Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 - 20:30

ยา PEP (ยาเป๊ปฉุกเฉิน) ยาต้านหรือยาป้องกัน hiv คืออะไร ราคา อันตรายไหม

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ยา PEP คืออะไร
ยา PEP คืออะไร

ยา PEP คืออะไร ?

ยา PEP หรือที่เรียกกันว่า ยาเป๊ปฉุกเฉิน (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV) ที่ต้องรับประทานภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ HIV ยานี้จะช่วยยับยั้งไม่ให้ไวรัสฝังตัวและแพร่กระจายต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรืออุบัติเหตุจากเข็มฉีดยา ดังนั้น การรับยาอย่างรวดเร็วจึงสำคัญมาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

กลไกการทำงานของยา PEP

ยา PEP ประกอบด้วยยาต้านไวรัสอย่างน้อย 3 ชนิด ที่ทำงานร่วมกันเพื่อสกัดกั้นวงจรชีวิตของเชื้อ HIV ในระยะแรกๆ หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกาย กล่าวคือ ยาเหล่านี้จะเข้าไปขัดขวางกระบวนการที่ไวรัสใช้ในการจำลองตัวเองและแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นๆ ผลลัพธ์คือ เชื้อไม่สามารถตั้งฐานที่มั่นได้สำเร็จ

ยา PEP ประกอบด้วยยาชนิดไหนบ้าง

PEP ประกอบด้วยยาต้านไวรัส 3 ชนิด โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกชนิดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนสูตรยา PEP ยังขึ้นอยู่กับผลตรวจเลือด ประวัติสุขภาพ รวมถึงยาหรืออาหารเสริมที่ใช้อยู่เป็นประจำ ที่สำคัญคือ การรับยาต้องมีการตรวจเลือดทุกครั้ง ดังนั้น ยา PEP จึงไม่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป

สาเหตุที่ต้องรับยา PEP
สาเหตุที่ต้องรับยา PEP

สาเหตุที่ต้องรับยา PEP

PEP เป็นยาต้านฉุกเฉินสำหรับกรณีการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ดังนั้น จึงควรเก็บไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น เช่น เหตุการณ์ต่อไปนี้

  • ถุงยางแตก หรือหลุดถุงยางขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ขาดสติขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจเกิดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือยาบางชนิด
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรืออุบัติเหตุจากการโดนเข็มฉีดยาตำ

การรับยา PEP จะช่วยยับยั้งการกลายเป็นไวรัสที่สมบูรณ์ในร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันมีโอกาสป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อได้ ดังนั้น จึงควรรีบรับประทานยาให้เร็วที่สุด

ใครบ้างที่ควรได้รับยาเป็ป?

ผู้ที่ควรรับประทานยา PEP คือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบบกะทันหัน ได้แก่:

  • คนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ HIV แล้วถุงยางหลุดหรือฉีกขาด

สรุปคือ ยา PEP มีไว้สำหรับผู้ที่คาดว่ามีการสัมผัสเชื้อ HIV โดยไม่ตั้งใจ และจำเป็นต้องรับประทานยาให้เร็วที่สุดหลังสัมผัสเชื้อจากภาวะเสี่ยงต่างๆ

4 ขั้นตอนการรับยา PEP
4 ขั้นตอนการรับยา PEP

จะรับยา PEP  มีขั้นตอนอย่างไร

หากรู้ตัวหรือสงสัยว่ามีความเสี่ยงที่จะรับเชื้อ HIV หลายคนอาจไม่กล้าหรือไม่รู้ว่าจะรับยา PEP ได้ที่ไหน ทำตามขั้นตอนเหล่านี้:

  1. รับคำปรึกษาและประเมินความเสี่ยง: แพทย์จะประเมินว่าคุณมีความเสี่ยงและสมควรได้รับยา PEP หรือไม่
  2. ตรวจเลือด: หากแพทย์พิจารณาแล้วว่าควรได้รับยา จะมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อ HIV ก่อนว่าคุณไม่ได้ติดเชื้ออยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) อื่นๆ และตรวจสุขภาพโดยรวม เช่น ค่าไตและค่าตับ เพื่อดูว่าพร้อมจะรับประทานยาหรือไม่
  3. เข้าพบแพทย์เพื่อเลือกยา: แพทย์จะเลือกชนิดยาที่เหมาะสม
  4. รับยากลับบ้าน: รับยา PEP กลับไปรับประทานตามคำแนะนำ

คุณสามารถติดต่อสอบถามกับทาง Safe Clinic ได้ผ่านช่องทางติดต่อ เพื่อขอปรึกษาแพทย์ที่คลินิก ซึ่งให้บริการแบบนิรนาม สะดวก รวดเร็ว เนื่องจาก มีห้องปฏิบัติการของตัวเอง ใช้เวลารวมเพียง 40 นาทีในการทราบผลเลือด และสามารถปรึกษาแพทย์ได้ทันที

ยา PEP ราคาเท่าไหร่?

ราคาของยา PEP อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ได้รับและสถานพยาบาล ตัวอย่างเช่น หากรับยากับทางโรงพยาบาลรัฐบาล ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท ในทางกลับกัน การรับยากับคลินิกเอกชนหรือโรงพยาบาลเอกชนอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ก็อาจได้รับบริการที่รวดเร็วกว่า

วิธีการกินยา PEP ที่ถูกต้อง

  • เริ่มให้เร็ว: ต้องเริ่มกินยา PEP เม็ดแรก ภายใน 72 ชั่วโมง หลังมีความเสี่ยง ยิ่งเริ่มเร็วก่อน 24 ชั่วโมงแรก ยิ่งมีประสิทธิภาพสูง
  • กินให้ครบ: ต้องกินยา ทุกวัน ในเวลาเดิม ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 28 วัน ห้ามขาดหรือหยุดยาเองเด็ดขาด
  • กินให้ตรงเวลา: การกินยาตรงเวลาจะช่วยรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่
  • หากลืมกินยา: หากนึกได้ให้รีบกินทันที แต่ถ้าใกล้ถึงเวลามื้อถัดไป ให้กินมื้อถัดไปตามปกติ ห้ามกินยาเป็น 2 เท่าเด็ดขาด และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ปรึกษาแพทย์: ก่อนเริ่มยา แพทย์จะทำการตรวจเลือด (HIV, ไวรัสตับอักเสบบี, การทำงานของตับและไต) เพื่อประเมินความเหมาะสมและเลือกสูตรยาที่เหมาะกับคุณที่สุด
ความแตกต่างระหว่างยา PEP และ PrEP
ความแตกต่างระหว่างยา PEP และ ยา PrEP

ความแตกต่างระหว่างยา PEP และ ยา PrEP

ยา PrEP คือยาป้องกันก่อนการเสี่ยงในการได้รับหรือสัมผัสเชื้อ HIV ในขณะที่ ยา PEP คือยาฉุกเฉินที่ต้องรับประทานหลังการเสี่ยงต่อการได้รับหรือสัมผัสเชื้อ HIV ภายในเวลา 72 ชั่วโมง

แม้ว่าทั้งยา PrEP และยา PEP จะสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ก็ยังไม่ 100% นอกจากนี้ ยาทั้งสองชนิดไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ ดังนั้น จึงแนะนำให้ใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีความเสี่ยง

อ่านเพิ่มเติม :

FAQ ยา PEP

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยา PEP คุณหมอขออาสาตอบทุกคำตอบเอง !

ทานยา PEP ครบกำหนดแล้วต้องมาหาหมออีกไหม?

เมื่อรับประทานยา PEP ครบแล้ว คุณต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ HIV อีกครั้งหลังผ่านไป 1 เดือน และ 3 เดือน

ยา PEP ป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้กี่เปอร์เซ็นต์

การใช้ยา PEP ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ 100% แต่มีประสิทธิภาพสูง ปัจจัยที่มีผลต่อโอกาสในการติดเชื้อหลังได้รับยา PEP มีหลายอย่าง เช่น:

  • ปริมาณเชื้อไวรัส (viral load) จากแหล่งที่รับเชื้อมา
  • วิธีการที่รับเชื้อมา เช่น การมีเพศสัมพันธ์ลักษณะใด หรือการโดนเข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน
  • ระยะเวลาที่เริ่มกินยา PEP (ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี แม้จะบอกว่าให้ทานภายใน 72 ชั่วโมง)
  • ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา
  • ความแข็งแรงของร่างกายผู้ป่วยเอง

จากงานวิจัยและข้อมูลย้อนหลังของผู้ที่ใช้ยา PEP รวมถึงโมเดลทดลองในสัตว์ พบว่าการใช้ยา PEP มีประโยชน์และสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้จริง บางงานวิจัยสรุปว่าการให้ยา PEP ภายใน 24 ชั่วโมงในลิงที่ทดลองฉีดเชื้อ HIV เข้าไป สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 100%

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของยา PEP มีมากมาย สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้หลังพบว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV คือ การพบแพทย์เพื่อปรึกษา ประเมินความเสี่ยง และรับยา PEP ให้เร็วที่สุด

ยา PEP ต้องกินนานแค่ไหน

เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ยา PEP ต้องรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังได้รับความเสี่ยง โดยกินอย่างสม่ำเสมอทุกวัน (เวลาเดิม) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 28 วัน โดยสูตรยาที่กินจะมีทั้งแบบวันละครั้งและวันละ 2 ครั้ง หลังจากกินยาครบ แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาเจาะเลือดเพื่อตรวจ HIV อีกครั้ง

กินยา PEP ไม่ครบเสี่ยงไหม

จากหลักฐานการวิจัยระบุว่าต้องกินยาให้ครบ 28 วัน จึงจะป้องกันโรคได้ถึง 80% ดังนั้น การรับประทานยาไม่ครบย่อมมีความเสี่ยง ขอแนะนำให้รับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่งและเข้ารับการตรวจเช็คตามนัดหมาย

ยา PEP ช่วยรักษาให้หายได้ไหม

ยาต้านไวรัส หรือ PEP ไม่ได้ถึงขั้นช่วยให้เชื้อหายไปจากร่างกายได้ทั้งหมด เนื่องจากยาต้านฉุกเฉินไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปจัดการกับเชื้อในต่อมน้ำเหลือง สมอง และลำไส้ได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กระบวนการรักษาจะสามารถควบคุมเชื้อได้

ยาเป๊ปจะช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของสารพันธุกรรมในเชื้อ และยับยั้งการกลายเป็นไวรัสที่สมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการป้องกันก่อนที่เชื้อจะแพร่กระจายในร่างกายได้ การรับประทานยาชนิดนี้จำเป็นต้องทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน

ยา PEP มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง อันตรายไหม ?

ยา PEP มีความปลอดภัยสูง และสูตรยาสมัยใหม่ก็มีผลข้างเคียงน้อยกว่าในอดีตมาก อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงระยะสั้นที่พบได้บ่อยคืออาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย แต่ส่วนใหญ่มักจะดีขึ้นหลังรับประทานยาไปได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนผลข้างเคียงระยะยาวไม่พบในกลุ่มการทดลอง เนื่องจาก การรับประทานยาต้านเพียง 28 วันไม่เป็นอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น

ยา PEP มีผลต่อยาอื่นที่กินอยู่ไหม?

ยา PEP อาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาและอาหารเสริมทุกชนิดที่คุณใช้อยู่

ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยงๆ สามารถใช้ PEP ได้ตลอดไหม

ยา PEP ควรเก็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น หากคุณรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV อยู่เป็นประจำ ควรพิจารณาใช้ ยา PrEP ที่ใช้รับประทานร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ HIV ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า

การป้องกันการมีผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยการใช้ยา PEP อย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ HIV ได้ แต่การลดความเสี่ยงติดเชื้อ HIV คงไม่ใช่แค่การทานยาต้านฉุกเฉินเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องลดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อย่าปล่อยให้ความสนุกเพียงชั่วครั้งชั่วคราวทำลายอนาคต และหากใครรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูง ก็ควรหมั่นตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ HIV เป็นประจำ เพราะหากรู้ตัวเร็ว ก็มีโอกาสต้านเชื้อ HIV ได้เร็วเท่านั้น

มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันระหว่างกินยา PEP ต้องทำอย่างไร

ระหว่างการกินยา PEP ร่างกายจะสามารถป้องกัน HIV ได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วง 3 สัปดาห์แรกของการกินยา PEP จึงไม่จำเป็นต้องกินยา PEP เพิ่มอีก แต่ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์ในสัปดาห์สุดท้าย ผู้รับยาจะต้องกินยาสูตรต่อเนื่องอีก 1 สัปดาห์

ยา PEP ซื้อได้ที่ไหน

ยา PEP ไม่สามารถซื้อรับประทานเองได้ การรับประทานยาทุกครั้งต้องมีการตรวจ HIV, ไวรัสตับอักเสบ, ค่าการทำงานของตับ, และค่าการทำงานของไต ก่อนเสมอเพื่อความปลอดภัยของผู้รับยา การไม่ตรวจเลือดและกินยาเองเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นอย่างมาก ดังนั้น ยา PEP จึงไม่มีขายในร้านขายยาทั่วไป และมีบริการในสถานพยาบาลเท่านั้น

ระหว่างรับยา PEP ต้องทำอย่างไรบ้าง

ระหว่างรับยา PEP คุณไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ การกินยา PEP บางสูตรอาจต้องงดการกินยา หรืออาหารเสริมบางอย่าง แนะนำให้งดมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน สังเกตผลข้างเคียง หากมีผลข้างเคียงรุนแรงและไม่หายภายใน 1 สัปดาห์ แนะนำให้เข้ามาพบแพทย์

การกินยา PEP ต้องกินให้ตรงเวลาทุกวัน

การป้องกันการมีผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยการใช้ยา PEP อย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ HIV ได้ แต่การลดความเสี่ยงติดเชื้อ HIV คงไม่ใช่แค่การทานยาต้านฉุกเฉินเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องลดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อย่าปล่อยให้ความสนุกเพียงชั่วครั้งชั่วคราวทำลายอนาคต และหากใครรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูง ก็ควรหมั่นตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ HIV เป็นประจำ เพราะหากรู้ตัวเร็ว ก็มีโอกาสต้านเชื้อ HIV ได้เร็วเท่านั้น

การรป้องกันการมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดยการใช้ ยา PEP อย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ HIV ได้ แต่ การลดความเสี่ยงติดเชื้อ HIV คงไม่ใช่แค่ทานยาต้านฉุกเฉิน เพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องลดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อย่าปล่อยให้ความสนุกเพียงชั่วครั้งชั่วคราวทำลายอนาคต และถ้าใครรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูงก็ควรหมั่นตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ HIV เป็นประจำ เพราะหากรู้ตัวเร็ว ก็มีโอกาสต้านเชื้อ HIV ได้เร็วเท่านั้น

Reference :

  1. Division of HIV Prevention
  2. National Center for HIV, Viral Hepatitis, STD, and TB Prevention
  3. Centers for Disease Control and Prevention
  4. กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กระทรวงสาธารณสุข แนวทางการตรวจวินิจฉัย รักษา และป้องกันการติดเชื้อ HIV ประเทศไทยปี 2565/2566
  5. www.hiv.gov/hiv-basics/hiv-prevention/using-hiv-medication-to-reduce-risk/post-exposure-prophylaxis/
  6. www.cdc.gov/hiv/basics/pep/about-pep.html

icon email