Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

หนองในแท้ vs หนองในเทียม ต่างกันยังไง? ครบจบในบทความเดียว

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “หนองใน” แต่ไม่แน่ใจว่าหมายถึงโรคอะไร และทำไมถึงมีทั้ง “หนองในแท้” และ “หนองในเทียม” ซึ่งมักทำให้สับสนเพราะมีอาการคล้ายกัน เช่น ปัสสาวะแสบหรือมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ

บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจว่า หนองในแท้และหนองในเทียมคืออะไร แตกต่างกันตรงไหน อาการที่ควรรู้ วิธีตรวจวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงวิธีป้องกัน เพื่อช่วยให้คุณแยกความแตกต่างได้ง่ายขึ้นและรู้ว่าควรทำอย่างไรหากสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ

หนองในแท้ vs หนองในเทียม ต่างกันยังไง? ครบจบในบทความเดียว

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

หนองในคืออะไร ทำไมถึงแบ่งเป็น “แท้” และ “เทียม”?

หนองใน (Urethritis) คือภาวะการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections: STI) โดยมีอาการหลักคือ มีหนองหรือน้ำขุ่นไหลออกจากท่อปัสสาวะร่วมกับอาการปัสสาวะแสบขัด

โรคหนองในแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  • หนองในแท้ (Gonorrhea) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae
  • หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis: NGU หรือ Chlamydia) เกิดจากเชื้ออื่น เช่น Chlamydia trachomatis, Mycoplasma genitalium, Ureaplasma urealyticum

การแบ่งเช่นนี้มีความสำคัญทางการแพทย์ เพราะเชื้อก่อโรคต่างกัน ส่งผลให้แนวทางการรักษาและการใช้ยาปฏิชีวนะต่างกันด้วย

หนองในแท้คืออะไร?

หนองในแท้ (Gonorrhea) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ซึ่งจะเข้าไปติดที่เยื่อบุผิวของท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก หรือคอหอย ทำให้เกิดการอักเสบและมีหนองออกมา

โรคนี้มีระยะฟักตัวค่อนข้างสั้น ประมาณ 1–10 วัน หลังได้รับเชื้อ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเริ่มมีอาการภายใน 5–7 วัน จุดเด่นของหนองในแท้คือ ลักษณะของหนองที่มักจะ ขุ่นและออกเป็นสีเหลืองหรือเขียว แตกต่างจากการติดเชื้อบางชนิดที่อาจมีหนองใสหรือไม่มีอาการชัดเจน

หนองในเทียมคืออะไร?

หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis: NGU หรือ Chlamydia) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อที่ไม่ใช่ Neisseria gonorrhoeae โดยสาเหตุหลักพบได้จากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากเชื้ออื่น เช่น Mycoplasma genitalium และ Ureaplasma urealyticum

โรคนี้มีระยะฟักตัวนานกว่าโรคหนองในแท้ โดยมักใช้เวลามากกว่า 10 วัน หลังได้รับเชื้อ ลักษณะของหนองอาจเป็น ใสหรือขุ่น และในหลายกรณีโดยเฉพาะในผู้หญิง อาจไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ และเสี่ยงแพร่เชื้อต่อให้คู่นอนโดยไม่ตั้งใจ

หนองในแท้ vs หนองในเทียม ต่างกันยังไง?

แม้ว่าหนองในแท้และหนองในเทียมจะมีอาการคล้ายกัน เช่น ปัสสาวะแสบ มีหนองไหลออกมา แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันหลายด้าน ทั้งชนิดของเชื้อก่อโรค ระยะฟักตัว ลักษณะของหนอง และแนวทางการรักษา

ประเด็นเปรียบเทียบ

หนองในแท้ (Gonorrhea)

หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis: NGU/Chlamydia)

เชื้อก่อโรค

Neisseria gonorrhoeae

ส่วนใหญ่เกิดจาก Chlamydia trachomatis
อาจเป็น Mycoplasma, Ureaplasma

ระยะฟักตัว

1–10 วัน (มักมีอาการใน 5–7 วัน)

มากกว่า 10 วันขึ้นไป

ลักษณะของหนอง

ขุ่น สีเหลืองหรือเขียว

ใสหรือขุ่น ลักษณะบางครั้งไม่ชัดเจน

ความชัดเจนของอาการ

มักแสดงอาการเด่นชัด โดยเฉพาะในผู้ชาย

อาจไม่แสดงอาการ โดยเฉพาะในผู้หญิง

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

อัณฑะอักเสบ, ท่อปัสสาวะตีบ

อุ้งเชิงกรานอักเสบ, มีบุตรยาก

แนวทางการรักษา

ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin

ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Tetracycline หรือ Macrolide

อาการของหนองในแท้

หนองในแท้มีอาการค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะในเพศชาย มักแสดงออกในช่วง 1–10 วันหลังติดเชื้อ อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • มีหนองขุ่นสีเหลืองหรือเขียวไหลออกจากท่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะแสบ ขัด หรือมีอาการเจ็บเวลาปัสสาวะ
  • อวัยวะเพศบวมแดงหรือเจ็บ
  • อาจมีการติดเชื้อที่คอหอยหรือทวารหนัก หากมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทางทวาร

ในผู้หญิง อาการมักไม่ชัดเจนเท่าผู้ชาย แต่อาจสังเกตได้จาก

  • ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่น หรือมีหนองปนเลือด
  • ปัสสาวะแสบหรือปวดท้องน้อย
  • เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์

อาการของหนองในเทียม

หนองในเทียมมักแสดงอาการช้ากว่าและบางรายอาจไม่มีอาการ โดยเฉพาะในเพศหญิง ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

ในผู้ชาย

  • มีของเหลวใสหรือขุ่นเล็กน้อยไหลออกจากท่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะแสบ ขัด หรือรู้สึกเจ็บ
  • อาจมีอาการคันหรือระคายเคืองบริเวณปลายอวัยวะเพศ
  • บางรายอาจปวดบวมบริเวณลูกอัณฑะ

ในผู้หญิง

  • ตกขาวผิดปกติ อาจเป็นมูกปนหนองหรือมีกลิ่น
  • ปัสสาวะแสบหรือรู้สึกขัด
  • เจ็บท้องน้อย หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • อาจมีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน

หนองในเทียมในผู้ชาย ผู้หญิง ต่างกันยังไง?

หนองในเทียมสามารถเกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง แต่ลักษณะอาการมักแตกต่างกันตามเพศ ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้

ประเด็นเปรียบเทียบ

ผู้ชาย

ผู้หญิง

ความชัดเจนของอาการ

มักแสดงอาการชัด เช่น หนองใส ปัสสาวะแสบ

มักไม่มีอาการ หรืออาการไม่ชัด

ลักษณะของสารคัดหลั่ง

ของเหลวใสหรือขุ่นไหลออกจากท่อปัสสาวะ

ตกขาวผิดปกติ มูกปนหนอง มีกลิ่น

อาการร่วม

ปัสสาวะแสบ คันหรือระคายเคืองบริเวณปลายอวัยวะเพศ

ปวดท้องน้อย เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์

ภาวะแทรกซ้อนหากไม่รักษา

อัณฑะอักเสบ เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก

อุ้งเชิงกรานอักเสบ เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก

หนองในติดต่อได้ทางไหนบ้าง?

หนองในแท้และหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การแพร่เชื้อสามารถเกิดขึ้นได้หลายทาง ดังนี้

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ทั้งการสอดใส่ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (oral sex)
  • การสัมผัสสารคัดหลั่งโดยตรง เช่น หนอง น้ำอสุจิ หรือของเหลวจากช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ
  • การใช้ของร่วมกันที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง (แม้พบน้อย) เช่น sex toy, ผ้าเช็ดตัว, ชุดชั้นใน

คำถามที่พบบ่อย:

  • หนองในติดจากการกอดหรือจูบได้ไหม? → โอกาสต่ำมาก แทบไม่พบรายงาน
  • หนองในติดจากการใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือสระว่ายน้ำได้ไหม? → ความเสี่ยงต่ำมาก เนื่องจากเชื้อมักไม่อยู่รอดนานนอกร่างกาย

หนองในที่คอและทวารหนักเป็นยังไง?

หนองในไม่ได้เกิดเฉพาะที่อวัยวะเพศเท่านั้น แต่สามารถติดเชื้อที่คอและทวารหนักได้จากพฤติกรรมทางเพศ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทางทวาร

อาการของหนองในที่คอ (Pharyngeal gonorrhea / chlamydia)

  • เจ็บคอ ระคายคอ หรือมีอาการคล้ายเจ็บคอทั่วไป
  • บางรายไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ตรวจพบโดยบังเอิญ

อาการของหนองในที่ทวารหนัก (Rectal gonorrhea / chlamydia)

  • มีหนองหรือเลือดออกจากทวารหนัก
  • รู้สึกปวด แสบ หรือคันบริเวณทวารหนัก
  • บางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย

แม้อาการเหล่านี้อาจไม่เฉพาะเจาะจง แต่หากมีประวัติเสี่ยงทางเพศ ควรเข้ารับการตรวจเพื่อยืนยันและรักษาอย่างถูกต้อง

การวินิจฉัยโรคหนองในเทียม

การวินิจฉัยหนองในแท้และหนองในเทียม

การตรวจวินิจฉัยโรคหนองในมีความสำคัญ เพราะอาการของหนองในแท้และหนองในเทียมอาจคล้ายกัน แต่เชื้อก่อโรคต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการเลือกใช้ยารักษา

วิธีการตรวจที่ใช้บ่อย ได้แก่:

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย → แพทย์จะสอบถามประวัติทางเพศและตรวจหาสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะหรือช่องคลอด
  • การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Gram stain) → ใช้ย้อมสีตัวอย่างสารคัดหลั่งเพื่อดูเชื้อแบคทีเรีย
  • การเพาะเชื้อ (Culture) → นำตัวอย่างไปเพาะเพื่อยืนยันชนิดของเชื้อและเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
  • การตรวจด้วยวิธี NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) → เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูง สามารถตรวจพบเชื้อ Neisseria gonorrhoeae และ Chlamydia trachomatis ได้จากปัสสาวะหรือสารคัดหลั่ง

ผลตรวจจะช่วยให้แพทย์แยกได้ว่าเป็น หนองในแท้ หรือ หนองในเทียม และกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

หนองในแท้ vs หนองในเทียม อันไหนอันตรายกว่ากัน?

ทั้งหนองในแท้และหนองในเทียมต่างเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ความรุนแรงขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ติดเชื้อ ระยะเวลาที่เป็น และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ไม่สามารถระบุได้ว่าชนิดใด “อันตรายกว่า” อย่างชัดเจน แต่มีลักษณะความเสี่ยงที่ต่างกันดังนี้

หนองในแท้ (Gonorrhea):

  • เสี่ยงทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง
  • อาจลุกลามจนเกิดภาวะอัณฑะอักเสบในผู้ชาย
  • มีโอกาสทำให้เกิดท่อปัสสาวะตีบหากปล่อยทิ้งไว้

หนองในเทียม (Chlamydia / NGU):

  • ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID)
  • อาจส่งผลให้มีบุตรยากในระยะยาว
  • ผู้ชายบางรายอาจเกิดการอักเสบของท่อนำอสุจิ

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นหนองในแท้หรือหนองในเทียม หากสงสัยว่าติดเชื้อควรเข้ารับการตรวจและรักษาโดยแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต

วิธีรักษาโรคหนองในเทียม

วิธีรักษาหนองในแท้และหนองในเทียม

การรักษาหนองในทั้งสองชนิดจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้เลือกชนิดยาและระยะเวลาในการใช้ตามชนิดของเชื้อและตำแหน่งที่ติดเชื้อ

แนวทางทั่วไปในการรักษา ได้แก่

  • หนองในแท้ (Gonorrhea): มักใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเซฟาโลสปอริน (Cephalosporins)
  • หนองในเทียม (Chlamydia / NGU): มักใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตราไซคลิน (Tetracyclines) หรือแมคโครไลด์ (Macrolides)

นอกจากการให้ยากับผู้ป่วยแล้ว แพทย์ยังมักแนะนำให้ คู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษาไปพร้อมกัน เพื่อลดการแพร่เชื้อและป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

ในระหว่างการรักษาควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าเชื้อหายไปแล้ว และควรมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจติดตามผล

หนองในแท้ หนองในเทียม รักษากี่วันหาย?

ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาหนองในขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ตำแหน่งที่ติดเชื้อ และการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยแต่ละคน

  • หนองในแท้ (Gonorrhea): หากได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายใน ไม่กี่วัน และมักหายภายในประมาณ 7 วัน
  • หนองในเทียม (Chlamydia / NGU): มักต้องใช้เวลานานกว่า โดยทั่วไปอาการจะดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ หลังเริ่มการรักษา

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรรับประทานยาหรือปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ จนครบคอร์ส แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับมาเป็นซ้ำ

หนองในเทียมหายเองได้ไหม

หนองในเทียมหายเองได้ไหม?

หนองในเทียมบางกรณีอาจหายเองได้ แต่พบไม่บ่อย งานวิจัยบางชิ้นรายงานว่า ผู้ป่วยประมาณ 20–30% อาจหายเองภายใน 1–3 สัปดาห์ และประมาณ 60% อาจหายเองภายใน 2 เดือนโดยไม่รักษา

อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้โรคหายเองมีความเสี่ยงสูง เพราะเชื้ออาจยังคงอยู่และลุกลามไปยังอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือภาวะมีบุตรยากได้

คำแนะนำทางการแพทย์: หากสงสัยว่าติดเชื้อหนองในเทียม ควรเข้ารับการตรวจและรับยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง เพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน

วิธีการป้องกันโรคหนองในเทียม

วิธีป้องกันการติดเชื้อหนองใน

แม้ว่าหนองในแท้และหนองในเทียมสามารถรักษาได้ แต่การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง โดยแนวทางที่แพทย์แนะนำ ได้แก่

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
  • มีคู่นอนที่ชัดเจนและปลอดภัย หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD screening)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน เช่น sex toy หรือผ้าเช็ดตัวที่อาจปนเปื้อนสารคัดหลั่ง
  • งดการมีเพศสัมพันธ์หากสงสัยว่าติดเชื้อ และรีบพบแพทย์เพื่อการตรวจรักษาที่ถูกต้อง

หนองในทำให้มีบุตรยากไหม?

ทั้งหนองในแท้และหนองในเทียมสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

  • ในผู้หญิง: เชื้อ Chlamydia trachomatis และ Neisseria gonorrhoeae สามารถลุกลามเข้าสู่มดลูกและท่อนำไข่ ทำให้เกิดภาวะ อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease: PID) ซึ่งอาจทำให้ท่อนำไข่ตีบหรืออุดตัน ส่งผลให้ไข่ไม่สามารถปฏิสนธิได้ตามปกติ และเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ในผู้ชาย: การติดเชื้อเรื้อรังอาจทำให้เกิดการอักเสบของอัณฑะหรือท่อนำอสุจิ ส่งผลต่อการสร้างและการเคลื่อนไหวของอสุจิ จนลดโอกาสในการมีบุตร

ดังนั้น แม้หนองในจะรักษาได้ แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา มีความเป็นไปได้ที่จะกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ทั้งในเพศชายและเพศหญิง

ประสบการณ์จริงจากผู้ป่วยหนองใน

ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ติดเชื้อหนองในแท้หรือหนองในเทียม อาจไม่ได้สังเกตอาการตั้งแต่แรกเริ่ม เนื่องจากอาการบางอย่างไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในผู้หญิง ทำให้มาพบแพทย์เมื่อมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้ว

ตัวอย่างกรณีศึกษา:

  • ผู้ชายอายุ 25 ปี มีอาการปัสสาวะแสบและมีหนองใสออกจากปลายอวัยวะเพศ มองว่าเป็นเรื่องเล็กจึงไม่ได้ไปพบแพทย์ จนผ่านไปเกือบ 3 สัปดาห์อาการไม่หายและเริ่มปวดบวมบริเวณอัณฑะ จึงตัดสินใจเข้ารับการตรวจ และพบว่าเป็นหนองในเทียม (Chlamydia trachomatis)
  • ผู้หญิงอายุ 28 ปี ไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน แต่เมื่อตรวจสุขภาพประจำปี พบว่ามีการติดเชื้อหนองในแท้ (Neisseria gonorrhoeae) โดยไม่รู้ตัว โชคดีที่ตรวจพบเร็วและเข้ารับการรักษาได้ทัน

ข้อสังเกต: ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับการรักษาตามคำแนะนำแพทย์ มักตอบสนองต่อยาได้ดีและอาการดีขึ้นภายในเวลาไม่นาน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

  1. หนองในแท้และหนองในเทียมเหมือนกันไหม?
    → ไม่เหมือนกัน หนองในแท้เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ส่วนหนองในเทียมมักเกิดจาก Chlamydia trachomatis หรือเชื้ออื่น อาการอาจคล้ายกัน แต่แนวทางการรักษาแตกต่างกัน
  2. หนองในตรวจได้อย่างไร?
    → ตรวจได้จากการเก็บตัวอย่างปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น Gram stain, เพาะเชื้อ หรือ NAAT test ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด
  3. หนองในหายเองได้ไหม?
    → หนองในแท้ไม่หายเอง ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ส่วนหนองในเทียมบางรายอาจหายเอง แต่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน จึงควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
  4. รักษาหนองในต้องใช้เวลานานเท่าไร?
    → หากได้รับยาถูกต้อง หนองในแท้มักหายใน 7 วัน ส่วนหนองในเทียมใช้เวลาประมาณ 1–2 สัปดาห์
  5. หนองในกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม?
    → มีโอกาสเป็นซ้ำได้หากคู่นอนไม่ได้รับการรักษาหรือมีการติดเชื้อใหม่ ดังนั้นควรรักษาพร้อมกันทั้งคู่และงดเพศสัมพันธ์ระหว่างรักษา

สรุป หนองในแท้ vs หนองในเทียม

หนองในแท้และหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีอาการใกล้เคียงกัน เช่น ปัสสาวะแสบขัดและมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ แต่แตกต่างกันที่ชนิดของเชื้อก่อโรค ระยะฟักตัว และแนวทางการรักษา

  • หนองในแท้ (Gonorrhea): เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae มักมีอาการชัดเจน หนองสีเหลืองหรือเขียว
  • หนองในเทียม (Chlamydia / NGU): เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis หรือเชื้ออื่น ๆ มักอาการไม่ชัด โดยเฉพาะในผู้หญิง

ทั้งสองโรคสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นหากสงสัยว่ามีอาการ ควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลที่ถูกต้อง

อ้างอิง

icon email