

การป้องกันการติดเชื้อ HIV ในสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว “ยา PEP” หรือยาต้านไวรัสฉุกเฉิน เป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพสูง หากเริ่มใช้ทันทีหลังเกิดความเสี่ยง
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับยา PEP อย่างละเอียด ครอบคลุมทั้งหลักการทำงาน วิธีใช้ ระยะเวลา ราคา ผลข้างเคียง และสถานที่รับบริการ พร้อมตอบคำถามที่หลายคนสงสัย เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจเมื่อเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด

PEP (Post-Exposure Prophylaxis) คือยาต้านเชื้อ HIV สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อหลังมีเหตุการณ์เสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ถุงยางแตก/หลุด ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือบาดเจ็บจากเข็มตำ ยานี้เป็นมาตรการ “หลังสัมผัสความเสี่ยง” ไม่ใช่การรักษาโรค และไม่ทดแทนวิธีป้องกันหลักอย่างถุงยางอนามัยหรือยา PrEP ซึ่งเหมาะกับการป้องกันระยะยาว ผู้รับยาควรให้แพทย์ประเมินความเหมาะสมและรับยาอย่างต่อเนื่องตามแผนจึงจะได้ประสิทธิภาพที่ดี
PEP ยับยั้งวงจรชีวิตของ HIV ตั้งแต่ระยะแรกที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย โดยตัวยาผสม 2–3 ชนิดมักครอบคลุมกลุ่ม NRTIs และ/หรือ Integrase Inhibitors เพื่อขัดขวางเอนไซม์ที่ไวรัสใช้สร้าง DNA และแทรกเข้าในสารพันธุกรรมของเซลล์มนุษย์ เมื่อเชื้อไม่สามารถจำลองตัวและตั้งหลักได้ ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจึงลดลงอย่างมาก
“ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งมีโอกาสได้ผลดี” แนวทางสากลแนะนำให้เริ่มยาโดยเร็วที่สุดหลังเหตุการณ์เสี่ยง โดยยังอยู่ในกรอบ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง การชะลอการเริ่มยาออกไปจะลดประสิทธิภาพลง จึงควรพบแพทย์ทันทีเพื่อประเมินและเริ่มแผนการรักษา
คอร์สมาตรฐานคือ 28 วันติดต่อกัน ควรรับประทานให้ตรงเวลาใกล้เคียงกันทุกวันเพื่อคงระดับยาให้เสถียร การหยุดยาเองหรือรับประทานไม่ครบอาจลดประสิทธิภาพในการป้องกัน
การขาดยา ทำให้ระดับยาต้านไวรัสไม่พอจะยับยั้งวงจรของ HIV ส่งผลให้โอกาสป้องกันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และอาจทำให้เชื้อมีโอกาสตั้งหลักได้ หากพลาดหลายครั้งหรือเว้นนาน ควรแจ้งแพทย์เพื่อประเมินแนวทางที่เหมาะสม
อาการที่พบบ่อยช่วง 1–2 สัปดาห์แรก ได้แก่ คลื่นไส้ ปวดท้อง เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หรือปวดศีรษะ ซึ่งมักทุเลาเมื่อร่างกายปรับตัว ทั้งนี้ควรสังเกตอาการ หากรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้อาจมีผลต่อการทำงานของตับ/ไตในบางราย จึงมักมีการตรวจเลือดตามความเหมาะสม
สามารถพิจารณาใช้ได้ในบางกรณีเมื่อประเมินแล้ว “ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง” แพทย์จะเลือกสูตรยาที่มีข้อมูลความปลอดภัยรองรับและติดตามการทำงานของตับ/ไต รวมถึงภาวะของมารดาและทารกตามความเหมาะสม ไม่ควรเริ่มหรือหยุดยาเอง
ใช้ได้ โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ขนาดยาและสูตรจะปรับตามอายุและน้ำหนักตัว หากเด็กหรือวัยรุ่นมีเหตุการณ์เสี่ยง ควรพาเข้ารับการประเมินและเริ่มภายในกรอบเวลา 72 ชั่วโมง
ให้ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากเกิดเหตุการณ์เสี่ยงซ้ำช่วงรับยา ควรแจ้งแพทย์เพื่อประเมินว่าเพียงพอด้วยคอร์สเดิมหรือจำเป็นต้องวางแผนเพิ่มเติมเป็นรายกรณี ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเองหรือเริ่มซ้ำโดยไม่ปรึกษาแพทย์
PEP ลดโอกาสการติดเชื้อ แต่ไม่ได้ทำให้การตรวจเป็นลบเสมอไป หากมีการติดเชื้อจริง อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าการตรวจจะพบสารบ่งชี้ ตามปกติแพทย์จะนัดตรวจซ้ำหลังจบคอร์สตามช่วงเวลา เช่น ประมาณ 1 เดือน และ 3 เดือน เพื่อยืนยันผล
หากรู้ตัวหรือสงสัยว่ามีความเสี่ยงที่จะรับเชื้อ HIV หลายคนอาจไม่กล้าหรือไม่รู้ว่าจะรับยา PEP ได้ที่ไหน ทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
คุณสามารถติดต่อสอบถามกับทาง Safe Clinic ได้ผ่านช่องทางติดต่อ เพื่อขอปรึกษาแพทย์ที่คลินิก ซึ่งให้บริการแบบนิรนาม สะดวก รวดเร็ว เนื่องจาก มีห้องปฏิบัติการของตัวเอง ใช้เวลารวมเพียง 40 นาทีในการทราบผลเลือด และสามารถปรึกษาแพทย์ได้ทันที
โดยทั่วไปจะตรวจซ้ำ หลังครบคอร์ส 28 วัน และ อีกครั้งที่ราว 3 เดือน แพทย์อาจเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสม เช่น Antigen/Antibody หรือ HIV RNA ตามดุลยพินิจ ควรไปตามนัดแม้ไม่มีอาการผิดปกติ
ค่าใช้จ่ายแตกต่างตามสถานพยาบาลและสูตรยา โดยภาพรวมที่พบ:
ราคาจริงขึ้นกับสูตรยาและแพ็กเกจบริการ ควรสอบถามโดยตรงกับสถานพยาบาล
บางหน่วยงานสาธารณสุขและองค์กรไม่แสวงกำไรมีโครงการให้บริการฟรีหรือร่วมจ่ายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างที่มักพบ ได้แก่ คลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย และ โรงพยาบาลรัฐบางแห่ง รวมถึงโครงการภายใต้ กรมควบคุมโรค ทั้งนี้ เงื่อนไขอาจแตกต่างกัน ควรตรวจสอบกับหน่วยงานก่อนเข้ารับบริการ
ตัวอย่างสถานที่ที่อาจมีบริการ PEP ฟรี หรือร่วมจ่ายบางส่วน:
โดยทั่วไปสามารถรับบริการได้ที่ ห้องฉุกเฉิน (ER) ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่เปิด 24 ชม. เช่น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย/สถาบันหลัก รวมถึงโรงพยาบาลเอกชนที่มีแผนกฉุกเฉิน ควรโทรสอบถามล่วงหน้าว่ามีบริการจ่าย PEP และมีแพทย์เวรที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ไม่ได้ เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ จำเป็นต้องมีการตรวจประเมินก่อนเริ่ม เพื่อให้ได้สูตรและขนาดที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง/ปฏิกิริยาระหว่างยา และวางแผนติดตามผลอย่างเป็นระบบ
หลายคนที่เคยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และได้รับยา PEP ต่างแชร์ประสบการณ์ตรงที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในด้านความรู้สึกวิตกกังวลเมื่อต้องตัดสินใจเข้ารับยา และความสำคัญของการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่มักพบในประสบการณ์ผู้ใช้จริง ได้แก่:
บทเรียนที่สรุปได้จากประสบการณ์ผู้ใช้คือ “ยิ่งรู้ตัวเร็ว ยิ่งมีโอกาสป้องกันได้สูง” และ “อย่ากลัวที่จะปรึกษาแพทย์”
การรับยาที่ เซฟ คลินิก เมื่อเทียบกับการรับยาที่สถานพยาบาลอื่นๆ มีหลายประการเช่น
ต้องเริ่มภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากเหตุการณ์เสี่ยง ยิ่งเริ่มเร็ว (โดยเฉพาะภายใน 24 ชั่วโมง) ประสิทธิภาพในการป้องกันจะยิ่งสูงขึ้น
ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ หากเริ่มใช้ช้า, ลืมกินยา, หรือไม่ได้รับยาที่เหมาะสม แต่หากทำตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด ประสิทธิภาพสามารถสูงกว่า 90%
ไม่ได้ ยา PEP ป้องกันเฉพาะเชื้อ HIV เท่านั้น ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือ HPV
แนะนำให้ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่กำลังใช้ PEP เพื่อลดความเสี่ยงซ้ำ และป้องกันโรคอื่น
PEP เป็นมาตรการฉุกเฉินเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ HIV หลังเหตุการณ์เสี่ยง ประเด็นสำคัญคือ เริ่มยาโดยเร็ว อยู่ในกรอบเวลา 72 ชั่วโมง กินยาให้ครบ 28 วัน และมาตรวจติดตามตามนัด พร้อมใช้วิธีป้องกันหลักอย่างสม่ำเสมอ หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
อ้างอิง