิจารณาว่าต้องรักษาหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องหรือไม่ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะที่ต้องควบคุมเชื้อ เช่น ผู้ที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยาก หรือสตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติภาวะแทรกซ้อน

ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถใช้แนวทางเดียวกันในการดูแลทั้งสองเชื้อได้ และควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความจำเป็นในการรักษาตามกรณีของแต่ละบุคคล

MG กับ Ureaplasma ติดได้พร้อมกันไหม? จะรู้ได้ยังไง?

อีกหนึ่งคำถามที่พบได้บ่อยเมื่อผู้ป่วยได้รับผลตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คือ “สามารถติดเชื้อ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา พร้อมกันได้หรือไม่?” ซึ่งคำตอบคือ สามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ได้ป้องกัน

แม้ทั้งสองเชื้อจะมีลักษณะและพฤติกรรมทางชีววิทยาต่างกัน แต่สามารถพบร่วมกันได้จากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในครั้งเดียวกัน หรือจากการสัมผัสกับคู่นอนที่มีเชื้อทั้งสองชนิด

การรู้ว่าตนเองติดเชื้อชนิดใดบ้าง จะขึ้นอยู่กับชนิดของการตรวจที่ใช้ หากทำการตรวจแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละเชื้อ (เช่น NAAT สำหรับ ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม และ PCR หรือ NAAT สำหรับ ยูเรียพลาสมา) ก็สามารถแยกเชื้อได้อย่างชัดเจน ซึ่งการแยกเชื้อเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากทั้งสองเชื้อมีแนวทางการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน

เปรียบเทียบอาการ: MG vs Ureaplasma → ใครควรกังวล?

แม้ว่า ไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม และ ยูเรียพลาสมา จะเป็นเชื้อที่สามารถพบในระบบสืบพันธุ์ได้ทั้งคู่ แต่อาการที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อแต่ละชนิดมีลักษณะและระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความจำเป็นในการรักษาและติดตามอาการ

ในกรณีของ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม การติดเชื้อมักสัมพันธ์กับการเกิดอาการที่ชัดเจนมากกว่า เช่น ปัสสาวะแสบขัด, ตกขาวผิดปกติ, เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือปวดท้องน้อย โดยเฉพาะในผู้หญิงยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะอักเสบของอุ้งเชิงกรานหรือภาวะมีบุตรยากหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา

สำหรับ ยูเรียพลาสมา ในคนส่วนใหญ่เชื้อนี้สามารถพบได้โดยไม่แสดงอาการ และถือเป็นส่วนหนึ่งของจุลชีพประจำถิ่นในบางคน อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีเชื้อยูเรียพลาสมาอาจมีบทบาทในการกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น ปัสสาวะแสบขัดหรือตกขาวผิดปกติ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก

สรุปคือ ผู้ที่มีอาการผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะหรืออวัยวะสืบพันธุ์ และตรวจพบเชื้อ ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม ควรเข้ารับการรักษาโดยเร็ว ส่วนในกรณีที่ตรวจพบ ยูเรียพลาสมา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าจำเป็นต้องรักษาหรือไม่ ตามความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อกับอาการในแต่ละบุคคล

ยูเรียพลาสมา เป็น “เชื้อปกติ” จริงไหม? แล้วเมื่อไหร่ถึงต้องรักษา?

ยูเรียพลาสมา เป็นหนึ่งในแบคทีเรียที่สามารถพบได้ในระบบสืบพันธุ์ของคนที่มีสุขภาพดี โดยเฉพาะในเพศหญิง โดยทั่วไปถือว่าเป็นเชื้อที่พบร่วมกับจุลชีพชนิดอื่นในภาวะสมดุล และไม่ได้ก่อโรคเสมอไป จึงมีคำกล่าวว่า “ยูเรียพลาสมาเป็นเชื้อปกติ” ที่ถูกหยิบยกมาอธิบายเสมอ

อย่างไรก็ตาม แม้ยูเรียพลาสมาจะพบได้ในร่างกายคนทั่วไป แต่ในบางกรณีเชื้อชนิดนี้สามารถเปลี่ยนบทบาทเป็นเชื้อก่อโรคได้ โดยเฉพาะเมื่อสมดุลของจุลชีพในช่องคลอดหรือระบบทางเดินปัสสาวะถูกรบกวน หรือในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงทางสุขภาพ

การพิจารณาว่าจำเป็นต้องรักษาหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:

  • ผู้ป่วยมี อาการผิดปกติที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ หรือไม่ เช่น ปัสสาวะแสบขัด, ตกขาวผิดปกติ, ปวดอุ้งเชิงกราน
  • ผู้ป่วยมีภาวะที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่าปกติ เช่น ภาวะมีบุตรยาก, กำลังตั้งครรภ์ หรือมีประวัติแท้งซ้ำ
  • ตรวจพบยูเรียพลาสมาที่มีความสัมพันธ์กับภาวะอักเสบหรือภาวะแทรกซ้อนที่ยืนยันทางการแพทย์

ในผู้ที่ตรวจพบยูเรียพลาสมาโดยไม่มีอาการ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม มักไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยอัตโนมัติ แต่ควรติดตามร่วมกับแพทย์เป็นรายกรณี

เปรียบเทียบผลต่อ “การมีบุตรยาก” และภาวะแทรกซ้อน

แม้ว่า ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา จะเป็นเชื้อที่สามารถส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ได้ทั้งคู่ แต่ระดับความรุนแรงและโอกาสนำไปสู่ ภาวะมีบุตรยาก หรือ ภาวะแทรกซ้อน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

ในกรณีของ ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม เชื้อนี้มีบทบาทเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสาเหตุของ การอักเสบเรื้อรังในระบบสืบพันธุ์ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ในเพศหญิง หากปล่อยเชื้อไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิด พังผืดในท่อนำไข่ และภาวะมีบุตรยากได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับ ความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูก ด้วย

ส่วน ยูเรียพลาสมา แม้จะมีการศึกษาว่าสามารถเกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยากในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มี ภาวะมีบุตรยากไม่ทราบสาเหตุ หรือมีประวัติ แท้งซ้ำ แต่ความเชื่อมโยงยังไม่ชัดเจนเท่ากับไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างของระบบสืบพันธุ์ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม

โดยรวมแล้ว ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียมมีความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากและภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าอย่างชัดเจน และหากตรวจพบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม ส่วนในกรณีของยูเรียพลาสมา ควรประเมินร่วมกับประวัติสุขภาพและอาการที่เกิดขึ้นเป็นรายบุคคล

วิธีตรวจ: ชุดตรวจทั่วไปครอบคลุมเชื้อไหนบ้าง?

ผู้ที่เข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) มักเข้าใจว่าการเลือก ชุดตรวจมาตรฐาน หรือ ตรวจ STI แบบครบชุด จะสามารถตรวจหาเชื้อได้ครบทุกชนิด รวมถึง ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา ด้วย แต่ในความเป็นจริง ชุดตรวจทั่วไปในท้องตลาดไม่ได้ครอบคลุมเชื้อเหล่านี้เสมอไป

โดยปกติ ชุดตรวจ STI พื้นฐานที่คลินิกหรือโรงพยาบาลส่วนใหญ่นำเสนอจะครอบคลุมเชื้อหลัก เช่น:

แต่สำหรับเชื้อ ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา ส่วนใหญ่จะ ไม่รวมอยู่ในชุดตรวจพื้นฐาน ผู้ที่ต้องการตรวจเชื้อเหล่านี้จำเป็นต้องแจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าเพื่อขอเพิ่มชุดตรวจแบบเฉพาะ เช่น:

  • NAAT หรือ PCR สำหรับ ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม
  • PCR หรือ multiplex test สำหรับ ยูเรียพลาสมา

การเลือกชุดตรวจที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับ ประวัติเสี่ยง และ ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ของแต่ละบุคคล หากมีอาการหรือประวัติเสี่ยงที่สอดคล้อง ควรขอเพิ่มการตรวจเชื้อเหล่านี้เพื่อความครบถ้วน

เปรียบเทียบ Home Test Kit → ตรวจเจอเชื้อไหนบ้าง?

ปัจจุบันมี ชุดตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แบบ Home Test Kit วางจำหน่ายมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างเป็นส่วนตัวที่บ้าน โดยไม่ต้องเดินทางไปคลินิกหรือโรงพยาบาล

อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจหาเชื้อของแต่ละชุดยังมีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเชื้ออย่าง ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในทุกชุดตรวจ

สิ่งที่ชุดตรวจ Home Test Kit มักครอบคลุม

  • หนองในแท้ (Neisseria gonorrhoeae)
  • หนองในเทียม (Chlamydia trachomatis)
  • ซิฟิลิส
  • HIV

ส่วนเชื้อที่ “อาจจะ” รวม หรือ “ต้องเลือกเพิ่ม”

  • ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม → บางชุดที่เป็น advanced STI panel หรือแบบ custom เท่านั้น
  • ยูเรียพลาสมา → พบน้อยใน Home Test Kit ทั่วไป ต้องตรวจแบบ custom / PCR เฉพาะ

ข้อควรระวังก่อนเลือกซื้อ

  • ตรวจสอบ list เชื้อที่ชุดตรวจนั้นครอบคลุมจริง (อ่านรายละเอียด package ก่อนซื้อ)
  • ถ้าต้องการตรวจ ไมโคพลาสมา  เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา → ต้องเลือกชุดที่ระบุชัดเจนว่าครอบคลุมเชื้อเหล่านี้
  • ตรวจแบบ swab (เช่น vaginal swab / urethral swab) → มักให้ผลแม่นยำกว่าการตรวจจากปัสสาวะในกรณีของ MG หรือ Ureaplasma

การใช้ Home Test Kit จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะหากต้องการตรวจเชื้อที่ไม่ได้อยู่ใน panel พื้นฐาน

ถ้าตรวจเจอเชื้อ ต้องรีบรักษาหรือไม่?

เมื่อผลตรวจพบเชื้อ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม หรือ ยูเรียพลาสมา หลายคนมักเกิดคำถามว่า “จำเป็นต้องรีบรักษาหรือไม่?” ซึ่งคำตอบจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่ทุกกรณีต้องรีบเริ่มการรักษาทันที

Checklist ต้องรีบรักษาหรือไม่?

  • ตรวจพบ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม → ควรรีบรักษาเสมอ
  • ตรวจพบ ยูเรียพลาสมา และมีอาการผิดปกติ → ควรรักษา
  • ตรวจพบ ยูเรียพลาสมา ไม่มีอาการ → ไม่จำเป็นต้องรักษาทุกกรณี → ควรปรึกษาแพทย์
  • มีแผนจะตั้งครรภ์ หรือกำลังตั้งครรภ์ → หากพบเชื้อใดก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ → อาจจำเป็นต้องรักษา
  • มีประวัติ ภาวะมีบุตรยาก หรือแท้งซ้ำ → หากพบยูเรียพลาสมา ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการรักษา
  • ตรวจพบเชื้อพร้อมกันหลายชนิด → ควรรีบหารือแพทย์เพื่อจัดลำดับการรักษาให้เหมาะสม

หากไม่แน่ใจหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ไม่ควรตัดสินใจรักษาด้วยตนเอง ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินอย่างละเอียด

ถ้าเจอเชื้อ “พร้อมกัน” ต้องจัดลำดับการรักษาอย่างไร?

ในบางกรณี ผลตรวจอาจพบเชื้อ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา พร้อมกัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเกิดความกังวลว่าจะต้องรักษาเชื้อใดก่อน หรือสามารถรักษาพร้อมกันได้หรือไม่

หลักการจัดลำดับการรักษาเบื้องต้น มีดังนี้

  • หากพบ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม → เป็นเชื้อที่มีแนวโน้มก่อโรคสูงกว่า และมีโอกาสทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมากกว่า → ควรได้รับการรักษาก่อนเป็นลำดับแรก หรือร่วมกับการรักษาเชื้ออื่นตามดุลยพินิจแพทย์
  • ยูเรียพลาสมา → การรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการและความเสี่ยงเฉพาะบุคคล หากไม่มีอาการ หรือไม่มีภาวะที่เสี่ยงต่อการมีบุตรยาก อาจไม่จำเป็นต้องรีบเริ่มการรักษาทันที ควรปรึกษาแพทย์เป็นรายกรณี
  • ในกรณีที่แพทย์พิจารณาว่าสามารถรักษาพร้อมกันได้ จะมีการเลือกสูตรยาที่ครอบคลุมเชื้อทั้งสองชนิด เพื่อประสิทธิผลที่ดีที่สุด และลดโอกาสเกิดภาวะดื้อยา

ที่สำคัญคือ ไม่ควรหยุดหรือตัดสินใจเว้นการรักษาเชื้อใดเชื้อหนึ่งเอง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการผิดปกติ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับกรณีเฉพาะของแต่ละบุคคล

ยูเรียพลาสมา / MG เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นยังไง?

การติดเชื้อ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา มีความเกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อื่น ๆ ได้ในหลายมิติ ทั้งในแง่ของพฤติกรรมเสี่ยงและความเป็นไปได้ในการติดเชื้อร่วม (co-infection)

พฤติกรรมเสี่ยงร่วมกัน

  • ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ MG หรือ ยูเรียพลาสมา เช่น การมีคู่นอนหลายคน, การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน, หรือการมีประวัติ STI มาก่อน → มักมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ STI อื่นร่วมด้วย เช่น หนองในแท้, หนองในเทียม, ซิฟิลิส, HIV เป็นต้น

Co-infection ที่พบร่วมบ่อย

  • ในทางคลินิกมีรายงานว่าผู้ติดเชื้อ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิอุม มีโอกาสตรวจพบการติดเชื้อ หนองในเทียม ร่วมด้วยในสัดส่วนที่สูง เนื่องจากเชื้อทั้งสองสามารถก่อให้เกิดอาการที่คล้ายคลึงกัน และติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน
  • สำหรับ ยูเรียพลาสมา แม้จะเป็นเชื้อที่พบได้ในร่างกายคนทั่วไป แต่หากตรวจพบร่วมกับ เชื้อ STI อื่น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอาการผิดปกติ → การประเมินและรักษาร่วมจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างรอบคอบ

เหตุผลที่ควรตรวจหลายโรคพร้อมกัน

  • เนื่องจาก การติดเชื้อหลายชนิดพร้อมกัน (co-infection) ไม่ใช่เรื่องที่พบได้น้อย และอาจส่งผลต่อความรุนแรงของอาการหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
  • การตรวจแบบ Comprehensive STI Panel หรือ ตรวจเชื้อเพิ่มเติมตามประวัติความเสี่ยง จะช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาได้ครบถ้วน และป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำในวงกว้าง

สรุป MG vs Ureaplasma

แม้ว่า ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา จะเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ในระบบสืบพันธุ์เหมือนกัน และมีบางอาการที่คล้ายคลึงกัน แต่ระดับความเสี่ยงและแนวทางการจัดการแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งผู้ที่ได้รับผลตรวจ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรเข้าใจข้อแตกต่างเหล่านี้เพื่อเลือกแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม

ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม เป็นเชื้อที่จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง หากตรวจพบควรรีบเข้ารับการรักษา แม้จะไม่มีอาการก็ตาม เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบสืบพันธุ์ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย

ส่วน ยูเรียพลาสมา แม้จะเป็นเชื้อที่สามารถพบในคนที่มีสุขภาพดีได้ แต่ในบางกรณีก็มีบทบาทในการก่อโรค โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีปัญหามีบุตรยาก หรือผู้ที่มีอาการผิดปกติ การประเมินความจำเป็นในการรักษาจึงควรทำเป็นรายบุคคล ร่วมกับแพทย์

ดังนั้น หากตรวจพบเชื้อใดเชื้อหนึ่ง หรือพบทั้งสองชนิดร่วมกัน การเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินความจำเป็นในการรักษา และการตรวจโรคอื่นที่อาจเกี่ยวข้อง ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อดูแลสุขภาพทางเพศอย่างเหมาะสม

คำถามพบบ่อย (FAQ)

Q1: ตรวจ STI แบบทั่วไป จะเจอ MG กับยูเรียพลาสมาไหม?

A: โดยทั่วไป ชุดตรวจ STI พื้นฐานในคลินิกหรือโรงพยาบาลมักไม่รวมการตรวจหาเชื้อ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา หากต้องการตรวจเชื้อเหล่านี้ ควรแจ้งขอเพิ่มชุดตรวจแบบเฉพาะเจาะจงกับแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ก่อน

Q2: ติดเชื้อ MG กับยูเรียพลาสมาพร้อมกัน อันไหนต้องรักษาก่อน?

A: หากตรวจพบ ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม ควรให้ความสำคัญในการรักษาเชื้อนี้ก่อน เพราะเป็นเชื้อที่มีความเสี่ยงก่อโรคสูงกว่า ส่วน ยูเรียพลาสมา การพิจารณารักษาจะขึ้นอยู่กับอาการและปัจจัยเสี่ยงเฉพาะบุคคล

Q3: ยูเรียพลาสมาเป็นเชื้อปกติ ทำไมบางคนต้องรักษา?

A: แม้ ยูเรียพลาสมา จะพบได้ในร่างกายของคนสุขภาพดี แต่ในบางกรณีอาจเกี่ยวข้องกับภาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบขัด, ปวดอุ้งเชิงกราน, ภาวะมีบุตรยาก หรือในหญิงตั้งครรภ์ → ในกรณีเหล่านี้การรักษาอาจจำเป็นตามดุลยพินิจแพทย์

Q4: Home Test Kit ทั่วไป เช็ก MG กับยูเรียพลาสมาได้ไหม?

A: ชุดตรวจ Home Test Kit ทั่วไปมักไม่ครอบคลุม ไมโคพลาสมา เจนิทาลิเลียม และ ยูเรียพลาสมา ต้องเลือกชุดที่ระบุชัดเจนว่าตรวจเชื้อเหล่านี้ได้ หรือเลือกตรวจเพิ่มเติมผ่านคลินิก/ห้องแล็บที่มีบริการตรวจเฉพาะทาง

Q5: ต้องตรวจโรคอื่นเพิ่มไหม ถ้าพบ MG หรือยูเรียพลาสมา?

A: การติดเชื้อ MG หรือ ยูเรียพลาสมา อาจเกิดร่วมกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นได้บ่อย เช่น หนองในเทียม, หนองในแท้, ซิฟิลิส หรือ HIV จึงแนะนำให้ตรวจโรคอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะถ้ามีประวัติเสี่ยงหรือมีอาการผิดปกติ

icon email