Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ยา PEP (เป๊ป) คืออะไร ราคา ซื้อได้ที่ไหน วิธีใช้ ผลข้างเคียง ฟรีหรือไม่ และคำถามที่พบบ่อย?

ยา PEP คืออะไร ราคา ป้องกัน HIV ได้จริงหรือไม่
การป้องกันการติดเชื้อ HIV ในสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว “ยา PEP” หรือยาต้านไวรัสฉุกเฉิน เป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพสูง หากเริ่มใช้ทันทีหลังเกิดความเสี่ยง

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับยา PEP อย่างละเอียด ครอบคลุมทั้งหลักการทำงาน วิธีใช้ ระยะเวลา ราคา ผลข้างเคียง และสถานที่รับบริการ พร้อมตอบคำถามที่หลายคนสงสัย เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจเมื่อเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ยา PEP คืออะไร

ยา PEP คืออะไร?

ยา PEP หรือ Post-Exposure Prophylaxis คือยาต้านไวรัส HIV ที่ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังจากมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ HIV โดยต้องเริ่มรับประทานยาภายใน 72 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์เสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน, ถุงยางอนามัยแตกหรือหลุด, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือได้รับบาดเจ็บจากเข็มตำ

ยา PEP เป็นเพียงการป้องกันชั่วคราว ไม่ใช่การรักษา และไม่ควรใช้แทนวิธีป้องกันหลัก เช่น ถุงยางอนามัยหรือการใช้ยา PrEP สำหรับการป้องกันระยะยาว ควรใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เพราะการใช้ยา PEP ในการป้องกันจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่ายา PrEP

ตัวยา PEP จะประกอบด้วยยาต้านไวรัสอย่างน้อย 2–3 ชนิด ที่ได้รับการจัดสูตรเพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยผู้ที่มีความเสี่ยงต้องเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินว่าเหมาะสมหรือไม่ และจะต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่องครบตามกำหนดเท่านั้นจึงจะได้ผลลัพธ์ในการป้องกันสูงสุด

ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขของไทย ยา PEP มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ได้สูง หากเริ่มใช้ยาเร็วและรับประทานอย่างเคร่งครัดภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์

ยา PEP ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้อย่างไร?

กลไกการทำงานของยา PEP คือการยับยั้งวงจรชีวิตของไวรัส HIV ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นหลังเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ยาต้านไวรัสในสูตร PEP จะเข้าไปขัดขวางกระบวนการจำลองตัวเองของไวรัส ซึ่งจำเป็นต่อการแพร่กระจายและตั้งหลักในระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์

ตัวยาใน PEP มักจะรวมยากลุ่ม NRTIs (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors) และ/หรือยากลุ่ม Integrase Inhibitors ซึ่งจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ไวรัสใช้สร้าง DNA จาก RNA ทำให้ไวรัสไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปใน DNA ของเซลล์มนุษย์ได้สำเร็จ

หากเริ่มรับประทานยา PEP ภายใน 2 ชั่วโมง – 24 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันสูงที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถเริ่มได้ภายใน 72 ชั่วโมง แต่ยิ่งเริ่มช้า ประสิทธิภาพจะลดลงตามลำดับ

การรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ตรงเวลา ครบสูตร 28 วัน และภายใต้การดูแลของแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ร่างกายมีระดับยาเพียงพอในการป้องกันไม่ให้เชื้อ HIV ตั้งหลักในระบบภูมิคุ้มกันได้

กินยา PEP เมื่อไรถึงจะได้ผลดีที่สุด?

ช่วงเวลาที่เริ่มกินยา PEP เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยา ตามคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ยา PEP จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดหากเริ่มภายใน 2 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ และยังสามารถเริ่มได้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์เสี่ยง

การเริ่มรับประทานยาเร็วช่วยให้ตัวยาสามารถแทรกแซงกระบวนการจำลองตัวของไวรัสตั้งแต่ระยะแรก ก่อนที่เชื้อจะตั้งหลักในระบบภูมิคุ้มกัน หากเลยจาก 72 ชั่วโมงไปแล้ว การใช้ยา PEP จะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และไม่ควรใช้

หลังจากเริ่มยาแล้ว ผู้รับยาจะต้องรับประทานติดต่อกันทุกวัน เป็นเวลา 28 วัน โดยไม่ขาด ไม่เว้นวัน และไม่ควรเลื่อนเวลา เพื่อให้ระดับยาในเลือดคงที่และมีผลในการป้องกันสูงสุด

ยา PEP ต้องกินกี่วัน?

ระยะเวลาการรับประทานยา PEP ที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และแนวทางเวชปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขไทย คือ 28 วันติดต่อกัน โดยไม่ขาด ไม่เว้นวัน และต้องรับประทานในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน เพื่อให้ระดับยาในเลือดคงที่

การรับประทานยาไม่ครบกำหนด หรือหยุดยาเองก่อนครบ 28 วัน จะลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้ออย่างมีนัยสำคัญ และอาจทำให้เชื้อไวรัสสามารถตั้งหลักในร่างกายได้

สูตรยาที่ใช้ใน PEP จะได้รับการประเมินและจัดจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น โดยขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้รับยา การทำงานของตับและไต รวมถึงยาหรืออาหารเสริมที่ใช้อยู่ เพื่อให้มั่นใจว่าใช้ยาได้อย่างปลอดภัยตลอดการรักษา

ทานยา PEP ไม่ครบมีความเสี่ยงอะไร?

การรับประทานยา PEP ไม่ครบตามกำหนด 28 วัน หรือรับประทานไม่สม่ำเสมอ เช่น ลืมกินยา หรือกินไม่ตรงเวลา อาจส่งผลให้ระดับยาต้านไวรัสในร่างกายไม่เพียงพอ ซึ่งจะลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HIV อย่างมีนัยสำคัญ

จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ (เช่น Journal of Infectious Diseases) ระบุว่า การรับประทานยาไม่ครบสามารถลดอัตราการป้องกันจากสูงกว่า 90% ลงมาเหลือประมาณ 50–70% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เริ่มยา ความถี่ของการพลาดยา และสุขภาพของผู้รับยา

นอกจากนี้ การหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์อาจทำให้ตรวจไม่พบการติดเชื้อในระยะแรก ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดว่าปลอดภัย ซึ่งอาจล่าช้าในการวินิจฉัยและการรักษาหากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นจริง

หากลืมกินยา PEP ต้องทำอย่างไร?

หากลืมกินยา PEP และนึกขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ควรรับประทานทันทีที่นึกได้ โดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลามื้อถัดไป แต่ถ้าการลืมนั้นใกล้กับเวลาที่ต้องกินยาในมื้อถัดไป (เช่น เหลือเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง) ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และกินมื้อถัดไปตามเวลาปกติ ห้ามรับประทานยาซ้อน 2 เม็ดเด็ดขาด

การรับประทานยาซ้อนเพื่อชดเชยมื้อที่ลืม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงและไม่เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน การรักษาเวลาในการกินยาให้สม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้ระดับยาในร่างกายคงที่

หากลืมกินยาเกินกว่า 12 ชั่วโมง หรือลืมมากกว่า 1 ครั้งในช่วงคอร์ส 28 วัน ควรรีบแจ้งแพทย์ทันทีเพื่อประเมินสถานการณ์และพิจารณาแนวทางการดูแลที่เหมาะสม

ผลข้างเคียงของยา PEP มีอะไรบ้าง?

ยา PEP ในปัจจุบันใช้สูตรยาที่ได้รับการปรับปรุงให้มีผลข้างเคียงน้อยลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต อย่างไรก็ตาม ยังอาจพบอาการไม่พึงประสงค์เล็กน้อยในช่วง 1–2 สัปดาห์แรกหลังเริ่มยา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราวและสามารถหายได้เอง

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • คลื่นไส้หรือปวดท้อง
  • เวียนศีรษะหรือรู้สึกอ่อนเพลีย
  • นอนไม่หลับหรือมีอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย
  • ปวดศีรษะหรือเมื่อยล้า

อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับยา หากอาการรุนแรงขึ้นหรือไม่หายภายใน 5–7 วัน ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินและพิจารณาการเปลี่ยนสูตรยา

ผลข้างเคียงที่ควรระวัง: ในบางกรณีที่พบได้น้อย ยา PEP อาจส่งผลต่อการทำงานของตับหรือไต จึงควรมีการตรวจเลือดก่อนเริ่มยาและในบางกรณีอาจต้องตรวจซ้ำระหว่างการใช้ยา

ระหว่างกิน PEP ต้องงดอะไรบ้าง?

ในระหว่างที่รับประทานยา PEP ผู้ป่วยควรใส่ใจพฤติกรรมและการใช้ชีวิตบางอย่าง เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยาระหว่างยา

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างกินยา PEP ได้แก่:

  • แอลกอฮอล์: ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในช่วง 1–2 สัปดาห์แรกของการเริ่มยา เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ เวียนหัว หรือผลกระทบต่อตับ
  • ยาบางชนิดและอาหารเสริม: ผู้ใช้ยา PEP ควรแจ้งแพทย์ถึงยาทุกชนิดที่ใช้อยู่ รวมถึงวิตามิน อาหารเสริม หรือยาสมุนไพร เนื่องจากบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับตัวยาใน PEP
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน: แม้จะเริ่มยาแล้ว ก็ยังควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยจนกว่าจะพ้นช่วงเสี่ยง เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่ PEP ไม่สามารถป้องกันได้

นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ หากมีอาการข้างเคียงรุนแรงควรพบแพทย์ทันที

ยา PEP มีผลกับผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไหม?

การใช้ยา PEP ในผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรสามารถทำได้ในบางกรณี โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และผ่านการประเมินความเสี่ยง–ประโยชน์เป็นรายบุคคล

ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และแนวทางจากศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ (CDC) ยาบางสูตรใน PEP ได้รับการพิจารณาว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็น เช่น หลังจากเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ HIV

แพทย์จะเป็นผู้เลือกสูตรยาที่มีข้อมูลความปลอดภัยรองรับ และต้องมีการตรวจการทำงานของตับ ไต รวมถึงสุขภาพของทารก (ในกรณีที่กำลังให้นมบุตร) อย่างรอบคอบ

ห้ามหยุดยาเอง และไม่ควรเริ่มใช้ PEP โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารก

ยา PEP สามารถใช้ได้กับเด็กและวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กหรือแพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ

แนวทางจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดขึ้นไปสามารถใช้ PEP ได้หากมีความเสี่ยง เช่น การสัมผัสเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ HIV, เหตุการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือในกรณีที่แม่ติดเชื้อ HIV และมีความเสี่ยงต่อทารกแรกเกิด

สำหรับวัยรุ่น การใช้ยา PEP จะต้องมีการปรึกษาแพทย์และประเมินน้ำหนักตัว เนื่องจากสูตรยาที่ใช้ในเด็กอาจแตกต่างจากในผู้ใหญ่ และต้องปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัวอย่างเหมาะสม

ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลควรรีบพาเด็กพบแพทย์ทันทีหลังมีเหตุการณ์เสี่ยง เพื่อเริ่มยาให้เร็วที่สุดภายในกรอบเวลา 72 ชั่วโมง

ยา PEP ใช้ได้กับเด็กหรือวัยรุ่นไหม?

ยา PEP สามารถใช้ได้กับเด็กและวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กหรือแพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ

แนวทางจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดขึ้นไปสามารถใช้ PEP ได้หากมีความเสี่ยง เช่น การสัมผัสเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ HIV, เหตุการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือในกรณีที่แม่ติดเชื้อ HIV และมีความเสี่ยงต่อทารกแรกเกิด

สำหรับวัยรุ่น การใช้ยา PEP จะต้องมีการปรึกษาแพทย์และประเมินน้ำหนักตัว เนื่องจากสูตรยาที่ใช้ในเด็กอาจแตกต่างจากในผู้ใหญ่ และต้องปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัวอย่างเหมาะสม

ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลควรรีบพาเด็กพบแพทย์ทันทีหลังมีเหตุการณ์เสี่ยง เพื่อเริ่มยาให้เร็วที่สุดภายในกรอบเวลา 72 ชั่วโมง

ระหว่างกิน PEP แล้วมีเพศสัมพันธ์อีกต้องทำอย่างไร?

หากมีเพศสัมพันธ์อีกครั้งระหว่างที่กำลังกินยา PEP โดยเฉพาะในช่วง 2–3 สัปดาห์แรกหลังเริ่มยา ซึ่งเป็นช่วงที่ยังมีความเสี่ยงสูง แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน และลดโอกาสในการติดเชื้อ HIV รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

หากเพศสัมพันธ์ครั้งใหม่เกิดขึ้นในช่วงปลายของคอร์สยา (เช่น สัปดาห์ที่ 4) อาจจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงใหม่ และอาจต้องต่อยา PEP เพิ่มอีก 28 วัน แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเป็นรายกรณีตามลักษณะเหตุการณ์และสุขภาพของผู้รับยา

ไม่ควรเริ่มยา PEP ซ้ำหรือเพิ่มขนาดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงและภาวะดื้อยา

กินยา PEP แล้วตรวจเจอเชื้อไหม?

การกินยา PEP ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ได้หากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นจริง ยา PEP ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสตั้งหลักในร่างกาย แต่หากเริ่มใช้ช้าเกินไป หรือใช้ยาไม่ครบตามกำหนด ความเสี่ยงในการติดเชื้อยังคงมีอยู่

ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อ HIV แม้จะเริ่มใช้ยา PEP แล้ว ร่างกายอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่การตรวจ HIV แบบมาตรฐานจะสามารถตรวจพบสารภูมิคุ้มกัน (antibodies) หรือสารพันธุกรรมของไวรัส (RNA) ได้

ดังนั้น หลังจบคอร์ส PEP แพทย์จะนัดตรวจ HIV ซ้ำตามระยะเวลา ได้แก่ 1 เดือน และ 3 เดือน เพื่อยืนยันผลอย่างแน่นอน และควรหลีกเลี่ยงการตรวจด้วยตนเองในช่วงนี้ เพราะอาจได้ผลลวง (false negative)
4 ขั้นตอนการรับยา PEP

จะรับยา PEP  มีขั้นตอนอย่างไร

หากรู้ตัวหรือสงสัยว่ามีความเสี่ยงที่จะรับเชื้อ HIV หลายคนอาจไม่กล้าหรือไม่รู้ว่าจะรับยา PEP ได้ที่ไหน ทำตามขั้นตอนเหล่านี้:

  • รับคำปรึกษาและประเมินความเสี่ยง: แพทย์จะประเมินว่าคุณมีความเสี่ยงและสมควรได้รับยา PEP หรือไม่
  • ตรวจเลือด: หากแพทย์พิจารณาแล้วว่าควรได้รับยา จะมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อ HIV ก่อนว่าคุณไม่ได้ติดเชื้ออยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) อื่นๆ และตรวจสุขภาพโดยรวม เช่น ค่าไตและค่าตับ เพื่อดูว่าพร้อมจะรับประทานยาหรือไม่
  • เข้าพบแพทย์เพื่อเลือกยา: แพทย์จะเลือกชนิดยาที่เหมาะสม
  • รับยากลับบ้าน: รับยา PEP กลับไปรับประทานตามคำแนะนำ

คุณสามารถติดต่อสอบถามกับทาง Safe Clinic ได้ผ่านช่องทางติดต่อ เพื่อขอปรึกษาแพทย์ที่คลินิก ซึ่งให้บริการแบบนิรนาม สะดวก รวดเร็ว เนื่องจาก มีห้องปฏิบัติการของตัวเอง ใช้เวลารวมเพียง 40 นาทีในการทราบผลเลือด และสามารถปรึกษาแพทย์ได้ทันที

ทาน PEP แล้วตรวจ HIV ซ้ำเมื่อไร?

หลังจากรับประทานยา PEP ครบ 28 วัน แพทย์จะนัดตรวจหาเชื้อ HIV ซ้ำตามแนวทางมาตรฐาน เพื่อยืนยันว่าการป้องกันได้ผลและไม่มีการติดเชื้อเกิดขึ้น

ระยะเวลาที่แนะนำในการตรวจซ้ำ ได้แก่:

  • 1 เดือนหลังเริ่มใช้ PEP: เป็นการตรวจครั้งแรกหลังจบคอร์สยา เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ในระยะเริ่มต้น
  • 3 เดือนหลังเริ่มใช้ PEP: เป็นการตรวจยืนยันอีกครั้ง เนื่องจากในบางกรณีอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันหรือไวรัสจะตรวจพบได้

การตรวจ HIV ควรทำโดยใช้ชุดตรวจที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน เช่น การตรวจแบบ Antigen/Antibody หรือการตรวจหา HIV RNA ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อความแม่นยำสูงสุด

ห้ามละเลยการตรวจซ้ำ แม้จะไม่มีอาการผิดปกติ เพราะ HIV ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ

ยา PEP ราคาเท่าไหร่?

ราคาของยา PEP ในประเทศไทยแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล ประเภทของยา และบริการที่รวมอยู่ในแพ็กเกจ เช่น การตรวจเลือด การพบแพทย์ และการติดตามผล โดยทั่วไปสามารถแบ่งราคาออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้:

  1. โรงพยาบาลรัฐ:
  • ราคาประมาณ 1,500 – 3,000 บาท สำหรับคอร์ส 28 วัน
  • รวมค่าแพทย์และค่าตรวจเบื้องต้น
  • อาจต้องรอคิวนานและมีช่วงเวลาทำการจำกัด
  1. คลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน:

ทั้งนี้ ราคาขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ใช้ เช่น ยากลุ่ม integrase inhibitor มักมีราคาสูงกว่า และบางแห่งอาจมีโปรโมชั่นหรือให้บริการฟรีในกลุ่มเสี่ยง (กรุณาตรวจสอบเงื่อนไขโดยตรงกับสถานพยาบาล)

มีบริการให้ยา PEP ฟรีที่ไหนบ้างในไทย?

ในประเทศไทยมีหน่วยงานสาธารณสุขและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรหลายแห่งที่ให้บริการยา PEP ฟรีหรือในราคาที่เข้าถึงได้สำหรับกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย กลุ่มชายรักชาย (MSM) ผู้ใช้ยาเสพติดทางหลอดเลือดดำ และผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

ตัวอย่างสถานที่ที่อาจมีบริการ PEP ฟรี หรือร่วมจ่ายบางส่วน:

  • คลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย (กรุงเทพฯ): ให้บริการ PEP และ PrEP ฟรีสำหรับกลุ่มเป้าหมายตามเกณฑ์
  • โรงพยาบาลรัฐบางแห่ง: เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลในเครือกระทรวงสาธารณสุข
  • โครงการของกรมควบคุมโรค (DDC): บางโครงการมีการจัดบริการ PEP ฟรีเป็นช่วงเวลา

อย่างไรก็ตาม แต่ละสถานที่อาจมีเงื่อนไขแตกต่างกัน เช่น ต้องผ่านการประเมินความเสี่ยงก่อน หรือจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้มีบัตรประชาชนไทย แนะนำให้โทรสอบถามหรือเช็กเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ ก่อนเข้ารับบริการ

สถานพยาบาลไหนมีบริการ PEP 24 ชั่วโมงบ้าง?

ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV เช่น หลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือโดนเข็มตำ การได้รับยา PEP อย่างรวดเร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ การเข้าถึงบริการตลอด 24 ชั่วโมงจึงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ

ตัวอย่างสถานพยาบาลที่ให้บริการ PEP 24 ชั่วโมงในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่:

  • โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ที่มีแผนกอุบัติเหตุ–ฉุกเฉิน (ER): เช่น
    • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
    • โรงพยาบาลราชวิถี
    • โรงพยาบาลรามาธิบดี
    • โรงพยาบาลศิริราช
  • โรงพยาบาลเอกชน: หลายแห่งเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง และมีแผนกตรวจรักษาฉุกเฉินพร้อมจ่ายยา PEP เช่น
    • โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
    • โรงพยาบาลกรุงเทพ
    • โรงพยาบาลสมิติเวช

ผู้ที่มีเหตุฉุกเฉินสามารถเข้ารับบริการได้ที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเหล่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องนัดล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ควรโทรสอบถามก่อนว่ามีบริการจ่ายยา PEP ตลอดเวลาและมีแพทย์เวรเฉพาะทางหรือไม่

ยา PEP ซื้อเองได้ไหม?

ยา PEP เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถซื้อรับประทานเองได้ตามร้านขายยาทั่วไป เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องผลข้างเคียง ปฏิกิริยาระหว่างยา และการเลือกสูตรยาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ก่อนเริ่มใช้ยา PEP ผู้รับยาต้องได้รับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อ HIV มาก่อน และตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ รวมถึงตรวจการทำงานของตับและไตเพื่อประเมินความปลอดภัยในการใช้ยา

การซื้อยามากินเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ อาจส่งผลให้รับยาผิดสูตร ผิดขนาด หรือกินยาไม่ครบ ซึ่งอาจทำให้การป้องกันล้มเหลว และเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อดื้อยาในอนาคต

หากคุณสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หรือสถานพยาบาลที่ให้บริการ PEP โดยเฉพาะ เพื่อรับการประเมินและเริ่มยาให้เร็วที่สุด

ประสบการณ์จริงของผู้ใช้ยา PEP

หลายคนที่เคยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และได้รับยา PEP ต่างแชร์ประสบการณ์ตรงที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในด้านความรู้สึกวิตกกังวลเมื่อต้องตัดสินใจเข้ารับยา และความสำคัญของการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่มักพบในประสบการณ์ผู้ใช้จริง ได้แก่:

  • ความกลัวในช่วงแรก: ผู้ใช้จำนวนมากรู้สึกตกใจหรือสับสนหลังเหตุการณ์เสี่ยง เช่น ถุงยางแตก หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ
  • ความประทับใจในการเข้าถึงบริการเร็ว: ผู้ที่เข้ารับยาในสถานพยาบาลที่มีระบบชัดเจน เช่น คลินิกเอกชน หรือโรงพยาบาลเอกชน มักกล่าวถึงความสะดวกและการให้คำแนะนำที่เข้าใจง่าย
  • ผลข้างเคียงในช่วงแรก: หลายรายมีอาการคลื่นไส้หรือเวียนหัวเล็กน้อยในสัปดาห์แรก และมักดีขึ้นโดยไม่ต้องหยุดยา
  • ความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิต: หลายคนกล่าวว่าเหตุการณ์นี้ทำให้หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น และหมั่นตรวจเลือดหรือวางแผนเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

บทเรียนที่สรุปได้จากประสบการณ์ผู้ใช้คือ “ยิ่งรู้ตัวเร็ว ยิ่งมีโอกาสป้องกันได้สูง” และ “อย่ากลัวที่จะปรึกษาแพทย์”
สาเหตุที่ต้องรับยา PEP

ข้อดีในการรับยา PEP ที่เซฟ คลินิก

การรับยาที่ เซฟ คลินิก เมื่อเทียบกับการรับยาที่สถานพยาบาลอื่นๆ มีหลายประการเช่น

  • บริการเป็นความลับ: การรับยา PEP ที่เราสามารถใช้นามสมมุติได้ นอกจากนี้ข้อมูลของคนไข้จะปลอดภัยจากกการขอข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ และเอกชน
  • บริการรวดเร็ว: ผู้ที่เข้ารับยาที่คลินิกของเรา จะได้รับบริการรวดเร็วกว่า โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลรัฐ เพราะเรามีแล็ปของเราเอง สามารถตรวจเลือดครบทุกรายการำด้ภายในระยะเวลา 40 นาที
  • บริการโดยแพทย์ พยาบาล และนักเทคนิกการแพทย์: การรับยา PEP ต้องมีการตรวจเลือดก่อน ซึ่งที่คลินิกของเราให้บริการทุกขั้นตอนโดยแพทย์ พยาบาล และนักเทคนิกการแพทย์ ซึ่งคุณสามารถวางใจได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PEP

PEP ต้องเริ่มภายในกี่ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ?

ต้องเริ่มภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากเหตุการณ์เสี่ยง ยิ่งเริ่มเร็ว (โดยเฉพาะภายใน 24 ชั่วโมง) ประสิทธิภาพในการป้องกันจะยิ่งสูงขึ้น

กิน PEP แล้วมีโอกาสติดเชื้ออยู่ไหม?

ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ หากเริ่มใช้ช้า, ลืมกินยา, หรือไม่ได้รับยาที่เหมาะสม แต่หากทำตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด ประสิทธิภาพสามารถสูงกว่า 90%

ยา PEP ป้องกันโรคอื่นๆ ได้ไหม?

ไม่ได้ ยา PEP ป้องกันเฉพาะเชื้อ HIV เท่านั้น ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือ HPV

ระหว่างกินยา PEP จำเป็นต้องงดเพศสัมพันธ์ไหม?

แนะนำให้ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่กำลังใช้ PEP เพื่อลดความเสี่ยงซ้ำ และป้องกันโรคอื่น
ยา PEP และ PrEP แตกต่างกันอย่างไร

PEP กับ PrEP ต่างกันยังไง?

  • PEP: ใช้หลังสัมผัสเชื้อ (ฉุกเฉิน)
  • PrEP: ใช้ก่อนมีความเสี่ยง (ป้องกันระยะยาว)

ทั้งสองแบบต้องรับประทานภายใต้การดูแลของแพทย์

บทสรุป

ยา PEP เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดโอกาสการติดเชื้อ HIV หลังจากสัมผัสความเสี่ยง โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถป้องกันล่วงหน้าได้ทัน การเริ่มยาให้เร็วที่สุด การกินยาให้ครบ 28 วัน และการตรวจติดตามตามแพทย์นัด คือองค์ประกอบที่จำเป็นที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน

แม้ยา PEP จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก แต่ไม่ควรใช้แทนการป้องกันในระยะยาว เช่น การใช้ถุงยางอนามัยหรือยา PrEP การมีความรู้ที่ถูกต้อง และกล้าที่จะปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์เสี่ยง คือกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพของคุณ

อ้างอิง

  1. Division of HIV Prevention
  2. National Center for HIV, Viral Hepatitis, STD, and TB Prevention
  3. Centers for Disease Control and Prevention
  4. hiv.gov/post-exposure-prophylaxis/
  5. cdc.gov/about-pep
icon email