ยา PEP หรือ Post-Exposure Prophylaxis คือยาต้านไวรัส HIV ที่ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังจากมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ HIV โดยต้องเริ่มรับประทานยาภายใน 72 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์เสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน, ถุงยางอนามัยแตกหรือหลุด, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือได้รับบาดเจ็บจากเข็มตำ
ยา PEP เป็นเพียงการป้องกันชั่วคราว ไม่ใช่การรักษา และไม่ควรใช้แทนวิธีป้องกันหลัก เช่น ถุงยางอนามัยหรือการใช้ยา PrEP สำหรับการป้องกันระยะยาว ควรใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เพราะการใช้ยา PEP ในการป้องกันจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่ายา PrEP
ตัวยา PEP จะประกอบด้วยยาต้านไวรัสอย่างน้อย 2–3 ชนิด ที่ได้รับการจัดสูตรเพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยผู้ที่มีความเสี่ยงต้องเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินว่าเหมาะสมหรือไม่ และจะต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่องครบตามกำหนดเท่านั้นจึงจะได้ผลลัพธ์ในการป้องกันสูงสุด
ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขของไทย ยา PEP มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ได้สูง หากเริ่มใช้ยาเร็วและรับประทานอย่างเคร่งครัดภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์
ยา PEP ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้อย่างไร?
กลไกการทำงานของยา PEP คือการยับยั้งวงจรชีวิตของไวรัส HIV ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นหลังเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ยาต้านไวรัสในสูตร PEP จะเข้าไปขัดขวางกระบวนการจำลองตัวเองของไวรัส ซึ่งจำเป็นต่อการแพร่กระจายและตั้งหลักในระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์
ตัวยาใน PEP มักจะรวมยากลุ่ม NRTIs (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors) และ/หรือยากลุ่ม Integrase Inhibitors ซึ่งจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ไวรัสใช้สร้าง DNA จาก RNA ทำให้ไวรัสไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปใน DNA ของเซลล์มนุษย์ได้สำเร็จ
ผลข้างเคียงที่ควรระวัง: ในบางกรณีที่พบได้น้อย ยา PEP อาจส่งผลต่อการทำงานของตับหรือไต จึงควรมีการตรวจเลือดก่อนเริ่มยาและในบางกรณีอาจต้องตรวจซ้ำระหว่างการใช้ยา
ระหว่างกิน PEP ต้องงดอะไรบ้าง?
ในระหว่างที่รับประทานยา PEP ผู้ป่วยควรใส่ใจพฤติกรรมและการใช้ชีวิตบางอย่าง เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยาระหว่างยา
ยาบางชนิดและอาหารเสริม: ผู้ใช้ยา PEP ควรแจ้งแพทย์ถึงยาทุกชนิดที่ใช้อยู่ รวมถึงวิตามิน อาหารเสริม หรือยาสมุนไพร เนื่องจากบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับตัวยาใน PEP
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน: แม้จะเริ่มยาแล้ว ก็ยังควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยจนกว่าจะพ้นช่วงเสี่ยง เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่ PEP ไม่สามารถป้องกันได้
การใช้ยา PEP ในผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรสามารถทำได้ในบางกรณี โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และผ่านการประเมินความเสี่ยง–ประโยชน์เป็นรายบุคคล
ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และแนวทางจากศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ (CDC) ยาบางสูตรใน PEP ได้รับการพิจารณาว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร หากมีความจำเป็น เช่น หลังจากเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ HIV
ห้ามหยุดยาเอง และไม่ควรเริ่มใช้ PEP โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารก
ยา PEP สามารถใช้ได้กับเด็กและวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กหรือแพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ
แนวทางจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดขึ้นไปสามารถใช้ PEP ได้หากมีความเสี่ยง เช่น การสัมผัสเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ HIV, เหตุการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือในกรณีที่แม่ติดเชื้อ HIV และมีความเสี่ยงต่อทารกแรกเกิด
สำหรับวัยรุ่น การใช้ยา PEP จะต้องมีการปรึกษาแพทย์และประเมินน้ำหนักตัว เนื่องจากสูตรยาที่ใช้ในเด็กอาจแตกต่างจากในผู้ใหญ่ และต้องปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัวอย่างเหมาะสม
ยา PEP สามารถใช้ได้กับเด็กและวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กหรือแพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ
แนวทางจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดขึ้นไปสามารถใช้ PEP ได้หากมีความเสี่ยง เช่น การสัมผัสเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ HIV, เหตุการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, หรือในกรณีที่แม่ติดเชื้อ HIV และมีความเสี่ยงต่อทารกแรกเกิด
สำหรับวัยรุ่น การใช้ยา PEP จะต้องมีการปรึกษาแพทย์และประเมินน้ำหนักตัว เนื่องจากสูตรยาที่ใช้ในเด็กอาจแตกต่างจากในผู้ใหญ่ และต้องปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัวอย่างเหมาะสม
ไม่ควรเริ่มยา PEP ซ้ำหรือเพิ่มขนาดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงและภาวะดื้อยา
กินยา PEP แล้วตรวจเจอเชื้อไหม?
การกินยา PEP ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถตรวจพบเชื้อ HIV ได้หากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นจริง ยา PEP ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสตั้งหลักในร่างกาย แต่หากเริ่มใช้ช้าเกินไป หรือใช้ยาไม่ครบตามกำหนด ความเสี่ยงในการติดเชื้อยังคงมีอยู่
ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อ HIV แม้จะเริ่มใช้ยา PEP แล้ว ร่างกายอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่การตรวจ HIV แบบมาตรฐานจะสามารถตรวจพบสารภูมิคุ้มกัน (antibodies) หรือสารพันธุกรรมของไวรัส (RNA) ได้
ดังนั้น หลังจบคอร์ส PEP แพทย์จะนัดตรวจ HIV ซ้ำตามระยะเวลา ได้แก่ 1 เดือน และ 3 เดือน เพื่อยืนยันผลอย่างแน่นอน และควรหลีกเลี่ยงการตรวจด้วยตนเองในช่วงนี้ เพราะอาจได้ผลลวง (false negative)
จะรับยา PEP มีขั้นตอนอย่างไร
หากรู้ตัวหรือสงสัยว่ามีความเสี่ยงที่จะรับเชื้อ HIV หลายคนอาจไม่กล้าหรือไม่รู้ว่าจะรับยา PEP ได้ที่ไหน ทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
รับคำปรึกษาและประเมินความเสี่ยง: แพทย์จะประเมินว่าคุณมีความเสี่ยงและสมควรได้รับยา PEP หรือไม่
โรงพยาบาลเอกชน: หลายแห่งเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง และมีแผนกตรวจรักษาฉุกเฉินพร้อมจ่ายยา PEP เช่น
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
โรงพยาบาลกรุงเทพ
โรงพยาบาลสมิติเวช
ผู้ที่มีเหตุฉุกเฉินสามารถเข้ารับบริการได้ที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเหล่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องนัดล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ควรโทรสอบถามก่อนว่ามีบริการจ่ายยา PEP ตลอดเวลาและมีแพทย์เวรเฉพาะทางหรือไม่
ยา PEP ซื้อเองได้ไหม?
ยา PEP เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถซื้อรับประทานเองได้ตามร้านขายยาทั่วไป เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องผลข้างเคียง ปฏิกิริยาระหว่างยา และการเลือกสูตรยาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ก่อนเริ่มใช้ยา PEP ผู้รับยาต้องได้รับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อ HIV มาก่อน และตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ รวมถึงตรวจการทำงานของตับและไตเพื่อประเมินความปลอดภัยในการใช้ยา
หากคุณสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หรือสถานพยาบาลที่ให้บริการ PEP โดยเฉพาะ เพื่อรับการประเมินและเริ่มยาให้เร็วที่สุด
ประสบการณ์จริงของผู้ใช้ยา PEP
หลายคนที่เคยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และได้รับยา PEP ต่างแชร์ประสบการณ์ตรงที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในด้านความรู้สึกวิตกกังวลเมื่อต้องตัดสินใจเข้ารับยา และความสำคัญของการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว