ในยุคที่โลกเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” หรือ STIs (Sexually Transmitted Infections) กลับยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ถูกมองข้าม
หลายคนคิดว่าคือโรคของ “คนสำส่อน” หรือ “ต้องมีอาการถึงจะรู้ตัว” ความจริงเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด และคนที่ติดเชื้อจำนวนมาก “ไม่รู้ตัวเลย” เพราะไม่มีอาการแสดง
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจว่า STIs คืออะไร เชื้ออะไรเสี่ยงสุด? ติดต่อกันอย่างไร? ใครคือกลุ่มเสี่ยงในปี 2025? รวมถึงวิธีป้องกันที่ได้ผลจริง พร้อมข้อมูลจาก WHO, CDC และกรมควบคุมโรคไทย เพื่อให้คุณดูแลตัวเองและคนที่คุณรัก…ก่อนที่มันจะสายเกินไป
STIs คืออะไร?
STIs (Sexually Transmitted Infections) หรือ “การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์” คือกลุ่มของการติดเชื้อที่สามารถแพร่ผ่านกิจกรรมทางเพศ ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก ปาก รวมถึงการสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด หรือเลือด
ต่างจากคำว่า “STD (Sexually Transmitted Disease)” ที่เคยใช้ในอดีต ปัจจุบันวงการแพทย์นิยมใช้คำว่า STIs มากกว่า เพื่อสื่อถึง “การติดเชื้อ” ที่อาจยังไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ เช่น
- คนที่ติดเชื้อ HPV หรือเริม อาจไม่แสดงอาการใด ๆ
- HIV อาจอยู่ในร่างกายหลายปีโดยไม่มีอาการ
การเปลี่ยนมาใช้คำว่า STIs สะท้อนแนวคิดใหม่ที่เน้นการ “ป้องกัน” มากกว่า “ตีตรา” ว่าเป็นโรค
อ่านเพิ่มเติม: STIs vs STDs ต่างกันอย่างไร?
ปัญหาสาธารณสุขยุคใหม่
แม้ไทยเคยควบคุมอัตราการติดเชื้อได้ดีในช่วงทศวรรษ 1990 และ WHO เคยรับรองไทยว่า “ขจัดการถ่ายทอดเชื้อ HIV และซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก” ได้ในปี 2016 แต่ในช่วงปี 2017–2021 กลับพบว่าการติดเชื้อ ซิฟิลิส ในวัยรุ่นไทยอายุ 15–24 ปี เพิ่มขึ้นถึง 10–15 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในปี 2021 กลุ่มอายุนี้ยังคิดเป็น 38.81% ของผู้ป่วย STIs ทั้งหมดในประเทศ
ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?
หากไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อ STIs อาจนำไปสู่ปัญหารุนแรง เช่น
- ภาวะมีบุตรยาก
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก
- การติดเชื้ออวัยวะสืบพันธุ์
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการติด HIV
เชื้อโรค STIs ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง?
โรคในกลุ่ม STIs มีหลายชนิด และแต่ละชนิดมีความรุนแรงและวิธีแพร่เชื้อที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่
1. เชื้อแบคทีเรีย
- หนองในแท้ (Gonorrhea) เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์โดยตรง อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการปัสสาวะแสบ คัน หนองออกจากอวัยวะเพศ
- ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อ Treponema pallidum มีหลายระยะ อาจเริ่มจากแผลไม่เจ็บ → ผื่น → อาการทางระบบประสาทหากไม่ได้รับการรักษา
2. เชื้อไวรัส
- HPV (Human Papillomavirus) เป็นเชื้อไวรัสที่พบบ่อยที่สุด ติดต่อได้ง่าย อาจก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ หรือมะเร็งปากมดลูกในระยะยาว
- HSV (Herpes Simplex Virus) แบ่งเป็นชนิดที่ 1 และ 2 ติดต่อทางผิวหนังหรือของเหลวจากตุ่มน้ำ มักพบเป็นแผลที่อวัยวะเพศหรือริมฝีปาก
- HIV (Human Immunodeficiency Virus) ทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกาย หากไม่รักษาจะนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS)
3. ปรสิต/เชื้อรา
- Trichomoniasis เกิดจากเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ทำให้มีตกขาวผิดปกติ กลิ่นแรง อาการคันหรือระคายเคือง
- Candida albicans (แม้ไม่ใช่ STI โดยตรง แต่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางเพศ) อาจทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด
ข้อมูลจาก WHO ระบุว่า STIs 4 ชนิดที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก ได้แก่ หนองใน, ซิฟิลิส, หนองในเทียม (Chlamydia) และ Trichomoniasis
STIs ติดต่อกันได้ทางไหนบ้าง?
การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว และหลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธีการติดต่อ โดยทั่วไป STIs สามารถติดต่อได้ผ่าน 4 เส้นทางหลัก ดังนี้:
1. การมีเพศสัมพันธ์ทุกประเภท
- ช่องคลอด ทวารหนัก ปาก
- แม้ไม่มีการสอดใส่ลึก แต่การสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศก็มีความเสี่ยง (เช่น เริม HPV)
2. การสัมผัสของเหลวในร่างกาย
- สารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ, ตกขาว, เลือด
- การมีแผล หรือเยื่อบุฉีกขาดขณะมีเพศสัมพันธ์ จะเพิ่มโอกาสแพร่เชื้อ เช่น HIV
3. การใช้ของร่วมกัน
- ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน ของเล่นทางเพศ หรืออุปกรณ์โกนขน
- กรณีนี้พบไม่บ่อย แต่ยังมีโอกาสโดยเฉพาะในเชื้อปรสิต (Trichomoniasis) หรือแบคทีเรีย
4. การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก
- ขณะตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร
- ตัวอย่างเช่น HIV, ซิฟิลิส, เริม สามารถติดต่อสู่ทารกได้หากไม่ได้รับการดูแล
กลุ่มเสี่ยงมีใครบ้าง?
การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ไม่ได้เลือกเพศ อายุ หรืออาชีพ แต่บางพฤติกรรมและสถานการณ์สามารถเพิ่มโอกาสในการรับเชื้อได้มากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่พฤติกรรมทางเพศและการเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
- วัยรุ่นและวัยทำงานช่วงต้น (อายุ 15–29 ปี)
- มีอัตราการติดเชื้อสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
- WHO และกรมควบคุมโรคไทยชี้ว่า กลุ่มวัยนี้มักไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ เพราะไม่มีอาการ
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
- ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนคู่นอนที่ไม่ได้ป้องกันหรือไม่ได้รับการตรวจเชื้อ
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ
- ทั้งชาย-หญิง รวมถึงคู่รักระยะยาวที่ไม่ได้ตรวจสุขภาพร่วมกัน
- ผู้ที่ไม่เคยตรวจ STI เลยในชีวิต
- โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วหลายปี แต่ไม่เคยได้รับการคัดกรองใด ๆ
- ผู้ใช้แอปนัดเจอ หรือพฤติกรรมไม่เปิดเผยสถานะทางเพศ
- ไม่ใช่การตีตรา แต่หลายเคสพบว่าการไม่รู้สถานะของตนเองและคู่นอน คือจุดเสี่ยงสำคัญ
STIs อันตรายแค่ไหน ถ้าไม่มีอาการเลย?
หลายคนเข้าใจว่า “ถ้าไม่มีอาการ = ไม่ติดโรค”
แต่ในความจริง STIs หลายชนิด “แฝงตัวเงียบ” โดยไม่แสดงอาการเลยนานหลายเดือนหรือหลายปี
สิ่งที่น่ากลัวคือ ขณะไม่มีอาการนั้น — คุณยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว
โรคที่มักไม่แสดงอาการ
- Chlamydia: ผู้หญิง 70% และผู้ชาย 50% มักไม่มีอาการใด ๆ
- HPV: หลายสายพันธุ์ไม่มีอาการ แต่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
- HIV: อาจไม่แสดงอาการนานหลายปีจนเข้าสู่ระยะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
แล้วเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่รู้ตัวว่าเป็น?
- เชื้ออาจทำลายอวัยวะภายใน เช่น ท่อนำไข่ → ภาวะมีบุตรยาก
- แพร่เชื้อให้คู่นอน แม้คิดว่าตัวเอง “ปกติ”
- พลาดโอกาสรักษาตั้งแต่ระยะแรกที่หายง่าย
ป้องกัน STIs ได้อย่างไร?
การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ต้องอาศัย “ความสม่ำเสมอ” และ “ความเข้าใจร่วมกับคู่ของเรา” โดย WHO และ CDC แนะนำหลักการ 4 ข้อเบื้องต้น (รู้จักกันในชื่อ ABCD of Prevention)
A: Abstinence (การงดเว้น)
- งดมีเพศสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง เป็นวิธีที่ลดความเสี่ยงได้ 100%
- เหมาะสำหรับบางช่วงวัย หรือผู้ที่ยังไม่พร้อม
B: Be Faithful (ซื่อสัตย์ต่อคู่นอน)
- มีคู่นอนคนเดียว และมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความเสี่ยงหรือติดเชื้อ
- หากมีหลายคู่นอน ควรเปิดเผยและตรวจสุขภาพร่วมกัน
C: Condom Use (ใช้ถุงยาง)
- ใช้ถุงยางอนามัย “ทุกครั้ง” ที่มีเพศสัมพันธ์ ช่วยลดโอกาสติด STIs ได้สูง
- ถุงยางสำหรับผู้หญิง หรือถุงยางทางปาก (dental dam) ก็เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ
D: Detection (การตรวจและรักษา)
- ตรวจ STI เป็นประจำ แม้ไม่มีอาการ เพื่อค้นหาเชื้อที่อาจแฝงอยู่
- หากพบเชื้อ ควรรักษาทันทีและแจ้งคู่นอนเพื่อร่วมรับการรักษา
วัคซีนที่ป้องกัน STIs ได้
- HPV Vaccine: ช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูก หูดหงอนไก่ และโรคจาก HPV
- วัคซีนตับอักเสบบี (Hepatitis B): มีในแผนวัคซีนพื้นฐานของไทย
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ STIs
❌ ความเชื่อผิด
|
✅ ข้อเท็จจริง
|
---|
ไม่มีอาการ แสดงว่าไม่ติด
|
STIs หลายโรค “เงียบ” เช่น HPV, Chlamydia ยังแพร่เชื้อได้
|
ใช้ถุงยางแล้ว ปลอดภัย 100%
|
ถุงยางลดความเสี่ยงมาก แต่ไม่กันโรคที่ติดผ่านผิวหนัง เช่น เริม
|
แค่มีคู่นอนคนเดียว ไม่เสี่ยงหรอก
|
ถ้าคู่นอนไม่เคยตรวจ ก็ยังมีโอกาสรับเชื้ออยู่
|
เป็นครั้งเดียว รักษาหายแล้วก็จบ
|
บางโรคกลับมาเป็นซ้ำได้ เช่น เริม หรืออาจติดใหม่
|
ตรวจเฉพาะตอนมีอาการก็พอ
|
ตรวจสม่ำเสมอช่วยจับเชื้อแฝงได้เร็ว และป้องกันแพร่ต่อ
|
สรุป
STIs ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง แต่คือเรื่องสุขภาพที่ “ทุกคนควรรู้” ไม่ว่าคุณจะมีคู่นอนหรือไม่ก็ตาม เพราะเชื้อบางชนิดไม่มีอาการ แต่ส่งผลกระทบระยะยาว ทั้งต่อร่างกาย ความสัมพันธ์ และคนรอบข้าง บทความนี้หวังว่าจะช่วยให้คุณเข้าใจ STIs ในภาพรวม — และตัดสินใจดูแลตัวเองอย่างรู้ทัน
หากต้องการนัดหมายเข้ารับบริการหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม
สามารถจองคิวผ่านเว็บไซต์ หรือ Inbox ทางช่องทาง Social Media ต่างๆ ได้ด้านล่างนี้