Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

ตรวจ Rapid Test แค่ 15 นาที ก็เช็กโรคติดต่อเหล่านี้ได้

หากคุณกำลังมองหาวิธีตรวจสุขภาพทางเพศที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยากการตรวจ Rapid Test คือคำตอบที่เหมาะกับคุณ การตรวจด้วยวิธีนี้สามารถรู้ผลเบื้องต้นได้ทันทีภายใน 15–30 นาที โดยไม่ต้องรอผลแล็บข้ามวัน ช่วยลดความกังวล และทำให้คุณสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพของตนเองและคู่ได้อย่างมั่นใจ

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Rapid Test อย่างละเอียด ตั้งแต่คืออะไร ตรวจอะไรได้บ้าง เชื่อถือได้แค่ไหน ไปจนถึงขั้นตอนการตรวจ ผลลัพธ์ และข้อควรรู้ที่คุณไม่ควรพลาด

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

Rapid Test คืออะไร?

Rapid Test หรือชุดตรวจแบบรู้ผลเร็ว คือวิธีการตรวจคัดกรองเชื้อโรคหรือภูมิคุ้มกันบางชนิดจากเลือดหรือสารคัดหลั่ง ที่สามารถทราบผลได้ภายใน 15–30 นาที โดยไม่ต้องรอผลจากห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ทำให้เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองเบื้องต้น โดยเฉพาะในกรณีของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD)

ชุดตรวจแบบ Rapid Test ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก

  • สะดวก รวดเร็ว: ไม่ต้องรอผลนาน
  • ไม่ซับซ้อน: ใช้ตัวอย่างเลือดจากปลายนิ้วหรือปัสสาวะ
  • เหมาะกับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องการตรวจเบื้องต้นโดยไม่เสียเวลา

ใช้ตรวจอะไรได้บ้าง?

Rapid Test สามารถใช้ตรวจโรคติดเชื้อได้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น:

ต่างจากการตรวจเลือดแบบทั่วไปยังไง?

Rapid Test

ตรวจเลือดทั่วไป (Lab Test)

ทราบผลใน 15–30 นาที

ต้องรอผลจากแล็บ 1–3 วัน

ใช้เลือดจากปลายนิ้วหรือปัสสาวะ

ใช้เลือดจากหลอดเลือดดำ

ใช้ตรวจคัดกรองเบื้องต้น

ใช้สำหรับยืนยันผล/ตรวจเชิงลึก

ความแม่นยำขึ้นกับช่วงเวลาหลังเสี่ยง

ความแม่นยำสูงกว่า แต่ใช้เวลานานกว่า

ดังนั้น หากคุณต้องการทราบเบื้องต้นอย่างรวดเร็วว่า “ติดเชื้อหรือไม่” Rapid Test คือทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน หรือต้องการตรวจแบบไม่ยุ่งยาก

ตรวจ Rapid Test เช็กโรคติดต่ออะไรได้บ้าง?

แม้ Rapid Test จะไม่สามารถตรวจได้ทุกชนิดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) แต่สามารถตรวจหาเชื้อหลายชนิดที่พบบ่อยได้ โดยเฉพาะในขั้นตอนคัดกรองเบื้องต้น ซึ่งให้ผลรวดเร็วและแม่นยำในระดับหนึ่ง

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถตรวจได้ด้วย Rapid Test

1. โรคเอดส์ หรือ HIV

การตรวจ Anti-HIV แบบ Rapid Test ใช้ตัวอย่างเลือดจากปลายนิ้ว ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV รู้ผลภายใน 15 นาที เหมาะสำหรับการคัดกรองเบื้องต้น
→ หากผลเป็นบวก แนะนำให้ตรวจยืนยันด้วยวิธี PCR หรือ Antigen/Antibody Combo Test

2. โรคซิฟิลิส (Syphilis)

สามารถตรวจหาแอนติบอดีของเชื้อซิฟิลิสได้ด้วยวิธี Rapid Test จากเลือด รู้ผลภายในไม่กี่นาที
เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลหรือสงสัยว่าติดเชื้อในระยะไม่เกิน 3 เดือน

3. ไวรัสตับอักเสบบี และ ซี (Hepatitis B & C)

Rapid Test ใช้ตรวจหาสารแอนติเจน (เช่น HBsAg) หรือแอนติบอดีต่อไวรัสตับอักเสบบี และซี
ช่วยให้ทราบเบื้องต้นว่ามีการติดเชื้อหรือเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่

4. โรคเริม (Herpes Simplex Virus)

Rapid Test สำหรับเริมใช้ตรวจหาแอนติบอดีจากเลือด แม้ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นชนิด HSV-1 หรือ HSV-2 แต่ช่วยประเมินว่าร่างกายเคยรับเชื้อหรือไม่

5. โรคหนองใน (Gonorrhea)

ในบางคลินิกมี Rapid Test สำหรับหนองใน ซึ่งใช้สารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศหรือปัสสาวะ
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการตกขาวผิดปกติหรือขับถ่ายแสบขัด

6. โรคคลามายเดีย (Chlamydia)

Rapid Test สำหรับคลามายเดียสามารถตรวจได้จากสารคัดหลั่งหรือปัสสาวะ รู้ผลเบื้องต้นภายใน 20 นาที
แต่หากต้องการความแม่นยำสูง ควรตรวจซ้ำด้วยวิธี PCR

7. โรคติดเชื้อเอชพีวี (HPV)

แม้ HPV จะนิยมตรวจด้วย Pap smear หรือ DNA Test แต่บางชุดตรวจ Rapid Test สำหรับ HPV ก็เริ่มมีให้บริการแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น คู่รักเพศเดียวกัน หรือผู้มีคู่นอนหลายคน

หมายเหตุ: ผลตรวจ Rapid Test เป็นการคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น หากผลเป็นบวกหรือยังมีข้อสงสัย ควรตรวจยืนยันเพิ่มเติม และรับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทาง

Rapid Test มีกี่แบบ?

Rapid Test ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคที่ต้องการตรวจ วิธีการเก็บตัวอย่าง และเทคโนโลยีของชุดตรวจ โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ:

1. Rapid Test แบบเจาะเลือด

เป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุด โดยใช้เลือดจากปลายนิ้วเพื่อหาภูมิคุ้มกันหรือแอนติเจนของเชื้อโรค
เหมาะสำหรับการตรวจโรค เช่น

  • HIV
  • ซิฟิลิส
  • ไวรัสตับอักเสบบีและซี
  • เริม (Herpes)

ข้อดี

  • ให้ผลเร็ว
  • ใช้เลือดน้อย
  • ตรวจได้แม้ไม่มีอาการ

ข้อควรทราบ

  • ไม่แนะนำในผู้ที่กลัวเข็มมาก หรือเป็นลมง่ายจากการเจาะเลือด

2. Rapid Test แบบปัสสาวะหรือสารคัดหลั่ง

บางโรค เช่น หนองใน หรือคลามายเดีย อาจใช้ตัวอย่างจากปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอด / ทวารหนัก ชุดตรวจจะทำปฏิกิริยากับเชื้อโดยตรง

ข้อดี

  • ไม่ต้องเจาะเลือด
  • เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็ม หรือใช้ในบริบทเฉพาะ (LGBTQ+, sex worker)

ข้อควรทราบ

  • ต้องเก็บตัวอย่างอย่างถูกวิธี
  • ความแม่นยำขึ้นอยู่กับช่วงเวลาหลังติดเชื้อ

ต้องเตรียมตัวยังไงก่อนตรวจ?

  • ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร
  • หากมีประจำเดือน สามารถตรวจได้ แต่ควรแจ้งแพทย์
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์สามารถตรวจได้ตามปกติ
  • หากกลัวเข็ม ควรแจ้งพนักงานตั้งแต่ต้น เพื่อเตรียมวิธีที่เหมาะสมหรือเลือกแบบไม่เจาะเลือด

การตรวจ Rapid Test ใช้เวลาไม่นาน โดยทั่วไปประมาณ 15–30 นาที รวมตั้งแต่รับบริการ → เก็บตัวอย่าง → รอผล

ใครควรตรวจ Rapid Test และควรตรวจเมื่อไหร่?

แม้การตรวจสุขภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเป็นประจำ แต่สำหรับการตรวจแบบ Rapid Test โดยเฉพาะกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) จะมี “ช่วงเวลาที่เหมาะสม” และ “กลุ่มเสี่ยงที่ควรให้ความสำคัญ” เป็นพิเศษ

กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจ Rapid Test

  1. มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยเฉพาะกับคู่นอนใหม่ หรือหลายคน
  2. สงสัยว่าคู่นอนอาจมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนอื่น หรือไม่เคยตรวจสุขภาพทางเพศมาก่อน
  3. มีอาการผิดปกติทางเพศหรือร่างกาย เช่น มีแผล ตกขาวผิดปกติ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  4. ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่ม LGBTQ+, ผู้ให้บริการทางเพศ, ผู้ใช้เข็มร่วม
  5. คู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตรหรือแต่งงาน ควรตรวจหาเชื้อเบื้องต้นทั้งสองฝ่าย

ควรตรวจเมื่อไหร่หลังมีความเสี่ยง?

แม้ Rapid Test จะตรวจได้เร็ว แต่การตรวจทันทีหลังเสี่ยงอาจยังไม่แม่นยำ เพราะเชื้อโรคบางชนิดต้องใช้เวลาในการ “ฟักตัว” หรือทำให้ร่างกายเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันโดยทั่วไป ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับตรวจ Rapid Test มีดังนี้

โรค

ควรรอตรวจหลังเสี่ยงอย่างน้อย

HIV

2–4 สัปดาห์

ซิฟิลิส

3 สัปดาห์ขึ้นไป

เริม

1–2 สัปดาห์

ไวรัสตับอักเสบ B/C

4 สัปดาห์

หนองใน / คลามายเดีย

1 สัปดาห์

ผลตรวจ Rapid Test เชื่อถือได้แค่ไหน?

ความแม่นยำของการตรวจแบบ Rapid Test นั้น “ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย” โดยเฉพาะระยะเวลาหลังจากมีความเสี่ยง, ประเภทของโรค และชนิดของชุดตรวจที่ใช้ ซึ่งในคลินิกส่วนใหญ่มักใช้ชุดตรวจที่ได้รับการรับรองจาก อย. หรือมาตรฐานสากลเพื่อให้ได้ผลที่น่าเชื่อถือที่สุด

ความแม่นยำของ Rapid Test

โดยทั่วไป Rapid Test มี ความแม่นยำเฉลี่ยอยู่ที่ 90–99% ขึ้นกับโรคที่ตรวจ

โรค

ความไว (Sensitivity)

ความจำเพาะ (Specificity)

HIV

99.5%

99.9%

ซิฟิลิส

85–98%

95–99%

ไวรัสตับอักเสบ B

95–99%

98–99%

เริม

90–95%

95%+

หมายเหตุ:
ความไว (sensitivity) คือ ความสามารถในการตรวจเจอเมื่อมีเชื้อ
ความจำเพาะ (specificity) คือ ความสามารถในการแยกว่าผลบวกจริง ไม่ใช่บวกหลอก

ตรวจลบ = ปลอดภัยจริงไหม?

ไม่เสมอไปครับ การได้ผลลบอาจเกิดจาก

  • ตรวจเร็วเกินไป (อยู่ในระยะฟักตัว)
  • ชุดตรวจยังไม่สามารถจับภูมิ/เชื้อได้
  • ความผิดพลาดในการเก็บตัวอย่าง

ดังนั้น หากคุณเพิ่งมีความเสี่ยง หรืออยู่ใน Window Period → ควร “ตรวจซ้ำ” ตามคำแนะนำของแพทย์

อ่านเพิ่มเติม: Window Period คืออะไร? ตรวจเร็วไปเจอไหม?

ต้องตรวจซ้ำไหม?

แนะนำให้ตรวจซ้ำในกรณี

  • ผลลบแต่เพิ่งเสี่ยงมาไม่นาน
  • ผลบวกเพื่อยืนยันอีกครั้งด้วยวิธีมาตรฐาน เช่น PCR / NAT
  • ต้องการผลตรวจที่เป็นทางการ เช่น สำหรับเอกสารคู่สมรส / สมัครงาน / ตรวจสุขภาพประจำปี

ขั้นตอนการตรวจ Rapid Test ที่คลินิกเป็นยังไง?

การตรวจ Rapid Test ถือเป็นกระบวนการที่สะดวกและใช้เวลาไม่นาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพทางเพศหรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ แบบรู้ผลเร็ว ที่สำคัญคือสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีอาการก็ตรวจได้

ขั้นตอนโดยทั่วไปที่คลินิก

  1. ลงทะเบียนและให้ประวัติคร่าว ๆ เจ้าหน้าที่จะสอบถามเกี่ยวกับความเสี่ยงเบื้องต้น เช่น มีเพศสัมพันธ์ล่าสุดเมื่อไหร่ เคยตรวจมาก่อนหรือไม่ เพื่อเลือกประเภท Rapid Test ที่เหมาะสม
  2. รับคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่ออธิบายว่าควรตรวจอะไร ใช้วิธีใด และคาดหวังผลแบบไหน
  3. เก็บตัวอย่าง ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค:
    • เจาะเส้นเลือดดำที่ข้อพับ (เช่น HIV, ซิฟิลิส, เริม)
    • เก็บปัสสาวะหรือสารคัดหลั่ง (เช่น หนองใน, คลามายเดีย)
    • ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที และไม่จำเป็นต้องงดน้ำงดอาหาร
  4. รอผลตรวจ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
    ผลจะถูกแปลโดยแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรม พร้อมคำแนะนำ
  5. รับผลและคำแนะนำต่อเนื่อง
    • หากผลลบ: อาจมีการนัดตรวจซ้ำตาม Window Period
    • หากผลบวก: จะได้รับคำแนะนำให้ตรวจยืนยัน และวางแผนการรักษาต่อไป

ใช้เวลานานไหม?

ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลา เฉลี่ยเพียง 30–45 นาที เท่านั้น ตั้งแต่มาถึง → ตรวจ → รับผล

ต้องนัดล่วงหน้าไหม?

  • ที่ Safe Clinic สามารถ Walk-in ได้ หรือจะนัดหมายล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์
  • มีบริการแบบไม่ระบุชื่อ และเป็นส่วนตัวสูงมาก เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

ถ้าผลเป็นบวกหรือลบ ต้องทำยังไงต่อ?

ต้องทำอะไรต่อ ไม่ว่าจะได้ผลลบ (Negative) หรือผลบวก (Positive) การดูแลสุขภาพตัวเองหลังจากรับทราบผลตรวจเป็นช่วงที่ต้องให้ความสำคัญ การเข้าใจขั้นตอนถัดไปอย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างมั่นใจ

ผลเป็นลบ (Negative) ควรทำยังไง?

หากผลตรวจเป็นลบ หมายถึง ไม่พบเชื้อในช่วงเวลานั้น แต่ยังไม่สามารถรับประกันได้ 100% ว่าคุณ “ไม่ติดเชื้อแน่นอน” เพราะอาจตรวจเร็วเกินไป หรืออยู่ใน Window Period

  • หากเพิ่งมีความเสี่ยงใน 1–2 สัปดาห์ที่ผ่านมา → แนะนำให้ ตรวจซ้ำอีกครั้ง ภายใน 2–4 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงระหว่างนี้ เช่น เพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • หากยังมีอาการ เช่น ตกขาวผิดปกติ แผลที่อวัยวะเพศ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ → ควรพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม

ผลเป็นบวก (Positive) ควรทำยังไง?

หากได้ผลบวกจาก Rapid Test นั่นแปลว่า มีความเป็นไปได้สูงที่คุณติดเชื้อ แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะ Rapid Test เป็นเพียงการตรวจ “คัดกรองเบื้องต้น” ยังต้องมีการตรวจยืนยันซ้ำอีกครั้งก่อนวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ

  • เข้ารับการตรวจยืนยันด้วยวิธีมาตรฐาน เช่น PCR, NAT หรือ Western Blot (แล้วแต่ชนิดของเชื้อ)
  • งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะยืนยันผลและรับการรักษา
  • แจ้งคู่ของคุณอย่างสุภาพและให้ข้อมูล เพื่อให้เขาได้ตรวจและป้องกันตัวเองด้วย
  • รับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ตรวจ Rapid Test ที่ไหนได้บ้าง?

ปัจจุบันมีสถานพยาบาลหลายแห่งที่ให้บริการตรวจ Rapid Test ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิกเฉพาะทาง แต่หากคุณกำลังมองหาสถานที่ที่ให้บริการอย่างมืออาชีพ รวดเร็ว และเป็นส่วนตัว Safe Clinic ยินดีให้บริการครับ

สถานที่ตรวจ Rapid Test

  • โรงพยาบาลรัฐบาล
    • อาจต้องรอคิว และใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ผล
    • ความเป็นส่วนตัวอาจจำกัด
  • โรงพยาบาลเอกชน
    • มีบริการที่สะดวกมากขึ้น แต่ราคาค่อนข้างสูง
    • ต้องนัดล่วงหน้าในหลายแห่ง
  • คลินิกเฉพาะทาง Safe Clinic
    • ตรวจได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน
    • Walk-in ได้ มีบริการไม่ระบุชื่อ
    • มีแพทย์เฉพาะทางดูแลอย่างใกล้ชิด

ทำไมต้องเลือก Safe Clinic?

  1. ให้ผลรวดเร็ว ทันใจ ทราบผลใน 15–30 นาที ไม่ต้องรอข้ามวัน
  2. บริการเป็นส่วนตัว เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง มีทีมแพทย์ที่เข้าใจบริบทของผู้รับบริการโดยไม่ใช้ท่าทีตัดสิน
  3. เหมาะกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ LGBTQ+ และ sex worker มีประสบการณ์ในการดูแลกลุ่มเปราะบางและผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง
  4. ครบวงจรในที่เดียว ทั้งตรวจคัดกรอง ยืนยันผล รักษา และติดตามผล มี ยา PEP, ยา PrEP, วัคซีน, และโปรแกรมตรวจสุขภาพทางเพศ
  5. เข้าถึงง่าย สะดวกทุกช่องทาง เดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้า (BTS และ MRT) / จองคิวง่ายผ่านเว็บ, ไลน์หรือโทรจองได้

ตรวจ Rapid Test ราคาเท่าไหร่?

ราคาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคที่ต้องการตรวจ และจำนวนรายการที่เลือกตรวจในครั้งเดียว ราคาโดยประมาณ

รายการตรวจ

ราคาโดยประมาณ (บาท)

Anti-HIV Rapid Test

850

ซิฟิลิส

700

ไวรัสตับอักเสบ B/C

500–550

แพ็กเกจตรวจ STD หลายรายการ

เริ่มต้น 3,000++

สรุป

Rapid Test ไม่ใช่แค่การตรวจที่สะดวกและรวดเร็ว แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยป้องกันการแพร่เชื้อ และส่งเสริมการดูแลสุขภาพทางเพศในระยะยาว สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าควรตรวจไหม หรือกังวลใจเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ผ่านมา การตรวจ Rapid Test อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

อย่าปล่อยให้ความไม่แน่ใจทำให้คุณเครียดโดยไม่จำเป็น มาเช็กสุขภาพของคุณอย่างสบายใจที่ Safe Clinic ที่ซึ่งเราเข้าใจและพร้อมดูแลคุณอย่างมืออาชีพ

คำถามที่พบบ่อย Rapid Test

Q: ต้องงดอาหารหรือน้ำก่อนตรวจไหม?
A: ไม่จำเป็น สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ตามปกติ

Q: กลัวเข็มมาก จะตรวจได้ไหม?
A: ได้แน่นอน สามารถเลือกแบบที่ไม่เจาะเลือด เช่น ตรวจจากปัสสาวะ/สารคัดหลั่งได้

Q: ผู้หญิงมีประจำเดือนสามารถตรวจได้หรือไม่?
A: บางชุดตรวจได้ แต่ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม

Q: การตรวจใช้เวลานานไหม?
A: ใช้เวลาเพียง 40 นาที ตั้งแต่เก็บตัวอย่างจนทราบผล

Q: ต้องนัดก่อนหรือ Walk-in ได้เลย?
A: ที่ Safe Clinic สามารถ Walk-in ได้ หรือจองคิวล่วงหน้า

Q: ถ้าผลเป็นลบ ต้องตรวจซ้ำอีกไหม?
A: หากเพิ่งมีความเสี่ยงใน 2 สัปดาห์ ควรตรวจซ้ำหลังจากพ้น Window Period

Q: ถ้าผลเป็นบวก ต้องแจ้งใครไหม?
A: ไม่จำเป็นต้องแจ้งหน่วยงาน แต่ควรบอกคู่ของคุณ เพื่อให้เขาได้รับการตรวจเช่นกัน

Q: ผลตรวจเป็นความลับไหม?
A: ใช่ครับ ผลตรวจจะถูกเก็บเป็นความลับ และแจ้งเฉพาะคุณโดยตรง

Q: ตรวจผ่านช่องทางอื่น (เช่น ปาก/ทวารหนัก) ได้ไหม?
A: ได้ ต้องแจ้งแพทย์เพื่อเลือกชุดตรวจและวิธีที่เหมาะสม

Q: LGBTQ+ ตรวจแบบไหนถึงเหมาะที่สุด?
A: คลินิกมีบริการเฉพาะสำหรับกลุ่มนี้ เช่น ตรวจทางปาก/ทวารหนัก และให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจ

icon email