Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 pm - 09:00 pm (Last Case 08.30 pm)

STIs คืออะไร? รู้ให้ลึก! เชื้อ ความเสี่ยง ป้องกันในปี 2025

ในยุคที่โลกเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” หรือ STIs (Sexually Transmitted Infections) กลับยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ถูกมองข้าม

หลายคนคิดว่าคือโรคของ “คนสำส่อน” หรือ “ต้องมีอาการถึงจะรู้ตัว” ความจริงเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด และคนที่ติดเชื้อจำนวนมาก “ไม่รู้ตัวเลย” เพราะไม่มีอาการแสดง

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจว่า STIs คืออะไร เชื้ออะไรเสี่ยงสุด? ติดต่อกันอย่างไร? ใครคือกลุ่มเสี่ยงในปี 2025? รวมถึงวิธีป้องกันที่ได้ผลจริง พร้อมข้อมูลจาก WHO, CDC และกรมควบคุมโรคไทย เพื่อให้คุณดูแลตัวเองและคนที่คุณรัก…ก่อนที่มันจะสายเกินไป

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

STIs คืออะไร?

STIs (Sexually Transmitted Infections) หรือ “การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์” คือกลุ่มของการติดเชื้อที่สามารถแพร่ผ่านกิจกรรมทางเพศ ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก ปาก รวมถึงการสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด หรือเลือด

ต่างจากคำว่า “STD (Sexually Transmitted Disease)” ที่เคยใช้ในอดีต ปัจจุบันวงการแพทย์นิยมใช้คำว่า STIs มากกว่า เพื่อสื่อถึง “การติดเชื้อ” ที่อาจยังไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ เช่น

  • คนที่ติดเชื้อ HPV หรือเริม อาจไม่แสดงอาการใด ๆ
  • HIV อาจอยู่ในร่างกายหลายปีโดยไม่มีอาการ

การเปลี่ยนมาใช้คำว่า STIs สะท้อนแนวคิดใหม่ที่เน้นการ “ป้องกัน” มากกว่า “ตีตรา” ว่าเป็นโรค

อ่านเพิ่มเติม: STIs vs STDs ต่างกันอย่างไร?

ปัญหาสาธารณสุขยุคใหม่

แม้ไทยเคยควบคุมอัตราการติดเชื้อได้ดีในช่วงทศวรรษ 1990 และ WHO เคยรับรองไทยว่า “ขจัดการถ่ายทอดเชื้อ HIV และซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก” ได้ในปี 2016 แต่ในช่วงปี 2017–2021 กลับพบว่าการติดเชื้อ ซิฟิลิส ในวัยรุ่นไทยอายุ 15–24 ปี เพิ่มขึ้นถึง 10–15 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในปี 2021 กลุ่มอายุนี้ยังคิดเป็น 38.81% ของผู้ป่วย STIs ทั้งหมดในประเทศ

ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?

หากไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อ STIs อาจนำไปสู่ปัญหารุนแรง เช่น

  • ภาวะมีบุตรยาก
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • การติดเชื้ออวัยวะสืบพันธุ์
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการติด HIV

เชื้อโรค STIs ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง?

โรคในกลุ่ม STIs มีหลายชนิด และแต่ละชนิดมีความรุนแรงและวิธีแพร่เชื้อที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่

1. เชื้อแบคทีเรีย

  • หนองในแท้ (Gonorrhea) เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์โดยตรง อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการปัสสาวะแสบ คัน หนองออกจากอวัยวะเพศ
  • ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อ Treponema pallidum มีหลายระยะ อาจเริ่มจากแผลไม่เจ็บ → ผื่น → อาการทางระบบประสาทหากไม่ได้รับการรักษา

2. เชื้อไวรัส

  • HPV (Human Papillomavirus) เป็นเชื้อไวรัสที่พบบ่อยที่สุด ติดต่อได้ง่าย อาจก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ หรือมะเร็งปากมดลูกในระยะยาว
  • HSV (Herpes Simplex Virus) แบ่งเป็นชนิดที่ 1 และ 2 ติดต่อทางผิวหนังหรือของเหลวจากตุ่มน้ำ มักพบเป็นแผลที่อวัยวะเพศหรือริมฝีปาก
  • HIV (Human Immunodeficiency Virus) ทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกาย หากไม่รักษาจะนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS)

3. ปรสิต/เชื้อรา

  • Trichomoniasis เกิดจากเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ทำให้มีตกขาวผิดปกติ กลิ่นแรง อาการคันหรือระคายเคือง
  • Candida albicans (แม้ไม่ใช่ STI โดยตรง แต่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางเพศ) อาจทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด

ข้อมูลจาก WHO ระบุว่า STIs 4 ชนิดที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก ได้แก่ หนองใน, ซิฟิลิส, หนองในเทียม (Chlamydia) และ Trichomoniasis

STIs ติดต่อกันได้ทางไหนบ้าง?

การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว และหลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธีการติดต่อ โดยทั่วไป STIs สามารถติดต่อได้ผ่าน 4 เส้นทางหลัก ดังนี้:

1. การมีเพศสัมพันธ์ทุกประเภท

  • ช่องคลอด ทวารหนัก ปาก
  • แม้ไม่มีการสอดใส่ลึก แต่การสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศก็มีความเสี่ยง (เช่น เริม HPV)

2. การสัมผัสของเหลวในร่างกาย

  • สารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ, ตกขาว, เลือด
  • การมีแผล หรือเยื่อบุฉีกขาดขณะมีเพศสัมพันธ์ จะเพิ่มโอกาสแพร่เชื้อ เช่น HIV

3. การใช้ของร่วมกัน

  • ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน ของเล่นทางเพศ หรืออุปกรณ์โกนขน
  • กรณีนี้พบไม่บ่อย แต่ยังมีโอกาสโดยเฉพาะในเชื้อปรสิต (Trichomoniasis) หรือแบคทีเรีย

4. การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

  • ขณะตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร
  • ตัวอย่างเช่น HIV, ซิฟิลิส, เริม สามารถติดต่อสู่ทารกได้หากไม่ได้รับการดูแล

กลุ่มเสี่ยงมีใครบ้าง?

การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ไม่ได้เลือกเพศ อายุ หรืออาชีพ แต่บางพฤติกรรมและสถานการณ์สามารถเพิ่มโอกาสในการรับเชื้อได้มากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่พฤติกรรมทางเพศและการเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

  1. วัยรุ่นและวัยทำงานช่วงต้น (อายุ 15–29 ปี)
    • มีอัตราการติดเชื้อสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    • WHO และกรมควบคุมโรคไทยชี้ว่า กลุ่มวัยนี้มักไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ เพราะไม่มีอาการ
  2. ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
    • ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนคู่นอนที่ไม่ได้ป้องกันหรือไม่ได้รับการตรวจเชื้อ
  3. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ
    • ทั้งชาย-หญิง รวมถึงคู่รักระยะยาวที่ไม่ได้ตรวจสุขภาพร่วมกัน
  4. ผู้ที่ไม่เคยตรวจ STI เลยในชีวิต
    • โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วหลายปี แต่ไม่เคยได้รับการคัดกรองใด ๆ
  5. ผู้ใช้แอปนัดเจอ หรือพฤติกรรมไม่เปิดเผยสถานะทางเพศ
    • ไม่ใช่การตีตรา แต่หลายเคสพบว่าการไม่รู้สถานะของตนเองและคู่นอน คือจุดเสี่ยงสำคัญ

STIs อันตรายแค่ไหน ถ้าไม่มีอาการเลย?

หลายคนเข้าใจว่า “ถ้าไม่มีอาการ = ไม่ติดโรค”
แต่ในความจริง STIs หลายชนิด “แฝงตัวเงียบ” โดยไม่แสดงอาการเลยนานหลายเดือนหรือหลายปี
สิ่งที่น่ากลัวคือ ขณะไม่มีอาการนั้น — คุณยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว

โรคที่มักไม่แสดงอาการ

  • Chlamydia: ผู้หญิง 70% และผู้ชาย 50% มักไม่มีอาการใด ๆ
  • HPV: หลายสายพันธุ์ไม่มีอาการ แต่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
  • HIV: อาจไม่แสดงอาการนานหลายปีจนเข้าสู่ระยะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

แล้วเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่รู้ตัวว่าเป็น?

  • เชื้ออาจทำลายอวัยวะภายใน เช่น ท่อนำไข่ → ภาวะมีบุตรยาก
  • แพร่เชื้อให้คู่นอน แม้คิดว่าตัวเอง “ปกติ”
  • พลาดโอกาสรักษาตั้งแต่ระยะแรกที่หายง่าย

ป้องกัน STIs ได้อย่างไร?

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ต้องอาศัย “ความสม่ำเสมอ” และ “ความเข้าใจร่วมกับคู่ของเรา” โดย WHO และ CDC แนะนำหลักการ 4 ข้อเบื้องต้น (รู้จักกันในชื่อ ABCD of Prevention)

A: Abstinence (การงดเว้น)

  • งดมีเพศสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง เป็นวิธีที่ลดความเสี่ยงได้ 100%
  • เหมาะสำหรับบางช่วงวัย หรือผู้ที่ยังไม่พร้อม

B: Be Faithful (ซื่อสัตย์ต่อคู่นอน)

  • มีคู่นอนคนเดียว และมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความเสี่ยงหรือติดเชื้อ
  • หากมีหลายคู่นอน ควรเปิดเผยและตรวจสุขภาพร่วมกัน

C: Condom Use (ใช้ถุงยาง)

  • ใช้ถุงยางอนามัย “ทุกครั้ง” ที่มีเพศสัมพันธ์ ช่วยลดโอกาสติด STIs ได้สูง
  • ถุงยางสำหรับผู้หญิง หรือถุงยางทางปาก (dental dam) ก็เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ

D: Detection (การตรวจและรักษา)

  • ตรวจ STI เป็นประจำ แม้ไม่มีอาการ เพื่อค้นหาเชื้อที่อาจแฝงอยู่
  • หากพบเชื้อ ควรรักษาทันทีและแจ้งคู่นอนเพื่อร่วมรับการรักษา

วัคซีนที่ป้องกัน STIs ได้

  • HPV Vaccine: ช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูก หูดหงอนไก่ และโรคจาก HPV
  • วัคซีนตับอักเสบบี (Hepatitis B): มีในแผนวัคซีนพื้นฐานของไทย

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ STIs

❌ ความเชื่อผิด

✅ ข้อเท็จจริง

ไม่มีอาการ แสดงว่าไม่ติด

STIs หลายโรค “เงียบ” เช่น HPV, Chlamydia ยังแพร่เชื้อได้

ใช้ถุงยางแล้ว ปลอดภัย 100%

ถุงยางลดความเสี่ยงมาก แต่ไม่กันโรคที่ติดผ่านผิวหนัง เช่น เริม

แค่มีคู่นอนคนเดียว ไม่เสี่ยงหรอก

ถ้าคู่นอนไม่เคยตรวจ ก็ยังมีโอกาสรับเชื้ออยู่

เป็นครั้งเดียว รักษาหายแล้วก็จบ

บางโรคกลับมาเป็นซ้ำได้ เช่น เริม หรืออาจติดใหม่

ตรวจเฉพาะตอนมีอาการก็พอ

ตรวจสม่ำเสมอช่วยจับเชื้อแฝงได้เร็ว และป้องกันแพร่ต่อ

สรุป

STIs ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง แต่คือเรื่องสุขภาพที่ “ทุกคนควรรู้” ไม่ว่าคุณจะมีคู่นอนหรือไม่ก็ตาม เพราะเชื้อบางชนิดไม่มีอาการ แต่ส่งผลกระทบระยะยาว ทั้งต่อร่างกาย ความสัมพันธ์ และคนรอบข้าง บทความนี้หวังว่าจะช่วยให้คุณเข้าใจ STIs ในภาพรวม — และตัดสินใจดูแลตัวเองอย่างรู้ทัน

icon email