Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 - 20:30

Oral Sex เสี่ยงติดโรคอะไรบ้าง? (HIV, HPV) ป้องกันก่อนติดเชื้อ 2025

หลายคนอาจมองว่า Oral Sex หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก เป็นกิจกรรมทางเพศที่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มีการสอดใส่โดยตรง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ยังคงมีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Oral Sex ติด hiv ไหม หรือกการออรัลติดเอดส์ไหม  เสี่ยงติดโรคอะไรบ้าง อาการเป็นอย่างไร และควรป้องกันอย่างไรเพื่อให้ความสัมพันธ์ทางเพศปลอดภัยและมั่นใจมากยิ่งขึ้น

Oral Sex คืออะไร?

Oral Sex หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า “การใช้ปากในการกระตุ้นอวัยวะเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก” เป็นหนึ่งในรูปแบบของกิจกรรมทางเพศที่ไม่ใช่การสอดใส่โดยตรง แต่ยังคงมีความเสี่ยงในการติดต่อโรคจากคู่ของคุณได้เช่นเดียวกัน โดยทั่วไป Oral Sex แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:

  • Fellatio: การใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศชาย
  • Cunnilingus: การใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศหญิง
  • Anilingus (Rimming): การใช้ปากสัมผัสกับทวารหนัก

กิจกรรมเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในความสัมพันธ์ของชายหญิง หรือเพศเดียวกัน และมักถูกมองว่าเป็น “เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยกว่า” เพราะไม่มีการสอดใส่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Oral Sex ก็ยังมีโอกาสแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ได้ หากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม

จุดเด่นของหัวข้อนี้

  • ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจนิยามและขอบเขตของ Oral Sex อย่างถูกต้อง
  • ปูพื้นฐานให้เห็นว่า “แม้ไม่สอดใส่ ก็ยังมีความเสี่ยง”
  • ไม่ซ้ำกับหัวข้ออื่น เช่น โรคที่เกี่ยวข้อง, อาการ, หรือการป้องกัน

Oral Sex เสี่ยงติดโรคอะไรบ้าง?

แม้ Oral Sex จะไม่ได้มีการสอดใส่โดยตรง แต่ก็ยังถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางเพศที่สามารถแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ได้อย่างแท้จริง ผ่านการสัมผัสน้ำหล่อลื่น น้ำอสุจิ หรือของเหลวจากอวัยวะเพศในช่องปาก หรือจากช่องปากสู่อวัยวะเพศ

โรค

ลักษณะการแพร่เชื้อ

หมายเหตุ

ไวรัส HPV

ติดจากการสัมผัสผิวหนังรอบอวัยวะเพศ

บางสายพันธุ์ทำให้เกิดมะเร็งคอหอย

เริม (Herpes Simplex Virus)

แพร่จากแผลพุพองหรือผิวหนังที่ติดเชื้อ

ติดได้แม้ไม่มีอาการ

หนองในแท้/เทียม (Gonorrhea/Chlamydia)

จากการสัมผัสของเหลวในร่างกาย

อาจไม่มีอาการชัดเจนในช่องปาก

ซิฟิลิส (Syphilis)

จากแผลหรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศหรือปาก

ระยะแรกติดต่อได้ง่ายมาก

ไวรัสตับอักเสบ B/C

แพร่ผ่านเลือดหรือน้ำคัดหลั่ง

เสี่ยงหากมีแผลในปากหรือเหงือก

HIV

ความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการสอดใส่

แต่ยังมีโอกาสถ้ามีแผลหรือเลือดออกในช่องปาก

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดโรค

  • มีแผลหรือรอยถลอกในปาก / ลำคอ
  • มีโรคเหงือกหรือฟันผุ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดง่าย
  • ไม่ได้ใช้ถุงยางหรือ Dental Dam
  • คู่มีหลายคนหรือไม่ทราบประวัติสุขภาพทางเพศ

ข้อมูลอ้างอิงทางการแพทย์

อาการของโรคที่ติดจาก Oral Sex เป็นอย่างไร?

อาการของโรคติดต่อที่ได้รับจาก Oral Sex อาจไม่ได้ชัดเจนในทันที และบางครั้งอาจไม่มีอาการเลย ซึ่งทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองได้รับเชื้อและอาจเผลอแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ การรู้จักลักษณะอาการเบื้องต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

อาการทั่วไปที่ควรระวัง

ผู้ที่ติดเชื้อผ่านทาง Oral Sex อาจมีอาการดังต่อไปนี้ในบริเวณปาก ลำคอ หรืออวัยวะเพศ

  • เจ็บคอแบบไม่ทราบสาเหตุ
  • มีแผลหรือผื่นในช่องปากหรือริมฝีปาก
  • มีกลิ่นปากผิดปกติ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวมบริเวณคอ
  • มีคราบขาว แดง หรือจุดหนองในช่องปากหรือที่ลิ้น

อาการเฉพาะของแต่ละโรคที่พบบ่อย

โรค

อาการเฉพาะ

HPV (ไวรัสหูด)

มักไม่มีอาการ แต่บางรายอาจพบก้อนนูนบริเวณลิ้น เพดานปาก หรือคอ

เริม (HSV-1/HSV-2)

มีตุ่มใสหรือแผลพุพองที่ริมฝีปาก เหงือก หรือโคนลิ้น เจ็บแสบ

หนองใน/หนองในเทียม

เจ็บคอ กลืนลำบาก มีหนองในลำคอ บางรายอาจไม่มีอาการเลย

ซิฟิลิส

แผลเดี่ยวแข็ง ไม่เจ็บ อาจเกิดในปาก ลิ้น หรือเพดานปากในระยะแรก

ไวรัสตับอักเสบ B/C

อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตัวเหลือง ตาเหลือง หากมีการติดเชื้อเรื้อรัง

HIV

ในระยะแรกอาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ แล้วหายเองจนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ

วิธีป้องกันโรคจาก Oral Sex มีอะไรบ้าง?

  1. ใช้ถุงยางอนามัย (Condom)
    • ถุงยางอนามัย ช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสของเหลวและเชื้อโรค
    • เหมาะสำหรับการทำ Oral Sex กับเพศชาย
  2. ใช้ Dental Dam (แผ่นยางอนามัยช่องปาก)
    • ใช้ในการป้องกันเชื้อโรคระหว่างการกระตุ้นอวัยวะเพศหญิง หรือทวารหนัก
    • ยังไม่เป็นที่รู้จักในไทยมากนัก แต่มีประสิทธิภาพสูง
  3. งดการมีเพศสัมพันธ์หากมีแผลในปาก หรือโรคเหงือก
    • แผลเล็กๆ หรือเลือดออกตามไรฟัน อาจเป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
  4. ฉีดวัคซีนที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อ
    • วัคซีน HPV: ลดโอกาสเกิดมะเร็งช่องปากและหูดจากไวรัส
    • วัคซีนไวรัสตับอักเสบ B: ป้องกันการติดเชื้อที่สามารถแพร่ผ่าน Oral Sex ได้
  5. ตรวจคัดกรองโรคทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
    • แม้ไม่มีอาการก็ควรตรวจปีละครั้ง โดยเฉพาะหากมีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • คลินิก STD ส่วนใหญ่สามารถตรวจได้แบบไม่เจ็บและรักษาความลับผู้ป่วย
  6. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคู่ที่มีอาการชัดเจน
    • เช่น แผล ผื่น หรือตุ่มพอง บริเวณปากหรืออวัยวะเพศ

ถ้าสงสัยว่าติดโรคจาก Oral Sex ต้องทำอย่างไร?

หากคุณเริ่มมีอาการผิดปกติหลังจากมี Oral Sex หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน ไม่ได้ใช้การป้องกัน หรือคู่มีอาการของโรคติดต่อ คำแนะนำที่สำคัญที่สุดคือ “อย่ารอให้อาการชัดเจนก่อนจึงตรวจ” เพราะหลายโรคอาจไม่แสดงอาการในระยะแรกแต่สามารถแพร่เชื้อได้

ขั้นตอนที่ควรทำทันที

  1. งดกิจกรรมทางเพศทุกประเภท
    • เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้คู่ของคุณ ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม
  2. ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD Check)
    • เลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ เช่น คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางด้านโรคติดต่อ
    • ควรตรวจเฉพาะโรคที่เสี่ยงจาก Oral Sex เช่น HIV, ซิฟิลิส, หนองใน, เริม, HPV
  3. แจ้งคู่ของคุณ
    • เพื่อให้เขาหรือเธอได้ตรวจและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
    • การแจ้งควรใช้ท่าทีที่ให้ความเข้าใจ ไม่กล่าวโทษ เพื่อป้องกันปัญหาความสัมพันธ์
  4. เริ่มการรักษาโดยเร็ว
    • ยิ่งเริ่มรักษาเร็ว โอกาสรักษาหายขาด หรือควบคุมโรคได้ดียิ่งขึ้น
    • บางโรคอย่างซิฟิลิสหรือหนองในสามารถรักษาหายด้วยยาปฏิชีวนะ
  5. ดูแลสุขภาพช่องปากเพิ่มเติม
    • หากติดเชื้อในช่องปาก เช่น เริม หรือแผลซิฟิลิส ควรปรึกษาทันตแพทย์ควบคู่กันไป

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Oral Sex และโรคติดต่อ

❌ ความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อย

  1. “Oral Sex ไม่ใช่เพศสัมพันธ์”ความจริง: Oral Sex เป็นกิจกรรมทางเพศเต็มรูปแบบ และสามารถแพร่เชื้อโรคติดต่อได้เหมือนการสอดใส่
  2. “แค่ใช้ปาก ไม่น่าจะติดโรคได้”ความจริง: การสัมผัสน้ำคัดหลั่ง ผิวหนังที่มีเชื้อ หรือแผลในช่องปาก เป็นช่องทางหลักที่เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
  3. “ถ้าไม่มีแผลในปาก ก็คงปลอดภัย”ความจริง: แม้ไม่มีแผลที่เห็นชัด แต่ช่องปากเป็นเยื่อบุที่ไวต่อการติดเชื้อ และแผลเล็กมากๆ อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
  4. “มีคู่เดียว ไม่ต้องตรวจ STD ก็ได้”ความจริง: แม้จะมีความสัมพันธ์แบบผูกพัน แต่คุณไม่สามารถรู้สถานะของคู่ได้หากไม่มีการตรวจอย่างสม่ำเสมอ
  5. “โรคบางโรคติดแค่จากการสอดใส่”ความจริง: โรคอย่าง HPV, เริม, ซิฟิลิส และแม้แต่ HIV สามารถติดต่อผ่านการใช้ปากได้ในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงร่วม

✅ ข้อเท็จจริงที่ควรรู้

  • เชื้อหลายชนิดแพร่ได้ผ่านการสัมผัสผิวหนัง ไม่จำเป็นต้องมีการสอดใส่
  • การป้องกันอย่างถูกวิธี เช่น ใช้ถุงยาง/Dental Dam และตรวจสุขภาพทางเพศประจำปี เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
  • ไม่ควรประเมินความเสี่ยงจาก “ความรู้สึก” แต่ควรอิงจากข้อเท็จจริงทางการแพทย์

Oral Sex กับสุขภาพช่องปากเกี่ยวข้องกันยังไง?

สุขภาพช่องปากที่ดีไม่ได้มีผลเฉพาะเรื่องลมหายใจหรือรอยยิ้มเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเสี่ยงในการติดเชื้อจาก Oral Sex ด้วย เนื่องจากช่องปากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดมาก และเยื่อบุอ่อน จึงกลายเป็น “ทางเข้าหลัก” ของเชื้อโรคได้อย่างง่ายดาย

ปัญหาสุขภาพช่องปากที่เพิ่มความเสี่ยง

  1. ฟันผุ และเหงือกอักเสบ
    • บริเวณที่มีการอักเสบหรือเป็นแผลเล็กๆ จากโรคเหงือกหรือฟันผุ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย
  2. แผลในปาก แม้จะเล็กมาก
    • แผลที่เกิดจากการกัดลิ้น, ร้อนใน, หรือแม้แต่การแปรงฟันแรงเกินไป ล้วนเป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
  3. เลือดออกตามไรฟันหรือขณะแปรงฟัน
    • อาจเป็นสัญญาณของโรคเหงือก หรือแผลซ่อนเร้นที่ควรระวังอย่างยิ่งหากมี Oral Sex
  4. คราบหินปูน และสุขอนามัยปากที่ไม่ดี
    • อาจเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรีย ทำให้เกิดกลิ่นปาก และเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส

ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างไรให้ปลอดภัย

  • ตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์เป็นประจำ อย่างน้อยทุก 6 เดือน
  • หลีกเลี่ยง Oral Sex หากมีแผลในปาก หรือโรคเหงือก
  • อย่าแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันทันที ก่อนมี Oral Sex เพราะอาจทำให้เยื่อบุปากมีแผลเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว
  • บ้วนปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ก่อนมีเพศสัมพันธ์ (หลังงดแปรงฟันอย่างน้อย 1 ชม.)

วิธีดูแลความสะอาดก่อนมี Oral Sex อย่างถูกวิธี

สำหรับ “ผู้ให้”

  1. ล้างมือและปากก่อนมีเพศสัมพันธ์
    • ใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อลดแบคทีเรียในช่องปาก
    • งดแปรงฟันหรือขูดลิ้นก่อน Oral Sex อย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงแผลเล็กในช่องปาก
  2. งดกินอาหารที่มีรสจัด กลิ่นแรง หรือร้อนจัดก่อนกิจกรรม
    • เพื่อลดการระคายเคืองและแผลในช่องปากที่อาจไม่รู้ตัว
  3. สำรวจสุขภาพช่องปากของตนเอง
    • หากมีแผลร้อนใน เหงือกอักเสบ หรือลักษณะที่ไม่ปกติ ควรงดมีเพศสัมพันธ์ทางปากชั่วคราว

สำหรับ “ผู้รับ”

  1. ล้างอวัยวะเพศด้วยน้ำสะอาด (ไม่ใช้สบู่แรงหรือผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม)
    • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อหรือสบู่ล้างลึก เพราะอาจทำลายสมดุลแบคทีเรียตามธรรมชาติ
  2. ตรวจสอบความผิดปกติของผิวหนัง เช่น ผื่น แผล หูด หรือตุ่ม
    • หากพบสิ่งผิดปกติ ควรงดกิจกรรมทางเพศทันทีและพบแพทย์
  3. เล็มขนบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาด (ถ้ามี)
    • เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคโดยเฉพาะในบริเวณชื้นและอบ

ควรหลีกเลี่ยงการมี Oral Sex

  • มีแผลในปากหรืออวัยวะเพศ ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่
  • เพิ่งถอนฟัน ขูดหินปูน หรือทำทันตกรรมภายใน 24-48 ชม.
  • มีอาการอักเสบ ปวด หรือกลิ่นผิดปกติ

ตรวจ STD ต้องรอมีอาการก่อนหรือไม่?

หลายคนยังเข้าใจผิดว่าการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ควรทำเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เชื้อส่วนใหญ่สามารถ “ซ่อนตัว” ได้โดยไม่มีอาการเลยนานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน และในระหว่างนั้นก็สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อย่างไม่รู้ตัว

ไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการก่อน

  • โรคอย่าง หนองในแท้, หนองในเทียม, ซิฟิลิส, เริม, HPV หรือแม้แต่ HIV สามารถติดโดยไม่แสดงอาการ
  • อาการบางอย่าง เช่น เจ็บคอ เป็นแผล หรือมีตุ่ม อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการทั่วไป เช่น ร้อนใน หรือภูมิแพ้
  • หากตรวจเร็วตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ จะสามารถควบคุมโรคได้ดีและลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ

ควรตรวจ STD ตอนไหน?

สถานการณ์

ความถี่ที่แนะนำให้ตรวจ

มีคู่นอนใหม่ หรือมีคู่นอนหลายคน

ทุก 3-6 เดือน

ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ

ทุก 3 เดือน

มีคู่นอนที่เคยติดโรคติดต่อ

ทันที และตรวจซ้ำอีกครั้งใน 3 เดือน

วางแผนมีลูก / เตรียมแต่งงาน

ควรตรวจทั้งคู่ล่วงหน้า

ไม่มีอาการ แต่ต้องการความมั่นใจ

ปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย

ตรวจที่ไหนได้บ้าง?

  • คลินิกเฉพาะทางด้าน STD: Safe Clinic มีความเป็นส่วนตัวสูง และเข้าใจเรื่องเพศสภาพหลากหลาย 
  • โรงพยาบาลทั่วไป: มีแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน หรืออายุรกรรมโรคติดเชื้อ
  • คลินิกนิรนาม (เช่น สภากาชาดไทย): ตรวจโดยไม่ต้องระบุชื่อ มีบริการให้คำปรึกษาฟรี

สรุป Oral Sex ปลอดภัยได้ ถ้ารู้วิธีป้องกัน

Oral Sex เป็นกิจกรรมทางเพศที่พบได้ทั่วไปทั้งในความสัมพันธ์ชายหญิงและเพศเดียวกัน หลายคนเข้าใจว่าเป็นทางเลือกที่ “ปลอดภัยกว่า” เพราะไม่มีการสอดใส่ แต่ความจริงคือหากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อยู่มาก

icon email